ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Yes,boss ผมนี่แหละผู้ช่วยมือหนึ่ง

    ลำดับตอนที่ #1 : 01 เป็นคนดีนั้นแสนจะลำบาก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 40
      0
      26 มี.ค. 57

    01 เป็นคนดีนั้นแสนจะลำบาก

    โรงอาหารที่ตึกคณะวิทยาศาสตร์ เป็นโรงอาหารชั้นเลิศ

    ใช่! อาหารถูกและอร่อย ลมพัดเย็นสบาย บางวันก็มีดนตรีให้ฟัง และที่สำคัญที่นั่นอาหารตาเพียบ!

    ใช่! ผมคิดแบบนั้นแหละ เพราะงั้นถึงได้ดั้นด้นไปกินข้าวที่โรงอาหารคณะวิทยาศาสตร์ไง

    ใช่! แล้วผมก็เจอสาวน่ารักที่กำลังลำบากจากการถือสารพัดอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษผมควรจะไปช่วยเธอใช่ไหม

    ใช่...

    ไม่! อ้าก! เลิกลำลึกความหลัง แล้วกลับสู่ความเป็นจริงซะ โอเคๆ ไอ้ประโยคข้างบนนั่นมันเป็นจริงนั่นแหละ แต่ท้ายเรื่องมันควรจะเป็นผมและเธอช่วยกันหิ้วอุปกรณ์พวกนั้น คุยกระหนุงกระหนิงไปด้วยกันสิ ไม่ใช่ผมต้องมายืนตัวลีบเหงื่อแตกพลั่กๆเหมือนปลาหมึกปิ้งถูกบดอยู่หน้าชั้นขายอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ ทั้งที่จริงๆแล้วผมเป็นเด็กศิลป์หรอก

    ใช่ครับ ผมชื่อ “แกรนด์” ที่มีความหมายว่ายอดเยี่ยมนั่นแหละ ปีนี้ผมเรียนอยู่ปี2 คณะครุศาสตร์ เอกศิลปะ คงงงกันสินะว่าทำไมผมต้องมายืนอยู่หน้าชั้นขายอุปกรณ์พวกนี้ เด็กศิลป์อย่างผมเนี่ยควรจะจรลีออกจากหน้าร้านอุปกรณ์วิทยาศาสตร์นี้ และไปซื้อพวกอุปกรณ์วาดภาพกลับไปวาดรูปเล่นมากกว่า แต่! แม่น้ำต้องมีต้นน้ำฉันใด การที่ผมต้องมายืนอยู่ที่นี่ก็มีเหตุผลฉันนั้น หน่ะ! ลึกซึ้ง

    ด้วยประการนี้ผมก็จะขอเล่าเรื่องเมื่อวันเกิดเหตุให้ฟัง

    คงต้องย้อนไปหน่อยสักประมาณวันศุกร์ที่ผ่านมา (อ้อ ผมลืมบอกไปว่าวันนี้วันเสาร์) ผมมีเรียนวิชาวาดเส้นโดยเริ่มเรียนตั้งแต่เก้าโมงเช้า ด้วยเหตุนี้ผมก็เลยจำเป็นต้องตื่นเช้ากว่าปกตินิดหน่อย คือว่าปกติผมจะตื่นเจ็ดโมงครับ แต่ถ้าวันไหนเรียนเช้าผมก็ตื่นหกโมง อ่ะ! แต่ผมไม่ได้ตื่นมาแบบไร้สาระนะ ผมพักอยู่หอใกล้ๆมหาวิทยาลัย เพราะฉะนั้นงานบ้าน(ห้อง)ทุกอย่างผมก็จำเป็นต้องลุกขึ้นมาจัดการเองแต่เช้า ด้วยความที่เป็นมือใหม่ผมเลยยังทำอะไรไม่ค่อยเป็นอยู่อีกหลายอย่าง

    เริ่มต้นแต่ที่อยู่ผมก่อนเลยก็แล้วกัน แต่ขอบอกเฉพาะสาวๆนะว่าผมยินดีต้อนรับตลอด พวกผู้ชายอ่ะหลบเลย! หอที่ผมอยู่ค่าเช่าไม่แพงมาก แถมการเดินทางมาคณะที่ตั้งอยู่ซะสุดเขตพื้นที่มหาลัยก็ค่อนข้างสะดวก มีรถสองแถวน้อยวิ่งผ่านตลอดจนหมดระยะเวลาห้าทุ่ม แต่คุณจะหวังอะไรกับรถพวกนี้อ่ะฮะ บอกได้คำเดียวว่า เซ็ง! เพราะวันไหนที่คุณรีบรถพวกนี้จะจอดรับผู้โดยสารแทบทุกที่ที่มีคนยืนอยู่ บางทีก็จอดรอจนผู้โดยสารจะล้นรถ พูดไม่ได้พูดเกินไปนะครับ! ล้นจริงๆ ผมยังเคยต้องเกาะเสาท้ายรถเพื่อโหนตัวเอาไว้เลย เส้าหลินก็เส้าหลินเถอะ ขึ้นสองแถมเมืองไทยนี่วิทยายุทธ์แรงกล้าเลย แต่ถ้าวันไหนที่คุณไม่รีบ อาจจะเจอพวกซิ่งตีนผีแบบไม่ต้องถามหาโลกหน้าเลยก็เป็นได้! และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอาการเซ็งฉับพลัน ผมก็ตัดสินใจซื้อจักรยานเสื้อภูเขาเอาไว้เดินทางเท่ๆสักคัน

    เอ๊ะ! นี่ผมกำลังพูดถึงอะไรอยู่ อ้อใช่! วันนี้ผมมีเรียนเช้า ผมรีบแต่งตัวออกจากหอ ก่อนจะคว้าเจ้าเสือภูเขาอะไหล่ผ่อนสีแดงคันโปรดออกมาจากที่ให้จอดของหอ ใช่ครับ คุณได้ยินไม่ผิดหรอก จักรยานของผมเป็นจักรยานประกอบที่ผมเก็บเงินจากการทำงานพิเศษมาซื้ออะไหล่ชิ้นส่วน และตัวโครงรถมาประกอบเอง ความจริงผมจะขอป้าก็ได้ แต่ผมไม่อยากรบกวนท่านไปมากกว่านี้

    ขึ้นขี่จักรยานปั่นเรื่อยๆ ตอนนี้พึ่งแปดโมงเช้ายังไงผมก็ไม่มีทางสายแน่นอน ลมจากรถยนต์ที่ขับสวนไปมานั้นพัดทำให้ผมหยักศกสีน้ำตาลเข้มที่ตัดไว้ระต้นคอของผมปลิวเอื่อยๆ อ่าว่าไปแล้วผมยังแนะนำตัวไม่ละเอียดเลยนี่

    สวัสดีอีกครั้งครับ ผมชื่อว่าแกรนด์ อย่างที่บอกไปข้างต้น ชื่อจริงๆคือ กันตพิชญ์ ชนกวนันท์ พ่อกับแม่เป็นคนตั้งชื่อให้ แปลว่าปราชญ์ผู้เป็นที่รัก ชื่อผมน่ารักไหมล่ะ

    ตอนที่เรียนมัธยมปลายผมเสียพ่อและแม่ไปในอุบัติเหตุรถชนทั้งคู่ ตั้งแต่นั้นมาผมก็ถูกย้ายเข้ามาอยู่กับป้าแท้ๆของผม  ป้ามีลูกชายสองคนและลูกสาวอีกหนึ่งซึ่งทุกคนอายุมากกว่าผมทั้งหมด พอผมเข้าไปอยู่ด้วยมันก็เลยกลายเป็นส่วนล้นๆ แต่ว่าผมไม่ใช่ส่วนเกินหรอกนะ ผมเข้ากับครอบครัวของป้าได้เป็นอย่างดี เพราะป้าก็เอ็นดูผมเป็นพิเศษจะแทบจะเรียกว่าเป็นลูกป้าตั้งแต่พ่อกับแม่ยังอยู่ พวกพี่ๆทั้งสามคนก็รักผมเหมือนน้อง แหม มีแต่คนรักนี่ดีจริงๆ

    พอผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่นี่ได้ผมก็ขออนุญาติป้าว่าจะออกมาอยู่หอ เพราะไม่อยากจะรบกวนท่านมาก (อีกอย่างเดี๋ยวจะสบายจนเคยตัวเพราะพวกพี่ๆเลี้ยงผมดีมาก) ตอนแรกๆป้าก็อึกอัก แต่ผมก็ใช้ลูกอ้อนจนได้อยู่ แลกกับข้อแม้ว่าอย่างน้อยอาทิตย์หนึ่งต้องกลับมาหาป้าสักวัน เพราะป้าเหงา

    ผมอมยิ้มเมื่อนึกถึงตรงนี้ เผอิญเหลือบตาไปเห็นสาวน้อยที่น่าจะเป็นน้องปีหนึ่งผมเลยส่งยิ้มไปให้ แหน่ะ! หน้าแดงด้วย

    ผมเป็นคนหน้าค่อนไปทางหวานครับ แต่ไม่ใช่สวยนะครับ! หากจัดประเภทผมคงอยู่ในประเภทหนุ่มน่ารัก แอร๊ย! เขิน!! ต้องขอบคุณความด้านของผิวที่ไม่ว่าจะโดนแดดเท่าไหร่ก็ยังจัดอยู่ในพวกไม่คล้ำแล้วก็ยังไม่ถึงพวกผิวสองสี ง่ายๆก็ขาวนั่นแหละ ตาสีน้ำตาลดำกับคิ้วเข้มที่พ่อให้มาทำให้พวกสาวๆกรี๊ดกันใหญ่ แต่สิ่งที่น่าทุกข์ใจก็คือทำไมส่วนสูงผมไม่เพิ่มขึ้นเลยตั้งแต่ม.5ก็ไม่รู้ ผมสูงร้อยหกสิบสาม ตอนนี้ก็ยังสูงร้อยหกสิบสาม ในขณะที่เพื่อนๆผมกลับทยอยสูงขึ้นเรื่อยๆ

    คิดอะไรเรื่อยเปื่อยแปบเดียวผมก็มาถึงคณะแล้วครับ เอาจักรยานไปเก็บเข้าทีก่อนจะขึ้นเรียน

    วันนี้วิชาวาดเส้นมีเรียนสเก็ตคนจริงครับ พวกเรานั่งเสก็ตกันอย่างเอาเป็นเอาตาย ต้องรีบครับไม่งั้นไม่ทัน เพราะนางแบบเขามีติดเป็นแบบที่อื่นต่อตอนเที่ยง พอสเก็ตเสร็จลงเงาเสร็จก็พึ่งจะรู้ตัวว่ามันเลยเที่ยงมานานแล้ว หิวข้าวจัง

    เอาล่ะ หลังจากที่ผมยกเหตุผลนานับประการที่ผมควรจะไปกินข้าวเที่ยงที่โรงอาหารคณะวิทยาศาสตร์อย่างข้างต้นแล้ว ผมก็จัดการลากเจ้าเกลอสุดซี้อย่าง “เอก” ที่รูปหล่อ แต่พ่อไม่รวย ทั้งยังเจือกซวยตกกระไดพลอยโจนมาเป็นเพื่อนซี้ของผมซะนี่ แบบที่เรียกกันว่า เห็นไอ้เอกที่ไหน ต้องเห็นไอ้แกรนด์ที่นั่น (ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนต้องมองมันก่อนทุกที)

    เอกเป็นเพื่อนซี้ปึกมาตั้งแต่ปีหนึ่ง สาวๆกรี๊ดมันใหญ่เพราะมันเป็นพวกค่อนข้างเงียบดูขรึบๆ ยิ่งมันตัดผมสั้นแล้วด้วยยิ่งเสริมความขรึมให้มันอีก ผมสีดำ คิ้วก็เข้มผิวสองสีที่ค่อนมาทางขาว เหมือนพวกหนุ่มมาดนักกีฬาอะไรทำนองนั้นแหละ แต่อย่าโดนมันหลอกนะทุกคน ผมอยู่กับมันมาผมรู้ว่าที่มันทำหน้าขรึมๆน่ะ มันง่วงต่างหากครับ! ตัวจริงของมันรั่วอย่าบอกใคร เผลอๆอาจจะมากกว่าผมด้วย

    มันก็เป็นคนพอมีฐานะนะครับ ขับรถมามหาวิทยาลัยแล้วบางวันก็ใจดีมารับผมถึงหอ มันเคยบอกว่าค่ารถสาธารณะจากบ้านมันกับค่าน้ำมันมาถึงนี่ก็ราคาพอๆกัน พ่อมันเลยบังคับยกรถเก๋งตกรุ่นแล้วให้มันขับมาเรียน ผมเคยแอบถามนะว่าทำไมมันไม่อยู่หอ มันก็ไม่ตอบผมซะงั้น

    เอาล่ะ! นอกเรื่องมามากแล้ว ผมก็ลากไอ้เอกเพื่อนเกลอสุดซี้ไปส่องหญิง เอ้ย! ไปกินข้าวที่โรงอาหารคณะวิทยาศาสตร์ต่างหาก แหมช่วงนี้สับสนบ่อยจริง  คณะวิทยาศาสตร์นั้นตั้งอยู่ถัดไปจากคณะครุศาสตร์ของผม ถัดไปเนี่ยฟังดูห่างเหินชะมัด ต้องเรียกว่าติดกันชนิดที่ก้าวขาก็ข้ามคณะได้เลยทีเดียว

    ถึงผมจะบอกไปว่าข้าวเที่ยงแต่ที่จริงแล้วตอนนี้เวลาเกือบจะบ่ายสองเข้าไปแล้ว ผมพาเอกเดินผ่านหน้าตึกอาคารเรียนของคณะวิทยาศาสตร์ ไอ้เอกบ่นกระปอดกระแปดให้รำคาญหูได้เป็นพักๆ เพราะไอ้ทางเดินที่ผมเลือกอ่ะ มันโครตจะอ้อมโลกเลย อ้อมยาว อ้อมไกล ยิ่งกว่าหนังมหากาพย์สตาร์ วอร์อีก แต่เฮ้ย! มาทางนี้มันก็ได้กำไรนะเว้ย

    มองนกมองไม้อย่างสบายใจ ดีกว่าหันไปใส่ใจหมา(เอก)ข้างๆตัว ปล่อยให้หมามันเห่างุงิงไป ฮ่าๆๆ

    อ่ะ ชแว่บ! นั่นคนหรือนางฟ้าครับนั่น! มองขึ้นไปที่หน้าต่างชั้นสองของตึก สาวสวยสุดๆที่ยืนอยู่นั้นเป็นใครกัน จากตรงนี้ผมซึ่งสายตาปกติ แต่มีโฟกัสสาวสวยมากกว่าคนปกติ สามารถจำแนกคนสวยออกมาจากฝูงชนได้อย่างแม่นยำจนกลายเป็นความสามารถพิเศษ บอกได้เลยว่าสาวสวยคนนั้นต้องสวยมากแน่ๆ ผมยาวแล้วยังขาวอีกอ๊ะนั่น! เธอเดินห่างจากกระจกไปแล้ว

    “เอกมาช่วยกันหน่อยดิ” ไม่พูดพร่ำทำเพลง ผมก็จัดการปกครองด้วยระบบคอมมิวนิสต์(เผด็จการ)ลากมันตรงดิ่งไปยังเป้าหมาย เลี้ยวขึ้นตึกอย่างว่องไวก่อนจะฉุดกระชากมันไปตามทางเดินชั้นสอง นักศึกษาสาวๆหลายคนมองมาที่ผมสองคน อ่า... น่ารักทั้งนั้นเลย แต่ขอโทษนะครับวันนี้ผมมีเป้าหมายแล้ว

    “อะไรวะ” เอกโวยวายพยายามยื้อข้อมือกลับตลอดทาง เออไม่ต้องดึงมากฉันไม่พิศวาสแกหรอกเว้ย

    “...” ความเงียบคือคำตอบของผม เอกมันยังคงพยายามยื้อแขนกลับไม่เลิก โว้ย! เดี๋ยวเป้าหมายก็หายหรอกเว้ย

    “บ้านควายหายหรอว่ะแกรนด์” แหม ไอ้พ่อคนหล่อ ถ้าฉันเลี้ยงควาย แกก็ทำฟาร์มหมาในปากแล้ว

    “นั่น” ผมส่งสัญญาณด้วยสายตา  ผู้หญิงคนนั้นยืนคุยกับอาจารย์อยู่ท่ามกลางเพื่อนร่วมคลาสของเธอทยอยออกจากห้องและไม่ลืมที่จะส่งเสียงคุยกันสนั่น

    ก็ใจมันหายละลาย ละไหล ไปกับเธอ เอ้อ เออ... โอ้ยหมอครับช่วยผมด้วย ผมต้องเป็นโรคหัวใจเต้นแรงเกินไปแน่เลย! แล้ว แล้ว แล้วก็ขอจักษุแพทย์ด้วย โอ้ความสวยช่างเจิดจ้าอะไรอย่างนี้!!

    “เฮ้ย น้ำลายไหลแล้ว” อะไรนะ แจ๊บๆๆ ผมรีบปาดน้ำลายทันที เฮ้ยนี่ตูทำไรลงไป

    “ไม่ได้ไหลเว้ย”

    “หึหึหึ มองเขาซะเบ้าตาแทบถลน ชอบ?” เกลียดเสียงหัวเราะมันว่ะ หล่อแล้วยังชอบทำขรึม ชิ!

    “เออ” กล้าถามก็กล้าบอก พอดีผมถือคติด้านได้อายอดน่ะครับ

    สาวน้อยในชุดกราวบอกพูดอะไรสักอย่างกับอาจารย์ก่อนจะเดินเข้าไปในห้องอีกหน ผมมองเห็นเธอกำลังเก็บอุปกรณ์แก้วทั้งหลายที่ผมไม่ค่อยจะรู้ชื่อลงใส่ตะกร้า

    “เอาไงดีว่ะเอก”

    “อืม” มันคราง ลูบคางไปมาทำท่าคิดเลียนแบบพวกนักสืบที่เห็นได้บ่อยๆ “เอางี้” มันบอกแล้วดึงข้อมือผมลากไปหน้าห้องที่สาวน้อยอยู่ก่อนจะ... เคาะประตู!

    “ขอโทษนะครับ” เอกส่งยิ้มน้อยๆ ก่อนจะถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป

    “อ..ไอ้เอก”

    “คือเพื่อนผมเขาอยากรู้จักน่ะครับ”

    ปรี๊ดดดดดดด

    บรึ้ม!!

    แล้วกลายเป็นโกโก้ครั้น!!!

    ไม่ใช่แล้ว! เสียงหน้าผมต่างหากเล่าครับ เขินจนระเบิดได้แล้ว ไอ้เพื่อนเอกแกโกรธแค้นเคืองฉันเรื่องไร เล่นบอกกันโต้ๆอย่างนี้ อ๊าก!!! ไม่อยากจะจินตนาการ!!

    “ค่ะ?” นางฟ้าของผมทำหน้าไม่เข้าใจก่อนเอียงคอน้อยๆ โอ้อย่าเอียงมากกว่านั้นนะครับ ใจจะละลายแล้ว

    “นี่เพื่อนผมชื่อแกรนด์ครับ ส่วนผมชื่อเอก” เอกว่าพร้อมส่งยิ้มเป็นมิตรไปให้

    “ค่ะ พี่ชื่อซีจ๊ะ” เธอหัวเราะน้อยๆอย่างอารมณ์ดี แต่เดี๋ยวก่อนผมฟังอะไรผิดไปรึเปล่านะ??

    “พี่หรอครับ” ผมโพล่งถามออกไปอย่างลืมตัว มารยาทที่ด่าไอ้เอกไปเมื่อกี้หายวับไปหมด

    “อืม เราอยู่ปี2กันใช่ไหม?” พี่ซี (นางฟ้าของผม)ถามกลับอย่างไม่ค่อยแน่ใจ

    “ใช่ครับ เอ่อพี่รู้ได้ยังไง” เอกเริ่มอึกอัก

    “ก็เดาเอาด้วยส่วนหนึ่งน่ะไม่คิดว่าจะแม่น” พี่ซีหัวเราะอีกรอบ “เราเด็กครุอาร์ตล่ะสิ”

    “ฮะ”

    “เห็นว่าใส่เข็มกลัดเน็คไทด์น่ะ เด็กปีหนึ่งยังไม่ติดไทด์ใช่ไหมล่ะ เลยลองเสี่ยงดู” พี่ซียิ้มแล้วเดินไปยังแก้วอุปกรณ์ที่วางค้างไว้ ค่อยๆหยิบมาใส่ตะกร้าอย่างระมัดระวัง อั๊ยย๊ะ! สวย เก่ง ฉลาด อนาคตแม่ของลูกเลยทีเดียว

    “แล้วทำไมเป็นครุอาร์ตล่ะครับ” เสียงเอกถามขึ้นอีก นี่มันจะข้องใจไรนักหนาห๊ะ!

    “หน้า”

    “ห่ะ” ผมกับเอกอุทานพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย นี่หน้าเรานี่บ่งยี่ห้อว่าอยู่สาขาไหนมากเลยหรอเนี่ย?

    “ที่หน้าน่ะมีรอยดำเปื้อนอยู่ ที่เล็บก็มีด้วย EEหรอ” พี่ซีหัวเราะคิกเมื่อพวกเราหันมาทำหน้าโง่ๆใส่กันเอง ก่อนจะหัวเราะออกมาพร้อมกัน แล้วเริ่มสำรวจร่างกายส่วนอื่นที่อาจจะเปื้อนรอยดินสอEEมากไปกว่านี้

    “ว้าว สุดยอดเลย” หลังจากมองๆแล้วก็ไม่สามารถจะลบรอยปื้นดำๆจากดินสอEEได้ ผมก็เลยปล่อยเลยตามเลย ที่สำคัญที่สุดคือหันมาสนใจพี่นางฟ้าของผมดีกว่า “พี่ซี เอ่อ อยู่ปีอะไรหรอครับ”

    “ลองเดาดูสิ” เธอพูดขำๆ แก้วถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว พี่ซีพิงเคาท์เตอร์กอดอกหลวมๆมองพวกเราด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

    โอ้พระเจ้า! ผมพึ่งสังเกตุชัดๆเนี่ยแหละ ผมว่าพี่ซีเป็นผู้หญิงที่สวยมากๆและหายากที่จะสวยอย่างนี้ ผิวผ่องของพี่ซีมีแต้มประกายอมชมพูอย่างคนสุภาพดีมีเลือดฟาด ผมดำขลับนั้นยาวระไปตามเรือนร่างถือกลางหลัง พี่ซีมีลักยิ้มที่แก้มซ้าย เวลาที่พี่เขายิ้มจะเห็นเป็นรอยบุ๋มเล็กๆอย่างชัดเจน แต่ทุกส่วนที่กล่าวมายังไม่สามารถตรึงสายตาของผมได้มากไปกว่าตาคู่นั้น ตาสีดำเข้มดูลึกลับนั่นใต้แพขนตามันส่องประกายความอยากรู้อยากเห็น เหมือนเด็กๆไม่มีผิด

    “ปีสามหรือเปล่าครับ” เอกลองเสี่ยง มันทำหน้าไม่มั่นใจเป็นอย่างมาก

    “เสียใจด้วยจ๊ะ พี่ปีสี่แล้ว”

    “หา!!” ผมอุทานอีกรอบ นี่พี่กินอะไรเป็นอาหารครับถึงได้สวยและสาวขนาดนี้

    “ฮ่ะๆๆ แกรนด์ตลกจัง เอางี้เดี๋ยวพวกเราพอจะว่างไหม ช่วยพี่หน่อยแล้วเดี๋ยวพี่พาไปเลี้ยงข้าว”

    “ยินดีเลยครับ!

    “ไอ้แกรนด์!” เอกเกือบจะตบหัวผม มันหันไปมองพี่ซีอย่างเกรงใจ ไรว้า ถึงจะเป็นรุ่นพี่ผมก็ไม่ถือหรอก ก็น่ารักออกขนาดนี้อ่ะ

    “อืม งั้นสองคนช่วยพี่ถือตะกร้าบีกเกอร์หน่อยนะ พอดีว่ายืมที่ห้องอุปกรณ์มาเพิ่มน่ะ”

                    ผมกับเอกเดินไปยกตะกร้าบีกเกอร์อย่างว่าง่าย ตะกร้าบีกเกอร์สองใบถูกวางอย่ข้างกันที่ชั้นวางอุปกรณ์ ผมยกตะกร้ามาถืออย่างระมัดระวัง แหงสิผมคงไม่อยากให้ตัวเองถูกเกลียดตอนนี้หรอกนะ ไม่หวั่นแม้เป็นรุ่นพี่ (เหมือนผมจะได้ยินสโลแกนอะไรใกล้ๆแบบนี้อีกอัน) อนาคตแม่ของลูกแบบนี้จะปล่อยไปได้ไง

                    “หนักไหมครับพี่ซี” เสียงไอ้เพื่อนเอกดังขึ้นขัดจังหวะการฝันหวานของผม หันไปมองก็เห็นพี่ซี(สุดที่รักของผม)กำลังถือกล้องจุลทรรศ์อยู่ โดยมีไอ้เพื่อนเอกยืนห่วงใยอยู่ข้างๆ

    “เดี๋ยว..”

    “เดี๋ยวผมถือให้นะคร้าบ” ผมรีบเสนอหน้าไปหาพี่ซีทันที “นะคร้าบ” ผมส่งสายตาหมาน้อยไปให้ หน้าตาไม่ดีจริงทำไม่ได้นะครับ และแน่นอนว่ามันต้องได้ผล เพราะตั้งแต่ผมทำมามันยังไม่เคยพลาดเลยนี่น่า ว่ะ ฮ่ะ ฮ่า

    “เอ่อ มันจะดีหรอ”

    “ดีสิครับ”

    “เอ่อ”

    “นะคร้าบ” เพิ่มพลังสายตาเข้าไอ้แกรนด์เอ้ย ฮึ่ยย่าห์

    “โอเคๆ เดี๋ยวแกรนด์ถืออันนี้ก็ได้” แล้วพี่ซีก็ทนสายตาของผมไม่ไหว ผมกับพี่ซีแลกของที่จะถือกัน พี่ซีสอนวิธีการจับที่ถูกต้องให้ผม ตอนที่สอนมือเราโดนกันด้วยนิดหน่อย แบบว่า กรี๊ดดดดดดด(?) เขินอ่ะ

    พวกเราเดินถืออุปกรณ์ลงมาจากบันไดชั้นสองของตึก ห้องเก็บอุปกรณ์ที่เราจะต้องไปคืนอยู่ตึกอีกฝั่ง กลายเป็นว่าผมกับเอกต้องเดินย้อนตึกที่พวกผมพึ่งเดินผ่านมา

    “พี่ซีเอาอุปกรณ์พวกนี้มาทำอะไรหรอครับ” ผมเริ่มเปิดฉากสนทนาหลังจากที่เราเงียบๆกันไป มันน่าอึดอัดออก

    “ก็วิทยานิพนธ์น่ะ” พี่ซีหันมาบอกยิ้มๆ

    “พี่ทำเรื่อง..” ไม่ทันที่จะถามจบ

    “เฮ้ย! แกรนด์ระวัง!!!!

    “ห่ะ?”

    ตุบ!

    โครม!!

    แอ๊ก!!!

    ไอ้เสียงอันสุดท้ายนั่นมันอะไรกัน!?

    โครมสนั่นดังลั่นเรียกความสนใจแก่ผู้อยู่บริเวณนั้นได้ไม่น้อยเลยทีเดียว ผมบอกแล้วใช่ไหมครับว่ามันเป็นช่วงเลิกคลาสของบางวิชา ทำให้ค่อนข้างมีผู้คนมากโขอยู่

    เพื่อความเห็นภาพผมจะลำดับย้อนเหตุการณ์ตั้งแต่แรกเลยแล้วกัน อ่ะ! เพื่อความตื่นเต้นเราควรจะย้อนตั้งแต่ท้ายก่อนสินะ อืม... ไอ้เสียงแอ๊กอ่ะช่างมันเถอะเนอะ (ใครมันจะอยากพูดถึงเสียงอุทานของตัวเองกันล่ะ)

    เสียงโครมที่ดังลั่นนั้นคือเสียงของผมเองครับ แต่ไม่ใช่เสียงร้องหรืออ่ะไรทั้งนั้น แต่เป็นตัวผมนี่แหละครับ ใช่ คุณได้ยินไม่ผิดหรอกตัวผมทั้งตัวนี่แหละที่ล้มลงไปดังโครมอ่ะ ถ้าเป็นตัวผมล้มลงไปเฉยๆลุกขึ้นมาปัดฝุ่นนิดหน่อยก็หล่อเหมือนเดินแล้ว แต่! สิ่งที่ดันมาด้วยกันกับผมก็คือกล้องจุลทรรศ์ที่ผมถืออยู่นั่นแหละ

    ผมเด้งตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว มือก็คว้าซากกล้องติดขึ้นมายืนตัวเย็นเฉียบเหมือนไปตากอากาศเล่นอยู่ขั้วโลกเหนือ แต่เหงื่อกลับซึมจนรู้สึกได้ มองลงไปที่พื้นยังเห็นเศษชิ้นส่วนบางชิ้นที่ผมไม่สามารถจะระบุได้ว่ามันออกมาจากส่วนไหนของกล้องนอนกองระเนระนาดเป็นปลาตายเกยตื้นที่บางแสนอยู่ประปราย ข้างตัวผมมีเจ้าตัวการยืนแกว่งหางกระสับกระส่ายอยู่

    อ่า.. คงพอจะรู้สาเหตุกันแล้วใช่ไหมครับ กล้องที่ลงไปนอนแอ้งแม้งอย่างนั้นน่ะไม่ใช่ความผิดผมซะทีเดียวซะหน่อย เพราะมีหมาจากไหนไม่รู้วิ่งมาชนผมต่างหาก ถ้าเป็นหมาบ้านไทยๆอย่างน้อยผมก็คงแค่เซเท่านั้น

    แต่นี้! อัลเซเชี่ยน!!

    อัลเซเชี่ยนตัวอุดมสมบูรณ์ไปด้วยไขมันและกล้ามเนื้อส่วนเกิน มันมาด้วยความเร็วสูง และชนผมเข้าอย่างจัง!!

    ยืนอยู่ได้ก็เหนือมนุษย์แล้วล่ะครับ!!

    “ลูกตาล!

    สาบานด้วยเกียรติของลูกเสือสำรองเลยว่าเสียงพี่ซีเรียกชื่อเจ้าหมานรกนั่นคือสิ่งสุดท้ายที่ผมอยากจะได้ยิน!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×