ในคืนที่แสนเงียบสงัด ศาสตราจารย์เก่าแก่ของฮอกวอร์ตผู้หนึ่งกำลังนั่งทำงานที่ได้รับมอบหมายพิเศษจากกระทรวงเวทมนต์ ลำพังงานในฮอกวอร์ตก็มากมายอยู่แล้ว แต่เธอก็ยังต้องมานั่งทำงานพิเศษไรสาระจากกระทรวงเวทมนต์บ้าบอนั่นอีก ช่างน่าระอาเสียจริง ศาสตราจารย์มักกอนนากัลบ่นกระปอดกระแปดอยู่ในใจ ครั้นพอบ่นได้ไม่ขาดคำประตูห้องของเธอก็ถูกเปิดออกด้วยมือนิรนาม ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น แต่เธอก็รู้สึกได้ว่ามีใครบางคนกำลังเดินเข้ามา เธอหรี่ตามองอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะค่อยๆเอื้อมมือไปหยิบไม้กายสิทธิ์ในลิ้นชักช้าๆ
แล้วทันใดนั้นเอง! ไม้กายสิทธิ์ก็ชี้ไปข้างหน้าพร้อมกับคำถามเรียบๆของเธอ “ใครกัน”
แล้วก็เกิดเรื่องอัศจรรย์เป็นครั้งที่สอง เด็กสามคนโผล่ออกมาจากผ้าคลุมเก่าๆที่แค่มองปราดเดียวก็คงเดาได้ว่าใช้เพื่ออะไร เด็กผู้ชายสองคนกับเด็กผู้หญิงอีกหนึ่งคน พวกเขายิ้มแห้งๆให้ศาสตราจารย์ประจำบ้านของตัว ไม่มีคำพูดแก้ตัว พวกเขามีแต่แววตาสั่นไหวกับรอยยิ้มแห้งๆเท่านั้น ศาสตราจารย์มักกอนนากัลลดไม้กายสิทธิ์ลงก่อนจะเก็บไว้ในลิ้นชักตามเดิม
“ฉันคิดว่า ฉันสั่งไปหลายครั้งแล้วนะว่าห้ามนักเรียนออกมาเดินเพ่นพ่านในยามวิกาล หรือพวกเธออยากจะโดนกักบริเวณอีกสักครั้งสองครั้งหรือยังไง” ศาสตราจารย์เอ่ยอย่างตำหนิ เด็กในบ้านของเธอช่างวุ่นวายและขยันหาเรื่องใส่ตัวเสียจริง
เด็กหญิงผู้กระทำความผิดเอ่ยอย่างอ้อนวอน “ศาสตราจารย์คะ จะกักบริเวณของพวกเราก็ได้ แต่ว่าขอพวกเราถามอะไรสักอย่างได้ไหมคะ มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างเร่งด่วนน่ะค่ะ”
“ไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะคิดคุณเกรนเจอร์ พวกเธอทำผิดกฎ...อย่างร้ายแรง คิดว่าเรื่องนี้ควรถึงหูของศาสตราจารย์ดัมเบิ้ลดอร์รึเปล่า” ผู้ถูกอ้อนวอนปฏิเสธคำอ้อนวอนโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย เด็กหญิงก้มหน้าลงอย่างจนใจ ไม่รู้จะทำอย่างไรให้ศาสตราจารย์ใจแข็งผู้นี้ยอมอ่อนโอน
“ได้โปรดเถอะครับศาสตราจารย์ มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน และเราไม่รู้จะถามใครแล้ว มีแค่ศาสตราจารย์เท่านั้นที่ช่วยพวกเราได้ ได้โปรดเถอะครับ” เด็กชายคนหนึ่งในกลุ่มอ้อนวอนอีกครั้ง
“เสียใจคุณพอตเตอร์ ถ้าเรื่องที่ฉันจะช่วยพวกคุณเพื่อให้พวกคุณไปหาเรื่องใส่ตัว หาเรื่องให้วุ่นวายกันเหมือนครั้งที่พวกเธอวิ่งแจ้นหาศิลาอาถรรพ์ล่ะก็ ไม่มีทาง ความปลอดภัยของพวกเธอสำคัญที่สุด ช่วยตระหนักไว้ด้วย” อาจารย์ประจำบ้านกริฟฟินดอร์ปฏิเสธอีกครั้งก่อนจะนั่งลงเพื่อทำงานต่อ คล้ายจะตัดบทการสนทนา แต่ดูเหมือนเด็กทั้งสามยังไม่ตัดใจ
“ศาสตราจารย์ครับ เอ่อ มันอาจจะดูเหมือนเราหาเรื่องใส่ตัว แต่มันก็ทำให้คนทั้งฮอกวอร์ต ไม่สิ ทั้งโลกของเรา ปลอดภัยไม่ใช่เหรอครับ” เด็กชายผมแดงอีกคนเอ่ยขึ้น
ศาสตราจารย์มักกอลนากัลชะงักค้าง เธอค่อยๆวางพู่กันขนนกลงแล้วมองหน้าคู่สนทนา “นี่คุณกำลังจะทวงบุญคุณเหรอคุณวิสลีย์”
“ผมเปล่าครับศาสตราจารย์ สาบานได้ แต่ผมแต่อยากให้ศาสตราจารย์ช่วยพวกเรา ไม่ใช่แค่พวกเรา บางทีเรื่องที่พวกเราจะขอให้ศาสตราจารย์ช่วย อาจช่วยฮอกวอร์ตเอาไว้เลยก็ได้ ได้โปรดเถอะครับศาสตราจารย์” คำอ้อนวอนถูกส่งมาเป็นครั้งที่สาม แต่ครั้งนี้ศาสตราจารย์มักกอลนากัลไม่ได้ปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใยเหมือนที่ผ่านมา เธอนั่งคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยช้าๆ
“แล้วพวกเธอ ต้องการให้ฉันช่วยอะไร”
เด็กทั้งสามอมยิ้มด้วยใบหน้าที่สดใสกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด เด็กหญิงในกลุ่มรีบบอกเล่าถึงสิ่งที่พวกเธอต้องการ “พวกเราต้องการให้ศาสตราจารย์เล่าเรื่องตำนานรักของฮอกวอร์ตให้ฟังหน่อยค่ะ”
“ตำนานรักฮอกวอร์ตเหรอ ทำไม” ศาสตร์จารย์มักกอลนากัลถามอย่างไม่เข้าใจ
เด็กหญิงพูดตอบ “คือพวกเรารู้สึกว่า ตำนานรักเรื่องนี้มันต้อง...”
“โรแมนติกมากๆเลยครับ คือพวกเราอยากได้เรื่องดีๆสักเรื่องไปประยุกต์ตั้งเป็นหัวข้อในการสอบปรุงยาแห่งความรักน่ะครับ คือศาสตราจารย์สเนปกำหนดหัวข้อ ยาที่ทำให้นึกถึงความรักในอดีต พวกผมเลยอยากหาข้อมูล แล้วบังเอิญได้ยินเรื่องนี้เข้า เลยอยากรู้รายละเอียดน่ะครับ”
ยังไม่ทันตั้งตัวเด็กชายใส่แว่นก็พูดขัดขึ้นมาเสียก่อน ทำเอาเด็กหญิงหันไปมองอย่างสงสัย แต่เมื่อเห็นว่าเด็กชายส่ายหัวเบาๆ เธอจึงเขาใจว่าเขาคงไม่อยากให้ศาสตราจารย์ตรงหน้ารู้เรื่องที่พวกเขากำลังจะเดินทางตามหาห้องแห่งความลับ เธอจึงเออออตามน้ำไปอย่างช่วยไม่ได้ “ชะ ใช่ค่ะ
ศาสตราจารย์มักกอลนากัลมองอย่างจับผิด
“แล้วเรื่องการสอบปรุงยาของพวกเธอจะช่วยฮอกวอร์ตได้ยังไงกันคุณวิสลีย์”
เด็กชายกลืนน้ำลายอึกใหญ่ เหงื่อแตกพลั่กอย่างไม่รู้จะแก้ตัวอย่างไรดี
“เอ่อ เขาคงหมายถึงช่วยทำให้ฮอกวอร์ตดีขึ้นจากยาที่เราปรุงน่ะค่ะ” เด็กหญิงพูด
“ชะ ใช่ครับใช่” เด็กชายผมแดงรีบเออออตาม
ศาสตราจารย์มักกอลนากัลมองหน้าเด็กๆในบ้านของเธออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเบาๆ “ตกลง แต่ฉันก็ไม่รู้อะไรมากหรอกนะ รู้แค่มันเป็นตำนานรักระหว่างสลิธีลิน เรเวนคลอ และกริฟฟินดอร์ เรื่องมีอยู่ว่า...”
.
.
.
.
.
บนหอดูดาวของฮอกวอร์ตมีร่างเล็กๆของคนๆหนึ่งกำลังนั่งดูดาวบนท้องฟ้าอย่างตั้งอกตั้งใจ บนหอดูดาวแห่งนี้สามารถมองเห็นดวงดาวได้ชัดเจนอย่างที่ไม่มีที่ใดในโรงเรียนจะเทียบเท่าได้ หญิงสาวทอดกายมองท้องฟ้าอย่างสุขใจ เธอชอบที่สูงๆและท้องฟ้า ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะสร้างหอพักนักเรียนของเธอบนหอคอยที่สามารถเห็นทุกสิ่งทุกอย่างด้านล่างได้ชัดเจน ในขณะที่กำลังเคลิบเคลิ้มกับดวงดาวบนท้องฟ้า ผ้าคลุมไหล่อุ่นๆก็ถูกคลุมลงไปตัวของเธอพร้อมกับคำพูดของผู้นำมันมา
“มาทำอยู่ตรงนี้ ไม่หนาวรึไง” เขากล่าวพร้อมกับย่อตัวลงนั่งข้างๆเธอ
หญิงสาวอมยิ้มก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ “ไม่หนาวหรอก ก็มีซัลลาซาร์อยู่ด้วยนี่เนอะ”
ชายหนุ่มคู่สนทนาหัวเราะเขินๆ “เพ้อจริงนะเราน่ะ”
“เปล่าเพ้อสักหน่อย ฉันขอแค่มีซัลลาซาร์นะ ไม่ว่าอะไรฉันก็ไม่กลัวทั้งนั้นแหละ” หญิงสาวว่าพลางล้มตัวลงนอนบนตักอุ่นๆของชายหนุ่ม
ท่าทางไว้วางใจและเชื่อมั่นในตัวเขาเช่นนี้ ทำให้ชายหนุ่มเผลอตกหลุมรักหญิงสาวตรงหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้สนใจมันเลยสักนิด หรือนี่คงเป็นนิสัยของเธอกระมัง ไว้ใจทุกคน แต่ในขณะเดียวกันก็ฉลาดปราดเปรื่อง หรือในบางครั้งก็เพี้ยนแสนเพี้ยน แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็รัก ซัลลาซาร์ สลิธีรินรักโรวีน่า เรเวนคลอเหลือเกิน
ตั้งแต่เริ่มต้นก่อตั้งฮอกวอร์ตมา โรวีน่าก็เป็นคนที่สนิทกับเขาที่สุด ถึงแม้ว่าความจริงแล้วเธอจะสนิทกับทุกคนก็ตาม เขาถือว่าเธอสนิทกับเขามากที่สุด แรกๆนั้น เขาเป็นคนไม่ค่อยพูด เย่อหยิ่งเหลือคณา แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น โรวีน่าก็ยังมาตามเขาไม่หยุด พาเขาไม่เที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ติดเขาเป็นตังเม ในช่วงแรกเขาทั้งรำคาญทั้งหงุดหงิด แต่เมื่อนานวันไปมันก็กลายเป็นความเคยชิน วันไหนที่โรวีน่าออกไปข้างนอกแล้วเขาไม่ได้เจอเธอ เขาก็จะรู้สึกกระสับกระส่ายอย่างประหลาด กว่าจะรู้ตัวหัวใจก็ถูกช่วงชิงไปเสียแล้ว
พวกเขานั่งดูดาวด้วยกันเช่นนี้เป็นประจำ เรียกว่าเป็นกิจกรรมอันโปรดปรานก็ว่าได้ แต่อย่างไรก็ตามจะเรียกว่ากิจกรรมอันโปรดปรานของทั้งคู่เห็นจะไม่ถูกนัก เพราะการดูดาวนั้นเป็นกิจกรรมที่โปรดปรานของโรวีน่า เรเวนคลอแต่เพียงผู้เดียว ส่วนซัลลาซาร์ สลิธีรินนั้น นิยมการออกสำรวจใต้ผืนน้ำมากกว่า นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหอพักในเรียนของเขาจึงอยู่ในคุกใต้ดินและมีบรรยากาศเหมือนอยู่ใต้น้ำ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ถ้าเธอชอบสิ่งไหนเขาก็จะชอบด้วย หรือถ้าชอบไม่ได้เขาก็จะไม่ทำลายมันให้เธอต้องเสียน้ำตา นั่นคือความคิดของซัลลาซาร์ สลิธีริน
หลังจากนั่งดูดาวเงียบๆกันมาครู่ใหญ่ โรวีน่าก็ตัดสินใจพูดบางอย่างออกมา
“นี่ซัลลาซาร์ ฉันว่า ฉันตกหลุมรักก็อดดริกเข้าซะแล้วล่ะ”
คำพูดนั้นทำเอาซัลลาซาร์ที่กำลังยิ้มอย่างเป็นสุขชะงักค้าง ในหัวของเขาหมุนคว้าง ความรู้สึกเสียใจ ผิดหวังและชอกช้ำโถมใส่เขาอย่างไม่ทันตั้งตัว มือของเขาสั่นระริก ตัวเขาในตอนนี้นั้น...
เจ็บปวดเหลือเกิน
“นายคิดว่าฉันควรทำอย่างไงดีล่ะ บอกเขาดีไหม” โรวีน่ายังคงพูดต่ออย่างเป็นสุข ดวงตาของเธอจับจ้องอยู่แค่ท้องฟ้า เธอจึงไม่เห็นความโศกเศร้าในดวงตาของซัลลาซาร์เลยสักนิด
ชายหนุ่มข่มอารมณ์อยู่นานพอควร ก่อนจะฝืนเอ่ยออกไปช้าๆ
“ลองดูก็ดีนะ วันนี้ฉันปวดหัวน่ะ ขอตัวก่อนนะ”
ยังไม่ทันได้ถามไถ่ ซัลลาซาร์ก็ยกตัวของเธอให้อยู่ในท่านั่งก่อนจะรีบเดินจากไป ทิ้งให้หญิงสาวนั่งสงสัยและกอดผ้าคลุมไหล่อยู่เพียงลำพัง
ซัลลาซาร์เดินกลับห้องพักอย่างหมดเรี่ยวแรง เขาล็อคประตูห้องอย่างแน่นหนาก่อนจะร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างน่าสมเพช เขามีมุมอ่อนแอไม่ต่างจากคนอื่นนัก ยิ่งมีความรัก หัวใจยิ่งอ่อนแอ แต่เขาก็ไม่เลือกที่จะทำร้ายคนที่เขารักเด็ดขาด ซึ่งนี่คงเป็นนิสัยเพียงอย่างเดียวของซัลลาซาร์ที่ขัดกับนิสัยอื่นๆของเขาอย่างสิ้นเชิง ทั้งที่นิสัยพื้นฐานของเขาเป็นคนที่ฉลาดแกมโกง ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ แต่สำหรับความรักนั้น เขาเลือกที่จะปล่อยและเห็นคนที่เขารักมีความสุข
บางทีคนเราก็ไม่ได้มีแค่ด้านมืดเสมอไป
หลังจากนั้นเป็นต้นมา ซัลลาซาร์ก็กลายเป็นที่ปรึกษาจำเป็นด้านความรักของโรวีน่าอย่างช่วยไม่ได้ ถึงเขาจะหงุดหงิดทุกครั้งที่โรวีน่าพูดชื่นชมก็อดดริก แต่เขาก็ไม่อาจทำให้เธอเสียใจได้ เพราะถ้าเธอเสียใจ หัวใจของเขาก็คงสลายไม่ต่างกัน แต่ทุกครั้งที่โรวีน่าพยายามแสดงให้ก็อดดริกเห็นว่าเธอรักเขามากแค่ไหน ฝ่ายนั้นก็จะทำเมินไปเสียทุกครั้ง ทำให้หญิงสาวต้องเสียน้ำตาอยู่บ่อยๆ ซัลลาซาร์แทบระงับความหงุดหงิดใจไม่อยู่ที่เจ้าคนอวดดีนั่น บังอาจมาทำให้สุดรักของเขาเสียน้ำตา แต่เขาก็รู้ดีว่าถ้าก็อดดริกเป็นอะไรไปโรวีน่าคงร้องไห้มากกว่านี้แน่นอน และนั่นคือสิ่งที่เขาไม่ยอมให้เกิดขึ้นเด็ดขาด
จากวันเป็นเดือนจากเดือนเป็นปีที่โรวีน่าถูกปฏิเสธความรักจากก็อดดริกครั้งแล้วครั้งเล่า และทุกๆครั้งเธอก็จะมีซัลลาซาร์อยู่ข้างๆเสมอ คล้ายกับว่าคำปลอบโยนของซัลลาซาร์ทำให้ใจของเธอสงบและยิ่งนานวันเข้าเธอก็ยิ่งต้องการคำปลอบโยนเหล่านั้น กว่าจะรู้ตัวว่าพักหลังที่เธอร้องไห้ไม่ใช่เพราะผิดหวังจากก็อดดริก แต่เป็นเพราะอยากฟังคำปลอบโยนของซัลลาซาร์ก็สายเกินไปเสียแล้ว
ในคืนนั้นซัลลาซาร์ทะเลาะกับพวกตนอย่างรุนแรงเกี่ยวกับเรื่องการรับนักเรียนในฮอกวอร์ต เขาต้องการให้มีแต่เลือดบริสุทธิ์เท่านั้น และการทะเลาะในครั้งนั้นทำให้ซัลลาซาร์สร้างห้องแห่งความลับเอาไว้และหนีไปจากฮอกวอร์ต
โรวีน่าร้องไห้แทบขาดใจ ยังไม่ทันที่เธอจะได้เอ่ยปากบอกรักซัลลาซาร์ไปสักครั้ง เขากับเธอก็ต้องลาจากกันเสียแล้ว โรวีน่ายังคงเฝ้ารอการกลับมาของซัลลาซาร์อยู่ทุกวันอย่างมีความหวัง แต่ยิ่งนานวันเข้าความหวังก็ยิ่งริบหรี่ลงจนหายไปในที่สุด
ในช่วงเวลานั้นเองที่ก็อดดริกได้เข้ามาปลอบใจเธอ เขาค่อยๆรู้จักเธอมากขึ้น จนในที่สุดก็อดดริกก็ตกหลุมรักเธอ แต่เขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องอีกแล้ว เพราะในเวลาที่เธอมอบหัวใจให้เขา เขากลับขว้างมันทิ้งไป แล้วเมื่อถึงเวลานี้ เวลาที่เธอมอบหัวใจให้อีกคนไปแล้ว เขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องอะไรอีกแล้ว เขาขอแค่ได้อยู่ข้างๆและปลอบใจเธอแค่นั้นก็พอ ขอแค่คนที่เขารักไม่โศกเศร้าไปมากกว่านี้ก็พอ
ซัลลาซาร์หายไปตลอดกาลจริงๆหรือ?
ไม่มีทางหรอก ในเมื่อหัวใจเขาอยู่ที่นี่อย่างไรสียเขาก็ต้องกลับมา
ซัลลาซาร์กลับมาที่ฮอกวอร์ตทุกคืนเดือนมืดเพื่อมาดูหน้าสุดรักของตน และในคืนเดือนมืดคืนหนึ่งเขาก็ได้เห็นโรวีน่าร่ายคาถาประจำตระกูลขั้นสูงกับตนเอง ถ้าเขาจำไม่ผิด โรวีน่าเคยบอกเขาไว้ว่าตระกูลของเธอมีคาถาอยู่คาถาหนึ่ง มันเป็นคาถาที่ใช้เพื่อรักษาไว้ซึ่งวงศ์ตระกูล โดยผลของคาถานั้นก็คือจะทำให้เรเวนคลอผู้เสกคาถาสามารถให้กำเนิดบุตรได้เอง จากส่วนต่างๆของร่างกาย แต่มีข้อแม้ว่าหญิงสาวผู้นั้นจะต้องเป็นพรหมจรรย์และจะกำเนิดได้เพียงแค่ลูกสาวเท่านั้น เธอทำเช่นนั้นเพื่อรักษาไว้ซึ่งสายเลือดแห่งเรเวนคลอ เนื่องจากตอนนี้เธอไม่สามารถรักหรือแต่งงานกับใครนอกจากซัลลาซาร์ได้อีกแล้ว โดยหวังว่าสักวันลูกหลานของเธอจะได้พบกับรักและได้มีโอกาสได้อยู่กับคนรัก ได้รับในสิ่งที่เธอไม่มีวันจะได้อีกต่อไป โรวีน่าพูดบอกรักเขาออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าราวกับต้องการให้สายลมพัดพาความรู้สึกไปให้เขารับรู้
ซัลลาซาร์มองดูโรวีน่าที่ร่ายคาถาทั้งน้ำตา เขารู้สึกผิดที่ทำให้เธอร้องไห้ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ดีใจเหลือเกินที่เธอรักเขา เขากลับไปยังแหล่งกบดานของตนก่อนจะร่ายคาถาแห่งพันธะสัญญาบางอย่างใส่ไว้ในเลือดเนื้อของตนเอง โดยคาถามีใจความว่า
‘ข้าผู้มีสกุลสลิธีริน ตัวข้าและลูกหลานของข้าทุกคน จงภักดีต่อผู้สืบเชื้อสายแห่งเรเวนคลอ จงรักและเทิดทูน จงปกป้องและรักษา หากลูกหลานแห่งเรเวนคลอจะตายเจ้าจงตายแทน จงปกป้องเขาและรักเขามากกว่าชีวิตของเจ้าเอง หากละเมิดซึ่งพัธสัญญาจงวายชีวาป็นเถ้าธุลี’
พันธะสัญญายังคงมีผลมาตลอด แม้กระทั่งลูกหลานในปัจจุบันอย่าง 'ทอม ริดเดิ้ล' ก็ไม่มีข้อยกเว้น ไม่มีใครรู้ว่าทายาทแห่งเรเวนคลอคนปัจจุบันคือใคร ทุกคนรู้แค่เพียงว่าความรักของสลิธีรินกับเรเวนคลอนั้นช่างมั่นคง ในขณะเดียวกันความรักที่กริฟฟินดอร์มีให้เรเวนคลอก็มากมายและบริสุทธิ์ ต่างฝ่ายต่างเจ็บปวด แต่พวกเขาก็ยังยอม เพราะอย่างน้อยพวกเขาก็ได้มีคนที่พวกเขารักจากก้นบึ้งของหัวใจ รักกว่าชีวิตของตน
รัก...เหลือเกิน
.
.
.
.
.
.
“เอาล่ะ เรื่องราวในตำนานที่ฉันได้ฟังมาก็มีแค่นี้ หวังว่าพวกเธอคงจะได้เวลากลับหอพักไปนอนพักผ่อนกันได้แล้วนะ” ศาสตราจารย์มักกอลนากัลเอ่ยเรียบๆ เด็กๆทั้งสามพยักหน้าเบาๆ
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะศาสตราจารย์ / ราตรีสวัสดิ์ครับศาสตราจารย์” เด็กทั้งสามพูดอย่างพร้อมเพรียงก่อนจะใช้ผ้าคลุมล่องหนแล้วเดินจากไป
ศาสตราจารย์มักกอลนากัลส่ายหัวเบาๆอย่างระอากับความกล้าผิดประเภทของเด็กสามคนนี้ เธอหยิบคำทำนายของศาสตราจารย์ซีบิลล์ ทรีลอว์นีย์ ขึ้นมาดู เมื่อสองสามวันก่อนศาสตร์จารย์ซีบิลล์ได้ยกมันให้กับเธอ หล่อนบอกว่ามันคือคำทำนายในอนาคตที่หล่อนมั่นใจที่สุด ในตอนนั้นเธอก็ไม่ได้ใส่ใจนักเพราะคิดว่าศาสตราจารย์ซีบิลล์คงจะพร่ำเพ้อเช่นเคย แต่เรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนี้ก็ตรงกับคำทำนายของหล่อนทุกอย่าง ทำเอาศาสตราจารย์มักกอลนากัลหนักใจ
ถ้าคำทำนายเป็นจริง บางทีประวัติศาสตร์อาจกำลังจะซ้ำรอย เธออ่านคำทำนายซ้ำอีกครั้งอย่างตั้งใจ
ถึงศาสตราจารย์มักกอลนากัลที่รัก
ประวัติศาสตร์กำลังจะซ้ำรอยอีกครั้ง ทายาทแห่งเรเวนคลอได้กลับมายังฮอกวอร์ตแล้ว เธอคนนั้นเป็นเด็กที่หน้าตาสะสวยเหลือคณา สติปัญญาแสนปราดเปรื่อง กล้าหาญและซื่อสัตย์ ยากต่อการคัดสรรบ้านเป็นที่สุด แต่ด้วยสายเลือดอันเข้มข้นของเรเวนคลอในตัวเธอทำให้เธอได้อยู่บ้านเรเวนคลอ ถูกต้องแล้ว ตั้งแต่ที่โรวีน่า เรเวนคลอร่ายเวทมนต์ใส่ตัวเอง ลูกหลานของเธอก็ได้ให้กำเนิดทายาทด้วยวิธีเดียวกันกับเธอมาตลอด ไม่มีเรเวนคลอใดสมหวังในรักสักคน แต่เด็กคนนี้อาจจะเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์แห่งตระกูลเรเวนคลอ ตำนานรักที่แสนโศกเศร้าของฮอกวอร์ตจะถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้ง สลิธีรินจะหลงรักเรเวนคลอ เรเวนคลอจะหลงรักกริฟฟินดอร์ และหลังจากนั้นเรเวนคลอกับสลิธีรินจะรักกัน กริฟฟินดอร์จะหลงรักเรเวนคลอ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะได้อยู่ด้วยกันหรือเปล่า ไม่มีใครรู้ว่าประวัติศาสตร์แสนเศร้าจะซ้ำรอยเดิมไหม แต่จงจำไว้ศาสตราจารย์มักกอลนากัล เด็กทั้งสามคือตัวแปรสำคัญในการสู้กับ ‘คนที่คุณก็รู้ว่าใคร’ เพราะอย่างที่รู้กัน ทายาทแห่งสลิธีรินไม่สามารถทำร้ายทายาทแห่งเรเวนคลอได้ พวกเขาคือตัวแปรแต่ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาคือใคร สิ่งที่พอจะบอกใบ้ถึงตัวตนของพวกเขาได้ก็คือ
สลิธีรินคือเลือดบริสุทธิ์
เรเวนคลอคือผู้มีชื่อดั่งราชินี
กริฟฟินดอร์คือผู้ยับยั้ง ‘คนที่คุณก็รู้ว่าใคร’
หวังให้เธอหาพวกเขาได้เจอในเร็ววัน และในคืนพระจันทร์เต็มดวงที่จะถึงนี้พวกเขาจะมาหาเธอ ถามเรื่องตำนานรักแห่งฮอกวอร์ต จงตอบพวกเขา เล่าให้พวกเขาฟังให้หมด แล้วอนาคตต่อจากนี้พวกเขาจะกำหนดมันเอง
ซีบิลล์ ทรีลอว์นีย์
ศาสตราจารย์วิชาพยากรณ์ศาสตร์
ศาสตราจารย์มักกอลนากัลเก็บคำทำนายลงในลิ้นชัก เธอไม่มีแก่ใจจะทำงานอีกต่อไปแล้ว เมื่อครู่นี้ระหว่างโรนัลด์ วิสลีย์ กับ แฮร์รี่ พอตเตอร์ เธอก็พอจะเดาออกแล้วว่ากริฟฟินดอร์คือใคร แต่เรเวนคลอกับสลิธีรีนนี่...
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูในยามวิกาลทำให้ศาสตราจารย์มักกอลนากัลเกิดความสงสัยจนถามประโยคนั้นออกไปอีกครั้ง “ใครกัน”
ประตูถูกเปิดออกโดยเด็กหญิงที่แสนสะสวย หน้าตาของเธอเป็นคนเอเชียแต่ผิวดันขาวอมชมพูเฉกเช่นคนผิวขาวทั่วไป ข้างๆเธอคือเด็กชายเลือดบริสุทธิ์ที่แสนจะเย่อหยิ่ง เด็กหญิงยิ้มบางๆก่อนจะตอบ
“สวัสดีค่ะ หนูชื่อวิคเตอเรีย เอสเตอร์ บ้านเรเวนคลอค่ะ ส่วนนี่ เดรโก มัลฟอย บ้านสลิธีรินค่ะ พอดีมีเรื่องอยากจะถามศาสตราจารย์นิดหน่อยน่ะค่ะ”
แล้วตำนานบทใหม่ก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง
แวะมาอ่านว่างๆ ไม่มีอะไรทำ
แต่สำนวนการเขียนของพี่แมงปอนี่ไม่ธรรมดาเลยนะ ได้อารมณ์มากๆ ขนลุกอ่ะ
ขนาดน้องไม่เคยอ่านแฮรี่มาก่อน ยังได้กลิ่นแฟนตาซีคลุ้งมาเลย
แต่งได้ดีมากค่ะ ^_^
ไว้จะมาเม้น หลังอ่าน
เขียนได้ดีจังเลยครับ มันทำให้ให้ผมมองตัวเอง