แสงแดดในยามเช้าลอดผ่านผ้าม่านสีอ่อนเข้ามาภายในห้อง ปลุกให้วันที่แสนจะน่าเบื่อของเด็กตัวน้อยนามว่า เท็นเท็น วนกลับมาอีกครั้ง
เธอลุกขึ้นจากเตียงนอนแสนสบายก่อนจะบิดขี้เกียจสองสามครั้งพอเป็นพิธี ผมสีน้ำตาลซึ่งปกติแล้วจะม้วนเป็นมวยเอาไว้แต่ในเวลานอนนั้นจะปล่อยให้เป็นไปตามแต่มันจะเป็นดูยุ่งเหยิงจนน่าขัน เด็กน้อยหาวหวอดก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อผ้า
“เท็นเท็นตื่นได้แล้ว นี่จะไม่ไปโรงเรียนแล้วใช่ไหม” เสียงของหญิงวัยกลางคนดังมาจากชั้นหนึ่งของบ้าน ทำเอาเด็กหญิงทำหน้าเบ้ก่อนจะขานรับไปส่งๆ
“ค่ะๆ ตื่นแล้วค่ะแม่”
หลังภารกิจยามเช้าในบ้านอันแสนจะวุ่นวายจบลง เด็กน้อยก็ไม่รอช้าที่จะไปโรงเรียนนินจาให้ทันก่อนที่จะสาย
ใครๆก็รู้กฎของโรงเรียนนินจาน่ะโหดจะตายไป
แต่แล้วทันใดนั้นเอง กลุ่มคนจำนวนหนึ่งก็เข้ามาตัดหน้าเธอทำเอาเด็กน้อยที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงเกือบได้ลงไปจูบพื้นเป็นของขวัญยามเช้า
“นี่พวกลุงน่ะ หัดมองก่อนเดินออกมาจะได้ไหมฮะ!!” เด็กหญิงตัวน้อยที่ดูไม่เหมือนเด็กผู้หญิงสักเท่าไหร่เอ่ยขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยว
อันปกติแล้วเท็นเท็นนั้นก็ไม่ใช่เด็กผู้หญิงที่เรียบร้อยเท่าไหร่นัก เธอมักจะทำตัวห้าวหาญและกล้าที่จะต่อยตีกับเด็กผู้ชายได้อย่างไม่หวั่นเกรงเลยสักนิด นั่นทำให้เธอดูไม่เหมือนผู้หญิงเอาเสียเลยจริงๆ
ในสถานการณ์นี้ก็เช่นกัน ถ้าเธอคิดว่าสิ่งที่เธอทำมันถูก เธอก็ไม่เคยลังเลที่จะทำมันสักครั้งเดียว แม้จะเป็นการทะเลาะกับผู้ใหญ่ก็ตาม
“โทษทีนะยายหมวย แต่ตอนนี้ฉันต้องพาท่านฮินาตะกับท่านเนจิไปส่งที่โรงเรียนก่อน ถ้าพวกท่านสายจะแย่เอาได้” ชายชราท่าทางน่ากลัวคนหนึ่งหันมาอธิบายกับเธออย่างใจเย็นก่อนจะพาขบวนนั้นเดินจากไป
เท็นเท็นรู้สึกเดือดปุดๆกับท่าทีจองหองของคนพวกนั้น แต่สุดท้ายเธอก็ข่มอารมณ์เอาไว้แล้วบึ่งไปโรงเรียนให้ทันก่อนที่จะสาย ส่วนเรื่องนี้ค่อยคิดบัญชีกับคนที่ชื่อฮินาตะกับเนจิทีหลัง
.
.
.
และแล้วทุกอย่างก็ผิดคาดเมื่อเจ้าเด็กที่ชื่อว่าฮินาตะนั่นดันเป็นรุ่นน้องเธอเลยอดไปโดยปริยาย ส่วนเจ้าเด็กที่ชื่อว่าเนจินั่นก็ดันเป็นอัจฉริยะของชั้นปี ไม่ว่าจะมองมุมไหนก็ไม่ไหว เรื่องใช้กำลังหรือประลองวิชานินจานี่คงเลิกคิดไปได้เลย
แล้วจะทำอะไรได้อีกล่ะเนี่ย
เท็นเท็นคิดอย่างอารมณ์เสียในขณะที่เรียนวิชาการควบคุมจักระ เธอเหลือบมองไปทางเด็กที่ชื่อเนจินั่นพลางคิดในใจ
‘คนที่ชื่อเนจินั่นยิ่งเห็นยิ่งชวนอารมณ์เสีย ดวงตาที่มีขีดจำกัดสายเลือดของตระกูลฮิวงะของหมอนั่นดูสงบนิ่งจนน่าเหลือเชื่อ ตั้งใจเรียนเกินไปมั้งพอคุณ’
ในที่สุดเธอก็เลิกคิดเรื่องแก้แค้นไปโดยปริยาย เรื่องในวันนี้เธอถือว่ายกให้ครั้งหนึ่งแล้วกัน มีเรื่องกับพวกลูกคุณหนูตระกูลใหญ่ๆนั้นรังแต่จะหาเรื่องเดือดร้อนให้ตัวเองเสียเปล่าๆ
หลังจากออดดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าการเรียนในวันนี้ได้จบลงแล้ว เท็นเท็นก็ไม่รอช้าที่จะรีบเก็บของเพื่อจะได้ออกไปจากโรงเรียน
ก็ที่โรงเรียนมันมีตัวน่ารำคาญอยู่ตั้งหนึ่งคนนี่นา
“เท็นเท็น เธอรีบไปไหนน่ะ เก็บของอย่างกะรังเกียจอะไรงั้นแหละ” เสียงของเด็กหญิงตัวน้อยซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นของเธอถามไถ่ขึ้นอย่างตรงประเด็นพอดิบพอดี
“ใช่ รังเกียจ รังเกียจพวกผู้ดี” เท็นเท็นพูดอย่างจงใจให้เสียงดังกว่าปกติ
แทบไม่ต้องคิดให้มากความ สำหรับคนที่เป็นตระกูลใหญ่ของโคโนฮะแล้วนั่งอยู่ในห้องนี้ก็มีเขาเพียงคนเดียวเท่านั้น เด็กชายอัจฉริยะนามฮิวงะ เนจิหันมาจ้องเท็นเท็นอย่างโกรธเคือง โดยที่ตัวการนั้นยังทำหน้าทะเล้นใส่อย่างสะใจ
“พวกผู้ดี ใครกันล่ะเท็นเท็น” เพื่อนของเธอยังคงถามต่อไปอย่างไร้เดียงสา แต่คนถูกถามกลับยิ้มตอบอย่างมีเล่ห์นัยก่อนจะเดินจากไป ทำเอาเพื่อนของเธอยืนงงอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะกลับไปเก็บของกลับบ้านเช่นกัน
เว้นไว้คนหนึ่งที่ยังคงมองตาม...
ฮิวงะ เนจิยังคงจ้องมองเส้นทางที่เด็กหญิงตัวน้อยเดินจากไปอย่างโกรธขึง
‘พวกไม่รู้อะไรแล้วปากอยู่ไม่สุข’ เด็กชายคิดในใจ
.
.
.
หลังจากปลีกตัวออกมาจากโรงเรียนได้แล้ว ว่าที่นินจาตัวน้อยอย่างเท็นเท็นก็เริ่มเที่ยวเตร่ไปตามประสา เธอไม่ใช่เด็กเรียบร้อยหรืออยู่ในกฎเกณฑ์อะไรอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเรื่องที่ว่าเลิกเรียนแล้วกลับไปปัดกวาดเช็ดถูบ้านก็ไม่ใช่วิสัยของเธออย่างแน่นอน
เด็กน้อยเดินเตร็ดเตร่ไปเรื่อยๆจนถึงร้านขายดังโงะที่ส่งกลิ่นหอมฟุ้ง และนั่นเองที่ทำให้เธอตบะแตก ทั้งๆทีเดือนนี้ตั้งใจจะประหยัดแล้วแท้ๆ แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้วขอสักหน่อยคงไม่เป็นไร เท็นเท็นวิ่งตรงไปยังร้านดังโงะอย่างรวดเร็ว แต่ยังไม่ทันที่เธอจะได้เอ่ยปากสั่งดังโงะตามใจนึก เสียงของใครบางคนก็สั่งดังโงะแซงหน้าเธอไปเสียก่อน
เวลาต้องการซื้ออะไรสักอย่างแล้วมีคนต่อแถวเยอะนั้นเธอไม่เคยจะบ่นหรืออะไรเลยสักครั้ง แต่การสั่งแซงหน้าทั้งๆที่เธอมาถึงก่อนเห็นๆนี่เป็นการให้อภัยไม่ได้เลยจริงๆ
เด็กน้อยหันขวับไปทางต้นเสียงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะผงะถอยหลังอย่างตกใจ ทั้งๆที่ตอนแรกก็ตั้งใจจะด่าแท้ๆ แต่พอคนตรงหน้าเป็นเพื่อนร่วมชั้นปีที่แสนจะอัจฉริยะแถมยังเพิ่งจะมีเรื่องด้วยไปหยกๆอย่างเนจิก็ทำเอาคำด่าไหลลงกระเพาะไปอย่างช่วยไม่ได้
“ทำไม” น้ำสียงเย็นชาเกินวัยถูกส่งออกมาจากปากของเด็กชายทำเอาเด็กหญิงหน้าเหวอเล็กน้อยก่อนจะขมวดคิ้วเป็นปมตามวิสัยปกติของเธอ
“ก็นายแซงคิวฉันนี่นา” เท็นเท็นตอบอย่างโกรธเกรี้ยว
“เอาอะไรมายืนยัน เธอแปะป้ายเอาไว้รึไง” เด็กชายตอบกลับอย่างยียวนก่อนจะจ่ายเงินพร้อมกับรับดังโงะมาจากมือของคนขาย แล้วหันหน้ามามองเท็นเท็นอีกครั้ง
“ถ้าเธอมีเวลามาทะเลาะกับฉัน เอาเวลาไปสั่งดังโงะจะดีกว่าไหม” เนจิพูดอย่างเย้ยหยันก่อนจะเดินจากไป
การกระทำพวกนั้นทำเอาเท็นเท็นโกรธจนตัวสั่น เด็กน้อยหมดอารมณ์ที่จะกินดังโงะ เธอสบัดหน้าแล้วเดินไปตามทางเดินที่ทอดออกไปในป่าข้างๆหมู่บ้าน ตอนนี้เธอต้องหาทางระบายความโกรธนี่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นเธอคงจะคลั่งแล้วต่อยคนขึ้นมาจริงๆก็ได้
ในป่านอกหมู่บ้านที่เงียบสงบช่วยให้ใจของเด็กน้อยสงบลงได้มากทีเดียว เธอทิ้งตัวนอนลงบนหญ้านุ่มๆพลางทอดสายตามองผืนฟ้าสีครามตรงหน้า
ก้อนเมฆประปรายช่วยแต่งเติมท้องฟ้าให้ดูสวยงาม ท้องฟ้าที่มีแต่สีฟ้านั้นไม่มีทางสวยเท่าท้องฟ้าที่มีก้อนเมฆแน่ๆ เมื่อมองท้องฟ้าแล้วความคิดของเธอก็ได้หมุนย้อนกลับไปในตอนที่เธอยังเด็กมากนัก เปลือกตาค่อยๆปิดลงอย่างช้าๆพร้อมๆกับเสียงแห่งอดีตที่ดังก้องอยู่ในหัว
วันนั้นเป็นวันที่ร้านขนมดังโงะเจ้าอร่อยในเมืองเปิดเป็นวันแรก วันนั้นเป็นวันที่มีนักเล่านิทานต่างถิ่นเดินทางเข้ามาหารายได้ด้วยการเล่านิทาน เด็กๆในหมู่บ้านชอบนิทานของหญิงสาวนักเล่านิทานคนนั้น ตัวเธอเองก็ชอบ ชอบจนเดินออกจากการแสดงเป็นคนสุดท้าย นั่นทำให้เธอได้คุยกับหญิงสาวนักเล่านิทานคนนั้น หญิงสาวนักเล่านิทานผู้แสนจะอ่อนโยนได้สอนบางอย่างให้เธอรับรู้ เรื่องของท้องฟ้ากับการใช้ชีวิต
‘เรื่องบางเรื่องถ้าทำคนเดียวมันก็จะจืดชืดจนน่าเบื่อเหมือนกับท้องฟ้าที่ไม่มีเมฆ เพราะฉะนั้นในบางครั้งเราก็ต้องหาอะไรบางอย่างมาเติมให้ชีวิตมันไม่น่าเบื่อมากนัก เหมือนกับท้องฟ้าที่มีเมฆ ถ้าให้เลือกอย่างไรซะอย่างหลังก็ดีกว่าจริงไหมเด็กน้อย’
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหญิงสาวคนนั้นเป็นนักเล่านิทานที่เยี่ยมยอด แต่น่าเสียดายที่ทุกๆอย่างจบลงเพียงแค่นั้น วันต่อมาหญิงสาวคนนั้นถูกลอบฆ่าทำให้ทุกๆคนรู้ว่าเธอคือนินจามากฝีมือที่หนีมาจากแคว้นอื่น
โลกของนินจาเป็นโลกที่น่ากลัวเสียจริง เป็นโลกที่ไม่ปราณีแม้กระทั่งหญิงสาวนักเล่านิทาน...
“เธอมาทำอะไรที่นี่” น้ำเสียงเย็นชาซึ่งเท็นเท็นเองแน่ใจว่าเธอเคยฟังเมื่อไม่นานมานี้ดังขึ้น ทำให้เด็กน้อยรีบลุกขึ้นป้องกันตัวเองแทบไม่ทัน
“ตั้งการ์ดตอนนี้สายไปไหม ถ้าฉันจะฆ่าเธอเมื่อกี้ก็เรียบร้อยแล้ว” เนจิพูดเรียบๆติดจะเย็นชาก่อนจะคว้าคุไนมาถือไว้ในมือ
“นายเอาคุไนมาทำไม อย่าบอกนะว่ามาแก้แค้นฉันน่ะ!!” เท็นเท็นถามอย่างหวาดระแวงก่อนจะก้าวถอยหลังอย่างไม่รู้ตัว
“มาฝึกน่ะสิ ส่วนเรื่องของเธอฉันไม่เอามาคิดในรกสมองหรอกน้าไม่ต้องกังวลไป” เด็กชายพูดพลางกระชับคุไนในมือเพื่อเริ่มการฝึก
“ขยันจังนะ อีกอย่างเมื่อกี้ฉันรู้สึกเหมือนโดนด่าเลยนะ แต่เอาเถอะ นายจะฝึกก็ฝึกไป ฉันไม่กวนแล้ว” เท็นเท็นพูดพลางสะบัดหน้าเตรียมจะเดินจากไป แต่ทันใดนั้นเสียงในความทรงจำก็ดังก้องขึ้นมา
‘เรื่องบางเรื่องถ้าทำคนเดียวมันก็จะจืดชืดจนน่าเบื่อเหมือนกับท้องฟ้าที่ไม่มีเมฆ’
เท็นเท็นนิ่งเงียบอยู่ชั่วอึดใจเพื่อไตร่ตรอง เธอควรจะช่วยฝึกให้เจ้าเด็กผู้ดีนั่นไหมนะ
‘เพราะฉะนั้นในบางครั้งเราก็ต้องหาอะไรบางอย่างมาเติมให้ชีวิตมันไม่น่าเบื่อมากนัก เหมือนกับท้องฟ้าที่มีเมฆ ถ้าให้เลือกอย่างไรซะอย่างหลังก็ดีกว่าจริงไหมเด็กน้อย’
เอาล่ะเป็นไงเป็นกัน!!!
เท็นเท็นหันหน้ากลับไปหาเนจิอีกครั้งก่อนจะประกาศดังลั่น
“นี่ตาลูกคุณหนู นายน่ะฝึกคนเดียวมันก็ไม่ได้ดีไปกว่าทุกวันมากนักหรอก เอาเป็นว่าวันนี้ถือเป็นการอนุเคราะห์ ฉันจะช่วยนายฝึกเองเป็นไง ถ้าเป็นแบบนั้นฝีมือจะต้องพัฒนาเร็วกว่าอยู่แล้วจริงไหมล่ะ” เด็กน้อยพูดพลางยิ้มร่า
เนจิมองกิริยาของคนตรงหน้าอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ไม่ไหวหรอก อย่างเธอน่ะ โชคชะตามันกำหนดมาให้เธอเก่งไม่เท่าฉัน ยังไงก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากฝึกคนเดียวหรอก” เด็กชายพูดเนื่อยๆ
คำพูดนั้นทำเอาเด็กหญิงปรอทแตก เธอเดินดุ่มเข้าหาเด็กชายก่อนจะคว้าคอเสื้อขึ้นมาอย่างโกรธจัด
“คนอย่างนายนี่มันน่าต่อยนัก!! โชคชะตาเรอะ หุบปากไปเลยนะ โชคชะตาจะมีผลกับใครก็ช่างแต่ไม่ใช่ฉันแน่ๆ ไม่สิบางทีมันอาจจะมีผลกับฉันก็ได้ แต่ฉันไม่สนซะอย่างใครจะทำไม ฉันเชื่อในโชคชะตาแล้วฉันก็เชื่อว่าโชคชะตาจะต้องแพ้ฉันสักวันหนึ่ง!!” เด็กน้อยตะโกนอย่างโกรธเกรี้ยวทำเอาคนฟังถึงกับอ้าปากค้างอย่างลืมตัว
เมื่อสติกลับคืนมาเนจิก็รีบกลบเกลื่อนท่าทางตกใจเมื่อครู่ก่อนจะกระแอมเบาๆ
“ก็ได้ๆ ถ้าอยากจะฝึกกับฉันขนาดนั้นล่ะก็ มาเริ่มกันเลยก็ได้ แต่ฉันไม่รับปากนะว่าเธอจะไม่บาดเจ็บ” เด็กชายพูดก่อนจะดึงมือเท็นเท็นออกจากคอเสื้อตัวอง
“ได้เลย! ฉันก็ไม่รับปากเหมือนกันว่านายจะไม่บาดเจ็บ มาเริ่มกันเลย อีตาผู้ดี” เท็นเท็นรับปากอย่างร่าเริง
และแล้วก็ฝึกนินจาก็เริ่มต้นขึ้นและจบลงด้วยเสียงหอบหายใจและเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนาน
นั่นคือความทรงจำในวัยเด็กที่แสนจะเลือนราง แต่ในเวลานี้กลับแจ่มชัดอย่างไม่น่าเชื่อ
.
.
.
ตอนนี้เสียงของการต่อสู้เบื้องหน้าระหว่างอาจารย์ไกของเธอกับคิซาเมะสมาชิกของกลุ่มแสงอุษากำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด ส่วนเธอ ลี และเนจิกลับถูกจับขังไว้ในคาถาคุกน้ำของคิซาเมะอย่างหมดรูป ตอนนี้อากาศหายใจของเธอกำลังน้อยลงทุกที สติที่เลือนรางทำให้เธอสำลักน้ำเข้าไปอึกใหญ่ ในวินาทีที่รู้สึกว่าคงจะสลบไปแล้วจริงๆ คาถาคุกน้ำก็สลายไปอากาศบริสุทธิ์ไหลเข้ามาในปอดแทนทีน้ำพวกนั้น รู้สึกดีใจที่ยังไม่ตายจนบอกไม่ถูก
ร่างทั้งร่างของเธอล้มลงบนผืนน้ำอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งๆที่การต่อสู้กำลังอยู่ในหน้าสิ่วหน้าขวานแต่เธอกลับอ่อนแอ เปรียบเสมือนตัวถ่วงของทีมเสียจริง บางทีคำพูดของเนจิในความทรงจำนั้นอาจจะไมผิดก็ได้ โชคชะตากำหนดได้ทุกอย่างจริงๆ
ยังไม่ทันที่เปลือกตาจะปิดลง คนๆหนึ่งก็เข้ามาประคองเธอไว้เสียก่อน
“เท็นเท็นทำใจดีๆไว้” เสียงของเด็กน้อยที่แสนจะเย็นชาในอดีตนั่นเอง แต่ผิดกันหน่อยตรงที่ว่าตอนนี้เด็กคนนั้นโตจนเป็นหนุ่มรูปงามไปเสียแล้ว
“ฉันไม่เป็นไรหรอกน้า” ถึงจะบอกปัดไปเช่นนั้นแต่ในใจกลับรู้สึกไม่สงบเลยสักนิดเดียว
บางทีฉันอาจจะเอาชนะโชคชะตาไม่ได้จริงๆ ถ้าเป็นแบบนั้น นายจะว่ายังไงล่ะ เนจิ...
เนื้อเรื่องกระชับได้ใจ