คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ผมไม่ชอบขี้หน้ามันอ่ะ
ผมนั่งมองคนในกระจกอยู่นาน หน้าตาเหมือนผู้หญิง (วิก)ผมยาวประบ่า แว่นหนาเตอะ กับชุดกระโปรงยาว เสื้อครุมสีดำ ทำไมผมต้องมาทำอะไรแบบนี้ด้วยฟระ
“ว้าว ไอ้มีนแกโคตรรสวยเลยว่ะ” ไอ้แม็ซ เพื่อนผมยังแซวไม่เลิก =.,=
“หุบปากไปซะ นี่พวกแกไม่มีวิธีอื่น นอกจากให้ฉันแต่งตัวเป็นผู้หญิงนี่เหรอวะ” ผมพูดพร้อมกับมองสำรวจร่างกายตัวเอง
“อ่าวแกเองไม่ใช่เหรอที่ไปหลอกโอเบย์ว่าเป็นผู้หญิง แกก็ต้องแต่งหญิงไปเจอมันสิวะ” ไอ้แม็ซตบไหล่ผม
“จ้างคนอื่นไปดีป่าวอ่า” ผมทำสายตาแพรวพราว สุดท้ายก็เจอทางออกแล้ว อิอิ ^O^
“ไม่ได้หรอกมีน เวลามันกระชั้นชิดแบบนี้เราคงเตรียมกันไม่ทัน” ไอ้เฟิร์สเพื่อนผมอีกคนออกความคิดเห็น โอ้ย อะไรๆก็ไม่ได้ นี่ผมต้องแต่งหญิงไปเจอโอเบย์ตามนัดจริงๆเหรอเนี่ย ผมเกาหัวแกรกๆนึกโกรธตัวเองขึ้นมา ที่ดันวางแผนไปแกล้งโอเบย์ ศัตรูหัวใจเบอร์หนึ่งของผม ที่กำลังเกาะแกะอยู่กับพรีม ว่าที่แฟนผมในอนาคต ^,.^
ดังนั้นผมเลยต้องหาทางกำจัดศัตรูหัวใจให้พ้นทาง โดยการเข้าไปคุยกับโอเบย์ทางเฟสบุ๊คและโกหกว่าเป็นผู้หญิง เผื่อว่าหมอนั่นจะหันมาชอบผมแล้วออกห่างพรีมไปซะ ถึงมันจะเป็นวิธีติงต๊องไปหน่อยแต่ ใครจะไปเชื่อล่ะว่าตอนนี้โอเบย์ติดใจคารมณ์ผมเข้าแล้ว ถึงขั้นนัดเดทกันครั้งแรกวันนี้ o,.o ถึงจะไม่อยากไป แต่แผนการสำเร็จมากว่าครึ่งแล้วก็คงถอนตัวไม่ได้สินะ
“มันจะจับไปได้ไหมวะ” แต่ถึงยังไงผมก็ไม่มันใจเลยแฮะ มันจะเชื่อเร้อ v.v
“จับได้ก็เทพแล้วว่ะ หนังหน้าแกมันผู้หญิงชัดๆ” ไอ้แม็ชพูดพร้อมกับเอามือมาหยิกแก้มผม โอ้ย ไอ้บ้า >,.<!!!
“มันจะดีเหรอ ที่มีนไปแกล้งพี่โอเบย์แบบนั้น ถ้าหมอนั่นรู้เข้า…”
“พอเลยเฟิร์ส จะเกิดอะไรขึ้นก็ชั่งฉันจะกำจัดหมอนั่นให้ได้ และแกเลิกเรียกมันว่าพี่ต่อหน้าฉันได้ไหม” ผมรีบพูดดักคอไอ้เฟิร์ส ไอ้นี่มันเลวไม่เป็นเลย ต่างจากผมกับไอ้แม็ซโดยสิ้นเชิง u.u
“ใช่ เฟิร์สนายไม่ต้องคิดไรมากหรอก เราก็แค่เล่นๆกัน ว่าแต่แกเหอะไอ้มีน ” ไอ้แม็ซหันหน้ามาถามผม
“อะไร” -,.-
“แกอย่าให้ไอ้โอเบย์จับได้นะโว้ย ไม่อย่างงั้นล่ะก็พวกเราโดนเชือดยกแก๊งแน่” โด่ ปากมันบอกว่าไม่กลัว แต่ไหงเป็นงี้ฟระ >,.< แต่ถ้าโดนจับได้ขึ้นมาไอ้แม็ซนั่นแหละที่ต้องเป็นโล่กำบังให้ผม ทำไมน่ะเหรอ บ้านมันเป็นมาเฟียอ่ะดิ อิอิ
“เออน่า ที่ยอมทำถึงขนาดนี้ก็เพื่อ พรีม แฟนของฉันในอนาคต” ^O^
“ถุย” ไอ้แม็ซ ไอ้นี่มันวอนอีกและ =.,=
“รีบไปเถอะ ไกล้ถึงเวลานัดแล้ว” ไอ้เฟิร์สพูดพร้อมกับเก็บอุปกรที่มันใช้แต่งตัวให้ผมเมื่อกี้
ลืมบอกไป ผม ไอ้แม็ซ และไอ้เฟิร์ส ต่างก็เป็นลูกคนรวยกันหมดอ่านะ พ่อผมเป็นประธานบริษัทนำเข้ารถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเลยทีเดียว ส่วนไอ้แม็ซ ไอ้กวนประสาทนี่ พ่อมันเปิดบ่อนคาซิโนอยู่แถบชายแดน จะว่าไปครอบครัวมันเปิดบ่อนในหลายๆประเทศนั่นแหละ ส่วนไอ้เฟิร์ส พ่อแม่มันเป็นนักการทูตไทย-ฝรั่งเศส มันถูกเลี้ยงมาอย่างลูกผู้ดี คุณหนูสุดๆ เจ้าระเบียบโคตรๆเรียนก็เก่ง ต่างจากผมกับไอ้แม็ซที่ทำตัวเป็นกุ้ยไปวันๆ จะบอกว่าไม่ได้รับความอบอุ่นจากครอบครัวก็ว่าได้ เพราะผมกับไอ้แม็ซไม่มีแม่ อยู่กับพ่อตั้งแต่เด็ก พ่อผมกับพ่อไอ้แม็ซบ้างานจนไม่มีเวลาให้ลูกเลยด้วยซ้ำ แม่ไอ้แม็ซถูกพวกศัตรูของพ่อฆ่าตายตั้งแต่มันเรียอยู่ ม หนึ่ง ทำให้มันเกลียดพวกมาเฟียและไม่ค่อยถูกกับพ่อสักเท่าใหร่ ถึงแม้มันจะเป็นลูกมาเฟียก็เถอะ ส่วนแม่ผมตายเพราะอุบัติเหตุตั้งแต่ผมอายุ 10 ขวบ เฮ่อ คิกถึงเรื่องนี้แล้วเศร้า Y,.Y
ครึ่งชั่วโมงต่อมาผมกับไอ้แม็ซและไอ้เฟสก็มาถึงที่นัดกับโอเบย์ไว้ นั่นก็คือหน้าโรงหนัง ผมแอบมองผู้ชายร่างสูงอยุ่ห่างๆ หัวใจเต้นแรงแทบทะลุเสื้ออกมา เพราะไอ้หน้าหล่อ ที่ยืนเท่อยู่หน้าประตูทางเข้านั่น
“แกคิดไรอยู่ รีบไปสิวะ” ไอ้แม็ซสะกิดผม หลังจากที่ยืนเงียบอยู่นานสองนาน
“มีนรีบเข้าไปก่อนนะ เดี๋ยวเราสองคนจะตามดูอยู่ห่างๆ” ไอ้เฟิร์สพูดพลางแตะไหล่ผม เป็นเชิงให้กำลังใจ
“อืม” ผมจำใจเดินตรงเข้าไปหาโอเบย์ที่ตอนนี้กำลังมองหาใครบางคน ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นผม
“อะ…โอเบย์” ผมเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าโอเบย์ แบบก้มหน้าก้มตา ทั้งกลัว ทั้งแต่เต้น ทั้งอาย กลัวมันจะจับได้ว่าเป็นผม เพราะมันเป็นพี่รหัสผมด้วย อีกอย่างตอนนี้มันก็เป็นคนที่พ่อผมไว้ใจสุดๆถึงขั้นให้เข้าไปช่วยงานในบริษัท แต่คิดในแง่ดี มันคงจับไม่ได้หรอกว่าเป็นผม เพราะปกติมันก็ไม่ได้สนใจจะมองหน้าผมอยู่แล้วนี่นะ =,.=
“มินนี่เหรอคับ” โอเบย์ยิ้ม แล้วจ้องหน้าผม ว่าแต่ใคร ใครวะชื่อมินนี่ ผมทำหน้างงๆ
“คะ…ใครมินนี่” ผมทำหน้าเอ๋อๆใส่โอเบย์ ให้ตายเซ่ตื่นเต้นจนฉี่จะราดแล้วเนี่ย
“ก็เธอไง มินนี่” โอเบย์เอานิ้วจิ้มที่ไหล่ผม
“อะ..อ๋อ” อึ๋ย ตื่นเต้นจนลืมชื่อตัวเองแล้วไหมล่ะ อยากจะตบปากตัวเองซักสองสามที แต่ตอนนี้ต้องทำหน้าแอ็บแบ้วไร้เดียงสาใส่โอเบย์ ขยะแขยงตัวเองชะมัด >,.<
“น่ารัก” โอเบย์ยิ้มให้ผม
“ ไม่คิดเลยว่าเป็นผู้หญิงแล้วจะน่ารักขนาดนี้” >////<
“หะห๊า” หมายความว่าไง เป็นผู้หญิงแล้วน่ารัก รึว่ามันร็ว่าความจริงผมเป็นผู้ชาย อ้ากกกกกก
“เอ่อ คือ หมายถึง มินนี่เป็นผ็หญิงที่น่ารักมาก” โอเบย์เกาหัวตัวเองแกรกๆ เฮ่อ! โลงอกไปที นึกว่าจะโดนจับได้ซะแล้วไอ้มีนเอ้ย
“เราเข้าไปข้างในกันเถอะ” ผมบอกโอเบย์ อยากอยากจะหายตัวออกไปจากตรงนี้ฝุดๆเบย
ผมนั่งเซ็งอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง กว่าหนังจะเริ่มฉาย ไอ้โอเบย์นี่ก้อีกคน แอบมองผมอยู่นั่น อย่านึกว่าไม่เห็นนะโว้ย โด่
“เอ่อ มีไรติดหน้ามินนี่รึเปล่าอ่ะ” ผมเห็นมันจ้องผมนานแล้วนะ อึกอัดเฟ้ย
“เปล่า” แต่ตอนนี้ผมดูออกนะว่ามันเขิน เอ้ย ไอ้นี่มันเขินเป็นด้วยเหรอฟระ วันๆผมเห็นมันหน้านิ่งๆอยู่หน้าเดียว
“มินนี่มีแฟนรึยัง” อยู่ๆโอเบย์ก็ถามขึ้น อ้ากกกก ถามแบบนี้มันคิดจะจีบผมเหรอ จะทำไงดี จะตอบว่าไงดีนะ
ผมมองไปรอบๆตัวหาความช่วยเหลือจากไอ้เพื่อนซี้สองคนที่นั่งอยู่ห่างๆ แต่…ให้ตายเถอะโรบิ้น ผมนึกว่ามันจะมาคอยช่วยผม ที่ไหนได้มันมาจู๋จีกันเนี่ยนะ o.,O!!! ว่าแต่ สองคนนี้จู๋จี๋กันงั้นเรอะ ผมอึ้งกับภาพที่เห็น ไอ้แม็ซเอนหัวมาหนุนไหล่ไอ้เฟิร์สดูหนังอย่างสบายใจเฉิบ ปกติมันสองคนดูไม่ค่อยจะทำอะไรแบบนี้เลยนะ อ้ากกกกก
“มินนี่”
“วะ..ว่าไง” ผมหันไปมองหน้าโอเบย์แบบยังอึ้งไม่เลิก โธ่เอ้ย ไอ้นี่มันขัดจังหวะอีกและ รอให้อึ้งเสร็จก่อนไม่ได้รึไง :3
“มีอะไรรึเปล่า” ไอ้โอเบย์มองไปทางไอ้แม็ซกะไอ้เฟิร์ส จนผมต้องรีบใช้มือทั้งสองข้างประคองหน้าโอเบย์ให้หันมามองผม เพราะกลัวว่ามันจะเห็นสองคนนั้น มีหวังความแตกแน่….แต่ก่อนที่ความจะแตก ตอนนี้เหงื่อผมแตกผลั่กๆ ทำไมน่ะเหรอ สงสัยผมจะรีบเกินไป ตอนนี้หน้าผมกับโอเบย์อยู่ห่างกันแค่คืบ …ดวงตาคู่นี้มัน….คุ้นๆแฮะ ทำให้ผมนึกถึงใครคนนึง ใครคนนั้นคือความเจ็บปวดของผม ใครคนนั้นคือแผลในใจ…
“มินนี่เป็นอะไรรึเปล่า พี่เห็นเหม่อมาตั้งนานแล้ว” โอเบย์มองผมอย่างสงสัย
“ปละ…เปล่า” ผมตอบพร้อมกับเบือนหน้าหนี พอนึกถึงคนคนนั้นทีไร ทำเอาหัวใจเต้นแรงสิน่า
-เธอยังคิดถึงฉันทุกนาทีอยู่รึเปล่า เธอยังจำ….-
ผมรีบควานหาโทรศัพท์มือถืออยู่ในกระเป๋าใบเล็กที่ผมถือมาด้วยอย่างลุกลี้ลุกลน อ้ากกกก พ่อโทรมา โทรมาไมตอนนี้เนี่ย เอาไงดีๆเสียงโทรศัพท์ก็รบกวนคนอื่น จะไม่รับก็ไม่ได้ แต่ถ้ารับก็กลัวโอเบย์จะจับได้ ถ้ากดตัดสาย พ่อได้เชือดผมแน่
“ทำไมไม่รับสายล่ะคับ พ่อมินนี่โทรมาไม่ใช่เหรอ” ไอ้นี่มันชักจะตาไวเกินไปไหมเนี่ย เอาวะรับก็รับ
“ค่ะพ่อ” ผมทำเสียงเล็กเสียงน้อยตอนที่กดรับสาย ให้ตายเถอะ ทำไมผมต้องมาทำเรื่องน่าอายแบบนี้ด้วยยยยยยยยย
“มีนเหรอ นี่แกพูดอะไรของแก” พ่อทำเสียงเข้มใส่ผม
“พ่อมีอะไรรึเปล่าคะ” ผมยังเสแสร้งต่อไป กลับถึงบ้านมีหวังพ่อได้เพ่นกะบาลผมแน่ บรึ๋ย แต่จะทำไงได้สถานการณ์มันบีบบังคับอ่ะ Y,.Y
“เฮ่อ แกเป็นบ้าอะไร แต่ชั่งเถอะจะบ้าอะไรก็เรื่องของแก แต่ตอนนี้เข้ามาที่บริษัทหน่อย พ่อมีเรื่องจะคุยด้วย”
“ค่ะๆมีน เอ้ย มินนี่จะรีบไปค่ะพ่อ” พูดจบผมก็รีบกดตัดสาย แล้วยิ้มแห้งๆให้โอเบย์ที่กำลังนั่งจ้องผมอยู่ มันมาดูหนัง หรือมันตั้งใจจะมานั่งจ้องผมฟระเนี่ย
“มีธุระเหรอคับ” โอเบย์ถามผม
“อ๋อใช่ค่ะ ไปแล้วนะคะ” พูดจบผมก็รีบลุก และสาวท้าวออกมาจากโรงหนัง โดยไม่สนใจโอเบย์ที่ยังงงอยู่ ช่วยไม่ได้แฮะ อึดอัดจะแย่อยู่แล้ว ขืนทนนั่งอยู่ตรงนั้นอีกมีหวังอกแตกตายแหงมๆ
ผมขึ้นมานั่งถอนหายใจอยู่บนรถ ตอนนี้รู้สึกโล่งชะมัด หวังว่าโอเบย์มันคงไม่ตามมานะ ว่าแต่สองคนนั้นยังไม่มาอีกสิน่า ผมต้องเข้าบริษัทก่อนที่พ่อจะเทศนาผม ทิ้งสองคนนั้นไว้ที่นี่ก่อนละกันดูหนังจบคงกลับเองได้ ^^
ไม่นานนักผมก็ขับรถมาจอดอยู่ที่ลานจอดรถของบริษัทพ่อผม กำลังจะก้าวเท้าลงรถ ก้นึกขึ้นได้ว่ายังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้า อ้ากกกรีบจนลืม แต่เอ้ะ นึกขึ้นได้ว่าผมมีเสื้อผ้าอยู่ในรถหลังจากที่กลับจากเที่ยวต่างจังหวัดเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว คนขับรถคงยังไม่เอาลงจากรถหรอกมั้ง เพราะปกติผมไม่ค่อยให้ใครยุ่งเรื่องของส่วนตัวเท่าไหร่นัก ^^
ว่าแล้วผมก้มองซ้ายมองขวาก้าวท้าวลงจากรถเดินไปเปิดดูกระเป๋าที่หลังรถ จ้ากกก กระเป๋าหาย คนขับรถคงเอาไปเก็บเรียบร้อยแล้วแน่ๆ ถ้าขืนช้ากว่านี้พ่อด่าหูชาแน่ ทำไงดีๆๆๆๆๆ
ว่าแต่กระเป๋าใบเล็กที่เก็บอุปกรณ์ถ่ายรูปของผมยังอยู่ แฮ่ๆแบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย แต่ก่อนเปิดก้ลุ้นแทบแย่สิน่า………….มีจริงๆด้วย ผมดีใจสุดๆทันทีที่เปิดกระเป๋าเจอเสื้อผ้าที่ผมใส่ตอนไปเดินตลาดตอนที่ไปเที่ยวต่างจังหวัด พึ่งจะภูมิใจในความมักง่ายของตัวเองก็คราวนี้แหละ เก็บของไม่เป็นระเบียบ เอาเสื้อผ้ามายัดไว้ในกระเป๋านี่ซะได้ =.,=
ผมหยิบเสื้อผ้ามาเปลี่ยนในรถ ถึงจะยังไม่ได้ซักแต่คงไม่ได้น่าเกียจอะไรมากหรอกนะ แก้ขัดไปก่อนละกัน =,.=
เพียงไม่กี่นาที ผมก็เดินเข้ามาในบริษัทอย่างสบายใจเฉิบ ไม่สนใจสายตานับสิบๆคู่ที่มองมาทางผมแบบแปลกๆ บ้างก็ประมานว่า ทำไปได้ บ้างก็มองแบบว่าผมหล่อฝุดๆ ทำไงได้ถึงตอนนี้ผมจะใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นมอมๆ แต่เพราะหน้าตาดี คนหน้าตาดีทำไรก็ดูดี 55555
“มีไรเหรอคับพ่อ” ผมหย่อนก้นนั่งลงบนโซฟาตัวใหญ่ในห้องทำงานของพ่อ โดยที่ไม่สนใจสายตาอึ้งของพ่อและสายตาอีกหนึ่งคู่ที่ผมไม่อยากจะชายตามอง…โอเบย์ ก้แหงล่ะ ถ้าพ่อเรียกผมมา มีรึจะไม่เรียกโอเบย์มาด้วย ทำไมไม่จับผมเป็นคู่ดูโอ้กับมันเลยล่ะ =,.=
“แกไปไหนมา โอเบย์มาถึงตั้งนานแล้ว แกมัวทำอะไรอยู่ แล้วนี่แต่งตัวแบบนี้เข้าบริษัทได้ยังไง” พ่อยิงคำถามใส่ผมไม่ยั้ง ผมนั่งทำหน้าเซ็งๆไม่รุ้จะตอบคำถามไหนก่อนดี
-เธอยังคิดถึงฉันทุกนาทีอยู่รึเปล่า เธอยังจำเรื่อง…-
เอ้ย! ผมตกใจแบบสุดๆและรีบกดตัดสายใจ ไอ้แม็ซคงหาผมไม่เจอถึงได้โทรมา แต่มันจะโทรมาถูกเวลาเกินไปไหม โอเบย์จ้องผมใหญ่แล้วเนี่ย ลืมปิดเสียงโทรศัพท์จนได้สิน่า
“เป็นอะไร ทำไมทำท่าตกใจขนาดนั้น แล้วกำไลข้อมือน่ะ” พ่อถามพลางมองต่ำลงมาที่ข้อมือผม อ้ากกกเคราะห์ซ้ำกำซัด ลืมถอดกำไลข้อมือที่ใส่ตอนไปดูหนังกับโอเบย์ แถมยังเป็นกำไลข้อมือผู้หญิงจะแก้ตัวได้ยังไงเนี่ย
“เอ่อ….” ผมกำลังคิดหาคำตอบ พร้อมกับพยายามถอดกำไลข้อมือมาซ่อนไว้ในกระเป๋ากางกาง กูจะตอบว่าไงวะเนี่ย U,.U
“ผมว่าเข้าเรื่องกันดีกว่านะคับคุณอา” โอเบย์ขัดจังหวะขึ้น คงเบื่อผมเต็มที แต่มันก็ไม่ได้สนใจเรื่องเสียงเรียกเข้า และกำไลข้อมือของผม คงจับไม่ได้หรอกมั้งนะ
“ที่พ่อเรียกแกกับโอเบย์มาเพราะว่า ทางบริษัทเราจะจัดแค้มป์เพื่อทำประโยชน์ให้สังคมและจะเป็นการโปรโมทเปิดตัวรถรุ่นใหม่ล่าสุดของเราด้วย ”
“แล้วไงคับ” ผมถามแต่สายตายังจ้องอยู่กับแมกกาซีนที่วางอยู่บนโต้ะ รูปผู้หญิงที่อยู่บนปกเซ็กซี่ชะมัด ^O^
“แค้มป์นี้พ่อให้โอเบย์เป็นคนรับผิดชอบ และตอนนี้โอเบย์ก็รวบรวมรายชื่ออาสาสมัครเป็นเพื่อนที่อยู่มหาลัยเดียวกัน มาให้พ่อหมดแล้ว”
“แล้วเกี่ยวไรกับผมล่ะฮะ” ฟังมาตั้งนานยังไม่รู้ว่ามันเกี่ยวกับผมยังไง ถ้าให้โอเบย์รับผิดชอบก็เป็นเรื่องของโอเบย์สิ
“แกก็ต้องไปด้วยไง ตอนนี้ปิดเทอมแกก็ไม่ได้มีธุระอะไรไม่ใช่เหรอ” โฮก พ่อว่าไงนะ จะให้ผมออกค่ายเนี่ยนะ
“ตะ…แต่อาทิตย์หน้าผมกับไอ้แม็ซและก็ไอ้เฟิร์สจะไปดูรถที่ต่างประเทศนะคับ” 5555 ดีนะที่ผมมีแพลนล่วงหน้า ถ้าพ่อโทรไปถามพวกนั้นมันก็เป็นเรื่องจริง พ่อก็ขัดไม่ได้แล้วล่ะ 5555
“แม็ซกับเฟิร์สยังไม่บอกนายเหรอ ว่าพวกเขายินดีจะไปออกค่ายกับบริษัทเรา” ไอ้โอเบย์พูดขึ้น
“ว่าไงนะ” ผมเออเรอร์สุดๆพวกนั้นรับปากจะไปออกค่าย โดยไม่บอกผม แถมยังยกเลิกแพลนที่เราจะไปต่างประเทศโดยไม่แจ้งล่วงหน้า แบบนี้มันใช้ได้ที่ไหน ฮึ่ม!!
อยากจะบ้าตาย ออกค่าย ทำประโยชน์ต่อสังคม นี่มันสร้างภาพชัดๆ ไม่อยากไปโว้ยยยยยยยย
“คราวนี้แกก็ไม่ขัดข้องใช่ไหม” พ่อถามย้ำ
“มีครับ” คำตอบของผมทำเอาคนเป็นพ่อคิ้วขมวดทันทีเลยอ่า
“ผมไม่ชอบสร้างภาพ” ผมพูดแบบหน้าตาเฉย ดูซิคราวนี้จะมีเหตุผลไหนที่ทำให้ผมไปออกค่ายได้
“การทำประโยชน์ให้สังคมไม่ใช่การสร้างภาพนะ ถ้ามีคนคิดเหมือนกันกับนายทั้งโลก ชีวิตนี้ยังจะมีค่าอะไร ถ้าต้องอยู่โดยที่คิดถึงแต่ตัวเอง ไม่ทำประโยชน์ต่อส่วนรวม ความเห็นแก่ตัวมันไม่ได้ทำให้……”
“นี่นายกำลังด่าฉันเหรอ” ผมตะคอกโอเบย์ ให้ตายเถอะ ไอ้หมอนี่มัน…มัน..มัน >,.<
“อ่าว พอเถอะ ถ้าแกไม่ไปออกค่ายครั้งนี้ พ่อหักจะเบี้ยเลี้ยงแกครึ่งนึง ค่าขนม ค่าครองชีพ ค่าน้ำมันรถ ค่า ฯลฯ”
“เอ้ย ป๊าพอแล้ว แค่นี้ก็แย่ละ เอาเป็นว่าคราวนี้ผมยอมไปก็ได้” ผมทำหน้ามุ่ยเหมือนเด็กๆ ที่ทำอะไรไม่ได้ตั่งใจตัวเอง ให้ตายเซ่ ซวยชะมัด >,,<
“งั้นก็ดี” พูดจบพ่อก็เดินออกไปจากห้อง ทิ้งที่ผมระเบิดอารมณ์ใส่โอเบย์หงุดหงิดอยู่ในห้องกับโอเบย์ ต่หมอนั่นไม่มีท่าทางสนใจผมเลนซักนิด เอาแต่ก้มหน้ามองเอกสารในมือ ให้ตายเถอะดรบิ้น ไม่อยากจะคิดว่าต้องไปร่วมค่ายกับไอ้บ้านี่ แค่อยุ๋ด้วยกันไม่ถึงชั่วโมง ผมก็จะบ้าตายแล้ว o,.o
ความคิดเห็น