ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fic Attack on Titan] Counter Attack Mankind

    ลำดับตอนที่ #22 : บทที่ 22 รอยจารึกบนมือทีมสำรวจ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.01K
      48
      14 ธ.ค. 59


    บทที่ 22

    รอยจารึกบนมือทีมสำรวจ

    การแปลงร่างอย่างไม่คาดฝันของเอเลนทำให้ฮันซี่ต้องปรับแผนความคิดใหม่ แสดงว่าการเป็นไททันของเขาในแต่ละครั้งต้องมีเงื่อนไขแต่มันคืออะไร ข้อสันนิษฐานร้อยแปดวิ่งวนอยู่ในหัวทำให้หัวหน้าหมู่คนเก่งถึงกับนั่งนิ่งไม่พูดไม่จากับใครอยู่นานกระทั่งรีไวพูดขึ้น

    “เราคงต้องยกเลิกการทดลองในวันนี้แล้ว” เขาหยุดประโยคเพื่อรอความเห็นจากฮันซี่พอไม่ได้ยินคำตอบใดกลับมาคิ้วเรียวก็ขมวดมุ่น “ฮันซี่”

    ชายหนุ่มหันไปมองด้วยความแปลกใจที่หญิงสาวไม่ได้พล่ามราวกับคนบ้าเหมือนทุกครั้ง พอเห็นเธอก้มลังนั่งก้มหน้าจ้องมือตัวเองอย่างเอาจริงเอาจังเขาจึงขยับเข้าไปหา

    “มีอะไร” ถามด้วยความสงสัยพออีกฝ่ายยังคงทำเป็นหูทวนลมเขาจึงเรียกเสียงดังขึ้น “โฮ่ย ยัยแว่นวิปริต”

    ได้ผล ฮันซี่เงยหน้าขึ้นพอเห็นรีไวกำลังยืนหน้าคว่ำเธอก็เปิดยิ้มกว้าง “อ้าวรีไว”

    “เป็นอะไรไปทำไมนั่งนิ่งเป็นเบื้อแบบนั้น”

    “มีเรื่องต้องคิดนิดหน่อยน่ะ” ฮันซี่ตอบพลางยัดของสิ่งนั้นเข้ากระเป๋าจากนั้นจึงลุกขึ้นกวาดตามองไปรอบตัว “เอเลนล่ะ”

    “กลับปราสาทไปแล้ว” รีไวตอบพลางเลื่อนสายตาไปยังทหารที่กำลังนั่งรอบนหลังม้า “ฉันสั่งล้มเลิกภารกิจส่วนพวกที่เห็นเหตุการณ์ถ้ายังไม่อยากตายให้ปิดปากเงียบเอาไว้ที่เหลือก็แล้วแต่เธอว่าจะเอายังไง”

    “ฉันเหรอ” คำพูดหลุดจากปากอย่างเลื่อนลอยราวใจเจ้าตัวพะวงถึงเรื่องอื่น รีไวจึงพอจะเดาออกว่ายายแว่นจอมเพี้ยนกำลังหมกมุ่นอยู่กับความคิดบางอย่างที่น่าจะเกี่ยวกับการแปลงร่างเป็นไททันของเอเลน

    “เออ” หลุดปากห้วนๆเพราะเริ่มโมโหตงิดขึ้นมาแล้ว “เลิกทำหน้าเหมือนไอ้พวกไททันเสียทีเห็นแล้วหงุดหงิดเป็นบ้า”

    คำพูดนั้นประดุจคบไฟจ่อลงไปในบ่อน้ำมัน เปลวเพลิงแห่งปัญญาลุกสว่างโชติช่วง ดวงตาภายใต้แว่นเบิกกว้างเมื่อเธอฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้

    “ใช่แล้ว!” จู่ๆก็ตะโกนออกมาก่อนหันไปคว้าไหล่ของรีไวแล้วเขย่าอย่างแรง “มันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆเลยรีไว”

    “อะไรของเธอ” คนตัวเตี้ยพูดพลางปัดมือของหญิงสาวและขยับถอยออกห่าง “หยุดทำท่าลิงโลดแบบนี้เสียทีเห็นแล้วขยะแขยงเป็นบ้า”

    “ขอโทษ ขอโทษ” ฮันซี่พูดก่อนหยิบเอกสารทุกอย่างยัดลงกระเป๋านำไปคล้องไว้ที่อานม้า “ฉันต้องกลับไปศูนย์บัญชาการก่อนค่ำๆจะกลับมาอีกที อ้อ! ฝากบอกเจ้าพวกนั้นด้วยว่าที่เอเลนแปลงร่างเพราะมีจุดประสงค์บางอย่างแต่ไม่ได้เป็นการทำร้ายใครอย่าทำอะไรเขาเป็นอันขาด เข้าใจไหม”

    รีไวรู้ว่า เจ้าพวกนั้น ที่ยายแว่นจอมเพี้ยนหมายถึงลูกน้องทั้งสี่ของตน เขาจึงพยักหน้ารับขณะเดียวกันก็นึกเถียงอยู่ในใจว่าไม่ต้องมาทำเป็นเตือนหรอกยังไงเขาก็ไม่ยอมให้ใครมาแตะต้องเอเลนอยู่แล้ว พอฮันซี่พาทหารทั้งหมดออกไปจากที่นั่นชายหนุ่มก็กลับไปยังปราสาท พอเข้าไปในห้องประชุมลูกน้องทั้งสี่ซึ่งรออยู่อย่างกระวนกระวายใจก็ปราดเข้ามาถาม

    “มีแผนอะไรต่อหรือเปล่าครับหัวหน้า” เอลโด้เอ่ยขึ้นมาก่อนโดยมีสายตาของกุนเทอร์มองตามด้วยความหมายเดียวกัน เพตร้าเหลือบตาขึ้นไปยังด้านบนอย่างหวาดระแวงก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ฟังคล้ายหวาดกลัว

    “แน่ใจหรือคะว่าจะให้เอเลนอยู่บนนั้น”

    “เราน่าจะลากมันกลับลงไปในห้องใต้ดินก่อนนะครับ” คราวนี้ออรูโอ้เป็นคนพูด ดวงตาสีเทาคมวับของรีไวเหลือบไปจ้องอย่างไม่พอใจก่อนเจ้าตัวจะเอ่ยเสียงเรียบ

    “ไม่จำเป็น”

    “แต่ว่า...” เพตร้าค้านและปิดปากนิ่งเงียบเมื่อเห็นดวงหน้าเคร่งขรึมของรีไว

    “หน่วยของเราแตกต่างจากคนอื่นตรงความเชื่อใจ ถ้าพวกแกยังคิดจะเป็นลูกน้องของฉันก็ขอให้คงสิ่งนี้เอาไว้ไม่อย่างนั้นแล้วก็ย้ายก้นไปอยู่กับพวกสารวัตรทหารซะ!

    น้ำเสียงปิดท้ายห้วนดุดันน่าเกรงขามทำให้ลูกน้องทั้งสี่จำต้องหุบปากยืนตัวแข็งไม่กล้าพูดอะไรต่อ ส่วนหนึ่งเพราะพวกเขากลัวทัณฑ์ของหัวหน้าซึ่งแม้จะไม่ใช่การทำร้ายร่างกาย แต่คำสั่งให้ทำความสะอาดปราสาททั้งหลังด้วยผ้าขี้ริ้วเพียงผืนเดียวไม่ใช่สิ่งน่าอภิรมย์เท่าใดนัก อีกประการหนึ่งคือพอเหตุการณ์ทุกอย่างกลับเป็นปรกติ ทั้งหมดก็เริ่มได้คิดว่าครั้งนี้แม้เอเลนจะกลายเป็นไททันก็เป็นการแปลงแบบครึ่งๆกลางๆเท่านั้นแถมสติก็ยังอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่การแปลงร่างอย่างไม่คาดฝันถือเป็นการกระทำนอกเหนือคำสั่งทำให้คนทั้งสี่ไม่อาจวางใจได้ลง

    “ไอ้เด็กเวรนั่นเป็นไททันนะครับ” ออรูโอ้ยังไม่วายหลุดปากออกมาและยุติคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อเห็นสายตาของรีไว

    “เอเลนเป็นมนุษย์ ฉันขอสั่งห้ามพวกแกทุกคนไปวุ่นวายด้วยจนกว่าฮันซี่จะกลับมา” เสียงทุ้มกล่าวราบเรียบและเดินออกจากห้องโดยไม่พูดอะไรอีกเลย  

    พอได้ยินคำสั่งแบบนั้นลูกหน่วยทั้งสี่จึงนั่งเก้าอี้แยกคนละมุม ในใจเต็มไปด้วยความหวั่นวิตกเพราะกลัวว่าเอเลนจะกลายร่างอีกครั้ง ภายในห้อง- ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงพวกเขาทั้งหมดคงถูกปราสาททั้งหลังถล่มลงมาทับโดยไม่มีโอกาสต่อสู้

    “เอาไงดีพวกเรา” หลังจากเงียบกันไปนานกุนเทอร์จึงเอ่ยปากพูดเป็นคนแรก ออรูโอ้กับเอลโด้มองหน้ากันแต่ไม่ตอบอะไร เพตร้าจึงกล่าวเตือน

    “หัวหน้าสั่งให้พวกเรารอ”

    “โดยไม่ไอ้หนูไททันอยู่บนหัวน่ะเหรอ” ออรูโอ้โพล่งออกมาอย่างหงุดหงิด ในหน่วยรีไวแล้วเขาอาจได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่สามารถกำจัดไททันเพียงลำพังได้มากที่สุดก็จริงแต่การลงมือทุกครั้งเกิดจากการตัดสินใจที่รวดเร็ว เฉียบขาด ไม่ใช่การนั่งรอให้เหตุการณ์วิ่งเข้ามาหาแบบนี้ “ฉันว่าเราลากมันลงมาจัดการตอนนี้เลยดีกว่า”

    “ใจเย็นน่ะออรูโอ้ หัวหน้าสั่งแล้วไม่ใช่หรือว่าให้รอคุณฮันซี่” เอลโด้ปรามแต่ออรูโอ้ไม่สนใจฟังนัก

    “ยายแว่นนั่นไม่ได้อยู่กับเราด้วยนี่หว่า”

    “ใช้คำพูดให้สุภาพหน่อยได้ไหม คุณฮันซี่มีตำแหน่งสูงกว่าพวกเรานะ” เพตร้าเตือน “ตอนนี้หัวหน้าก็อยู่ด้วยต่อให้เอเลนกลายร่างก็ไม่มีทางทำอะไรได้อยู่แล้ว อีกอย่างเท่าที่เห็นการกลายเป็นไททันคราวนี้แตกต่างไปจากที่ได้ยินมาเพราะมันปรากฏแค่ครึ่งตัวเท่านั้นและเอเลนก็ยังมีสติบริบูรณ์”

    “เชอะ! มันแกล้งทำให้เราตายใจน่ะสิ” ออรูโอ้ยังจิกไม่เลิกเอลโด้จึงจำต้องยั้งสติเขาไว้

    “พอได้แล้วน่ะออรูโอ้ นายจะคิดยังไงฉันไม่ว่าแต่เราทุกคนต้องปฏิบัติตามคำสั่งของหัวหน้าอย่างเคร่งครัด หัวหน้าบอกให้รอเราก็ต้องรอส่วนจะเป็นยังไงต่อไปคุณฮันซี่กลับมาค่อยว่ากันอีกที”

    “แต่...” จอมปากมากขยับจะเถียงแต่พอเห็นสีหน้าของเพื่อนทั้งสามแล้วเขาต้องเปลี่ยนใจ “ก็ได้แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่าถ้าไอ้เด็กเวรนั่นทำตัวมีพิรุธให้เห็นเมื่อไหร่ฉันเชือดมันไม่เลี้ยงแน่”

    ระหว่างที่ลูกน้องทั้งสี่กำลังพูดคุยถึงเอเลนอย่างเคร่งเครียดด้านรีไวเองก็ตกอยู่ในภาวะเดียวกัน จะต่างก็ตรงที่ความวิตกของเขาไม่ใช่เรื่องการแปลงเป็นไททันหากเป็นสภาพจิตใจของเอเลนเพราะจากที่เห็นเจ้าเด็กเหลือขอนั่นดูตกใจไม่น้อยกับสิ่งที่เกิดขึ้น แสดงว่าการแปลงร่างในครั้งนี้เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายบางทีมันอาจเป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้และถ้าเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ระหว่างการออกสำรวจแล้วละก็คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าใดนัก

    หรือเขาควรระงับเรื่องพาเอเลนออกไปนอกกำแพง รีไวคิดพลางมุ่นคิ้วอย่างนึกหนักใจ เอลวินคงไม่ยอมแน่เพราะหากทำเช่นนั้นแผนการที่อุตส่าห์วางไว้จะพังไม่เป็นท่าครั้นจะทิ้งให้รออยู่ในกองบัญชาการตามลำพังพวกกองสารวัตรทหารก็จะฉวยโอกาสลากตัวไปประหารช่วงที่พวกเขาออกปฏิบัติการ

    ถ้าเช่นนั้นแล้วเขาควรทำยังไงดี

    รีไวเค้นสมองคิดอย่างหนักแต่สุดท้ายกลับจบลงด้วยการรอข้อสรุปของฮันซี่ จากคำพูดทิ้งท้ายก่อนออกจากปราสาทแสดงให้เห็นว่ายายแว่นวิปริตเริ่มเข้าใจอะไรบางอย่างและเจ้าสิ่งที่ว่านี่น่าจะเป็นผลดีกับเอเลน

    เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดเขาควรอดทนรอต่อไป

    ชายหนุ่มคิดพลางมองดวงอาทิตย์ยามอัสดง เย็นป่านนี้แล้วหรือนี่ เขานึกก่อนเลื่อนสายตาไปตามระเบียงที่เป็นทางนำไปสู่ห้องของเอเลน ป่านนี้เจ้าเด็กเหลือขอนั่นจะเป็นยังไงบ้าง นั่งจ่อมจมอยู่กับความกลัดกลุ้ม โวยวายเหมือนคนไร้สติหรือนอนร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่บนเตียง ช่วงที่ในหัวกำลังวุ่นวายอยู่กับความกังวลต่างๆนั่นเองพลันภาพใบหน้าของเอเลนตอนพบกันครั้งแรกก็หวนกลับเข้ามาในความทรงจำ ดวงตาสีเขียวที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความแค้น อัดแน่นไปด้วยความมุ่งมั่นทำให้รีไวสำนึกได้ว่า เอเลนแข็งแกร่งเกินกว่าที่จะยอมแพ้กับเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้

    ความมุทะลุ ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆ เผชิญปัญหาอย่างตรงไปตรงมา แม้บางครั้งจะดูเด็กไปบ้างแต่เพราะนิสัยพวกนี้แหละที่ทำให้เขารักเอเลน

    รอยยิ้มน้อยๆผุดที่มุมปากและสลายไปอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงรองเท้าของใครบางคนเดินเข้ามาหา พอชำเลืองมองด้วยหางตาถึงรู้ว่าเจ้าของเสียงคือเอลโด้

    “มีอะไร” เอ่ยถามทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่ทันเข้ามาใกล้ เอลโด้หยุดยืนตรงก่อนตอบ

    “คุณฮันซี่ให้คนมาบอกว่าอีกครึ่งชั่วโมงจะเข้ามาครับ”

    รีไวมุ่นคิ้วอย่างหงุดหงิด “จะทำอะไรก็ไม่รีบทำน่ารำคาญเป็นบ้า”

    “ก็ไม่เชิงครับ” เอลโด้พูด “คุณฮันซี่สั่งให้เราสี่คนไปนั่งรอในห้องประชุมก่อนส่วนหัวหน้ากับเอเลนให้รอข้างนอกจนกว่าเธอจะบอกให้เข้าไป”

    รีไวนิ่งคิด การแยกเขาจากลูกน้องแสดงว่าฮันซี่เข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว ที่น่ารำคาญคือแทนที่จะรีบอธิบายให้เข้าใจกลับทำเป็นมากเรื่องแยกคนโน้นกันคนนี้ให้เสียเวลาไปเปล่าๆ

    แต่ช่างเถอะ มันเป็นวิธีการจัดระเบียบของยายแว่นปัญญาล้น ถึงจะเรื่องมากไปสักหน่อยแต่มักจะได้ผลทุกครั้ง ที่สำคัญคือขอเพียงให้เอเลนหลุดจากข้อสงสัยเรื่องการเป็นศัตรูของมนุษยชาติ ต่อให้ต้องวุ่นวายแค่ไหนเขาก็ยอม

    “งั้นแกไปบอกเอเลนให้ลงไปเจอฉันข้างล่าง” เขาสั่งก่อนหมุนตัวเดินจากไปโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายกำลังทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก ถึงเอลโด้จะเป็นคนสุขุมเยือกเย็นที่สุดในกลุ่มแต่การต้องเผชิญหน้ากับเด็กที่ไม่รู้ว่าจะกลายร่างเป็นไททันเมื่อไหร่ทำให้เขารู้สึกกลัวเหมือนกัน แต่เพราะคำพูดของรีไวคือกฎ เอลโด้จึงจำต้องสูดลมหายใจเพื่อรวมความกล้าก่อนมุ่งหน้าตรงไปยังห้องของเอเลน

    การเดินทางของฮันซี่ช้ากว่าที่กะเอาไว้มาก พอถึงปราสาทสิ่งแรกที่ทำคือเรียกลูกหน่วยพิเศษทั้งสี่เข้าไปปรับความเข้าใจก่อน รีไวกับเอเลนจึงจำต้องรออยู่ด้านนอก สำหรับรีไวนั้นไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย เขายืนกอดอกพิงกำแพงรออย่างอดทนต่างจากเอเลนซึ่งตกอยู่ในความกังวลอย่างเห็นได้ชัด เด็กหนุ่มนั่งก้มหน้าเอามือประสานไว้ระหว่างหัวเข่า ดวงตาสีเขียวเหลือบมองคนตัวเตี้ยเป็นระยะพอเห็นอีกฝ่ายไม่พูดหรือแสดงความเป็นห่วงเป็นใยอะไรออกมาเขาก็หลุบตาลงต่ำและอดคิดอย่างน้อยใจไม่ได้

    หัวหน้าคงเกลียดเราแล้ว

    น้ำตารื้นเอ่อขอบเบ้า เอเลนรีบสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อสะกดมิให้มันไหลออกมาแต่การกระทำของเขามิได้รอดพ้นจากสายตาของรีไวเลยสักนิด ชายหนุ่มจึงเปรยออกมาพอได้ยิน

    “สงบใจเอาไว้ เดี๋ยวทุกอย่างก็จบแล้ว”

    ที่พูดเช่นนั้นก็เพื่อปลอบขวัญเด็กหนุ่มแต่เอเลนกลับเข้าใจไปอีกทาง เขาเม้มปากน้อยๆก่อนรำพึงออกมา

    “จริงอยู่ที่ผมรู้ว่าในตัวผมมีสิ่งที่เป็นศัตรูของมนุษย์ ที่ผ่านมาก็ไม่เคยรู้สึกว่าพวกนั้นไม่ไว้ใจผม”

    รีไวเข้าใจดีว่า พวกนั้น ของเอเลนคือลูกหน่วยรีไวทั้งสี่ และตลอดหนึ่งเดือนที่ผ่านมาที่ทุกคนไม่เคยแสดงอาการรังเกียจหรือหวาดระแวงเพราะรู้ดีว่าตัวเองกำลังเผชิญหน้าอยู่กับอะไร ประสบการณ์อันยาวนานกับไททันทำให้พวกเขาเตรียมตัวพร้อมรับสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา

    “แน่นอนอยู่แล้วฉันเองก็เป็นคนแบบนั้นถึงเลือกพวกนั้นมา” บุรุษผู้แข็งแกร่งพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบคล้ายการเล่าเรื่องราวในตำนานให้เด็กฟัง “การรอดกลับมาในการปฏิบัติภารกิจครั้งแรกจะได้รับการยอมรับว่าเป็นทหารหน่วยสำรวจ แต่เจ้าพวกนั้นเอาตัวรอดจากไททันมาได้หลายครั้งแล้วยังมีสิ่งที่ถึงคิดเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจมากมาย ถ้าเป็นอย่างนั้นคือการทำอะไรให้รวดเร็วและตัดสินใจในกรณีที่คิดว่ามันเลวร้ายที่สุด แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเลือดหรือน้ำตารวมถึงตอนที่เขาหันดาบใส่นาย ไม่มีใครไม่เสียใจกับสิ่งที่ได้ทำลงไปหรอก” 

    ช่วงแรกเอเลนไม่ค่อยเข้าใจนักว่าคนพูดต้องการสื่อความหมายอะไร แต่พอได้ยินประโยคหลังหัวใจของเด็กหนุ่มก็บังเกิดความตื้นตันขึ้นมาเล็กน้อย ถ้าอย่างนั้นการกระทำของรุ่นพี่ทั้งสี่ในวันนี้ก็ไม่ได้มาจากความเกลียดชังหากเป็นปฏิกิริยาที่ทุกคนคุ้นเคยมาจากสนามรบ

    “ถ้าอย่างนั้น...”

    คำพูดถูกขัดจังหวะด้วยเสียงประตู ทหารคนสนิทของฮันซี่เดินตรงมาหาพร้อมกับบอกว่าหัวหน้าหมู่อนุญาตให้เข้าไปได้แล้ว เพียงย่างเท้าเข้าห้องรีไวก็หลุดปากออกมาอย่างไม่สบอารมณ์

    “ยัยบ้าปล่อยให้รอตั้งนาน”

    ฮันซี่ตีหน้าทะเล้นทำเสียงออดอ้อน “อย่าแดกดันแบบนั้นสิแค่ไปห้องน้ำเอง” เธอใช้ปลายนิ้วแตะแว่นตามความเคยชินก่อนพูดต่อด้วยท่าทางที่ดูจริงจังกว่าครั้งแรก “ที่ช้าเพราะฉันต้องไปอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เบื้องบนฟัง เขาจะได้เลิกมองเอเลนในแง่ลบ แต่ช่างเถอะ! ก่อนอื่นดูนี่ซะก่อนนะ”

    เธอล้วงเข้าไปในกระเป๋าดึงวัตถุสีเงินแวววาวมาวางบนโต๊ะ เอเลนมองด้วยความแปลกใจ

    “ช้อนชางั้นหรือครับ”

    ฮันซี่หันไปทางเด็กหนุ่มพร้อมกับผงกศีรษะรับ

    “ใช่ แขนขวาของไททันที่เอเลนปล่อยออกมาจับสิ่งนี้อยู่ด้วยนิ้วชี้และนิ้วโป้ง” เธอหยิบช้อนขึ้นมาประกอบคำอธิบาย “ฉันคิดว่าเรื่องนี้มันไม่น่าจะเกิดขึ้นโดยบังเอิญ ยิ่งกว่านั้นไม่รู้ว่าทำไมความร้อนและแรงดันถึงไม่ทำให้รูปร่างของช้อนเปลี่ยนไป พอจะนึกอะไรออกไหม”

    เธอทิ้งท้ายด้วยประโยคคำถาม เอเลนนิ่งคิด

    “ถ้าจำไม่ผิดตอนนั้นช้อนมันหล่นผมเลยก้มลงเก็บแล้วหลังจากนั้นผมก็เปลี่ยนเป็นไททัน”

    คำพูดของเด็กหนุ่มทำให้ฮันซี่ทำตาโต

    “อย่างนี้นี่เอง ครั้งนี้เหตุผลที่นายกลายเป็นไททันไม่ได้ในตอนแรกอาจจะเป็นแบบนั้น ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าไททันในทรอสต์ ป้องกันกระสุนปืนใหญ่หรือยกก้อนหินก็ตามรวมถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นก็มีเป้าหมายที่ชัดเจนก่อนแปลงเป็นไททัน เพราะเจตนาที่ทำให้ตัวเองได้รับบาดเจ็บอย่างเดียวอาจจะไม่พอ ถ้าไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจนก็จะทำให้แปลงร่างไม่ได้”

    เอเลนยืนมุ่นคิ้วไล่เรียงเหตุการณ์ตามลำดับตามที่ฮันซี่บอก นับตั้งแต่การเป็นไททันครั้งแรกเขาสูญเสียแขนขาแต่ความตั้งใจอันแรงกล้าในตอนนั้นคือ เขาอยากฆ่าไททันให้หมด ครั้งตกอยู่ท่ามกลางกลุ่มกองกำลังรักษาการณ์และโดนยิงด้วยปืนใหญ่สิ่งที่เขาคิดเพียงอย่างเดียวก็คือปกป้องอาร์มินกับมิคาสะ ส่วนการแปลงกายที่ทรอสต์เป้าหมายที่มุ่งมั่นคือยกก้อนหินไปอุดกำแพง

    “จะว่าไปการแปลงร่างเป็นไททันครั้งนี้ก็คล้ายๆกับตอนที่ป้องกันกระสุนปืนใหญ่ แต่ว่าแปลงเป็นไททันเพื่อเก็บช้อนนี่มันยังไงกันแน่”

    ใบหน้างดงามฉายความงุนงง สงสัยไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น บางทีเขาอาจเป็นตัวประหลาดไปแล้วก็เป็นได้คิดพลางชำเลืองตาไปทางรีไวพอเห็นสีหน้าสงบเรียบเฉยของอีกฝ่ายหัวใจของเด็กหนุ่มก็หล่นวูบไปอยู่ที่ตาตุ่ม

    หัวหน้ารีไวคงเห็นเขาเป็นตัวประหลาดที่น่าขยะแขยงไปแล้วแน่ๆ

    เอเลนคิดด้วยความเศร้าใจ เด็กหนุ่มไม่สนหรอกว่าคนทั้งโลกจะมองเขาเป็นตัวอะไร ขอเพียงแค่หัวหน้ารีไวเห็นเขาเป็นคนพิเศษเท่านั้นก็พอแล้ว ระหว่างที่จิตใจกำลังฟุ้งซ่านนั่นเองความคิดที่กำลังกระเจิดกระเจิงถูกดึงกลับมาด้วยเสียงของกุนเทอร์

    “สรุปว่าทีนายทำลงไปก็ทำโดยไม่รู้ตัวงั้นสินะ”

    เอเลนพยักหน้ารับ

    “ครับ”

    กุนเทอร์ถอนใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนหันไปมองหน้าเอลโด้จากนั้นทั้งสี่ก็ยกมือขวาขึ้นมากัดเต็มแรง การกระทำของพวกเขาสร้างความตื่นตะลึงต่อฮันซี่เป็นอย่างมากเอเลนซึ่งตั้งสติได้เป็นคนแรกรีบพูด

    “เดี๋ยวครับ! รุ่นพี่คิดจะทำอะไรกันแน่ครับ”

    น้ำเสียงเต็มไปด้วยความตระหนกและคาดไม่ถึงส่วนรีไวยืนมองด้วยใบหน้าสงบนิ่งเหมือนรู้อยู่แล้วและเข้าใจความคิดของลูกน้อง

    “เจ็บแฮะ” กุนเทอร์บ่นหลังจากถอนฟันออกจากมือของตัวเอง เอลโด้มองรอยจ้ำครึ่งวงกลมอันเกิดจากแรงกัดบนหลังมือ

    “แบบนี้เจ็บเอาเรื่องเลย” พูดพลางหันไปมองเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลที่ยังคงยืนทำหน้าตื่น “เอเลนนายกัดตัวเองแบบนี้บ่อยเลยสินะ”

    กุนเทอร์ลดมือข้างนั้นลงและมองเอเลนอย่างสำนึกผิด “พวกเราน่ะมองนายผิดไปแล้ว นี่เป็นสิ่งแทนคำขอโทษดังนั้นพวกเราจะไม่พูดเรื่องนั้นอีก”

    จอมปากมากอย่างออรูโอ้ดูเหมือนจะสำนึกผิดมากกว่าคนอื่นกระนั้นก็ยังไม่วายวางท่า

    “การควบคุมตัวนายคืองานของเราอยู่แล้ว เราจะไม่ทำอะไรผิดพลาดอีก อย่าเอาแต่ใจตัวเองล่ะเจ้าเด็กบ้า”

    เพตร้าแอบใช้ศอกถองสีข้างเพื่อนก่อนส่งยิ้มอย่างอ่อนโยนให้

    “ขอโทษนะเอเลนที่พวกเราสั่นกลัวกัน มันคงทำให้เธอผิดหวังสินะแต่ว่าถึงอย่างนั้นพวกเราก็ต้องพึ่งเธอและอยากให้เธอพึ่งพวกเราบ้าง เพราะฉะนั้นเชื่อใจพวกเราด้วยเถอะนะ”

    ใบหน้าของรุ่นพี่ไม่ได้เคร่งขรึมอย่างที่ชอบทำเป็นประจำ หากเต็มไปด้วยความหนักแน่นดุจยืนยันว่าคำพูดที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นกลั่นออกมาจากหัวใจ เอเลนมองรุ่นพี่ทั้งสี่ไล่ไปทีละคน นับตั้งแต่ถูกนำตัวไปคุมขัง โดนกองสารวัตรสอบสวน คำข่มขู่เหยียดหยามสารพัดที่ไหลพร่างพรูออกมาจากปากของคนเหล่านั้นทำให้เด็กหนุ่มแทบหมดความเชื่อใจในตัวมนุษย์และคงกลายร่างเป็นไททันบดขยี้กำแพงให้แหลกคามือไปนานแล้วหากผบ.เอลวิน ฮันซี่และหัวหน้ารีไวไม่อ้าแขนรับเข้าหน่วยสำรวจ กระนั้นการเข้าร่วมกับหน่วยพิเศษที่ได้ชื่อว่าสามารถฆ่าไททันได้มากที่สุดทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจตลอดมาเพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะถูกคนพวกนี้สังหาร แต่ในวันนี้หลังจากเกิดเรื่องไม่คาดฝัน การกระทำของรุ่นพี่รวมถึงประโยคเมื่อครู่ทำให้เอเลนเกิดความเชื่อมั่นอีกครั้ง เขาส่งยิ้มให้กับรุ่นพี่ทุกคนก่อนตอบด้วยน้ำเสียงที่แสดงถึงความโล่งใจ

    “ครับ” มือยกขึ้นทาบบนแผ่นอกด้านซ้ายเพื่อแสดงความเคารพ “ผมขอสัญญาว่าจะเชื่อใจรุ่นพี่ทุกคน ขอฝากตัวด้วยนะครับ”

    เอลโด้ กุนเทอร์และเพตร้าพยักหน้ารับ ส่วนออรูโอ้แกล้งทำเป็นเมินหน้าไปด้านอื่นแต่ปากกับพูดออกมา

    “เชอะ! นั่นควรเป็นคำพูดของฉันต่างหากไอ้เด็กเหลือขอ”

    สายใยแห่งความเชื่อมั่นของหน่วยรีไวสร้างความประทับใจต่อฮันซี่เป็นอย่างมาก เธอยกแขนข้างหนึ่งโอบไหล่เอลโด กุนเทอร์และเพตร้าเอาไว้ส่วนอีกข้างดึงเอเลนเข้าไปกอด

    “เห็นแบบนี้แล้วชื่นใจจัง การสำรวจครั้งนีต้องประสบความสำเร็จแน่ๆ” ดวงตาวิบวับเลื่อนไปทางคนตัวเตี้ยที่ยืนหน้าง้ำ “ใช่ไหมรีไว”

    “เออ” รีไวพูดห้วนๆพลางมองแขนข้างที่โอบรอบตัวเอเลนเอาไว้อย่างไม่ชอบใจนัก “ปล่อยมือได้แล้วยายแว่นวิปริต”

    ฮันซี่แกล้งทำเป็นกอดเด็กหนุ่มแน่นขึ้น “ไม่มีทาง ฉันรักเอเลนนี่นา”

    คิ้วของรีไวขมวดมุ่นหนักกว่าเก่า ดวงตาสีเทาทอแสงวาวโรจน์อย่างน่ากลัว

    “เลิกทำเสียงทุเรศๆแบบนั้นเสียทีได้ยินแล้วขยะแขยงเป็นบ้า” เขาจ้องหัวหน้าหมู่เจ้าปัญญาอย่างเอาเรื่อง “เอเลนเหนื่อยมาทั้งวันปล่อยเขาได้แล้ว”

    เพราะรู้นิสัยว่าขืนดันทุรังแกล้งต่อไปตัวเธอเองนั่นแหละที่จะโดนเชือด ฮันซี่จึงยอมคลายอ้อมแขนแต่โดยดีกระนั้นก็ยังไม่วายกระเซ้า

    “แค่กอดเท่านั้นไม่ได้ปล้ำสักหน่อยทำเป็นหวงไปได้”

    คำพูดของหัวหน้าหมู่จอมเพี้ยนทำให้ลูกน้องทั้งสี่หูผึ่ง ทุกคนหันไปมองรีไวเป็นตาเดียวส่วนตัวต้นเรื่องกลับยืนยิ้มแฉ่งหน้าระรื่นเหมือนถูกใจที่หาเรื่องแกล้งคนตัวเตี้ยได้

    “พวกแกจะมองหาสวรรค์วิมานอะไร” รีไวพูดห้วนๆซึ่งได้ผลเพราะทุกคนรีบหันหน้าหลบ กำราบลูกน้องเสร็จก็เบนเข็มไปทางฮันซี่ “หมดเรื่องแล้วใช่ไหม”

    พออีกฝ่ายทำหน้าเป็นผงกศีรษะหงึกๆเขาก็ออกคำสั่ง “พวกแกไปพักได้”

    ทั้งสี่รวมทั้งเอเลนชักแถวออกจากห้องแต่ฮันซี่กลับเอ่ยเรียก

    “เอเลน”

    “ครับ” เด็กหนุ่มขานรับพร้อมกับหันหน้ากลับมา หัวหน้าหมู่เจ้าปัญญาดึงแว่นขึ้นก่อนออกคำสั่งด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึม

    “นายต้องอยู่ที่นี่ก่อน” เธอหันไปทางรีไว “ฉันมีเรื่องต้องพูดกับเขา ตามลำพัง” เน้นคำพูดท่อนสุดท้ายอย่างเจาะจงชายหนุ่มมุ่นคิ้วอย่างไม่ชอบใจนักแต่ก็ยอมเดินออกจากห้องโดยดี ทิ้งระยะให้ห่างพอสมควรแต่ยังอยู่ในสายตาเขาจึงสั่งงานกับลูกน้องทั้งสี่ก่อนอนุญาตให้กลับขึ้นห้อง จากนั้นก็ยืนรออีกพักใหญ่เอเลนจึงเดินออกมา สีหน้าที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด เศร้าสร้อยทำให้ชายหนุ่มนึกเอะใจ

    “เอเลน” เขาเรียกแต่ฮันซี่ซึ่งก้าวตามหลังเอ่ยขัดขึ้นก่อน

    “นายกลับขึ้นไปนอนพักดีกว่านะ”

    เด็กหนุ่มพยักหน้ารับและเดินเลี่ยงจากไปโดยไม่พูดไม่จา รีไวคว้าเสื้อฮันซี่หมับทันที

    “แกพูดอะไรกับเอเลน”

    “เปล่านี่” สาวแว่นจอมเพี้ยนปฏิเสธหน้าตาเฉยแต่อีกฝ่ายไม่เชื่อเลยสักนิด เขาขยำเสื้อในมือจนยับยู่ยี่เป็นเชิงขู่ว่าหากไม่ตอบแขนของเธอจะตกอยู่ในสภาพเช่นเดียวกัน 

    “บอกมาเดี๋ยวนี้ฮันซี่!

    หัวหน้าหมู่คนเก่งกลอกตาขึ้นฟ้าอย่างเบื่อหน่ายก่อนลดลงมาจ้องคนตัวเตี้ย

    “แค่เตือนอะไรบางอย่างเท่านั้น”

    “อะไร” ถามเสียงห้วนเพราะเริ่มจะหมดความอดทน ฮันซี่จึงถอนใจออกมาเบาๆ

    “นายลืมไปแล้วหรือว่าพวกชนชั้นสูงกับคนข้างในกำแพงมองเอเลนด้วยสายตาแบบไหนและคิดยังไงกับเขาบ้าง ที่ฉันบอกไปก็คือให้เขารู้จักระงับอารมณ์อย่าได้ไปสนใจเสียงนกเสียงกาพวกนั้น”

    “คำพูดแค่นี้ไม่น่าทำให้เอเลนหงอย” รีไวพูดเสียงเข้ม “แกต้องพล่ามมากกว่าที่บอกแน่ๆ”

    “ฉันว่านายคิดมากเกินไปแล้วรีไว เอาอย่างนี้อยากรู้มากนักทำไมไม่ไปถามเจ้าตัวเองล่ะจะได้รู้ว่าที่ฉันพูดไปน่ะจริงหรือเปล่า”

    รีไวมองหน้าฮันซี่เขม็งคล้ายชั่งใจว่าควรเชื่อดีหรือไม่และยอมคลายมือในที่สุด

    “ไม่จำเป็น เอเลนเป็นเด็กเข้มแข็ง คำพูดสั่วๆของเธอทำอะไรเขาไม่ได้หรอก”

    “คิดอย่างนั้นได้ก็ดี” ฮันซี่พูดพลางยกมือขึ้นโบก “ดึกมากแล้วฉันขอตัวไปนอนก่อนละ นายเองก็เหมือนกันอย่าเอาแต่หมกมุ่น ไปนอนได้แล้ว”

    คำหยอกเย้าอย่างรู้ทันที่ถูกทิ้งท้ายทำให้รีไวเปลี่ยนความตั้งใจแรกที่จะไปเยี่ยมเอเลนเพื่อดูว่าจมอยู่กับคำพูดบ้าๆของยัยแว่นวิปริตอยู่หรือเปล่าเป็นเดินตรงดิ่งกลับห้อง ลากเก้าอี้มานั่งและเพ่งสมาธิทั้งหมดไปกับกองเอกสารบนโต๊ะเพื่อมิให้จิตใจคอยพะวงถึงเด็กหนุ่ม แต่ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็ไม่เป็นผลเพราะพอจ้องกระดาษใบหน้าแสนสวยก็ผุดขึ้นมาหลอกหลอนอยู่ร่ำไป

    “บ้าเอ๊ย!” ชายหนุ่มสบถออกมาอย่างหงุดหงิดก่อนผลักรายงานทั้งตั้งออกจากตัวแต่หัวก็ยังคิดถึงเจ้าเด็กเหลือขอไม่หยุด เขาต้องเค้นสมองอย่างหนักเพื่อหาเรื่องอื่นมาบดบังความคิดดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นแผนการสำรวจครั้งต่อไปกระทั่งหวนย้อนนึกถึงเรื่องการสอบสวนอันแสนหฤโหดในห้องขังแต่ท้ายที่สุดตัวเขาเองนั่นแหละที่ดึงเอเลนเข้ามาในความคิดพร้อมกับประโยคของฮันซี่ที่สะท้อนไปมาอยู่ในห้วงสำนึก

    ฉันว่านายคิดมากเกินไปแล้วรีไว เอาอย่างนี้อยากรู้มากนักทำไมไม่ไปถามเจ้าตัวเองล่ะจะได้รู้ว่าที่ฉันพูดไปน่ะจริงหรือเปล่า

    “ชิ”

    เขาพ่นลมหายใจออกมาแทนการระบายอารมณ์ ไม่ว่าจะเบนไปทางไหนสุดท้ายเรื่องก็วกกลับมาที่เอเลน แบบนี้แล้วเขาควรทำยังไง หาเรื่องอื่นมาทำเพื่อกลบเกลื่อนหรือเดินไปดูให้หมดเรื่องหมดราว

    แล้วทำไมเขาต้องเป็นฝ่ายไปหาเจ้าเด็กเหลือขอนั่นด้วยล่ะ? รีไวถามตั้งคำถามกับตัวเองอย่างตั้งแง่  พลันอีกคำถามก็ดังสวนขึ้นมาว่า เขาทนเห็นเอเลนต้องนั่งร้องไห้อยู่บนเตียงเพียงลำพังได้อย่างนั้นหรือ? ความคิดนั้นสร้างความกดดันจนทำให้รีไวต้องบดกราม ตกลงแล้วเขาควรเลือกหัวข้อไหน ไปหาเอเลน หรือนั่งทำไม่รู้ไม่ชี้อยู่ในห้อง ปล่อยทุกอย่างให้ดำเนินไปตามยถากรรม

    ใช่ ถ้าเป็นคนอื่น แต่สำหรับเอเลนแล้วเขายอมไม่ได้

    รีไวหยุดความคิดไว้แค่นั้น ก่อนใช้กำปั้นทุบโต๊ะดังปังและลุกยืนขึ้นเดินตรงไปที่ประตู เขาไม่สนกฎเกณฑ์บ้าบออะไรทั้งสิ้น ไม่สนความพินาศของมวลมนุษย์ชาติ ไม่สนคำสั่งปัญญาอ่อนของใครหน้าไหน ผู้ที่เขาแคร์ในตอนนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้น

    เอเลน  

    มือยื่นไปที่ประตูแต่ยังไม่ทันได้แตะกลอนกลับต้องหยุดชะงัก เมื่อมีเสียงเคาะดังขึ้นเบาๆ รีไวมุ่นคิ้วอย่างนึกขัดใจเพราะคิดว่าเป็นกุลเทอร์หรือเอลโด้ ดึกป่านนี้แล้วเจ้าบ้าพวกนั้นยังจะมีเรื่องอะไรมากวนใจเขาอีก คิดพลางร้องถามเสียงห้วน

    “นั่นใคร?”

    คนด้านนอกนิ่งเงียบไม่ยอมตอบ รีไวจึงเปิดประตูพร้อมกับกระชากเสียงด้วยความโมโห

    “ฉันถาม ว...” เขาหยุดคำพูดค้างไว้แค่นั้นเมื่อเห็นคนตรงหน้า ก่อนเรียกชื่อด้วยน้ำเสียงที่นุ่มขึ้น

    “เอเลน !

    */*/*/*/*

                                                                                                                                     

                                                                                                                                        

       

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×