ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fic Attack on Titan] My Spy ฉันขอหัวใจของนายนะ (รีไวxเอเลน)

    ลำดับตอนที่ #8 : 8

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 5.03K
      165
      1 พ.ค. 57

     การตายของมาร์โคทำให้รีไวทำงานอย่างบ้าระห่ำถึงขนาดซ้อมเจ้าของบ้านอุปถัมภ์ปากเสียด้วยการเตะจนฟันหลุดจากปาก เอลวินจึงต้องเรียกเขากลับหน่วยเพื่อตักเตือนและสั่งให้ถอนตัวจากคดีเพื่อมิให้ถูกผู้ใหญ่และสื่อมวลชนเพ่งเล็ง

    ถึงจะโดนถอดจากคดีของมาร์โค แต่ข้อมูลที่ได้จากเจ้าของบ้านซึ่งพอเห็นเลือดของตัวเองเท่านั้นก็เกิดอาการใจเสาะ ยอมคายข้อมูลออกมา ทำให้รู้ว่าแท้จริงแล้วบ้านอุปถัมภ์แห่งนี้เป็นแหล่งหาเงินของผู้มีอิทธิพลคนหนึ่ง ซึ่งตอนนี้แฝงตัวอยู่ในวงการของนักการเมือง แม้จะไม่ได้ระบุว่าเป็นใครแต่ก็ตรงกับข้อมูลที่ทางเอฟบีไอได้มา เอลวินจึงสั่งให้รีไวเฝ้าสังเกตการณ์คนกลุ่มนั้น โดยเน้นย้ำจำเพาะแค่สส.แมทธิว ฟูลไชน์ กับแอนนี่ เลออนฮาร์ท เลขานุการประจำตัว ส่วนแจนกับโคนี่ถูกสั่งให้ติดตามนายตำรวจเบลทรูท ฮูเบอร์ผู้ต้องสงสัยฆ่าอิซาเบล

    หลังฟังคำสั่งและแยกย้ายกันไปปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งที่ได้รับ ฮันซี่ย้อนกลับไปยังห้องปฏิบัติการเพื่อตรวจหาหลักฐานจากร่างของผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม ส่วนเพตร้านั่งจมออยู่หน้าคอมพิวเตอร์เพื่อค้นประวัติทั้งของเหยื่อและผู้ต้องสงสัย ในขณะที่เอลวินนำซาช่ากลับไปยังบ้านอุปถัมภ์แห่งนั้นอีกครั้ง เพราะสงสัยพฤตกรรมบางอย่างของเด็กบางคน

    การแยกกันสืบหาทำให้ได้ข้อมูลสำคัญมาหลายอย่าง แต่แทนที่จะสรุปรายงานกันในห้องประชุมของเอฟบีไอ เอลวินกลับพาลูกทีมไปนั่งในร้านของมิคาสะ และใช้วิธีพูดคุยกันด้วยภาษาที่เป็นรหัสลับ ซึ่งต่อให้เป็นคนในหน่วยงานเดียวกันแต่ไม่ได้อยู่ในทีมของเขาแล้ว ไม่มีวันเข้าใจ

    เอเลนซึ่งเติมกาแฟให้กลุ่มของเอลวินไปแล้วถึงสามเหยือก ยืนเมียงมองอยู่ห่างๆด้วยความสงสัยเพราะไม่เห็นรีไวเข้าประชุมด้วย ตอนแรกเขาคิดว่าอานเป็นเพราะเพิ่งหายไข้ เลยกลับบ้านเพื่อพักผ่อนแต่พอนึกได้ว่าคนบ้าพลัง เจ้าอารมณ์ หายใจเข้าออกเป็นงานตลอดเวลาอย่างนั้นไม่มีทางกลับบ้านก่อนแน่ เด็กหนุ่มจึงตั้งคำถามต่อไปว่า ถ้าอย่างนั้นแล้วรีไวหายไปไหน ถ้าเกี่ยวกับเรื่องคดีที่กำลังทำ ทำไมเอลวินจึงส่งเขาไปเพียงคนเดียว   

    คิดพลางเดินเลียบเคียงไปใกล้ๆและแกล้งเติมกาแฟให้กับหัวหน้าหน่วยทีมสืบสวนก่อนเอ่ยปากถามไปตามตรง

    “คุณรีไวไม่มาด้วยหรือครับ”

    “เขาแยกไปทำงานต่างหากน่ะ”

    “ไปคนเดียวหรือครับ” เอเลนถาม “แล้วไม่อันตรายเหรอ”

    เอลวินเงยหน้าขึ้นมองเด็กหนุ่มแล้วยิ้ม

    “เขาไม่เป็นอะไรหรอก”

    “จะแน่ใจได้ยังไงกันครับ ในเมื่อเพิ่งเกิดเรื่องกับคุณมาร์โค...”เอเลนหยุดคำพูดไว้แค่นั้นและถอนใจออกมา “คดีนี้มันอันตรายมากเลยนะครับ”

    “ผมรู้ เอเลน” เอลวินพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบพลางหยิบภาพถ่ายใบหนึ่งขึ้นมาดู เด็กหนุ่มมองตามแล้วขมวดคิ้ว

    “”นี่มันคุณแอนนี่ไม่ใช่เหรอครับ”

    หัวหน้าทีมสืบสวนเลิกคิ้ว

    “รู้จักด้วยเหรอ”

    “ก็นิดหน่อยครับ เธอเคยมานั่งที่ร้านนี้สองสามครั้ง”

    คำตอบของเอเลนทำให้เอลวินวางภาพถ่ายในมือลง ส่วนคนในทีมหันมามองด้วยสีหน้าตกใจ

    “คุณแอนนี่มาที่ร้านนี้ด้วยเหรอ” เอลวินถามด้วยน้ำเสียงตระหนก “เมื่อไหร่”

    เอเลนทำท่านึก

    “น่าจะอาทิตย์ที่แล้วครับ”

    “ทำไมถึงไม่บอกเราก่อนล่ะเอเลน” แจนพูดเชิงตำหนิจนเด็กหนุ่มหน้าเสีย ฮันซี่จึงแก้ตัวให้แทน

    “อย่าไปโกรธเอเลนเลยน่า อย่าลืมสิว่าเขาไม่รู้เรื่องพวกนี้”

    แจนจึงนั่งนิ่งปล่อยให้ฮันซี่หันไปทางพนักงานเสิร์ฟหนุ่ม “คุณแอนนี่ชอบดื่มอะไรเหรอเอเลน”

    “ดูเหมือนจะเป็นเอสเพรสโซ่ชนิดเข้มข้นครับ”

    “แล้วขนมล่ะ”

    เอฟบีไอสาวถาม เอเลนทำท่านึก

    “ดูเหมือนจะเป็นสโคนครับ เห็นเธอบอกว่าทานง่ายดี”

    “จำได้หรือเปล่าว่าเธอนั่งตรงไหนบ้าง” คราวนี้เอลวินเป็นคนถาม เอเลนหมุนตัวไปทางซ้ายและชี้ไปยังโต๊ะที่อยู่ไม่ห่างจากจุดที่พวกเอฟบีไอนั่งเท่าใดนัก

    “เธอชอบมานั่งตรงนี้ครับ ผมเองยังแปลกใจอยู่เหมือนกันเพราะส่วนใหญ่พวกที่มาคนเดียวมักเลือกมุมติดกับกระจกหน้าร้าน แต่คุณแอนนี่กลับเลือกโต๊ะที่อยู่ในมุมอับ”

    พอฟังคำตอบแล้วเอลวินจึงหันไปพยักหน้าให้ฮันซี่กับแจน ทั้งคู่จึงเดินไปที่โต๊ะดังกล่าวและเริ่มตรวจค้นทุกซอกทุกมุม ไม่เว้นแม้ในกระถางไม้ประดับ มิคาสะซึ่งยืนมองอยู่นานจึงเดินมายืนกอดอกถาม

    “หาอะไรกันอยู่”

    “คอนเทคเลนส์ครับ” แจนเงยหน้าขึ้นตอบเลยโดนฮันซี่ถองเต็มแรง เพราะฟังแล้วไม่เข้าท่าเลยสักนิด แต่มิคาสะไม่สนใจเพราะเธอเดินกลับไปที่เคาท์เตอร์ เปิดลิ้นชักดึงถุงสีน้ำตาลใบใหญ่ออกมา

    “พวกคุณหาไอ้นี่มากกว่า” พูดพลางวางโครมตรงหน้าเอลวิน พอเปิดดูก็เห็นอุปกรณ์ขนาดเล็กคล้ายไม่โครโฟนถึงสามอัน

    “คุณเจอที่ไหน”

    เขาถาม มิคาสะชี้ไปที่กระถางต้นไม้ข้างโต๊ะที่ระบุว่าแอนนี่ชอบมานั่งกับแจกันตกแต่งร้านที่วางไว้ใกล้ๆกับส่วนที่เอลวินชอบใช้เป็นที่ประชุม เอเลนยื่นหน้ามามองด้วยความปละหลาดใจ

    “ผมทำความสะอาดแถวนั้นทุกวัน ไม่เห็นเจอของพวกนี้เลย”

    “เพราะนายมันเป็นพวกอ่อนหัดไง” เสียงทุ้มตอบมาจากทางด้านหลัง เด็กหนุ่มสะดุ้งและหันกลับไปมอง

    “คุณรีไว”

    “เออ” อีกฝ่ายตอบห้วนๆพลางดึงเก้าอี้มานั่งและออกคำสั่งทันที “ขอกาแฟถ้วยสิ”

    ปากที่กำลังคลี่รอยยิ้มหุบลงทันใด เอเลนเดินไปหยิบถ้วยและรินมาจนเต็มปรี่ก่อนนำมาวาง

    “กาแฟร้อนมาแล้วครับ”

    เขาพูดโดยจงใจเน้นคำว่าร้อน ให้อีกฝ่ายได้ยิน แต่รีไวไม่สนเลยสักนิด เขาวางมือรอบปากถ้วยเหมือนที่ชอบทำเป็นประจำและยกขึ้นดื่มเข้าไปอึกใหญ่จากนั้นก็วางถ้วยที่กาแฟพร่องไปเกือบครึ่งลงก่อนถาม

    “ฝีมือแอนนี่ใช่ไหม”

    “”ใช่” เอลวินตอบ “เธอรู้ว่าเราย้ายที่ประชุมจากสำนักงานใหญ่มาที่นี่ เลยตามมาติดเครื่องดักฟัง”

    พูดพลางใช้ปากกาเขี่ยอุปกรณ์สีดำเบาๆก่อนหันไปทางมิคาสะ “คุณเจอของพวกนี้เมื่อไหร่”

    “ตั้งแต่คุณแอนนี่เข้ามานั่งวันแรก” หญิงสาวตอบ เอลวินพยักหน้าช้าๆ

    “ทำไมถึงคิดว่าเธอติดเครื่องดักฟัง”

    “วิธีการมองของผู้หญิงคนนั้นแตกต่างไปจากคนอื่น ดูเผินๆเธอมองไปรอบๆเหมือนลูกค้าทั่วไป แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าเธอกำลังคำนวณบางอย่างไปด้วย แถมยังลุกไปล้างมือบ่อยๆทั้งที่กินแค่กาแฟกับ

    สโคนแค่ชิ้นเดียวเท่านั้น”

    “คุณเป็นคนช่างสังเกตจริงๆ ถ้าเป็นคนอื่นคงมองผ่านไปเฉยๆไม่คิดอะไรแบบนี้หรอก” แจนขมอย่างออกนอกหน้า มิคาสะเม้มปากน้อยๆก่อนพูดเสียงเรียบเรื่อย

    “ก่อนมาที่นี่ ฉันเคยเจอคนประเภทนี้มาบ้าง อีกอย่างมีพวกเอฟบีไอมานั่งในร้านเป็นประจำ เลยต้องระวังตัวเป็นพิเศษ ว่าแต่พวกคุณเถอะ ออกมาประชุมข้างนอกแบบนี้ทำไมไม่รู้จักระวังกันบ้าง”

    “ตอนนั้นเรายังไม่รู้ตัวผู้ต้องสงสัย” เอลวินตอบและหันไปทางรีไว “ได้อะไรมาบ้าง”

    “ทางนั้นระวังตัวเลยสืบอะไรได้ไม่มาก” ชายหนุ่มตอบพร้อมกับเลื่อนซองสีน้ำตาลให้ หัวหน้าทีมจึงดึงเอกสารที่อยู่ข้างในมาเปิดอ่าน

    “นี่มัน”

    “ใช่ ตอนแรกที่เจอฉันก็ว่ามันดูทะแม่งๆ เลยค้นลึกลงไปอีกหน่อย” รีไวพูดพลางยกกาแฟขึ้นดื่มด้วยสีหน้าที่เอเลนเห็นแล้วรู้ได้เลยว่า เขาทั้งเหนื่อยและหิว “น่าตกใจใช่ไหมที่เลขาฯสส.ชื่อดังมากจากบ้านอุปถัมภ์ แถมเคยอยู่ในกลุ่มอันธพาล”

    “ซึ่งต่างจากตัวของสส.แมทธิวซึ่งมาจากครอบครัวมีฐานะอย่างสิ้นเชิง” เอลวินพูดพลางเคาะโต๊ะอย่างใช้ความคิด “ทั้งที่ความจริงแล้วมีคนเหมาะสมกับตำแหน่งนี้มากมาย ทำไมเขาจึงเลือกแอนนี่มาเป็นเลขาฯ”

    “ที่ทำแบบนั้นเพราะเหตุผลสองอย่าง” รีไวพูดและชะงักเมื่อเอเลนวางจานแซนวิชไว้ข้างตัว ตอนแรกเกือบถามออกไปเหมือนกันแต่พอเห็นสายตาของเอลวิน เขาจึงพูดต่อ “ข้อแรก แอนนี่ได้เกียรตินิยมอันดับต้นจากเอ็มไอที ข้อสอง เธอเป็นพยานคนสำคัญตอนท่านสส.ขับรถชนคนตาย”

    “ฟังเหมือนโดนข่มขู่ชะมัด” แจนเปรยออกมาพอให้ได้ยิน เอลวิลขมวดคิ้ว

    “แต่ผมคิดว่าบางทีนั่นอาจเป็นแผนของแอนนี่ คำถามก็คือเธอจะทำไปทำไม และเพื่ออะไร เพราะถ้าด้วยเหตุผลที่ว่ามาจากบ้านอุปถัมภ์แห่งนั้นก็ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน”

    “อาจจะเป็นความผิดปรกติด้านจิตใจ” ซาช่าพูด ฮันซี่ซึ่งกำลังอ่านข้อมูลที่รับมาจากเอลวินผงกศีรษะช้าๆ

    “ฉันเห็นด้วย เพราะจากรายงานของรีไวกับบันทึกของบ้านอุปถัมภ์ มีการพูดถึงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่มีนิสัยก้าวร้าว ชอบจับสัตว์จำพวกนก หมาและแมวมาทรมาน ถึงจะไม่ระบุชัดว่าเป็นใครแต่ถ้านับจากช่วงอายุฉันคิดว่าน่าจะเป็นแอนนี่”

    “มันก็แค่ข้อสันนิษฐานเท่านั้น ไม่พอจะขอหมายค้นรถของเธอเลยด้วยซ้ำ” เอลวินสรุป “ทางคุณสองคนล่ะ” เขาหันไปถามแจนกับโคนี่ที่ถูกส่งไปติดตามนายตำรวจเบลทรูท ทั้งคู่ส่ายหน้า

    “นอกจากประวัติที่เรารู้อยู่แล้ว นอกนั้นไม่ได้อะไรเลยครับ” โคนี่เป็นคนตอบ หัวหน้าทีมนิ่งไปเล็กน้อยก่อนระบายลมหายใจออกมา

    “เขาคงรู้ตัวแล้วว่าถูกจับตามอง”

    “แบบนี้ก็เท่ากับเราคว้าน้ำเหลวสิครับ” แจนพูดแต่เอลวินกลับสั่นศีรษะ

    “ไม่หรอก คนเรายิ่งระวังมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเผลอมากเท่านั้น คุณสองคนติดตามเบลทรูทเอาไว้ ผมเชื่อว่าเขาต้องเผลอคายความลับของตัวเองออกมาแน่”

    “แล้วฉันล่ะ” ฮันซี่ยกมือถาม

    “เธอกลับไปห้องปฏิบัติการ ตรวจสอบหลักฐานทุกอย่างให้ละเอียด ดูว่าอะไรพอจะโยงไปถึงผู้ต้องสงสัยทั้งสองคนนั้นได้บ้าง”

    “ฉันจะกลับไปเฝ้าแอนนี่ตามเดิม” รีไวพูดขึ้นแต่เอลวินกลับส่ายหน้า

    “ให้เพตร้ากับซาช่าทำหน้าที่นี้ดีกว่า ฉันคิดว่าแอนนี่น่าจะรู้ตัวแล้วว่าถูกติดตามและน่าจะเห็นด้วยว่าเป็นใคร ผู้หญิงคนนี้ฉลาดมาก ถ้าเกิดแจ้งตำรวจว่านายเป็นพวกจิตทรามล่ะก็ หลักฐานทุกอย่างที่ได้มาจะใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้”

    “แล้วจะให้ฉันทำอะไร” ถามเสียงกระด้าง คนเป็นหัวหน้าหยิบเอกสารที่เพิ่งได้มากลับเข้าซองพร้อมกับพูด

    “ฉันรู้ว่านายอดนอนมาสองวันเพราะฉะนั้นคืนนี้กลับบ้าน วางทุกอย่างให้หมดแล้วนอนพักให้เต็มที่ แล้วพรุ่งนี้จะบอกอีกทีว่าให้ทำอะไร”

    “เพื่อนสองคนถูกฆ่า แล้วนายยังจะให้ฉันกลับไปนอนเฉยๆโดยไม่ทำอะไรอย่างนั้นหรือ”

    “ใจเย็นๆรีไว”

    “ถ้าใจร้อนป่านนี้ฉันเอาปืนยัดปากพวกมันไปนานแล้ว” ชายหนุ่มพูดลอดไรฟัน และถอนใจเมื่อเห็นเอลวินมองอย่างกังวล “ก็ได้เอลวิน ฉันจะทำตามที่นายบอก”

    “ดี” หัวหน้าทีมพูดพลางมองนาฬิกาข้อมือ “ดึกมากแล้ว ขอให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อน พรุ่งนี้เจอกันตอนเช้าที่ห้องประชุมของเอฟบีไอ”

    ทุกคนรับคำพร้อมกัน จากนั้นก็เก็บข้าวของและทยอยกันออกจากร้านไปทีละคน จนกระทั่งเหลือแต่เอลวินกับรีไว

    “ยังไม่กลับอีกเหรอ” หัวหน้าทีมถามพร้อมกับลุกขึ้น คนตัวเตี้ยตอบโดยไม่มองหน้า

    “ขอนั่งให้สบายใจก่อน”

    อีกฝ่ายเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ เพราะเมื่อครู่รีไวดูหงุดหงิดกับคำสั่ง แต่มาตอนนี้กลับสงบอารมณ์ได้อย่างประหลาด แต่พอเหลือบไปเห็นเอเลนที่กำลังยืนแอบมองอยู่ในเคาท์เตอร์แล้วเขาก็ยิ้มอย่างรู้ทัน

    “อย่าให้นานนักล่ะ เกรงใจเจ้าของร้านเขาบ้าง” มือหนาวางบนไหล่ก่อนก้มลงไปกระซิบ “แต่ถ้าจะให้สบายใจมากกว่านั้น ฉันขอแนะนำให้นายเอากลับบ้านไปด้วย”

    พูดพร้อมกับชำเลืองตาไปที่เด็กหนุ่ม รีไวมองตามแล้วขมวดคิ้ว

    “หยุดพูดแล้วออกไปเลย”

    เสียงขุ่นอย่างไม่สบอารมณ์ แต่เอลวินกลับหัวเราะและตบไหล่ชายหนุ่มสองสามครั้งก่อนก้าวออกจากร้าน พอไปกันหมดทุกคนแล้วรีไวจึงดื่มกาแฟที่เหลือจนหมดและนั่งมองเหม่อออกไปนอกร้านเหมือนกำลังจมอยู่ในความคิด มารู้ตัวอีกทีก็พบว่าตรงหน้ามีเพียงถ้วยของเขาซึ่งมีกาแฟอยู่เต็มกับจานแซนวิช ส่วนแก้วของคนอื่นถูกเก็บไปหมดแล้ว ร้านในตอนนี้เหลือเพียงมิคาสะ เอเลนและตัวเขาเท่านั้น

    “รับกาแฟเพิ่มอีกไหมครับ” เสียงน่ารักของเอเลนเอ่ยถาม รีไวมองถ้วยตรงหน้าและสั่นศีรษะ

    “ไม่ล่ะ” พูดพลางยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู “ดึกขนาดนี้แล้วหรือเนี่ย”

    เขาหยิบซองเอกสารบนโต๊ะและลุกขึ้นเดินไปที่ประตู แต่ยังไม่ทันเปิด เอเลนซึ่งก้าวตามมาก็พูดด้วยเสียงพอให้ได้ยิน

    “เสียใจด้วยนะครับ”

    คิ้วของรีไวมุ่นเข้าหากัน

    “เรื่องอะไร”

    “ที่คุณมาร์โคต้อง....” เด็กหนุ่มหยุดคำพูดไว้แค่นั้นและก้มหน้าลงมองพื้น “ถึงผมจะไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมากนัก แต่ก็เข้าใจดีว่าความสูญเสียทำให้เราต้องเศร้าแค่ไหน ยังไงคุณรีไวก็อย่าเสียใจ และเข้มแข็งเอาไว้นะครับ”

    คำปลอบโยนอันใสซื่อทำให้รีไวตื้นตันจนนึกคำพูดไม่ถูก ยิ่งเห็นดวงตากลมโตสีเขียวมรกตที่มองมาอย่างเป็นห่วงด้วยแล้ว เขาแทบอยากจะดึงร่างเล็กๆตรงหน้าเข้ามากอดไว้แนบอกเพื่อให้หายเศร้า แต่พอนึกได้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังทำคดีสำคัญและอาจถูกคนร้ายจับตามอง การแสดงความสนิทสนมมากเกินไปจะทำให้เอเลนพลอยได้รับอันตรายไปด้วย เพื่อตัดปัญหาดังกล่าวชายหนุ่มจึงได้ทำได้แค่พูดสั้นๆ

    “ขอบใจ”   

    พูดจบก็เดินออกจากร้านไปที่รถและขับออกไป เอเลนมองตามจนอีกฝ่ายพ้นไปจากสายตาแล้วจึงปิดประตู เก็บกวาดร้านโดยบอกให้มิคาสะขึ้นนอนไปก่อนเหมือนทุกครั้ง พอทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วเด็กหนุ่มก็เตรียมจะปิดไฟเพื่อขึ้นไปนอนบ้าง แต่ต้องหยุดชะงักเมื่อเห็นจานแซนวิชที่เขายกจากโต๊ะมาวางไว้บนเคาท์เตอร์

    “เขายังไม่ได้กินอะไรเลยนี่นา” เอเลนพูดกับตัวเองเบาๆขณะนึกถึงรีไว ถึงจะเพิ่งรู้จักกันแต่จากการสังเกตถึงนิสัยและลักษณะการทำงานแล้ว เด็กหนุ่มรู้ดีว่านอกจากกาแฟที่เขาเสิร์ฟให้ ผู้ชายคนนั้นยังไม่มีอะไรตกถึงท้องแน่ เรื่องกลับไปทำกินเองที่บ้านก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะจำได้ว่าตอนเฝ้าไข้ เขาเอาของทุกอย่างในตู้เย็นมาทำอาหารหมดแล้ว คิดพลางมองแซนวิชอย่างลังเล จะเอาไปให้ก็ดึกเกินไป ป่านนี้อีกฝ่ายคงเข้านอนไปแล้ว ขืนสุ่มสี่สุ่มห้าไปเคาะประตูเรียกอาจโดนกำปั้นหรือท่าเตะพิฆาตที่ทำให้ฟันร่วงจากปากได้ง่ายๆ ครั้นจะปล่อยเอาไว้แบบนี้ก็น่าสงสารเกินไป เพราะเท่าที่เห็น รีไวดูเครียดและเหนื่อยกว่าทุกวัน

    ที่สำคัญคนบ้างานแบบนั้น ป่านนี้คงยังไม่นอนหรอก

    เหตุผลสุดท้ายทำให้เอเลนตัดสินใจทำแซนวิชเพิ่มอีกชุด และเขียนจดหมายบอกให้มิคาสะรู้ว่า เขาไปไหน พอแปะไว้หน้าตู้เย็นแล้วเด็กหนุ่มจึงสวมแจ็คแก็ต คว้าถุงแซนวิชเดินออกจากร้าน เลี้ยวเข้าซอยเล็กซึ่งเป็นทางลัดไปที่พักของรีไว

    พอไปถึง เด็กหนุ่มกลับยืนหันรีหันขวางอยู่หน้าห้อง เพราะกลัวว่าถ้าเกิดคนข้างในหลับไปแล้วแต่ต้องมาตื่นเพราะโดนเรียก เขาอาจถูกอัดติดกำแพงหรืออะไรที่หนักกว่านั้น ลังเลอยู่ครู่ใหญ่ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ตัดสินใจเคาะประตู และสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงถอดกลอนดังแกรกเบาๆ พอประตูเปิดออกเขาก็รีบปั้นหน้ายิ้มทันที

    “สวัสดีครับคุณรี...”คำพูดถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอเมื่อเห็นสภาพเกือบเปลือยของคนตรงหน้า เด็กหนุ่มรีบหลุบสายตาลงมองพื้นและพูดเสียงสั่น “ขอโทษครับ”

    “มีอะไร” เสียงห้วนแบบมะนาวไม่มีน้ำถาม พอเห็นอีกฝ่ายอึกอักพูดอะไรไม่ออก รีไวก็เบี่ยงตัวไปด้านข้างพร้อมกับกล่าวเชื้อเชิญ “เข้ามาก่อนสิ”

    “ไม่เป็นไรครับผมแค่”

    “ฉันบอกให้เข้ามา” เอฟบีไอหนุ่มสั่ง แม้จะหวาดกลัวแต่เอเลนกลับทำตามอย่างว่าง่าย แต่ก็อดสะดุ้งไม่ได้เมื่ออีกฝ่ายปิดประตู

    “มีธุระอะไร” รีไวถามประโยคเดิมพลางเดินไปหยิบผ้าขนหนูมาพาดไหล่ เด็กหนุ่มจึงยื่นถุงแซนวิชให้โดยไม่ยอมมองหน้า

    “ผมเอานี่มาให้ครับ”

    “ไอ้นี่ของนายน่ะมันคืออะไร” ชายหนุ่มย้อนถามโดยไม่ยอมรับ ทำให้เอเลนจำต้องหันไปมองและหน้าแดงก่ำเพราะต้องจ้องแผ่นอกเปลือยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    “เอ่อ...ใส่เสื้อก่อนดีไหมครับ”

    “ฉันกำลังจะอาบน้ำ” รีไวพูดเสียงกระด้างพร้อมกับยกมือขึ้นกอดอก “นายยังไม่ได้ตอบคำถามฉันนะเจ้าหนู”

    “ผมชื่อเอเลนครับ”

    “เจ้าหนู” อีกฝ่ายย้ำด้วยคำพูดเดิมเหมือนต้องการยั่ว และยิ้มมุมปากเมื่อเห็นเด็กหนุ่มโกรธจนหน้าแดง

    “ผมเอาแซนวิชมาให้” เอเลนกระแทกเสียงพูดพร้อมกับยื่นถุงกระดาษให้ รีไวมองและเลิกคิ้วสูง

    “ไม่ยักรู้ว่าร้านนายมีบริการส่งถึงที่ด้วย” เขาจ้องเด็กหนุ่มเขม็ง “แต่ฉันไม่ได้สั่ง”

    “ผมทราบครับ แต่แซนวิชนี่เป็นอันที่ผมทำให้คุณ พอเห็นว่ายังไม่ได้กินเลยคิดว่าคงลืม แถมร้านแถวนี้คงปิดหมดแล้ว ผมกลัวว่าคุณจะหิวเลยเอามาให้”

    รีไวมองถุงกระดาษในมือเด็กหนุ่มด้วยดวงตาวาววับ

    “รู้หรือเปล่าว่าตอนนี้มันกี่โมงกี่ยามกันแล้ว” เขาถามเสียงเข้ม พอเห็นอีกฝ่ายมีท่าทางอึกอักพูดอะไรไม่ออกชายหนุ่มจึงข่มขู่ต่อ “นายบุกมาห้องฉันด้วยเรื่องแค่นี้หรือ”

    “ขอโทษครับ แต่ผม”

    “ฉันไม่อยากฟังข้อแก้ตัวของนาย” รีไวพูด “กลับบ้านไปซะ เอาถุงบ้าๆของนายกลับไปด้วย”

    คำพูดนั้นเหมือคมมีดกรีดลงไปบนหัวใจ เอเลนมองคนตรงหน้าอย่างน้อยใจ ทั้งที่อุตส่าห์เป็นห่วงทำไมต้องใช้คำพูดทำลายจิตใจกันถึงขนาดนี้

    “ผม...”เขาพูดเสียงสั่น มือกำถุงแซนวิชแน่นจนสั่นระริก “ทั้งที่ผมเป็นห่วง แต่คุณกลับ”

    น้ำใสๆเอ่อล้นขอบตา เด็กหนุ่มรีบปาดมันออกก่อนจะโยนถุงใบนั้นใส่หน้ารีไว

    “คุณรีไวนั่นแหละที่บ้า”

    เขาตะโกนลั่นก่อนวิ่งออกจากห้อง รีไวยืนฟังเสียงฝีเท้าที่ห่างออกไปด้วยความเสียใจพร้อมกับนึกด่าตัวเองอยู่ในใจว่าทำไมต้องใช้คำพูดรุนแรงขนาดนั้น คิดพลางทิ้งตัวลงบนเก้าอี้และเปิดถุงกระดาษ พอเห็นแซนวิชที่ถูกทำมาอย่างดี ชายหนุ่มก็บดกราม

    “เจ้าเด็กบ้า”

    เขาวางถุงไว้บนโต๊ะและหยิบเสื้อมาสวมอย่างร้อนรนก่อนวิ่งตาม

    คุณรีไวบ้า บ้า บ้า

    เอเลนวิ่งพลางพร่ำตัดพ้อในใจไม่หยุด พอห่างจากที่พักของเอฟบีไอหนุ่ม เขาก็ชะลอฝีเท้าลงและเดินพลางร้องไห้ไปพลาง มือยกขึ้นปาดน้ำตาที่ยังคงไหลรินออกมาไม่ขาดสาย

    เจ้าเตี้ยใจร้าย คนเขาอุตส่าห์เป็นห่วง นอกจากจะไม่สนแล้วยังใช้คำพูดทำลายน้ำใจกันอีก

    เด็กหนุ่มคิดและสูดลมหายใจเพื่อกลืนก้อนสะอื้นเข้าไปในคอพร้อมกับตั้งปฏิญาณว่าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายเจ้าอารมณ์คนนี้อีกต่อไป คิดพลางเช็ดน้ำตาอีกครั้งและมองไปรอบๆ แต่ต้องใจหายวาบเมื่อพบว่าตัวเองอยู่ในตรอกเล็กๆที่ไม่คุ้นเลยสักนิด

    “นี่มัน ที่ไหนกัน”

    เขาถามตัวเองพร้อมกับหยุดเดิน มันเป็นตรอกที่ค่อนข้างมืด และเต็มไปด้วยขยะกับสิ่งปฏิกูล ไอน้ำสีขาวพวยพุ่งขึ้นมาจากท่อสกปรก กลิ่นเหม็นของน้ำครำลอยตลบอบอวลไปทั่วสร้างความคลื่นเหียนจนแทบทนไม่ได้

    พอมองเข้าไปในซอกเล็กๆที่มืดสนิท เอเลนต้องสะดุ้งเมื่อเห็นเงาของอะไรบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวไปมา คำขู่เรื่องคนบ้ากามที่รีไวเคยพูดให้ฟังเมื่อหลายคืนก่อนหวนกลับเข้ามาในความทรงจำ เด็กหนุ่มกลับหลังหันเตรียมวิ่งแต่ต้องชะงักเมื่อมีร่างสูงทะมึนยืนขวางทาง

    “หลงทางหรือจ๊ะน้องสาว”

    เสียงอ้อแอ้เหมือนคนเมาเอ่ยถาม เอเลนขยับถอยหนีอย่างหวาดกลัวแต่หลังของเขากลับกระทบกับอะไรบางอย่าง พอหันไปดูจึงรู้ว่าเป็นชายตัวใหญ่ที่มีหนวดเคราสกปรกรุงรัง

    “ถามดีๆทำไมต้องหนีด้วย” เสียงคำรามเหมือนสัตว์ป่าดังออกมาจากร่างนั้น สภาพที่ดูเหมือนยัษ์ปักหลั่นทำให้เด็กหนุ่มจนพูดอะไรไม่ออก ที่น่าโมโหก็คือขาทั้งสองข้างเกิดอาการแข็งเกร็ง ไม่ยอมขยับขึ้นมาเสียเฉยๆ  

    “สงสัยจะเป็นคุณหนูใจแตกที่หนีออกจากบ้าน คืนนี้มีที่นอนแล้วหรือยัง ถ้าไม่มาซุกอกอุ่นของพี่ก็ได้นะสาวน้อย” เสียงที่สามดังมาจากซอกมืด ชายตัวสูงใหญ่กว่าสองคนแรกก้าวเข้ามาคว้าตัวเอเลนเอาไว้และก้มลงมาแทบชิด “โอ๊ะ โอ๋ ไม่ใช่สาวน้อย แต่เป็นหนุ่มน้อยต่างหาก”

    มือหยาบหนาลูบไล้บนใบหน้าอย่างหยาบคาย “ผิวสวยอย่างกับผู้หญิงเลยนะ” มันคว้าคางเด็กหนุ่มและออกแรงบีบบังคับให้เงยขึ้น พอเห็นดวงตาแสนสวยฉายความหวาดกลัว ชายชั่วก็หัวเราะกระหึ่ม

    “ไม่ต้องกลัวพ่อหนูน้อย ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก” พูดพลางหงายมืออีกข้าง “ถ้าบริจาคเงินสักเล็กน้อย พวกเราก็จะปล่อยเธอไป”

    “แต่ผมไม่มี” เอเลนพูดเสียงอู้อี้ อีกฝ่ายทำตาโตและเอียงหน้าเข้าไปหา

    “เธอว่าอะไรนะ”

    “ผมไม่มีเงินติดตัวเลยสักแดง” เด็กหนุ่มพูดพลางสะบัดหน้าเพื่อให้หลุดจากมือของอีกฝ่าย “ปล่อยผมไปเถอะนะ”

    ทั้งสามมองหน้ากัน คนตัวใหญ่ที่สุดแสยะยิ้ม

    “ไม่มีทาง” มือคว้าหมับเข้าที่ลำคอ “เมื่อไม่มีเงิน ฉันก็จะเอาอย่างอื่นแทน”

    เอเลนใจหายวาบเพราะรู้ดีว่า อย่างอื่น ที่คนพวกนี้พูดถึงคืออะไร เด็กหนุ่มเริ่มดิ้นรนขัดขืนและพยายามมือที่แข็งราวกับคีมออก

    “ปล่อย!

    เขาตะโกนลั่นพร้อมกับมองไปรอบๆเพื่อหาคนช่วย ซึ่งไร้ผลเพราะนอกจากชายกักขฬะสามคนนี่แล้ว เด็กหนุ่มก็ไม่เห็นใคร อย่าว่าแต่คนเลย หมาแมวสักตัวก็ไม่มี พอหมดหนทางเขาก็เริ่มตะโกน   

    “ช่วย...”

    ร้องออกมาได้แค่นั้น มือหยาบหนาก็ฟาดเปรี้ยงลงมาจนหน้าสะบัด ถึงอย่างนั้นเอเลนก็ยังไม่ยอมแพ้ พอหายมึนเด็กหนุ่มก็ใช้เท้าทั้งเตะและถีบคนลากไปหลายครั้ง จึงถูกคนตัวใหญ่ซัดด้วยกำปั้นจนจุกพูดอะไรไม่ออก

    “ยอมดีๆก็สิ้นเรื่อง” คนที่ดูเหมือนจะเป็นหัวโจกพูดพร้อมกับเหวี่ยงร่างเล็กๆลงไปกองกับพื้น อีกสองคนรู้หน้าที่ดีจึงแยกกันตรึงแขนและขาของเอเลนเอาไว้ หนึ่งในนั้นมองเด็กหนุ่มอย่างกระหาย

    “เร็วหน่อยได้ไหม” มันเร่งพร้อมกับแลบลิ้นเลียริมฝีปาก เจ้าตัวหัวหน้ามองดวงตาสีเขียวที่เหลือกลานด้วยความหวาดกลัวและแสยะยิ้มอย่างชั่วร้ายขณะรูดซิปกางเกง

    “ไม่ต้องกลัวไปหรอกหนูน้อย” พูดพลางกางแขนคร่อมร่างของเด็กหนุ่มและก้มลงไปกระซิบ “อีกเดี๋ยวเธอก็จะชอบ”

    เสียงต่ำพร่าอย่างหื่นกระหายทำให้เอเลนกลัวจนตัวสั่น ในใจกระหวัดถึงคนที่เพิ่งจากมาและนึกภาวนาขอให้เขามาช่วย พอคนชั่วทาบทับลงบนร่าง เด็กหนุ่มก็กรีดเสียงร้องออกมา

    “คุณรีไว!”  

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×