ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fic Attack on Titan] My Spy ฉันขอหัวใจของนายนะ (รีไวxเอเลน)

    ลำดับตอนที่ #11 : 11

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 4.52K
      139
      5 พ.ค. 57



    นับเป็นเรื่องโชคดีสำหรับเอเลน เพราะวันนี้ร้านกาแฟของเขามีลูกค้าเข้ามาจนแน่น  ทำให้มิคาสะวุ่นอยู่กับการชงกาแฟ หยิบขนม คิดเงินตลอดทั้งวันจนลืมเรื่องที่เขานอนค้างกับรีไวไปสนิท

    ตัวเอเลนเองก็วิ่งบริการลูกค้าจนหัวปั่น ไหนจะต้องคอยหยิบของกินใส่ถุงสำหรับผู้ที่ต้องการนำกลับไปทานที่บ้าน พอถึงเวลาหกโมงเย็นจำนวนของลูกค้าจึงซาลง ทำให้ทั้งสองมีโอกาสหายใจหายคอกันได้บ้าง

    “เหนื่อยเป็นบ้าเลย” เอเลนบ่นพร้อมกับทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ภายในร้าน มิคาสะซึ่งกำลังล้างเครื่องชงกาแฟจึงเอ่ยเตือน

    “ทำความสะอาดไปด้วยสิเอเลน”

    “ผมขอพักก่อน” เด็กหนุ่มอ้อนวอนแต่ต้องลุกพรวดเมื่อมิคาสะแกล้งกระแทกหัวชงดังปัง! เขารีบคว้าไม้ถูมาทำความสะอาดพื้นทันที

    “ใจร้ายจัง ขอพักหน่อยก็ไม่ได้”

    เอเลนบ่นอุบและหุบปากเงียบเมื่อหญิงสาวเคาะอะไรสักอย่างดัง บึ้ก!

    “ถ้าเกิดมีลูกค้าเข้ามาในร้านตอนนายนั่งพักล่ะ” เธอถาม เอเลนยักไหล่และตอบโดยไม่มองหน้า

    “ผมก็เข้าไปบริการเขาเหมือนเคยแหละครับ”

    “โดยมีเศษของขนมกระจายเต็มพื้นไปหมดแบบนี้น่ะเหรอ” หญิงสาวย้อนเสียงห้วน “ลองสมมติดูว่าถ้าเป็นตัวเธอเองจะทำยัง ถ้าเข้าไปในร้านอาหารที่สกปรกแบบนี้”

    เอเลนเงียบ เถียงไม่ออก เขาเหลือบตามองมิคาสะที่กำลังยืนเท้าสะเอวอยู่ในเคาท์เตอร์แวบหนึ่งก่อนพูดพอให้ได้ยิน

    “ขอโทษครับ”

    “สำนึกได้ก็ดี” หญิงสาวพูด “เช็ดหน้าร้านเสร็จแล้วอย่าลืมไปล้างถ้วยในครัว”

    “ครับ”

    เอเลนรับคำเสียงอ่อยและก้มหน้าก้มตาทำความสะอาดร้านตามสั่ง แต่ทำไปได้แค่ครึ่งเดียวก็หยุดเพราะมีลูกค้าเข้ามาในร้าน เด็กหนุ่มรีบนำไม้ถูพื้นกับถังน้ำไปวางไว้ด้านในและล้างมือจนสะอาดก่อนออกมารับออร์เดอร์ โต๊ะแรกเป็นชายหญิงซึ่งน่าจะเป็นคู่รัก ส่วนโต๊ะที่สองเหมือนนักธุรกิจที่มาทำธุระแถวนั้น พอนำรายการชุดแรกไปส่งให้มิคาสะ เด็กหนุ่มจึงเดินไปลูกค้าคนสุดท้ายที่นั่งอยู่โต๊ะด้านในสุด

    “รับอะไรดีครับ” เขาถามอย่างสุภาพ และขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นลูกค้าคนนี้สวมเสื้อผ้าค่อนข้างมิดชิด แถมสวมฮู้ดปิดหน้าของตัวเองเอาไว้ด้วย

    “คาปูชิโน่”

    เสียงตอบเบาจนแทบไม่ได้ยิน พอจดเรียบร้อยแล้วเอเลนจึงถามต่อตามประสาพนักงานที่ดี

    “รับขนมเพิ่มไหมครับ”

    อีกฝ่ายส่ายหน้า เด็กหนุ่มจึงเดินไปส่งรายการเครื่องดื่มให้มิคาสะ และรอจนนำขนมและเครื่องดื่มไปเสิร์ฟให้ลูกค้าจนครบ จึงหยิบผ้ามาทำความสะอาดโต๊ะที่เหลือ

    ต่อจากนั้นไปจนกระทั่งถึงสามทุ่ม ก็มีลูกค้าแวะเวียนเข้ามาตลอดเวลา แต่ไม่ได้แน่นเหมือนตอนกลางวัน และกลุ่มสุดท้ายที่เปิดประตูร้านก็คือทีมของเอลวิน

    “สวัสดีครับ” เอเลนเอ่ยทักเสียงใส ตามองไล่ไปทีละคนและยิ้มกว้างขึ้นเมื่อเห็นคนสุดท้ายก้าวเข้ามา “สวัสดีครับคุณรีไว”

    “เออ” อีกฝ่ายตอบสั้นๆพร้อมกับหย่อนตัวนั่งและเอ่ยปากสั่งทันที “ขอกาแฟแก้วสิไอ้หนู”

    “ได้ครับ” เอเลนรับคำอย่างร่าเริงโดยไม่ลืมรับรายการที่เหลือจากเอลวินและทีม พอเด็กหนุ่มเดินไปที่เคาท์เตอร์ แจนก็ยื่นหน้าเข้าไปหารีไว

    “เจ้าหนูนั่นรู้หรือว่านายกินอะไร”

    อีกฝ่ายมองด้วยหางตา

    “รู้สิ กาแฟไง”

    “กาแฟมันมีตั้งหลายอย่าง และฉันก็ไม่เคยเห็นนายบอกเลยว่าชอบแบบไหน”

    รีไวเบือนหน้าหนีเหมือนไม่อยากตอบคำถาม ฮันซี่จึงเป็นคนพูดแทน

    “คนรู้ใจไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมากหรอก”

    “หมายความว่ายังไง” แจนตีหน้าเซ่อ ฮันซี่หัวเราะคิกคัก

    “แหม อะไรกัน นี่นายยังไม่รู้อีกเหรอเนี่ย” เธอลดเสียงลงและทำเป็นกระซิบกระซาบ “รีไวเขาหลงรักเอเลน”

    “เฮ้ยยย!!!” แจนร้องลั่น และรีบตะครุบปากเมื่อคนที่กำลังพูดถึงหันมามองตาวาว เขาแกล้งทำเป็นมองซ้ายมองขวาและก้มลงไปพูดกับฮันซี่เบาๆ

    “แล้วเอเลนรู้หรือเปล่า”

    “พูดยากนะ แต่พักหลังฉันเห็นเจ้าหนูนั่นทำท่าดีอกดีใจเวลารีไวมาด้วย” ฮันซี่ตอบและคงร่ายอีกยาวถ้ารีไวไม่ขัดขึ้นมา

    “จะพูดเรื่องนี้กันอีกนานไหม”

    “แหม เขินเป็นด้วย” เอฟบีไอหญิงกระเซ้า รีไวนิ่วหน้าก่อนพูดห้วนๆ

    “ไม่ได้เขิน แต่รำคาญ” ชายหนุ่มหยุดพูดทันทีเมื่อเอเลนนำกาแฟมาวางให้กับทุกคน โดยของเขาเป็นถ้วยสุดท้าย

    “เข้มแบบที่คุณรีไวชอบครับ” เด็กหนุ่มบอกและยืนยิ้มแป้นในแบบที่ทำให้คนเห็นใจเต้น

    “ขอบใจ”

    รีไวพูดสั้นๆพร้อมกับเลื่อนมือไปหยิบแต่พอเห็นว่าทุกคนพร้อมใจกันมองตรงมาที่เขา เอฟบีไอหนุ่มจึงชักมือกลับพร้อมกับพูดอย่างเป็นงานเป็นการ

    “เรื่องคดีว่ายังไง”

    “คดีไหนล่ะ” เอลวินแกล้งถาม รีไวมุ่นคิ้ว

    “ก็เจ้ากุ๊ยสามตัวที่ฉันให้ลากคอเข้าตารางไปเมื่อคืน”

    คำพูดของเขาทำให้เอเลนหูผึ่ง

    “คุณจับสามคนนั่นไปแล้วเหรอครับ”

    “ใช่”

    “ตอนไหนครับ ทำไมผมไม่รู้”

    รีไวขยับจะตอบแต่ช้ากว่าฮันซี่ที่ยื่นหน้าไปพูด

    “เมื่อคืน พอหมอนี่เหยียบเจ้าสามตัวนั่นจนม้ามแลบแล้วก็โทร.เรียกตำรวจให้มาลากคอพวกมันไป เธอโชคดีมากนะเอเลนที่มีบอดี้การ์ดประจำตัวเก่งแบบนี้ ต่อไปใครกล้ามาแหยม โทร.เรียกหมอนี่ไปอัดมันได้เลย”

    “พูดมากน่า” รีไวขัดด้วยความรำคาญก่อนหันกลับไปทางเด็กหนุ่ม “ถึงจะจับสามคนนั่นได้ นายก็ยังไม่ควรออกไปไหนตามลำพัง”

    “บ้านคุณก็ไม่ได้หรือครับ” เอเลนพาซื่อถาม เสียงหัวเราะคิกคักจากคนข้างหลังทำให้รีไวต้องพยายามนับหนึ่งถึงสิบเพื่อไม่ให้ตัวเองลุกขึ้นไปเหยียบปากเพื่อน

     “ไม่ได้!

    “ใจร้ายจัง” เสียงฮันซี่เปรยเบาๆและทำเป็นดื่มกาแฟอย่างไม่รู้ไม่ชี้ รีไวชำเลืองมองเธอด้วยหางตาแต่ไม่ได้พูดตอบโต้อะไร เพราะยังคงสนใจอยู่กับเอเลน

    “ถึงจะจับสามคนนั่นไป นายยังต้องระวังตัว” เขาหันไปพูดกับเด็กหนุ่มอย่างเป็นงานเป็นอีก อีกฝ่ายขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

    “ทำไมล่ะครับ ในเมื่อคุณจับโจรสามคนนั่นไปได้ ผมก็น่าจะปลอดภัยแล้วไม่ใช่เหรอ”

    คราวนี้รีไวถึงกับถอนใจกับความอ่อนต่อโลกของเอเลน

    “โลกนี้ไม่ได้มีโจรแค่สามคน ถึงจับพวกนี้ไปก็ยังมีคนอื่นอยู่อีก” เขามองหน้าเด็กหนุ่ม “เข้าใจที่ฉันพูดหรือเปล่า”

    เอเลนมีท่าทางลังเล

    “ครับ”

    “ดี” รีไวหลุดปากอย่างโล่งใจก่อนหันไปหยิบกาแฟขึ้นมาดื่ม เสียงฮันซี่พูดพอให้ได้ยิน

    “เชื่อฟังแบบนี้ต้องเป็นศรีภรรยาที่ดีแน่”

    ชายหนุ่มสำลักกาแฟพรวดออกมาทันที

    “ยัยฮันซี่!

    */*/*/*/*

    นับเป็นปรากฏการณ์ประหลาดอีกเรื่อง ที่วันนี้เอลวินสั่งให้ลูกน้องทุกคนออกจากร้านของมิคาสะเร็วกว่าทุกครั้ง ทั้งที่โดยปรกติแล้วทั้งหมดมักจะนั่งพูดคุยกันจนเลยเวลาเสมอ

    พอเอ่ยปากบอกให้แยกย้ายกันกลับบ้าน ทุกคนต่างลุกขึ้นพร้อมกัน ยกเว้นรีไวที่ยังคงนั่งนิ่งจนเอลวินต้องบีบไหล่เป็นการเตือน

    “กลับได้แล้วรีไว”

    “แต่ฉันยัง...”ชายหนุ่มจะแย้งแต่ต้องหยุดเมื่อเห็นสายตาเชิงปรามจากคนเป็นหัวหน้า “ก็ได้”

    เขาเหลือบมองเอเลนด้วยหางตาและพบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องตรงมาเช่นเดียวกัน เขาจึงแตะแขนเสื้อเอลวินเหมือนบอกว่าให้รอเดี๋ยวก่อนเดินไปหาคนที่อยู่ด้านใน

    “อย่าออกไปไหนเป็นอันขาด”

    ถึงไม่ค่อยเข้าใจแต่ก็รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วง เอเลนจึงพยักหน้ารับ

    “ครับ”

    “ดี”

    พูดแค่นั้นก็หมุนตัวเดินจากมาแต่พอออกจากประตูเขาก็หยุดและหันกลับไปมองด้วยความกังวล เอลวินจึงพลอยชะงักตาม

    “มีอะไร”

    “ไม่รู้เหมือนกัน” รีไวพูดและถอนใจออกมา “ช่างเถอะ บางทีฉันอาจคิดมากไปเอง”

    พูดจบก็เดินไปที่รถและขับออกไป

    พอทุกคนออกไปกันหมดแล้วมิคาสะจึงสั่งให้เอเลนปิดร้าน หลังจากทำความสะอาดข้าวของเครื่องใช้ทุกอย่างรวมถึงนำถุงขยะออกไปทิ้งแล้ว เด็กหนุ่มจึงปิดไฟทุกดวงจากนั้นก็ขึ้นชั้นบน อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็เข้าห้องนอน เนื่องจากห้องของเขาอยู่ด้านมุมจึงเห็นถนนได้บางส่วนรวมถึงทางลัดตรงไปยังอพาทเม้นท์ของรีไว เด็กหนุ่มจึงนั่งริมหน้าต่างและทอดสายตามองออกไปพร้อมกับปล่อยใจให้ล่องลอยไปหาคนที่เขากำลังคิดถึง

    “ป่านนี้คุณรีไวกำลังทำอะไรอยู่นะ” เขาพูดเบาๆเหมือนถามตัวเองและเอนตัวเท้าคางกับขอบหน้าต่าง “ไม่รู้ว่ากินอะไรแล้วหรือยัง ในตู้เย็นก็ไม่มีอะไรเหลือแล้วด้วย”

    เด็กหนุ่มบ่นด้วยความเป็นห่วงและคิดว่าเขาควรเอาของสดที่มีอยู่ในร้านทำมื้อเย็นให้รีไวดีหรือไม่ แต่พอนึกได้ว่าโดนสั่งห้ามออกจากบ้านเขาก็ถอนใจดังเฮือก

    “อยู่ที่นี่มาตั้งนาน ไม่เคยมีเรื่องอะไรเลยสักครั้ง ห้ามทำไมก็ไม่รู้” พูดพลางเคาะคางตัวเองเบาๆและยิ้ม “เราแวบออกไปแป๊บเดียวก็ได้นี่นา คุณรีไวคงไม่ว่าอะไรหรอก”  

    เอเลนยิ้มให้กับแผนการอันชาญของตัวเองก่อนลุกขึ้นเปลี่ยนเสื้อผ้า พอดูจนแน่ใจว่ามิคาสะหลับไปแล้วจึงย่องลงไปยังชั้นล่าง หยิบของในตู้เย็นใส่ถุงเพื่อนำไปให้รีไว

    ร่างเล็กๆก้าวออกจากร้าน มือดึงฮู้ดให้กระชับกับศีรษะขณะที่เจ้าตัวมองซ้ายขวาเหมือนจะดูว่ามีคนเห็นหรือไม่จากนั้นก็เดินก้มหน้า ข้ามถนนเข้าไปในตรอกซึ่งเป็นทางลัด เด็กหนุ่มเดินไปเรื่อยๆอยางสุขใจ มือกอดถุงใส่อาหารแน่นในขณะที่เจ้าตัวร้องเพลงออกมาเบาๆ

    “มีความสุขจังนะ” เสียงห้าวของใครคนหนึ่งดังขึ้น คนตัวเล็กสะดุ้งเฮือกยืนตัวแข็งนิ่ง คนทักสะบัดมีดปลายแหลมออกจากซองและเดินเข้าไปหา

    “ฉันเกลียดคนที่มีความสุข” มันพูดพึมพำพลางเลื่อนมือไปแตะฮู้ดของเอเลนและลูบไล้ไปมา “โดยเฉพาะไอ้พวกเด็กกำพร้าที่ชอบทำเหมือนกับว่าตัวเองมีความสุขเสียเต็มประดา”

    คนตัวโตจ้องคนที่กำลังยืนตัวสั่นเขม็ง และลากคมมีดไล่ตั้งแต่ศีรษะลงไปยังลำคอก่อนจะวนรอบแผ่นหลังเหมือนต้องการขู่ให้อีกฝ่ายเสียขวัญ

    “ไม่ร้องหน่อยเหรอ” เจ้าคนชั่วถามและโน้มตัวลงไปกระซิบ “เมื่อวานแกยังส่งเสียงดังกว่านี้เลยนี่นา”

    มันจ้องเด็กหนุ่มด้วยดวงตาอาฆาตราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ พอเห็นว่าไม่ยอมพูดอะไรออกมาแน่ เจ้าคนชั่วจึงตวัดมีดไปจ่อไว้ที่คอ

    “พูดถึงเมื่อวานแล้วยังเจ็บใจไม่หาย ไอ้สามคนนั่นมันดีแต่ปาก ตัวใหญ่เสียเปล่าแต่กลับไม่มีปัญญาทำอะไรเด็กตัวเล็กๆ”

    เสียงพูดเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง มันมองเอเลนอย่างชิงชังและเขย่าจนตัวโคลง

    “เอ้า! รีบร้องออกมาซะทีสิ ร้องก่อนที่หลอดลมของแกจะโดนเชือด” มันขู่พร้อมกับกดคมมีดให้ลึกลงไปกว่าเดิมและหรี่ตาลง “หรือจะตะโกนเรียกเจ้านั่นให้มาช่วยก็ได้ ฉันจะได้ปาดคอไปทีเดียวพร้อมกัน”

    พูดจบก็หัวเราะออกมาดังลั่นและหยุดคิด

    “ไม่สิ ฉันจะเชือดแขนขาเจ้าเตี้ยรีไวนั่นก่อน จากนั้นก็กรีดเปลือกตาออก ให้มันนอนจมกองเลือดดูแกถูกหั่นเป็นชิ้นเสร็จแล้วค่อยส่งไปลงนรก”

    มันพูดพล่ามราวคนเสียสติแต่พอเห็นเอเลนยืนนิ่งก็นิ่วหน้า “เป็นอะไรไป กลัวจนพูดอะไรไม่ออกเลยเหรอ”

    คิ้วขมวดเข้าหากันเมื่อคนตัวเล็กกว่าไม่ยอมตอบ มือหนาคว้าไหล่หมับบังคับให้หมุนตัวหันกลับมา

    “เป็นใบ้หรือไง พูดอะไรออกมาบ้าง...!” มันชะงักคำพูดค้างเมื่อฮู้ดที่สวมอยู่หลุดจากศีรษะ แต่คนที่อยู่ตรงหน้ากลับไม่ใช่เอเลน

    “เพตร้า!

    หญิงสาวปัดมือมันอย่างแรงและดีดตัวถอยหลังออกห่างพร้อมกับดึงปืนที่ซ่อนอยู่ตรงข้อเท้าออกมา   

    “หยุดอยู่ตรงนั้นแหละไรเนอร์” เธอตะโกนสั่งพร้อมกับเล็งปืนไปที่หน้าผากของคนร้าย “โยนมีดมาข้างหน้า และค่อยๆนอนคว่ำลงไป ช้าๆนะ”

    เพตร้าพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ ไรเนอร์จึงค่อยๆโยนมีดไปใกล้ตัวเธอและชูมือขึ้นพร้อมกับคุกเข่าลง ดวงตาสีฟ้าอำมหิตจ้องเอฟบีไอสาวเขม็งอย่างอาฆาต

    “พวกแกวางแผนกันเอาไว้หรือนี่” ไรเนอร์พูดและหันมองรอบตัวพร้อมกับพูดท้าทาย “ไม่ต้องซ่อนตัวหรอก ออกมาเผชิญหน้ากันดีกว่า

    เอลวินก้าวออกมาเป็นคนแรก ตามด้วยแจน และรีไว ไรเนอร์แค่นหัวเราะเมื่อไม่เห็นฮันซี่กับโคนี่

    “เจ้าโล้นกับแม่นักวิจัยสมองใสหายไปไหนล่ะ”

    เอลวินไม่ตอบ แต่กลับหันไปทางรีไว

    “ฉันให้เวลาห้านาที”

    “สำหรับอะไร” ไรเนอร์ถามพลางมองรีไวที่เดินมาหยุดยืนข้างหน้าและเหยียดยิ้มเหมือนนึกขึ้นมาได้ “เข้าใจแล้ว แกอยากล้างแค้นให้เจ้าหนูนั่นเอง”

    “หุบปากแล้วลุกขึ้น” รีไวสั่ง ไรเนอร์จึงทำตามอย่างว่าง่ายด้วยการยืนขึ้นอย่างช้าๆและก้มหน้าลงมองคนที่มีความสูงเพียงระดับอกของเขาเท่านั้น

    “เคยคิดเหมือนกันว่าแกเป็นคนตัวเล็ก แต่ไม่นึกว่าจะเตี้ยถึงขนาดนี้”

    ฝ่าเท้าอัดเปรี้ยงลงไปบนปาก รีไวมองไรเนอร์ทั้งที่ขายังยันหน้าเอาไว้

    “สูงพอหรือยัง” เขาถามเสียงเรียบ อีกฝ่ายคำรามลั่นและเหวี่ยงกำปั้นออกไปทันที แต่กลับกลายเป็นชกลม รีไวถอยฉากออกมาก่อน  

    “ฉันจะขยี้แกให้ได้” ไรเนอร์ตะโกนลั่นพร้อมกับพุ่งเข้าใส่ แต่รีไวหลบหลีกได้อย่างคล่องแคล่ว พอได้จังหวะเขาก็เหวี่ยงทั้งมือและเท้าสวนกลับไปไม่ยั้ง จนอีกฝ่ายทรุดลงไปกองกับพื้น

    “พอได้แล้ว” เสียงเอลวินร้องห้าม รีไวจึงยั้งหมัดสุดท้ายเอาไว้และพูดเสียงเรียบ

    “ฉันมีเรื่องต้องถามแกอีกมาก อย่าเพิ่งริบตายไปก่อนล่ะ”

    เขาหมุนตัวเดินไปสมทบกับเอลวิน แจนจึงล้วงกุญแจมือออกมาและเตรียมเข้าไปจับกุม แต่ต้องหยุดชะงักเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าพร้อมร่างของใครบางคนกำลังวิ่งเข้ามา

    “คุณรีไวครับ”

    “เอเลน” ชายหนุ่มอุทานพร้อมกับหันไปมองและเบิกตากว้างด้วยความตระหนกเมื่อเห็นเด็กหนุ่มกำลังมุ่งตรงมายังจุดที่ไรเนอร์นั่งอยู่ “หยุดอยู่ตรงนั้น อย่าเข้ามา!

    เขาร้องห้ามแต่ก็สายเกินไป เพราะไรเนอร์โดดเข้าไปแย่งปืนจากเพตร้าและเล็งไปที่เอเลนอย่างรวดเร็ว

    เปรี้ยง !

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×