ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สายใยรักจิ้งจอกพันปี (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 3 นาทีระทึก !

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.37K
      8
      4 ธ.ค. 58

    บทที่ 3 นาทีระทึก !

              เสียงของฟุรุคาวะดังลงไปถึงชั้นล่างและเงียบหายไปเมื่อมือหยาบหนาของคาวาเบะบีบปากเอาไว้ จากนั้นก็หันไปสั่งลูกน้อง

                “หาอะไรมาปิดปากมันที”

                สมุนคนหนึ่งควักผ้าเข็ดหน้าผืนโตออกมา พอผูกปากเรียบร้อยคาวาเบะก็ก้มลงไปกรอกคำพูดเข้าหูฟุรุคาวะ

                “แย่จังที่ต้องทำแบบนี้ ทั้งที่ฉันอยากได้ยินเสียงครางของนายแท้ๆ”

                เด็กหนุ่มทำเสียงอึกอักและพยายามดิ้นอีกครั้ง อันธพาลประจำโรงเรียนจึงออกคำสั่ง

                “จับมันให้แน่นๆ” มือทั้งสองลูบไล้สะโพกขาวอย่างย่ามใจขณะที่เจ้าตัวแลบลิ้นเลียริมฝีปากด้วยท่าทางหิวกระหาย “ฉันจะเริ่มละนะ”

                พูดจบคาวาเบะก็ปลดเข็มขัด รูดซิปกางเกงและขยับเข้าไปบดเบียดหมายล่วงเกิน แต่ยังไม่ทันได้ลงมือ ประตูห้องก็ถูกเลื่อนให้เปิดเสียงดังโครม

                “เฮ้ย!

                ทั้งสี่อุทานออกมาพร้อมกัน และหันไปจ้องคนที่กำลังก้าวเข้ามาเป็นตาเดียว พอเห็นว่าเป็นใครทุกคนก็ร้องลั่นด้วยความตกใจ

                “ซาคาโมโตะ เคียวยะ!

                “เออ” เขาพูดสั้นๆและพลางใช้สายตามองไล่ไปทีละคน แม้สีหน้าจะดูสงบเยือกเย็นแต่ดวงตากลับทอแสงวาวโรจน์เหมือนเจ้าตัวกำลังเดือดดาล “เย็นป่านนี้แล้วทำไมยังไม่กลับบ้าน”

                “ฉันต่างหากที่ควรจะถามแบบนั้น” อันธพาลประจำโรงเรียนพูดและรูปซิปกางเกงไปพร้อมกัน “เลิกเรียนไปตั้งนานแล้ว คุณหนูอย่างนายยังมาเดินลอยชายหาสวรรค์วิมานอะไร”

                คิ้วเข้มของเคียวยะเลิกขึ้นเล็กน้อย เพราะขณะที่คาวาเบะพูด สมุนของเขาก็เริ่มตีวงล้อมกรอบเข้ามาด้วยสีหน้าที่พร้อมจะลงมือทันทีที่ได้รับคำสั่ง เขาตวัดสายตามองไปทางฟุรุคาวะแวบหนึ่งก่อนเลื่อนกลับมาที่หัวโจกตัวร้าย

                “ฉันชอบขึ้นไปนั่งบนดาดฟ้าเพื่อรอดูพระอาทิตย์ตกดิน” ดวงตาคมเข้มหรี่ลงอย่างมาดร้าย “แต่ไม่คิดเลยว่าจะเจอพวกแมลงสาบ”

                “ว่าไงนะ!” คาวาเบะคำรามลั่น “แกกล้าว่าพวกฉันเป็นแมลงสาบเลยเหรอ”

                “ฉันไม่ได้เจาะจงไปที่ใคร” เคียวยะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อยแต่ตากลับจ้องเขม็งอยู่ที่คนตรงหน้า คาวาเบะกำหมัดแน่น หน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ เขาจ้องอีกฝ่ายอย่างชิงชังก่อนจะเหยียดยิ้ม

                “ถึงจะเป็นพวกซาคาโมโตะ แต่ตอนนี้แกอยู่คนเดียว”

                พูดจบสมุนทั้งหมดก็กรูเข้าไปพร้อมกัน แต่ต้องอ้าปากค้างเมื่อเคียวยะหลบด้วยการกระโดดหมุนตัวตีลังกาขึ้นไปยืนอยู่บนโต๊ะ

                “ทำได้ยังไงกันน่ะ” คนหนึ่งหลุดปากถาม ขณะที่อีกสามคนยืนตะลึงทำอะไรไม่ถูก คาวาเบะจึงตะโกนลั่น

                “มัวยืนเซ่ออะไรอยู่ รีบจัดการมันเร็ว”

                นั่นเองที่ทำให้สามคนได้สติ พวกเขาคว้าเก้าอี้วิ่งเข้าไปหมายจะใช้มันฟาดคนที่ยืนอยู่บนโต๊ะแต่พลาดเพราะเคียวยะกระโดดข้ามหัวลงมาและเตะก้านคอลูกกระจ๊อกสองคนอย่างรวดเร็ว พวกเขาร่วงลงไปกองกับพื้น ส่วนอีกหนึ่งที่เหลือยืนตกตะลึงตาค้าง

                “ไง” ชายหนุ่มพูดก่อนตวัดขาฟาดเข้าที่ใบหน้าอย่างจังจนเจ้านั่นปลิวไปกระแทกกับกระดานดำหน้าห้องและนอนแน่นิ่งไป พอจัดการสมุนทั้งสามแล้ว เคียวยะจึงหันไปทางหัวโจกที่กำลังยืนตัวสั่นกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ

                “แก!” คาวาเบะคำรามพลางมองลูกน้องของตัวเองที่นอนระเนระนาดอย่างแค้นใจ อีกฝ่ายมองเขาอย่างใจเย็น

                “ว่าไง” เคียวยะพูดพร้อมกับกวักมือเรียก “อยากจัดการฉันไม่ใช่เหรอจะมัวรออะไรอยู่ เข้ามาเลยสิ”

                คาวาเบะบดกรามแน่น เขาทั้งโกรธและแค้นจนอยากจะฉีกคนตรงหน้าให้แหลกเป็นชิ้นแต่พอเห็นฝีมือการต่อสู้ที่เหนือชั้นกว่าแล้ว เขาจำต้องยั้งใจเอาไว้เพราะรู้ดีว่าแค่กำปั้นกับจำนวนคนเพียงแค่นี้ไม่มีทางล้มซาคาโมโตะ เคียวยะได้แน่

                คิดทบทวนอยู่หลายตลบ ในที่สุดหัวโจกตัวร้ายก็ตัดสินใจคว้าเก้าอี้ขึ้นมาทุ่มเข้าใส่เคียวยะเต็มแรง พออีกฝ่ายยกมือขึ้นป้อง เขาก็ฉวยโอกาสพุ่งไปที่ประตู จากนั้นก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว

                เคียวยะมองคนหนีแต่ไม่ได้สนใจไล่ตาม เขากวาดตามองลูกสมุนของคาวาเบะที่ยังคงนอนหมดสติด้วยความสมเพชก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังฟุรุคาวะซึ่งตอนนี้ถอยไปยืนตรงมุมห้อง ถึงจะพยายามควบคุมอารมณ์ไม่ให้แสดงออกมาทางสีหน้า แต่มือสั่นเทาขณะจัดเสื้อผ้าให้เข้ารูปทำให้รู้ว่า เขาทั้งตกใจและหวาดกลัว

                “เป็นอะไรหรือเปล่า”

                ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบปราศจากอารมณ์ แต่ดวงตากลับฉายความเป็นห่วงออกมาจางๆ

    ฟุรุคาวะเม้มปากน้อยๆก่อนจะส่ายหน้า

                “ฉันไม่เป็นไร”

                เสียงสั่นตรงกันข้ามกับสิ่งที่พูด เคียวยะจึงเดินเข้าไปหาและยื่นมือออกไปหมายตรวจดูอาการ แต่เด็กหนุ่มกลับสะดุ้งถอยไปจนชิดกำแพง

                “จะทำอะไรน่ะ” เขาถามเสียงดัง มือกุมเสื้อตัวเองแน่น อีกฝ่ายนิ่วหน้า

                “ก็แค่จะดูว่ามีแผลตรงไหนบ้าง”

                “ก็บอกไปแล้วไงว่าฉันไม่เป็นไร” ฟุรุคาวะพูดพร้อมกับปัดมืออีกฝ่ายออกไปและเตรียมเดินหนี แต่พอขยับตัวเท่านั้นเขาก็ทรุดฮวบลง โชคดีที่เคียวยะคว้าเอาไว้ได้ทัน

                “เฮ้ย!” เขาร้องด้วยความตระหนกและหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อพบคนในอ้อมแขนกำลังสั่นไปทั้งตัว

                “เฮ้ เป็นอะไรมากไหม เดินไหวหรือเปล่า” ชายหนุ่มถาม อีกฝ่ายขมวดคิ้วอย่างขัดใจ

                “ฉันไม่เป็นอะไร” กระแทกน้ำเสียงอย่างฉุนเฉียวพร้อมกับผลักอีกฝ่ายออกในขณะเดียวกันก็ดันตัวให้ลุกขึ้น แต่ขาทั้งสองข้างกลับอ่อนปวกเปียกทำให้ล้มลงอีกครั้ง “บ้าเอ๊ย!

                ฟุรุคาวะหลุดปากออกมาด้วยความเจ็บใจ เพราะไม่ต้องการให้นักเรียนใหม่อย่างซาคาโมโตะ เคียวยะเห็นว่าเขาเป็นคนอ่อนแอ ความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้กลัวเจ้าหัวโจกประจำโรงเรียนเท่าใดนัก แต่ที่ไม่มีแรงก็เนื่องมาจากความตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นประกอบกับอาการมึนจากฤทธิ์ฝ่ามือของคาวาเบะมากกว่า

                “ฉันรู้ว่าไม่อยากให้ใครช่วย แต่สภาพแบบนี้นายกลับบ้านเองไม่ไหวหรอก” เคียวยะพูดพร้อมกับยื่นมือเข้าไปหา ฟุรุคาวะขยับตัวหนีอย่างระแวง ตอนแรกก็คิดว่าอีกฝ่ายตั้งแง่แต่พอเห็นสีหน้าของคนเจ็บแล้ว เขาก็ยิ้ม “ฉันไม่อุ้มนายหรอกน่า แค่ประคองไปที่รถเท่านั้น”

                พอได้ยินแบบนั้น ฟุรุคาวะจึงยอมให้เคียวยะพยุงโดยดี เพราะคิดว่าเขาหมายถึงสถานีรถไฟ แต่พอถูกพาไปยังรถยนต์สีขาวซึ่งจอดรออยู่หน้าโรงเรียน เด็กหนุ่มก็หยุดไม่ยอมเดินตามแถมยังขืนตัวและพยายามผลักคนช่วยออกอย่างแรง

                “นายคิดจะทำอะไรกันแน่” ที่ถามออกไปแบบนั้นเพราะหมู่นี้ข่าวเรื่องนักเรียนหนุ่มถูกพาไปสังเวยพวกนักเลงอันธพาลหรือยากูซ่าที่มีรสนิยมแปลกประหลาดแพร่สะพัดไปทั่ว ทำให้ฟุรุคาวะไม่ไว้ใจพฤติกรรมของเคียวยะเท่าใดนัก ยิ่งคิดได้ว่า หมอนี่เองก็เป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพล บางทีเรื่องที่คาวาเบะทำในวันนี้ อาจเป็นแผนที่ต้องการพาตัวเขาไปสังเวยเกย์แก่ๆก็เป็นได้

    ดูเหมือนเคียวยะจะไม่ค่อยเข้าใจความระแวงของฟุรุคาวะมากนัก เพราะเขาตอบกลับมาแบบซื่อๆ“พานายไปส่งบ้าน”

    “ฉันกลับเองได้” ไม่พูดเปล่ายังสะบัดตัวเพื่อให้หลุดจากมือของอีกฝ่าย เมื่อไม่สำเร็จ เด็กหนุ่มจึง

    พูดเสียงเข้มขึ้น “ปล่อยนะ”

                เคียวยะคลายมือออกแต่โดยดี ทำให้ฟุรุคาวะซึ่งยังไม่ทันได้ตั้งตัวล้มทั้งยืน

                “ทำอะไรของนายน่ะ” ฟุรุคาวะพูดด้วยความโกรธพร้อมกับดันตัวให้ลุกขึ้น แต่อาการมึนจากฤทธิ์หมัดของคาวาเบะทำให้เขาเคลื่อนไหวไม่ถนัดนัก ผลสุดท้ายเลยต้องนั่งอยู่กับที่ ส่วนเคียวยะยืนกอดอกมองด้วยใบหน้าที่เฉยชา

                “นายบอกให้ปล่อย”

                “มันก็ใช่ แต่ก็น่าจะรอให้ฉันตั้งตัวก่อน” คนตัวเล็กกว่าพูดด้วยใบหน้าเข้มพร้อมกับลุกขึ้นอีกครั้ง แม้จะยืนได้แต่ก็ยังโซเซไปมาและคงจะล้มลงไปอีกถ้าเคียวยะไม่ยื่นมือไปประคอง

                “ดื้อไม่เคยเปลี่ยน” เขาพูดเบาๆ อีกฝ่ายขมวดคิ้วและหันไปมองหน้า

                “พูดเรื่องอะไรของนาย”

                เคียวยะมองฟุรุคาวะด้วยสายตาที่เหมือนจะฉายความโหยหาอย่างลึกซึ้งออกมา แต่ก็เพียงแวบเดียวเท่านั้น เพราะเขายักไหล่อย่างไม่สนใจ

                “ช่างเถอะ” พูดพลางพยุงอีกฝ่ายไปที่รถ ฟุรุคาวะพยายามฝืนตัวและทำท่าจะปฏิเสธแต่คนขับซึ่งเป็นชายหนุ่มที่น่าจะอยู่ในวัยใกล้เคียงกับทั้งคู่เปิดกระจกรถพร้อมกับชะโงกหน้าออกมาถาม

                “มัวทำอะไรกันอยู่ ฉันหิวข้าวแล้วนะ”

    เสียงทุ้มกล่าวห้วนๆ เคียวยะมองอีกฝ่ายด้วยหางตาก่อนตอบด้วยน้ำเสียงแบบเดียวกัน

    “คิดเป็นอยู่เรื่องเดียวหรือยังไง”

    “ก็มันเย็นแล้วนี่หว่าครับคุณชาย” สารถีโต้กลับมาด้วยท่าทางกวนประสาทก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังฟุรุคาวะ “เห็นสั่งให้วกกลับมาไอ้เราก็นึกว่าลืมของ ที่แท้ก็มารับเพื่อนนี่เอง”

    พลขับจอมกวนตั้งใจจะหยอกให้มากกว่านั้นแต่พอเห็นรอยช้ำบนแก้มกับสีหน้าตระหนกของเด็กหนุ่มแล้ว เขาก็รู้ทันทีว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น พอเห็นฟุรุคาวะยืนนิ่งไม่ยอมขยับ เขาก็คลี่ยิ้ม “ถ้ามันลำบากมากนัก อุ้มเสียก็สิ้นเรื่อง”

                “นั่นสินะ” เคียวยะคล้อยตามอย่างว่าง่ายและช้อนร่างของอีกฝ่ายในทันที ฟุรุคาวะถึงกับเบิกตาโพลง

                “วางฉันลงเดี๋ยวนี้นะเจ้าบ้า!” ไม่พูดเปล่าแถมยังรัวกำปั้นทุบอกคนอุ้มเสียงดังตุบตับ แต่ดูเหมือนเคียวยะจะไม่สะดุ้งสะเทือนเลยสักนิด เพราะเขายังคงเดินเรื่อยๆ ตรงไปที่รถ ข้างฟุรุคาวะพอแน่ใจว่าอีกฝ่ายไม่ยอมวางตัวเองลงง่ายๆ เลยงัดแผนสุดท้ายขึ้นมาขู่ “ถ้าไม่ปล่อยฉันจะร้องให้คนช่วย”

                “เอาเลยสิ คนอื่นจะได้รู้ว่านายเป็นพวกชอบไม้ป่าเดียวกัน” เคียวยะพูดยั่วด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย และอมยิ้มเมื่อคนอ้อมแขนโกรธจนหน้าแดง “ใจเย็นน่า ก็แค่นั่งรถกลับบ้านเท่านั้น ทำเป็นเรื่องใหญ่ไปได้”

                “แต่ฉันไม่ชอบให้ใครไปบ้าน”

                “งั้นก็ส่งแค่บันได” เคียวยะต่อรอง พลางมองแก้มที่มีรอยช้ำ “ยังไงฉันก็ไม่ยอมปล่อยให้คนเจ็บต้องกลับบ้านตามลำพังหรอก”

                “ฉันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย”

                “แน่ใจหรือ”

                ถามพร้อมกับวางฟุรุคาวะไว้ที่เบาะหลังและฉวยโอกาสแตะแก้มเบาๆ เด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัว

                “เจ็บนะ”

                “ไหนบอกว่าไม่เป็นไร” เคียวยะพูดเสียงเย็นและมุดตัวตามเข้าไป พอนั่งเรียบร้อยก็ออกคำสั่ง “ออกรถได้”

                “จะให้ไปไหนล่ะ” คนขับจอมกวนถาม คนเป็นนายนิ่วหน้าและขยับมือไปมาเหมือนอยากจะเขกกะโหลกเขาเต็มแก่แต่กลับเปลี่ยนใจหันไปถามคนตัวเล็กที่นั่งข้างตัว

                “บ้านนายอยู่ไหน”

                ฟุรุคาวะเม้มปากเหมือนไม่อยากบอก แต่พอเห็นสายตาเชิงบังคับของเคียวแล้วเขาจึงจำต้องพูดออกมา อีกฝ่ายพยักหน้าช้าๆก่อนหันไปทางสารถี

                “รู้จักหรือเปล่า”

                “รู้สิ” คนขับตอบพลางลอบมองฟุรุคาวะผ่านกระจกมองหลัง นั่งพิจารณาอยู่นานเขาก็เปรยออกมาพอให้ได้ยิน “ท่าทางเพื่อนใหม่ของนายจะไม่ใช่คนช่างพูดนะ แล้วนี่รู้จักกันยังไง อย่าบอกนะว่านายเข้าไปข่มขู่ บังคับเขาให้ยอมเป็นเพื่อน”

                “พูดมากน่า ทาคุ” เคียวยะตัดบทอย่างรำคาญ แต่อีกฝ่ายไม่สนใจเลยสักนิด เพราะยังคงจ้อไม่หยุด

                “ว่าแต่ไปทำอะไรมา ทำไมถึงช้ำไปทั้งตัวแบบนั้น” คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน “นายซ้อมเขาเหรอ”

                “เขาโดนทำร้ายต่างหาก” เคียวยะตอบพลางมองฟุรุคาวะด้วยความเป็นห่วง ถึงจะเข้ามาเรียนเป็นวันแรก แต่จากประสบการณ์ที่เคยพบนักเลงอันธพาลมามากมายทำให้เขารู้ว่า คาวาเบะไม่มีวันยอมรามือแค่นี้แน่  

                คิดพลางกำหมัดแน่น เขาไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้นแน่ ไม่ว่าคาวาเบะจะมาไม้ไหน หรือใช้วิธีสกปรกยังไง เขาก็จะทำทุกอย่างเพื่อปกป้อง แม้จะตอนนี้จะยังไม่แน่ใจว่าฟุรุคาวะคือคนที่เขาตามหามาโดยตลอดหรือไม่ก็ตาม

    พอนึกถึงตรงนี้ชายหนุ่มก็มองคนข้างตัวอย่างพินิจอีกครั้ง ตอนแรกเขาสะดุดใจกับโครงหน้าที่ละม้ายคล้ายอดีตคนรักอย่างไม่ผิดเพี้ยนแต่เพราะเป็นเด็กผู้ชายเลยยังไม่ปักใจเชื่อเท่าใดนัก ครั้นได้แตะผิวกายโดยตรง ได้นั่งเคียงข้าง เขาจึงสัมผัสกับพลังวิญญาณของฟุรุคาวะที่แผ่ออกมาอย่างเจือจางได้ แม้เวลาจะผ่านมาเนิ่นนาน เขาก็ยังจำกลิ่นไอที่แสนอ่อนโยนแบบนี้ได้ดี มันทำให้เคียวยะเริ่มมีความหวังว่า เด็กหนุ่มคนนี้คือคนรักของเขาที่กลับชาติมาเกิดใหม่อีกครั้ง

                คิดพลางมองคนข้างตัวที่นั่งชิดประตูและถอนใจออกมา

                แม้ว่าในตอนนี้จะเป็นร่างของผู้ชายก็ตาม

                “อ๊ะ ถึงแล้ว จอดรถตรงนี้แหละ” จู่ๆฟุรุคาวะก็พูดขึ้น ทาคุหยุดรถในทันทีทำให้ทั้งเคียวยะกับคนที่นั่งมาด้วยหน้าคะมำไปพร้อมกัน พอตั้งตัวได้ชายหนุ่มก็บ่น

                “ขับรถยังไงกันน่ะ”

                “อย่ามาว่ากันนะ” ทาคุเถียงทันควัน “ก็เจ้าหนูนั่นเล่นบอกกะทันหันนี่หว่า”

                “ค่อยๆจอดก็ได้ ยังไงบ้านเขาก็ไม่หนีไปไหนอยู่แล้ว”

                “อันนั้นน่ะรู้ แต่ฉันกลัวจะเลยไปไกล ขี้เกียจมานั่งฟังนายบ่น” สารถีหนุ่มพูดพลางส่งยิ้มกวนให้อีกฝ่ายผ่านกระจกมองหลัง เคียวยะมุ่นคิ้วแต่ไม่ได้โต้ตอบอะไรเพราะมัวพะวงอยู่กับฟุรุคาวะ แต่พอหันไปก็พบว่าเด็กหนุ่มเปิดประตูเดินลงจากรถไปแล้ว

                “เฮ้ รอด้วยสิ” ร้องเรียกพร้อมกับวิ่งตามจนทัน พอเห็นฟุรุคาวะพยายามเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นเหมือนจะหนีแล้วเขาก็พูด “นายลืมกระเป๋าแน่ะ”

                เด็กหนุ่มหยุดชะงักและเดินย้อนกลับมาดึงกระเป๋าจากมือของเคียวยะ จากนั้นก็หมุนตัวเดินตรงเข้าไปในลิฟต์และกดปุ่มปิดโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเข้ามาแล้วหรือยัง พอมุดตัวตามเข้าไปได้ ชายหนุ่มก็บ่น

                “รอหน่อยก็ไม่ได้”

                “บอกแล้วไงว่าฉันไม่ชอบเชื้อเชิญใครไปที่ห้อง”

                “ก็ไม่จำเป็นต้องชวน ฉันแค่อยากแน่ใจว่านายกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย”

                เคียวยะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเรื่อย ฟุรุคาวะแค่นหัวเราะ

                “ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก ฉันมันเป็นพวกที่ไม่มีตัวตนต่อให้เดินชนยากูซ่าพวกมันก็ไม่สนใจ”

                “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงแล้วทำไมคาวาเบะถึงจ้องเล่นงานนาย” เคียวยะถาม แต่ฟุรุคาวะกลับทำเป็นไม่ได้ยิน เพราะเขาเปิดกระเป๋าแล้วล้วงมือลงไปควานหาอะไรบางอย่างจากนั้นก็หยิบกุญแจดอกหนึ่งออกมา ท่าทางเมินเฉยของเขาทำให้ชายหนุ่มรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมาตงิดๆ เลยแกล้งพูด

                “มาคิดอีกที อาจจะเป็นเพราะความรักหมอนั่นก็เลยทำแบบนั้น แล้วนายละ ชอบเจ้านั่นหรือเปล่า”

                “ใครจะไปคิดเรื่องบ้าๆแบบนั้นกันล่ะ” ฟุรุคาวะแหวขึ้นมาทันควันแต่พอเห็นรอยยิ้มเชิงยั่วของคนตรงหน้าแล้วถึงรู้ว่ามันเป็นแค่คำพูดล้อเล่น เด็กหนุ่มจึงรีบเบือนหน้าหนีพร้อมกับพูดห้วนๆ

                “ส่งเสร็จแล้วก็กลับไปเสียทีสิ”

                “จะไม่ขอบคุณสักคำหรือ” เคียวยะทวงเสียงนุ่ม อีกฝ่ายเม้มปากน้อยๆก่อนสะบัดเสียงพูดอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก

                “ขอบใจ”

                พูดจบก็เข้าไปในห้องทันทีและกระแทกประตูปิดดัง ปัง! เคียวยะมองอยางนึกขำก่อนหมุนตัวเดินกลับไปที่รถ หย่อนตัวนั่งยังไม่เรียบร้อยดี ทาคุซึ่งดูเหมือนจะคันปากอยู่นานก็เอ่ยถาม

                “แน่ใจหรือว่าใช่”

                “ฉันแน่ใจ” เคียวยะตอบเสียงเรียบสีหน้าเต็มไปด้วยความมั่นใจและแฝงไว้ซึ่งความสุข อีกฝ่ายเหลือบดูหน้าเขาผ่านกระจกมองหลังและขมวดคิ้วเหมือนไม่แน่ใจว่าจะพูดประโยคต่อไปดีหรือไม่ แต่สุดท้ายแล้วเขาก็อดเปรยไม่ได้

                “แต่เขาเป็นผู้ชาย”

                “แล้วไง” คนเป็นนายย้อนคำถามกลับและมองชายซึ่งเป็นทั้งสารถีประจำตัวและคนสนิทด้วยดวงตาวาววับก่อนพูดต่อ “จะอยู่ในร่างไหนวิญญาณก็ยังเป็นฟูจิน”

                ทาคุอึ้งไปเล็กน้อยและถอนใจออกมาเบาๆ

                “งั้นก็ตามใจ”

    */*/*/*/*

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×