ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fic Attack on Titan] Counter Attack Mankind

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 6 การพบกันอีกครั้งของเหล่าเพื่อนพ้องรุ่น 104

    • อัปเดตล่าสุด 15 ก.ย. 57


    6

    การพบกันอีกครั้งของเหล่าเพื่อนพ้องรุ่น 104

    หลังจากส่งเอเลน รีไวก็กลับไปยังห้องส่วนตัวชั้นบนเพื่อจัดการงานที่เหลืออยู่ให้เสร็จ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นเอกสารของทางการ รายงานการปฏิบัติงานของผู้ใต้บังคับบัญชากับคำสั่งและแผนการสำรวจของต่อไปของเอลวิน ทุกครั้งเขาจะเตรียมน้ำชาและนั่งลงอ่านเอกสารทุกฉบับอย่างจริงจังจนในบางครั้งถึงกับฟุบหลับคากองงาน แต่ในวันนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น พอเขาหยิบรายงานขึ้นมา จะมีหน้าของใครบางคนผุดขึ้นในความคิด แถมยังแจ่มชัดเสียจนทำให้อ่านอะไรไม่รู้เรื่อง ตอนแรกเขาใช้วิธีลุกจากที่นั่ง แล้วไปยืนมองทิวทัศน์ริมหน้าต่าง พอคิดว่ารวบรวมสมาธิได้ก็กลับมาทำงานอีกครั้ง แต่หน้าของเจ้าเด็กนั่นก็ยังปรากฏขึ้นมาอีกจนได้ แม้รีไวจะพยายามปัดมันให้ออกจากหัว แต่ก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายเขาก็กระแทกเอกสารในมือกับโต๊ะและยกมือขึ้นกุมหน้าผากอย่างหงุดหงิด

    เอเลน เยเกอร์

    ทำไมเขาต้องคอยพะวงถึงเจ้าเด็กเหลือขอนั่นอยู่ตลอดเวลา รีไวตั้งคำถามกับตัวเองก่อนเอนตัวพิงพนักและเงยหน้าขึ้นมองเพดาน เพราะหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ คำสั่งของเอลวินที่กำชับให้เขาเฝ้าดูเจ้าหนูนั่นแบบไม่ให้คลาดสายตา หรือความห่วงใยจากตัวเขาเอง

    ห่วง รีไวทวนคำนี้ในใจก่อนจะลดสายตาลงมามองกองเอกสารตรงหน้า ความจริงแล้วเขามีความรู้สึกนี้กับลูกน้องทุกคน และเสียใจแทบคลั่งทุกครั้งที่เห็นพวกเขาถูกไททันจับกินไปต่อหน้าต่อหน้า แต่เพราะไม่อยากให้คนอื่นรู้ และไม่ชอบฟังคำปลอบโยนจากใคร รีไวจึงเลือกที่จะเก็บอารมณ์และความรู้สึกทั้งหมดเอาไว้ในส่วนลึกของจิตใจ และตีหน้าเฉยไม่รู้ร้อนรู้หนาวมาโดยตลอด

    แล้วจะแปลกตรงไหนที่เขามีความห่วงใยในตัวเอเลน หนึ่งในผู้ใต้บังคับบัญชาเหมือนคนอื่น

    คิดพลางจ้องดูมือของตัวเอง ภาพตอนที่เอเลนกำลังถูกก้อนหินยักษ์ลากลงไปยังก้นหุบเขาหวนกลับเข้ามาในความทรงจำ รีไวยอมรับกับตัวเองว่าทั้งตกใจและเป็นห่วงเด็กหนุ่มใจแทบขาด พอช่วยได้สำเร็จและเห็นว่าปลอดภัยถึงได้เผลอกอดเอเลนไปโดยไม่รู้ตัว

    เขากำมือแน่น แม้เหตุการณ์จะผ่านพ้นไปแล้ว แต่ความรู้สึกถึงสัมผัสนั้นยังคงอยู่ กายที่กำลังสั่นสะท้านเพราะความตระหนกช่างเย้ายวนอย่างน่าประหลาด น้ำใสๆที่ปริ่มอยู่ในดวงตาซึ่งเบิกกว้างช่างน่าสงสารจนรีไวอยากจะซับมันด้วยจุมพิตเพื่อให้หายตกใจ 

    เดี๋ยว จูบงั้นหรือ

    รีไวถามตัวเองและนิ่วหน้าอย่างหงุดหงิด เขาคิดเรื่องบ้าๆแบบนี้ออกมาได้ยังไง โดยเฉพาะกับเจ้าเด็กเหลือขอตัวสร้างปัญหา ที่นอกจากความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าแล้ว ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจเลยสักนิด     

    ยกเว้นดวงตาสีเขียวแสนสวยคู่นั้น มันมีแรงดึงดูดอันทรงเสน่ห์อย่างไม่น่าเชื่อ

    ครั้งแรกที่เห็น ดวงตาคู่นี้เปล่งประกายแห่งความมุ่งมั่น ชิงชังและความแค้นออกมาอย่างรุนแรง ทำให้รีไวรู้สึกถูกใจจนถึงกับเอ่ยปากกับเอลวินว่า เขาจะเป็นคนดูแลเอเลนด้วยตัวเอง พอเข้ามาอยู่ในหน่วยพิเศษ เจ้าเด็กเหลือขอคนนี้ก็ยิ่งสร้างความประทับใจต่อรีไวมากขึ้นทีละน้อย ไม่ว่าจะเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด หรือพยายามทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ตัวเอง

    อีกสิ่งที่รีไวชอบก็คือ เอเลนเป็นพวกปกป้องเพื่อนพ้อง เพราะเขารู้แล้วว่าวันนี้เพตร้าเป็นคนตรวจเครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติ แต่เจ้าเด็กนี่กลับไม่กล่าวโทษหรือโยนความผิดให้กับเธอเลยสักคำหนำซ้ำยังออกหน้ารับแทน นอกจากนี้เอเลนยังกลบเกลื่อนความผิดหวังและน้อยใจที่ต้องถูกจองจำอยู่ในห้องใต้ดินยามค่ำคืนด้วยรอยยิ้มบนใบหน้ามาโดยตลอด

    ชายหนุ่มถอนใจออกมาเบาๆ เขายอมรับว่าเป็นห่วงเอเลนมากเพราะเป็นหมากสำคัญสำหรับความเป็นอิสระของมนุษยชาติ ไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องไร้สาระจำพวกความรักหรืออะไรทำนองนั้นอย่างแน่นอน

    ต่อให้มีใบหน้าสวยและดวงตากลมโตที่ดูไร้เดียงสา แต่เจ้าเด็กนั่นเป็นผู้ชาย เขาจะมีความรู้สึกแบบนั้นได้ยังไง

    เขาบดกรามตัวเองและหลับตาลงเพื่อปัดความคิดฟุ้งซ่านทั้งหลายออกจากหัว พอรวบรวมสมาธิให้หันมาจดจ่อกับงานตรงหน้าได้ รีไวก็ลืมตาขึ้นและเริ่มต้นจัดการกับกองเอกสารตรงหน้าต่อเหมือนดังที่เคยทำเป็นประจำ จากนั้นก็ฟุบหลับลงไปโดยไม่รู้ตัว

    วันต่อมาหน่วยพิเศษทุกคนถูกปลุกแต่เช้ามืด โดยการเรียกของรีไว พอเห็นลูกน้องทำหน้างง เขาก็ให้เหตุผลว่า ทหารทุกนายต้องตื่นตัวและมีความพร้อมอยู่เสมอ พออาบน้ำล้างหน้าล้างตาและสวมเครื่องแบบเรียบร้อยแล้ว รีไวก็สั่งให้ทั้งหมดเตรียมม้าและควบออกจากปราสาททั้งที่ยังไม่ได้กินมื้อเช้า

    ความหิวทำให้ออรูโอ้บ่นไปตลอดทาง แม้เพตร้าจะพยายามเตือนให้เขาสงบปากลงบ้างแต่อีกฝ่ายก็เถียงคำไม่ตกฟาก แต่สุดท้ายเขาก็หุบปากลงได้เพราะเผลอกัดลิ้นตัวเอง

    พอออรูโอ้เงียบเสียงลง เอเลนจึงถือโอกาสบังคับม้าเข้าไปเทียบข้างเพตร้าและกระซิบถามอย่างระวัง

    “เราจะไปไหนกันหรือครับ”

    “ลาดตระเวน” หญิงสาวตอบ เอเลนกวาดตามองบริเวณโดยรอบแล้วขมวดคิ้วด้วยความฉงน เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ราบมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นอยู่ประปราย ไม่มีป่าสนยักษ์หรือเทือกเขาหินให้เขาได้ฝึกการเดินทางโดยใช้เครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติเหมือนวันที่ผ่านมา 

    “ฝึกลาดตระเวนแบบไหนกันหรือครับ” เด็กหนุ่มยังคงซักด้วยความสงสัย แต่คนตอบกลับเป็นกุนเทอร์

    “เราจะให้นายฝึกวิธีการเดินทัพแบบใหม่ที่ผบ.เอลวินคิดค้นขึ้น”

    “แบบนั้นเราศึกษากันในศูนย์บัญชาการไม่ดีกว่าหรือครับ” เอเลนถามด้วยความฉงน กุนเทอร์เลื่อนสายตามองตรงไปข้างหน้าก่อนอธิบาย

    “มันก็ใช่ แต่การฝึกในสภาพแวดล้อมจริงจะให้ผลดีมากกว่า อย่ามัวแต่ซักถามอยู่เลย เราต้องไปถึงตรงจุดพักให้เร็วกว่านี้ ถ้ายังไม่อยากโดนหัวหน้าลงโทษ”

    คำว่า หัวหน้าทำให้เอเลนหยุดซักถามทันทีและรีบควบม้าให้เร็วขึ้นเพื่อที่จะตามรีไวได้ทัน ไม่นานทั้งหมดก็มาถึงเนินเขาขนาดย่อมซึ่งมีหญ้าขึ้นเขียวขจี ทุกคนจึงได้รับคำสั่งให้หยุดพัก พอลงจากหลังม้าและดื่มน้ำกันพอหายเหนื่อยแล้ว กุนเทอร์ก็ดึงแผนที่ออกมากาง

    “มานี่สิเอเลน” เขาเรียก เด็กหนุ่มหันไปมองรีไวซึ่งกำลังยืนลูบแผงคอม้าด้วยความสงสัยเพราะคิดว่าเขาจะเป็นคนอธิบายวิธีการ แต่พอเห็นอีกฝ่ายยังคงนิ่งเฉย เอเลนจึงรู้ว่าเขาได้มอบให้กุนเทอร์เป็นคนทำหน้าที่นี้

    “การออกสำรวจครั้งต่อไปเราจะใช้วิธีเดินทัพแบบใหม่ที่ผบ.เอลวินคิดค้นขึ้น” กุนเทอร์พูดพลางไล่มือไปบนแผนที่ซึ่งบอกรายละเอียด รูปแบบและตำแหน่งของทหารแต่ละหน่วยเอาไว้ “ตรงนี้จะเป็นตำแหน่งของหน่วยปฏิบัติการพิเศษ ส่วนพวกเราจะอยู่จุดศูนย์กลางค่อนไปทางด้านหลัง เพราะมันเป็นตำแหน่งปลอดภัยที่สุด”

    เขาไล่นิ้วไปพลางอธิบายไปพลาง โดยมีเพตร้า เอเลนและเอลโด้นั่งล้อมวงฟังอย่างตั้งใจ ส่วน

    ออรูโอ้กลับแยกตัวไปยืนห่างๆแถมทำหน้าเหมือนรู้เรื่องทุกอย่างดีอยู่แล้ว

                “ทำไมหรือครับ” เอเลนถามด้วยความกระตือรือร้น กุนเทอร์จึงลากนิ้วไปรอบๆ

                “จากจุดนี้เราสามารถป้องกันเธอจากการโจมตีของพวกไททันได้ง่าย เพราะกว่าพวกนั้นต้องผ่านปีกขวาและซ้ายของหน่วยหลายด่านกว่าจะมาถึงพวกเรา อีกอย่างทันทีที่เห็นไททัน พวกเขาจะส่งสัญญาณควันเตือน ทัพทั้งหมดจะรอฟังคำสั่งจากผบ.เพื่อเปลี่ยนเส้นทาง”

                “แบบนี้หน่วยสำรวจก็จะสูญเสียน้อยที่สุด เพราะเราเลี่ยงที่จะปะทะกับพวกไททันโดยตรง” เอลโด้เสริม เอเลนพยักหน้าช้าๆ

                “เข้าใจแล้วครับ”

                “ฉันอยากจะให้เธอเข้าใจอย่างหนึ่งนะเอเลน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม อย่าทำเรื่องที่มันเสี่ยงกับชีวิตอย่างเด็ดขาด เพราะเป้าหมายของการสำรวจในครั้งนี้ก็คือ การเตรียมความพร้อมสำหรับการเดินทางไปเขตชิกันชินาร์ บ้านเกิดของเธอ”  

                เอเลนนิ่งไปเล็กน้อย เขาก้มหน้าลงมองแผนที่และขมวดคิ้วเหมือนไม่มั่นใจตัวเองเท่าใดนัก

                “ผมยังไม่รู้เลยว่า พลังของผมจะใช้ตอนไหน”

                กุนเทอร์ไม่ตอบ แต่กลับย้อนคำถาม

                “เข้าใจเรื่องที่ผบ.เอลวินถามในตอนนั้นหรือเปล่า”

                เอเลนเข้าใจดีว่าสิ่งที่รุ่นพี่พูดถึงคือตอนที่ซอร์นนี่กับบีนถูกฆ่า แล้วเอลวินเข้ามากระซิบถามว่า ศัตรูเป็นใคร

                “ไม่ครับ” เขามองหน้ากุนเทอร์ เอลโด้และเพตร้าไล่ไปทีละคน “พวกรุ่นพี่เข้าใจกันหมดเลยเหรอ”

                “เปล่า” เอลโด้ตอบ ในขณะที่เพตร้าส่ายหน้าช้าๆ ส่วนออรูโอ้แกล้งกระแอมออกมาก่อนพูดด้วยน้ำเสียงอวดรู้

                “มันอาจจะดูเป็นเรื่องโกหก แต่เราเข้าใจทุกอย่าง และฉันคิดว่า....”

                “เป็นไปได้ว่าภารกิจนี้ยังมีจุดมุ่งหมายอื่น” กุนเทอร์เอ่ยขัดขึ้นมาเหมือนต้องการตัดบท “การตัดสินใจของผบ.เอลวินถือว่าดีที่สุดแล้ว เพราะฉะนั้นเราควรมุ่งสนใจกับภารกิจ และเชื่อมั่นในตัวผบ.”

                “ครับ”

                พอเด็กหนุ่มรับปากแล้ว กุนเทอร์ก็ม้วนแผนที่และลุกขึ้น

                “นี่เป็นการฝึกสำหรับวันนี้ เตรียมตัวกลับกันได้แล้ว” เขาหันไปทางรีไว พอเห็นอีกฝ่ายผงกศีรษะเป็นเชิงอนุญาตจึงออกคำสั่ง “ขึ้นม้าได้”

                รีไวรอจนกระทั่งทุกคนขึ้นนั่งบนหลังอาชาคู่ใจแล้วจึงควบนำออกไป ผ่านไปได้พักใหญ่เอเลนจึงเริ่มสังเกตเห็นว่าพวกเขากำลังมุ่งหน้าไปอีกทาง

                “เราจะไปไหนกันหรือครับ”

                เขาตะโกนถามโดยไม่เจาะจงไปที่ใครโดยเฉพาะ รีไวชำเลืองตามองข้ามไหล่ไปยังเด็กหนุ่มก่อนตอบ

                “เราจะไปสมทบกับคนอื่นที่ศูนย์บัญชาการของหน่วยสำรวจ และค้างคืนที่นั่น”

                “เอ๋” เอเลนร้องด้วยความแปลกใจเพราะไม่เคยระแคะระคายเรื่องนี้มาก่อน ตอนแรกเขาคิดว่าพวกรุ่นพี่คงไม่รู้เรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน แต่พอเห็นสีหน้าของทุกคนแล้ว เด็กหนุ่มจึงเข้าใจว่า มีแค่เขาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่สำเหนียกเรื่องนี้เลยสักนิด

                “เราจะไปที่นั่นทำไมหรือครับ”

                ถึงจะรู้ตัวว่าไม่ควรถามแต่ก็อดหลุดปากออกไปไม่ได้ และสำนึกในทันทีว่าไม่ควรทำอย่างนั้นเพราะรีไวตัดบทสั้นๆว่า

                “น่ารำคาญจริง ถึงที่นั่นแล้วก็รู้เอง”

                เอเลนจึงปิดปากเงียบไม่พูดอะไรออกมาอีกเลย

                การเดินทางใช้เวลาเร็วกว่าที่คิด ไม่ช้าทั้งหมดก็ถึงศูนย์บัญชาการหลักของหน่วยสำรวจ ซึ่งตั้งอยู่กลางป่าเช่นเดียวกับปราสาทที่ใช้เป็นที่กักตัวเอเลน แต่เป็นอาคารทันสมัยกว่า โดยอาคารหลังใหญ่ใช้เป็นที่ประชุม และห้องเรียนของทหาร ส่วนเรือนพักก็ถูกแยกเป็นสัดส่วนตามลำดับชั้น โดยห้องของผบ.และคนในระดับหัวหน้าจะแยกไปด้านหนึ่ง ส่วนห้องพักของทหารจะแยกเป็นสองปีก คือชายกับหญิงตั้งขนาบกับโรงอาหาร

                เมื่อไปถึง เอเลนได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ดูแลม้าของหน่วยพิเศษ ยกเว้นม้าประจำตัวของรีไว เพราะเขาได้รับคำสั่งด่วนให้เดินทางเข้าเมืองพร้อมเอลวิน พอให้อาหารและน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มก็เดินออกจากคอกม้าเพื่อพักผ่อน ตอนนั้นเองก็มีทหารกลุ่มหนึ่งกำลังเดินผ่านไป พอเห็นแล้วเอเลนถึงกับใจเต้น เพราะทั้งหมดก็คือทหารฝึกใหม่รุ่น 104 เพื่อนของเขานั่นเอง

                “ผมขออนุญาตไปคุยกับเพื่อนได้ไหมครับ” เขาหันไปถามออรูโอ้ที่กำลังยืนซดชาอย่างสบายอกสบายใจอยู่หน้าคอกม้า อีกฝ่ายทำเสียง ชิ ออกมาเบาๆ

                “จะไปก็ไป” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนรำคาญเต็มแก่ แต่เอเลนไม่สนใจเลยสักนิด เขารีบวิ่งไปหาเพื่อนพร้อมกับร้องเรียกด้วยความดีใจ

                “เฮ้! อาร์มิน มิคาสะ”

                ทั้งคู่หันกลับมาพร้อมกัน อาร์มินส่งยิ้มให้กับเพื่อนพร้อมกับเรียกชื่อเอเลนไม่ดังนัก ส่วนมิคาสะถลาเข้าไปคว้ามือเขาพร้อมกับถามด้วยความเป็นห่วง

                “เอเลน ! พวกเขาทำอะไรเธอหรือเปล่า ฉันหมายถึงจับเธอไปตรวจร่างกายอย่างละเอียด ทรมานหรืออะไรทำนองนั้น”

                “เอ๋?” เอเลนร้องและมองหน้าหญิงสาวพร้อมกับกะพริบตาปริบๆ “ไม่มีหรอก”

                มิคาสะถอนใจอย่างโล่งอก แต่พอนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนอยู่ในห้องสอบสวนแล้ว เธอก็โมโหจี๊ดขึ้นมา

                “เจ้าเตี้ยนั่นชักจะมากไปแล้ว สักวันฉันจะทำให้เขาต้องชดใช้”

                พูดพร้อมกับกำหมัดแน่นด้วยความแค้นใจ เอเลนทำหน้าเหรอหรา

                “เธอหมายถึงหัวหน้ารีไวเหรอ เข้าใจผิดแล้วมิคาสะ หัวหน้าน่ะใจดีกว่าที่เธอคิดมาก”

                เด็กหนุ่มรีบอธิบายโดยไม่รู้ว่าคนที่ตัวเองพูดถึงกำลังจูงม้าออกจากคอก ดวงตาสีเทาคมกริบชำเลืองมองกลุ่มทหารใหม่แวบหนึ่งก่อนจะเดินต่อไปเหมือนไม่สนใจ เหล่าบรรดาผองเพื่อนในกลุ่มจึงผลัดกันเข้ามาทักทายเอเลน

                “ไงเอเลน” โคนี่ทักด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ซาช่ากระโดดเข้าไปใกล้ๆและพูดด้วยความดีใจ

                “ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

                “อื้อ” เอเลนตอบพร้อมกับมองหน้าเพื่อนไล่ไปทีละคนด้วยความประหลาดใจ เพราะในตอนแรก นอกจากอาร์มินกับมิคาสะแล้ว ไม่มีใครคิดจะเข้าหน่วยสำรวจเลยสักคน

                “ทำไมทุกคนถึงมาอยู่ที่นี่” ถามพลางไล่มองไปทีละคน ตั้งแต่โคนี่ ซาช่า ไรเนอร์ เบลทรูท คริสต้าและยูมิล “พวกนายเข้าหน่วยสำรวจงั้นเหรอ”

                “ถ้าไม่เข้าแล้วพวกเราจะมายืนกันอยู่ที่นี่ทำไม” โคนี่ย้อนถาม เอเลนยิ้มกว้างแต่แล้วก็ใบหน้าก็สลดลง

                “งั้นก็มีแค่ แจน มาร์โคกับแอนนี่ที่เข้ากองสารวัตรทหารสินะ”

                เด็กหนุ่มพูดโดยไม่รู้ว่าหนึ่งในนั้นกำลังเดินเข้ามาทางด้านหลังอย่างเงียบๆ พอเห็นสายตาของร์มิน เอเลนก็หันไปดูและเบิกตากว้างอย่างคาดไม่ถึง

                “แจน! อย่าบอกนะว่านาย...”

                แจนไม่ตอบคำถามนั้น แต่กลับเลือกที่จะพูดอีกเรื่อง

                “มาร์โคตายแล้ว”

                สิ่งที่ได้ยินทำให้หัวใจของเอเลนกระตุกวาบ

                “ว่าอะไรนะ” เขาหลุดปากถามเหมือนไม่เชื่อ “มาร์โคตายแล้วอย่างนั้นหรือ เขาตายยังไง ตอนไหน”

                สีหน้าของแจนเศร้าอย่างที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน ชายหนุ่มก้มหน้าลงและกำหมัดแน่นเหมือนพยายามข่มความวิปโยคทั้งหลายมิให้เอ่อท้นออกมาก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ผิดไปจากเดิม

                “ดูเหมือนว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะตายอย่างสวยงาม” เขาหยุดกลืนน้ำลายที่ตอนนี้มีรสชาติขมและแหลมคมประดุจหนาม “ฉันไม่รู้เลยว่าเขาตายยังไง ไม่มีใครรู้หรือเห็นตอนเขาตายเลยสักคน”

                แม้จะเป็นการกล่าวที่เต็มไปด้วยความเสียใจ น้ำเสียงของแจนกลับไม่สั่นหรือแตกพร่าเลยสักนิด เหมือนเขาทำใจกับการสูญเสียเพื่อนรักได้แล้ว ตรงกันข้ามกับเอเลนที่ทั้งหดหู่และเศร้าใจ เขาก้มหน้าลงมองมือของตัวเองที่กำลังสั่นระริก แม้ตอนนั้นเด็กหนุ่มจะยังไม่รู้สึกตัวดีนัก แต่ก็จำได้ลางๆว่าเพื่อนร่วมรุ่นออกจากเขตทรอสต์พร้อมกับทุกคนแล้ว แสดงว่ามาร์โคตายตอนที่เขาพยายามใช้ก้อนหินอุดรอยแตกของกำแพง จะว่าไปแล้วก็เหมือนกับเด็กหนุ่มเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เพื่อนต้องมาตาย

                “มาร์โค” เอเลนพึมพำ เพื่อนทุกคนต่างพร้อมใจกันก้มหน้าลงด้วยความเสียใจ แต่ก็เศร้าได้ไม่นานเพราะเนส หนึ่งในหัวหน้าหน่วยเดินออกมาจากห้องเก็บอุปกรณ์พร้อมลูกน้องและของบางอย่าง พอเห็นทหารใหม่กำลังยืนจับกลุ่มกันอยู่เขาก็ร้องเรียก

                “เอ้า เด็กใหม่มานี่สิ ชุดของพวกนายอยู่นี่”

                ชุดที่เนสพูดคือผ้าคลุมสีเขียวซึ่งมีเครื่องหมายปีกนกสีน้ำเงินกับขาว ตราสัญลักษณ์ของหน่วยสำรวจขนาดใหญ่ประทับอยู่ตรงกลาง ทหารรุ่น 104 ต่างจ้องเครื่องหมายนี้ด้วยความรู้สึกหลากหลาย ทั้ง เจ็บปวด และหวาดหวั่นระคนกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ทอประกายอยู่ในแววตาของทุกคนก็คือ ความภาคภูมิใจ เพราะนับจากนี้พวกเขาจะเป็นหนึ่งในกองกำลังอันแข็งแกร่ง และโบยบินสู่โลกภายนอกอย่างองอาจด้วยปีกแห่งเสรี

    เอเลนยืนมองเพื่อนที่ภายใต้ผ้าคลุมอันทรงเกียรติที่กำลังสะบัดไหวไปตามแรงลมอย่างงดงามด้วยความรู้สึกตื้นตัน ท่ามกลางสายตาที่พร่าเลือน เขาก็เห็นมาร์โคกำลังยืนยิ้มอยู่ท่ามกลางหมู่เพื่อน

    ในที่สุดพวกเราก็ได้อยู่ในหน่วยสำรวจเสียงของเขาดังแว่วเข้ามา และนายคือกำลังสำคัญของมนุษยชาตินะ เอเลน

    */*/*/*/*

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×