คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : 2
พอออกจากร้านของมิคาสะ แอลวินก็พาลูกทีมทั้งหมดขึ้นรถกลับไปยังที่ทำการเอฟบีไอประจำเมือง เมื่อไปถึงก็ตรงเข้าห้องประชุมทันที พอเปิดประตู เจ้าหน้าที่ไรเนอร์ซึ่งกำลังจัดเตรียมเอกสารก็หันมามองและส่งยิ้มให้กับฮันซี่ที่เดินนำเข้าไปเป็นคนแรก
“ตรงเวลาจังเลยนะครับ” เขาพูด อีกฝ่ายฉีกยิ้มกว้างพลางยกแขนข้างซ้ายขึ้นพร้อมกับรูดแขนเสื้อเพื่ออวดนาฬิกาข้อมือที่เธอใส่ไว้ถึงสองเรือน
“การตรงต่อเวลาทำให้ฉันเป็นคนแม่นยำ”
คำตอบสุดเพี้ยนทำให้รอยยิ้มของไรเนอร์เจื่อนไปเล็กน้อย กระนั้นเขาก็ยังทักทายมาร์โคและก้มศีรษะเพื่อทำความเคารพแอลวินและเบิกตากว้างเมื่อเห็นคนสุดท้ายก้าวตามมาติดๆ
“คุณรีไวล์”
อีกฝ่ายเดินไปนั่งโดยไม่สนใจมองคนทักเลยสักนิด รอยยิ้มจึงค่อยๆจางหายไปจากหน้า พอทุกคนประจำที่เรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่พิเศษแอลวินจึงพูดอย่างเคร่งขรึม
“ขอบใจมากเจ้าหน้าที่ไรเนอร์”
เป็นอันเข้าใจว่านั่นคือการเชิญเขาออกจากห้อง เพราะเป็นการประชุมในครั้งนี้มีเพียงผู้ที่เกี่ยวข้องต่อคดีโดยตรงเท่านั้น ไรเนอร์จึงรับคำและออกจากห้องแต่โดยดี พอประตูปิดสนิท แอลวินจึงเปิดแฟ้มที่นำมาด้วยพร้อมกับเอ่ยถามมาร์โค
“ได้ข้อมูลอะไรมาบ้าง”
“น้อยมากครับ” อีกฝ่ายตอบพลางหยิบเอกสารมาวาง “เท่าที่ตรวจดู เหยื่อทุกรายแทบไม่มีความเกี่ยวข้องกัน นอกจากบาดแผลจากการทารุณกรรมแล้ว พวกเขาไม่มีอะไรเหมือนกันเลยสักอย่าง”
“แบบนี้เราก็หาแรงจูงใจไม่ได้น่ะสิ” แอลวินกล่าวอย่างเคร่งขรึมและพลิกภาพของเหยื่อที่ถูกฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยมใบทีละใบ รีไวล์ซึ่งนั่งฟังอยู่นานจึงเปรยขึ้นมาเบาๆ
“ฆาตกรคนนี้คิดว่าตัวเองอยู่เหนือกว่าคนอื่น”
“คุณรู้ได้ยังไง” มาร์โคถาม รีไวล์พลิกหน้ากระดาษที่แจ้งรายละเอียดการพบศพไปทีละหน้า
“เหยื่อทุกร้ายถูกทารุณกรรมอย่างประณีตแต่กลับถูกทิ้งเหมือนเศษขยะ” พูดพลางเคาะมือไปบนภาพสถานที่พบศพ “เขาไม่คิดจะปกปิดเลยสักนิด ไม่สนใจด้วยซ้ำว่าแถวนั้นเป็นที่ไหน พอจอดรถได้ก็โยนเหยื่อทิ้งเหมือนเราโยนเปลือกส้มออกจากรถ”
“คนทั้งคนเนี่ยนะ” มาร์โคพึมพำ ส่วนแอลวินนั่งนิ่ง ฮันซี่ขยับแว่นก่อนพูดด้วยสีหน้าที่จริงจังผิดไปจากท่าทางร่าเริงที่เธอมักแสดงให้ทุกคนเห็นเป็นประจำ
“ฉันเห็นด้วยกับรีไวล์ เพราะตอนพบศพ ร่างของทุกคนอยู่ในสภาพที่ไม่เหมือนกันเลยสักนิด บางรายมีร่องรอยของการกระแทกอย่างรุนแรง เหมือนกลิ้งลงจากที่สูง” เธอหยิบภาพเหยื่อคนหนึ่งส่งให้แอลวิน “แต่ที่ฉันสงสัยก็คือ นอกจากจะกรีดเปลือกตาของเหยื่อแล้ว ทำไมต้องลอกหนังบริเวณอกกับหน้าท้องออกก่อนด้วย”
“ออกก่อน” หัวหน้าทีมทวนคำด้วยความประหลาดใจ เพราะถึงจะรู้ว่าเหยื่อทุกคนถูกทารุณกรรมด้วยการกรีด เชือด ตัดนิ้วหรือเลาะฟันออกแล้ว แต่เขาไม่เคยได้ยินว่าทุกรายถูกลอกหนังออกก่อน ฮันซี่จึงผงกศีรษะเหมือนเข้าใจความคิดของเขา
“ฉันเองก็เพิ่งมารู้ตอนตรวจศพเหยื่อรายล่าสุด” เธอพูดพลางพยักพเยิดหน้าไปที่รูปตรงหน้าแอลวิน “เพราะเราพบร่างของเธอหลังการเสียชีวิต 48 ชม. ที่เหลือนอกนั้นขึ้นอืดจนพยาธิสภาพทางกายเสียหายมากจนเกินกว่าจะตรวจสอบอะไรได้”
“แต่เราไม่เจอแผ่นหนังอะไรเลยสักอย่าง” มาร์โคพูด รีไวล์จึงกล่าวเบาๆ
“ฆาตกรคงเก็บไปเป็นที่ระลึก” เขาหันไปทางแอลวิน “ระหว่างที่ทำคดีเก่า ผมได้ศึกษาข้อมูลของคดีนี้มาแล้วบ้าง และลองตรวจสอบอะไรบางอย่างไปแล้วด้วย”
พูดพลางหยิบแฟลชไดร์ฟมาเสียบกับโน้ตบุ๊ค ทุกคนจึงหันไปมองภาพที่ปรากฏขึ้นบนจอโทรทัศน์ ซึ่งเป็นรูปของเหยื่อทั้งสิบราย
“อย่างที่ทุกคนทราบ นอกจากบาดแผลและสาเหตุการตายแล้ว เหยื่อแต่ละรายไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยสักอย่าง ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน สภาพความเป็นอยู่หรือสังคม แต่พอเจาะลึกลงไปในประวัติของแต่ละคนแล้ว”
เขาเลื่อนลูกศรไปที่ภาพของเหยื่อและกดปุ่ม รายละเอียดข้อมูลของแต่ละคนก็ปรากฏขึ้นมาบนจอ
“ทุกคนเคยเป็นเด็กกำพร้า มาจากบ้านอุปถัมภ์แห่งเดียวกัน”
“เรื่องนั้นเรารู้อยู่แล้วรีไวล์” มาร์โคพูดแต่อีกฝ่ายไม่ได้สนใจฟัง และยังคงพูดต่อไปเรื่อยๆ
“และสาเหตุการตายของพ่อแม่ของพวกเขาทุกคนก็คือ ถูกฆาตกรรม”
คราวนี้ทุกคนนิ่งเงียบ แอลวินจึงวางภาพถ่ายของเหยื่อก่อนวางข้อศอกไว้บนโต๊ะและประสานมือไว้ใต้คาง คิ้วเข้มขมวดเข้าหากันอย่างครุ่นคิด
“อย่าบอกนะว่าจากฆาตกรคนเดียวกัน”
“ผมคิดว่าไม่ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นจริง คนร้ายก็น่าจะมีอายุประมาณ 50-60 ปี แต่จากสภาพศพที่เราพบในตอนนี้ เหมือนเป็นการกระทำของคนร้ายที่อายุประมาณ 25-30 มากกว่า” รีไวล์ตอบ “แต่ที่น่าสังเกตก็คือ พอผมค้นลึกลงไปในประวัติของแต่ละคน สามรายในนั้นมีเรื่องเกี่ยวข้องกับยาเสพติด อีกสี่เป็นเรื่องค้าประเวณี ที่เหลือนอกนั้นมีการฟ้องร้องเรื่องสินบนซึ่งก็ถูกยกฟ้องเพราะขาดหลักฐาน”
“แล้วมันเกี่ยวข้องกันยังไง” มาร์โคถาม รีไวล์จึงเปลี่ยนภาพหน้าจอกลับมาเป็นรูปของเหยื่อตามเดิม
“พ่อแม่ของเหยื่อแต่ละคนไม่ได้เกี่ยวข้องกันโดยตรง แต่เชื่อมโยงกันเพราะไปพัวพันกับกลุ่มอิทธิพลกลุ่มหนึ่ง”
“พอจะรู้หรือเปล่าว่าเป็นกลุ่มไหน” แอลวินถาม พอเห็นรีไวล์นิ่งไม่ตอบเขาก็รู้ว่าที่อีกฝ่ายยังไม่พูดถึงจะรู้มาบ้างแต่ข้อมูลยังน้อยทำให้กล้าสรุปอะไร ซึ่งก็ตรงกับข้อสงสัยของเขาในตอนนี้
“ถ้าอย่างนั้น” เขาพูดขึ้นหลังจากนิ่งไปอึดใจ “เราจะตั้งข้อสันนิษฐานกว้างๆไว้สองอย่าง คือเป็นการฆ่าเพื่อสนองความต้องการส่วนตัวกับเป็นการกวาดล้างของพวกองค์กร ซึ่งตามความเห็นส่วนตัวของผมในตอนนี้หนักไปทางข้อที่สองมากกว่า”
“ผมก็เห็นด้วยในข้อนั้น” มาร์โคเสริม ส่วนฮันซี่พยักหน้าช้าๆเหมือนจะบอกว่าเธอเองก็เห็นด้วยกับความคิดนั้นเชนเดียวกัน แอลวินจึงหันไปทางรีไวล์
“แล้วคุณล่ะ”
“ผมคิดแบบนั้นตั้งแต่แรกแล้ว” คนตัวเล็กกว่าตอบอย่างเคร่งขรึม พอได้ยินคำตอบดังนั้น
แอลวินจึงผงกศีรษะ
“งั้นเราจะมุ่งเป้าไปที่ความขัดแย้งของกลุ่มมิจฉาชีพ แต่อย่าเพิ่งทิ้งข้อสงสัยเรื่องฆาตกรที่มีปัญหาทางจิต...”
เสียงเรียกข้าวของโทรศัพท์มือถือดังขัดจังหวะ แอลวินกล่าวขอโทษเบาๆก่อนกดปุ่มรับและขมวดคิ้วเมื่อฟังคำรายงานจากปลายสาย สีที่เคร่งขรึมแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดทีละน้อย
“ผมจะไปเดี๋ยวนี้” เขาพูดก่อนวางสาย และหันไปมองทุกคน “พบเหยื่ออีกรายที่แม่น้ำ”
ไม่ต้องรอคำสั่ง ทุกคนต่างเก็บเอกสารทุกชิ้นเข้าแฟ้มและนำส่วนสำคัญลงกระเป๋าจากนั้นจึงก้าวออกจากห้อง ไรเนอร์และโคนี่เห็นดังนั้นจึงรีบมาสมทบ
“ผมได้รับคำสั่งให้ไปกับพวกคุณ” โคนี่รายงานตัวสั้นๆ แอลวินมองทั้งคู่ด้วยหางตาก่อนผงกศีรษะรับและออกคำสั่งอย่างเคร่งขรึม
“ผมจะไปกับรีไวล์ ส่วนแจน” เขาหันไปมองหนุ่มเอฟบีไอผมสองสี “คุณไปกับฮันซี่จะได้ตามเจ้าหน้าที่ไปที่หน่วยชันสูตร คุณสองคน” ดวงตาสีฟ้าของแอลวินตวัดไปยังไรเนอร์กับโคนี่ “ขับรถไปอีกคัน เผื่อจะต้องตามหาหลักฐานเพิ่มเติม”
มิคาสะคว่ำถ้วยกาแฟที่เพิ่งล้างเสร็จไว้บนชั้นและตรวจตราอุปกรณ์ทุกอย่างว่าทำความสะอาดแล้วหรือยัง พอแน่ใจว่าจัดการครบทุกชิ้นรวมถึงเก็บเงินออกจากเครื่องหมดแล้วหญิงสาวจึงมองไปยังหน้าร้านซึ่งเอเลนกำลังก้มหน้าก้มตาถูกพื้นอย่างขะมักเขม้น เธอเอียงคอมองอย่างเอ็นดูอยู่ครู่หนึ่งจึงแกล้งปั้นหน้าให้ดูเคร่งขรึมก่อนเอ่ยปากถาม
“ปิดประตูหรือยังเอเลน”
“เรียบร้อยแล้วครับ”
“อย่าลืมยกเก้าอี้ขึ้นไปไว้บนโต๊ะล่ะ”
“ครับ”
“อ้อ ถุงขยะที่อยู่หลังร้านน่ะ ยกไปทิ้งให้ด้วยนะ”
“ทราบแล้วครับ”
“เสร็จแล้วอย่าลืมปิดไฟ....”
“ผมไม่ลืมหรอกครับ” เอเลนซึ่งหยุดถูพื้นตั้งแต่ไม่รู้พูดสวนกลับมา “คุณมิคาสะเหนื่อยมากแล้ว ขึ้นไปพักผ่อนเถอะครับ”
หญิงสาวอมยิ้มกับคำพูดใสซื่อของเด็กหนุ่มก่อนพูดเบาๆว่า “ได้” จากนั้นก็เดินหายขึ้นไปยังห้องพักที่อยู่ชั้นบน เสียงประตูที่ดังลงมายังชั้นล่างทำให้เอเลนรู้ว่ามิคาสะเข้าห้องไปเรียบร้อยแล้ว เขาจึงหันมาทำความสะอาดร้านอีกครั้ง พอถูพื้นเสร็จเขาก็เตรียมเก็บถังน้ำกับไม้ถูแต่พอหันไปทางประตูเด็กหนุ่มก็ขมวดคิ้วเมื่อเสียงรีไวล์ดังขึ้นในหัว
‘ตอนเข้ามาฉันเห็นฝุ่นที่ขอบประตู แถมโต๊ะที่พวกเรานั่งอยู่นี่ยังมีคราบเปื้อนอยู่เลย’
“ฝุ่นบ้าบออะไรกันเจ้าเตี้ย” เด็กหนุ่มพูดอย่างนึกฉุนพลางคว้าผ้าขี้ริ้วไปเช็ดขอบประตูซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง พอแน่ใจว่าสะอาดเอี่ยมแล้วเขาก็ถอยออกมามองอย่างภูมิใจ “ดูสิว่ายังจะหาเรื่องติได้อีกไหม”
เขาหันไปมองโต๊ะรอบตัวก่อนใช้ผ้าในมือเช็ดใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง ทุกซอกทุกมุมไม่เว้นแม้ส่วนที่อยู่ข้างใต้ ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงทุกอย่างก็สะอาดเหมือนใหม่จนแทบจะส่องแสงแวววับ
“เสร็จซะที” เอเลนพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มพลางเก็บถังน้ำและนำอุปกรณ์ทำความสะอาดไปไว้ในห้องเก็บของหลังจาก หลังจากนำถุงขยะไปทิ้งตามที่มิคาสะสั่งและล้างมือแล้วเด็กหนุ่มจึงเริ่มปิดไฟ มือยังไม่ทันถึงสวิตช์เขาต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู
“ร้านปิดแล้วครับ” เขาร้องบอกเพราะคิดว่าคงเป็นคนทำงานรอบดึกหรือขี้เมาหลงมา แต่ดูเหมือนคนที่อยู่ด้านนอกจะไม่ได้ยินเพราะเสียงประตูยังคงเป็นเป็นจังหวะ เอเลนจึงจำต้องเดินออกไปหน้าร้านแต่ยังไม่ถึงประตูเขาก็หยุดชะงักเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ เขาเดินกลับไปที่เคาท์เตอร์ดึงไม้เบสบอลออกมาเคาะบนมือสองสามครั้ง พอมั่นใจว่ามันคงจะจัดการใครก็ตามที่คุดจะบุกเข้ามาได้แล้ว เด็กหนุ่มจึงเดินไปที่ประตูหน้าอีกครั้งและเปิดมูลี่ออก พอเห็นว่าใครเป็นคนเรียกเขาก็ทำตาโต
“คุณรีไวล์”
“ก็เออน่ะสิ” อีกฝ่ายพูดเสียงห้วน “เปิดประตูเดี๋ยวนี้เลยไอ้หนู”
เอเลนทำท่าลังเลแต่พอโดนอีกฝ่ายพูดประโยคเดิมด้วยเสียงที่ดังกว่าเก่า เขาจึงจำต้องเปิดประตูร้านและเชิญคนข้างนอกอย่างไม่เต็มใจนัก
“ผมปิดร้านแล้วนะครับ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่...”
ดูเหมือนคนรุกจะไม่สนใจฟังเลยสักนิด เพราะพอหาที่นั่งได้เขาก็หันมาสั่ง “ขอกาแฟแก้วสิ”
“แต่ว่า”
“เร็วหน่อย ฉันหิว” รีไวล์เร่งเสียงกระด้าง เอเลนจึงจำต้องเดินไปชงกาแฟตามสั่งโดยใช้กาต้มกับเครื่องชงขนาดเล็กที่ใช้สำหรับชงกันเองในครอบครัว
“มีของกินอะไรบ้าง” เสียงทุ้มดังมาจากด้านหน้า พอเอเลนหันไปมองก็เห็นอาคันตุกะเจ้าปัญหากำลังถอดเสื้อสูทวางบนโต๊ะและขยับคลายเนคไทออก แม้จะเป็นท่าทางที่ดูเคร่งขรึม เด็กหนุ่มยังดูออกว่าเขาดูเหนื่อยกว่าตอนที่พบกันครั้งแรกมาก
“ว่าไง”
เสียงคนเจ้าอารมณ์ถามอีกครั้ง เอเลนจึงรีบตอบ
“มีเค้กส้มมามาเลดกับแซนวิชครับ”
“ร้านนายเก็บแซนวิชไว้ขายพรุ่งนี้ด้วยเหรอ” รีไวล์ถาม เอเลนที่กำลังเทน้ำร้อนใส่ลงในเหยือกกาแฟมุ่นคิ้วก่อนตอบ
“ใครจะทำแบบนั้นละครับ ที่ถามเพราะถ้าคุณอยากกินผมจะได้ทำให้ใหม่”
“งั้นก็ทำมาเลย” บอกแค่นั้นก็ไม่พูดอะไรอีก และเงียบไปจนเอเลนแปลกใจ แต่พอนำกาแฟไปเสิร์ฟเด็กหนุ่มจึงรู้ว่ารีไวล์กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านเอกสารในแฟ้มอย่างตั้งอกตั้งใจ ชนิดไม่รู้ตัวจนกระทั่งเด็กหนุ่มนำจานแซนวิชไปวาง
“ขอบใจ”
เขาพูดสั้นๆก่อนหยิบแซนวิชไปกัด การกินด้วยท่าทางที่หิวโหยของเขาทำให้เอเลนนึกสงสาร
“ให้ผมทำเพิ่มอีกชุดไหมครับ”
รีไวล์ผงกศีรษะรับทั้งที่ตายังคงไล่ไปตามตัวอักษรบนกระดาษ เด็กหนุ่มจึงเดินกลับไปที่ครัวเพื่อทำแซนวิชอีกชิ้นแต่คราวนี้เขาเพิ่มทั้งชีสและแฮมลงไปให้มากกว่าอันเดิม ยังไม่ทันเดินออกไป เสียงห้วนๆของคนที่อยู่ด้านนอกก็ดังขึ้น
“เฮ่ยไอ้หนู ขอกาแฟอีกแก้ว”
ถึงจะไม่ค่อยพอใจนักแต่เอเลนก็ยังรินกาแฟเพิ่มให้อีกถ้วย อีกฝ่ายทำปากขมุบขมิบเหมือนจะพูดว่าขอบคุณ เด็กหนุ่มยืนมองเอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะด้วยความสงสัย พอเห็นอีกฝ่ายยังคงก้มหน้าอ่านเหมือนไม่สนใจอะไรเขาก็เริ่มขยับเข้าไปทีละนิดและยื่นหน้าเข้าไปด้วยความอยากรู้
“อยากดูเหรอ” เสียงห้วนๆเอ่ยถาม ยังไม่ทันที่เอเลนจะได้ตอบ เขาดึงภาพถ่ายที่อยู่ในแฟ้มมาวางบนโต๊ะ “เอ้านี่ไง ดูให้เต็มตาเลย”
ไม่พูดเปล่ายังเคาะรูปเบาๆเหมือนเน้นย้ำให้คนฟังทำตาม พอก้มลงดูเด็กหนุ่มถึงกับเข่าอ่อน เพราะมันเป็นภาพสยดสยองของเหยื่อที่ถูกเชือดจนขาดวิ่นไปทั้งตัว
“น...นี่มัน” ถามเสียงสั่นโดยมือข้างหนึ่งยืดขอบโต๊ะเอาไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองล้ม รีไวล์จึงถีบเก้าอี้ตัวหนึ่งให้พร้อมกับสั่ง
“นั่ง”
น้ำเสียงกระด้างเหมือนมะนาวไม่มีน้ำทำให้เอเลนหายใจไม่ทั่วท้องแต่ก็ยอมนั่งลงตามสั่ง รีไวล์จึงเก็บภาพน่ากลัวนั้นกลับเข้าแฟ้ม
“หายใจลึกๆ” เขาพูดทั้งที่ไม่ได้มองหน้า ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจนักแต่เด็กหนุ่มก็ยังทำตาม หลังจากสูดลมหายใจเข้าออกยาวๆสองสามครั้ง อาการปั่นป่วนในท้องก็เริ่มทุเลาลง แขนขาทั้งสองข้างก็กลับมามีแรงเหมือนเดิม
“ดีขึ้นแล้วใช่ไหม” รีไวล์ถาม พอเอเลนพยักหน้าเขาก็หยิบถ้วยกาแฟมาวางด้านข้าง “งั้นก็ขอกาแฟอีกแก้ว”
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกับกาแฟอีกสองเหยือก เอฟบีไอหนุ่มก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะกลับ หลังจากเปิดปากหาวเป็นครั้งที่ยี่สิบเอเลนจึงโพล่งออกมาอย่างหมดความอดทน
“ดึกแล้วนะครับคุณรีไวล์”
“เหรอ” อีกฝ่ายรับคำอย่างไม่ใส่ใจนัก “งั้นนายขึ้นไปนอนก่อนเดี๋ยวฉันจะตามไป”
“แต่นี่มันบ้านผมนะครับ” เด็กหนุ่มร้อง รีไวล์เลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนหันมองไปรอบๆและอุทานออกมาเบาๆว่า
“อ้าว”
ร้องออกมาแค่นั้นก็เก็บเอกสารทุกอย่างกลับเข้าแฟ้มจากนั้นก็ยัดใส่ไปในกระเป๋า เสร็จแล้วก็ดึงธนบัตรมาวางบนโต๊ะ
“กาแฟอร่อยมาก” เขาพูดสั้นก่อนเดินไปที่ประตูแต่กลับหยุดเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ รีไวล์เอี้ยวตัวหันกลับมา “ร้านสะอาดขึ้นเยอะเลยนะ”
พูดแค่นั้นก็เปิดประตูเดินออกไป เอเลนยืนอึ้งด้วยความงงงันแต่แล้วจู่ๆใบหน้าของเขาก็แดงก่ำ ซึ่งเจ้าตัวเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นเพราะความโกรธหรืออาย
“พิลึกคน”
เด็กหนุ่มบ่นพึมพำก่อนเดินไปปิดประตู ทำความสะอาดร้านรวมทั้งถ้วยกาแฟที่เอฟบีไอหนุ่มใช้เมื่อครู่ เมื่อทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาก็ปิดไฟในร้านจากนั้นก็ขึ้นนอน
ความคิดเห็น