ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สายใยรักจิ้งจอกพันปี (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2 ตกอยู่ในอันตราย

    • อัปเดตล่าสุด 29 พ.ย. 58


    บทที่ 2 ตกอยู่ในอันตราย

                หลังจากแนะนำตัวและนั่งประจำที่เรียบร้อย ซาคาโมโตะ เคียวยะไม่สนใจคนรอบข้างที่พยายามหาเรื่องชวนคุยเลยสักนิด เขาเอาแต่นั่งจ้องชายหนุ่มข้างหน้าต่าง มองใบหน้าสวยราวกับผู้หญิงอย่างไม่ยอมละสายตา แม้จะโดนเรียกให้ลุกขึ้นตอบโจทย์คณิตศาสตร์ เขาทำแค่ปรายตามองกระดานดำเพียงแวบเดียวและตอบแทบจะทันทีเหมือนเป็นเรื่องง่ายก่อนหันไปมองคนริมหน้าต่างอีกครั้ง ไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าจะได้รับคำชมจากผู้สอนหรือเสียงพึมพำด้วยความทึ่งกับความฉลาดอันน่าเหลือเชื่อของเขาจากเพื่อนร่วมห้องทั้งหญิงและชาย

                พักเที่ยง มีนักเรียนบางคนนำข้าวกล่องมาจากบ้าน แต่ส่วนใหญ่แล้วมักฝากท้องไว้กับห้องอาหารของโรงเรียนซึ่งก็มักจะลงไปกันเป็นกลุ่ม มีนักเรียนหญิงหลายคนยืนเมียงมองเคียวยะเพราะอยากชวนไปด้วยกันแต่ก็ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้เนื่องจากเกรงใบหน้าที่แม้จะหล่อเหลาแต่ขรึมดุกับตระกูลซึ่งขึ้นชื่อในเรื่องอิทธิพล ยืนลังเลกันอยู่นาน หนึ่งในนั้นก็ตัดสินใจเดินเข้าไปหาพร้อมกับเอ่ยชวน

                “ไปห้องอาหารกับพวกเรามั้ย...”

                เคียวยะลุกขึ้นตั้งแต่เธอคนนั้นยังพูดไม่ถึงครึ่งประโยค นักเรียนหญิงยิ้มกว้างด้วยความดีใจแต่กลับกลายเป็นการยิ้มเก้อ เพราะแทนที่ชายหนุ่มจะไปตามคำชวนกลับเดินตรงไปหาเพื่อนนักเรียนชายที่นั่งเท้าคางมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเหม่อลอย

                “ไง” คำแรกเอ่ยทักแต่อีกฝ่ายกลับทำเหมือนไม่ได้ยิน เขาจึงวางมือลงบนโต๊ะพร้อมกับกล่าวอีกครั้งเสียงดังกว่าเก่า “เฮ้!

                นักเรียนชายคนนั้นไม่สะดุ้งเลยสักนิด แถมไม่มีท่าทีตกใจเลยแม้แต่น้อย เขาเพียงหันหน้ามาทางเคียวยะและช้อนสายตาขึ้นมองอย่างรำคาญ

                “มีอะไร”

                ถามห้วนๆแบบมะนาวไม่มีน้ำ ทำเอาเคียวยะต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจ เพราะคนส่วนใหญ่พอเห็นเขามายืนใกล้ๆเท่านั้นก็ตัวสั่นจนทำอะไรไม่ถูกแล้ว แต่คนตรงหน้านี่กลับไม่มีทีท่าอย่างนั้นเลยสักนิด หรือถ้าให้พูดกันตามตรง เขาไม่แยแสเลยแม้แต่น้อยว่าคนที่ยืนค้ำหัวอยู่นี่เป็นใคร

                “ฉันหิว” เคียวยะตอบ อีกฝ่ายนิ่วหน้าน้อยๆก่อนเบนสายตามองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้งพร้อมกับตอบเนือยๆ

                “หิวก็ไปโรงอาหารสิ”

                “ฉันไปไม่ถูก” เคียวยะตอบและแอบยิ้มในหน้าเมื่อเห็นหน้าแสนสวยนั่นหันกลับมาอีกครั้ง แต่มันกลับมลายหายไปเมื่ออีกฝ่ายพูดเสียงเรียบ

                “งั้นก็ไม่ต้องกิน”

                ถ้าเป็นคนอื่นพูด คงโดนจับโยนออกไปนอกหน้าต่างไปแล้ว เคียวยะคิดพลางมองหน้าเรียบเฉยปราศจากอารมณ์ของคนตรงหน้าและพูดต่อ

                “ไม่ได้หรอก กระเพาะของฉันทำงานตรงเวลา ถ้าไม่รีบหาอะไรใส่ท้องคงเรียนคาบบ่ายไม่ไหว”     

                “เรื่องของนาย” อีกฝ่ายยังคงนั่งเท้าคางตอบแบบทองไม่รู้ร้อนจนเคียวยะหมั่นไส้ มือหนายื่นไปคว้าข้อมือเล็กกว่า และฉุดให้ลุกขึ้น เด็กหนุ่มร้องโวยวายดังลั่น “ทำอะไรน่ะ”

                “ให้นายนำทาง” ไม่พูดเปล่ายังกึ่งเดินกึ่งลากให้คนตัวเล็กตามไปด้วยกันโดยทำเป็นไม่สนใจเสียงร้องเอะอะโวยวาย พอลงไปถึงชั้นล่างเขาก็หยุดและหันไปถาม “ไปทางไหน”

                “แล้วแต่นายสิ” คนตัวเล็กประชดขณะพยายามแกะมือแข็งราวกับคีมออกจากแขน แต่เดียวยะกลับบีบมันแน่นกว่าเดิม

                “ตอบให้ดีหน่อย ไม่อย่างนั้น”

                เขาหยุดคำพูดไว้พลางจ้องอีกฝ่ายด้วยดวงตาวาววับจนคนเห็นเสียวสันหลังวาบ ถึงอย่างนั้นก็ยังทำเป็นใจกล้า

                “ไม่อย่างนั้นนายจะทำไม? ฆ่าฉันเหรอ” เด็กหนุ่มโต้เสียงดัง “อีกอย่างฉันชื่อฟุรุคาวะ ช่วยเรียกให้ถูกด้วย”

                สีหน้าท่าทางที่ปั้นให้ดูน่ากลัวทำให้เคียวยะขำจนเกือบจะหลุดหัวเราะ เขาแกล้งยื่นหน้าเข้าไปใกล้พร้อมกับกดน้ำเสียงต่ำ

                “ฉันไม่ทำแบบนั้นหรอก แต่ถ้าปล่อยให้หิวจนหน้ามืด” ดวงตาคมดุหรี่ลง “ฉันอาจจะกินนาย”

                ถึงจะรู้ว่าเป็นแค่คำขู่แต่ฟุรุคาวะก็อดที่จะกลัวไม่ได้ เพราะสีหน้าท่าทางของคนตรงหน้าดูโหดเหี้ยมน่าสะพรึงกลัวชนิดถ้ากลายร่างเป็นยักษ์ได้ เขาจะไม่แปลกใจเลย

                “ทางซ้าย” เด็กหนุ่มตอบไม่เต็มนัก อีกฝ่ายจึงก้มลงไปจนปากแทบชนกันพร้อมกับพูด

                “พูดใหม่อีกทีสิ ฉันไม่ได้ยิน”

                “อาคารทางซ้ายมือ ที่มีคนเยอะๆน่ะ” คราวนี้ฟุรุคาวะแทบตะโกน เคียวยะยิ้มมุมปากและยืดตัวขึ้นจากนั้นก็เริ่มออกเดินโดยลากคนตัวเล็กตามไปด้วย

                “ปล่อยนะ” เด็กหนุ่มร้องพลางแกะมือที่กุมแขนเขาไว้ “นายรู้ทางแล้วนี่จะลากฉันไปด้วยทำไม”

                “ฉันไม่ชอบกินข้าวคนเดียว”

                เคียวยะทำตามที่พูดจริงๆ เพราะเขาซื้ออาหารซึ่งเป็นขนมปัง ผลไม้และนมมาสองชุด โดยแบ่งให้

    ฟุรุคาวะถือ จากนั้นก็มองหาที่เหมาะๆแล้วลากเด็กหนุ่มไปนั่งด้วยกัน ซ้ำยังจ้องเหมือนบังคับให้อีกฝ่ายจัดการอาหารที่อยู่ตรงหน้า ตอนแรกฟุรุคาวะอิดเอื้อนไม่ยอมทำตามแต่พอสบดวงตาเชิงขู่ของคนตัวใหญ่กว่า เขาจึงหยิบขนมปังขึ้นมากัดอย่างจำใจ

                พอเห็นเด็กหนุ่มยอมกินอาหารแต่โดยดีเคียวยะก็นั่งหยิบในส่วนของตัวเองขึ้นมาบ้าง และนั่งกินไปมองหน้าฟุรุคาวะไปอย่างมีความสุขโดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีสายตามุ่งร้ายของใครบางคนมองการกระทำของเขาอยู่ พอกินเสร็จเขาก็เก็บห่อขนมรวมกล่องนมเปล่าใส่ถาดรองและยกทั้งของตัวเองและฟุรุคาวะ ไปวางไว้ในอ่างล้างจาน แต่ตอนจะออกจากห้องอาหาร เด็กหนุ่มก็พูดขึ้น

                “ฉันจะไปห้องน้ำ”

                เคียวยะทำท่าลังเลแต่ก็ยอมปล่อยมืออีกฝ่ายแต่โดยดี พอเป็นอิสระ ฟุรุคาวะก็จ้ำอ้าวเข้าอาคารเรียนโดยไม่ยอมหันหน้ากลับมามอง พอจะตามเสียงกริ่งก็ดังขึ้นมาก่อน ชายหนุ่มจึงจำต้องเปลี่ยนใจเดินกลับขึ้นห้องตามลำพัง

                การเรียนหลังพักเที่ยงจัดเป็นเรื่องทรมานอย่างยิ่งยวดสำหรับนักเรียน เพราะพอหนังท้องตึง หนังตาก็เริ่มหย่อน พาลจะหลับเสียให้ได้ หลายคนจึงเริ่มสัปหงกจนครูต้องปลุกด้วยการปาชอล์ก แต่ก็มีบางคนเป็นพวกมีความสามารถพิเศษคือ หลับได้ทั้งที่ยังลืมตา  

                ฟุรุคาวะเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ทั้งที่ตามปรกติแล้วเขาไม่เคยหลับในห้องเรียน แต่เพราะโดนเคียวยะบังคับให้กินข้าวกลางวันจนอิ่ม ตอนนี้ความง่วงจึงเริ่มเข้ามาก่อกวน พอโดนลมเย็นที่พัดเข้ามาทางหน้าต่างเข้าไปหลายครั้ง ดวงตาทั้งคู่ก็เริ่มหรี่ลง และคงหลับไปแล้วถ้าเสียงเคียวยะไม่ดังขึ้นมา

                “ผมไม่เข้าใจที่ครูพูด ช่วยอธิบายอีกครั้งได้ไหมครับ”

                ฟุรุคาวะสะดุ้งเฮือกเบิกตาโพลงและทันเห็นครูประจำชั้นกำลังลดมือที่เตรียมจะขว้างแปรงลบกระดานใส่เขาลงพอดี ตอนแรกเด็กหนุ่มคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญ แต่พอเห็นเคียวยะเหลือบตามาทางเขาพร้อมกับสิ่งยิ้มให้ จึงรู้ว่าคำถามเมื่อครู่เป็นการช่วยไม่ให้หัวของเขาขาวโพลนจากการปลุก เด็กหนุ่มรีบสะบัดหัวอย่างแรงเพื่อให้ตาสว่างจากนั้นก็นั่งจ้องไปที่กระดานและฟังคำสอนอย่างตั้งใจจนกระทั่งหมดเวลาเรียน

                ทันทีที่เสียงกริ่งเงียบลงและกล่าวคำขอบคุณครูประจำชั้นแล้ว นักเรียนทุกคนก็ส่งเสียงพูดคุยกันเซ็งแซ่ พวกที่สนิทกันหน่อยก็เดินกลับบ้านพร้อมกัน บางคนรีบเก็บข้าวของโดยไม่พูดจากับใครเพราะต้องไปเรียนพิเศษ มีบางกลุ่มขวนกันไปเดินเล่นแถวสถานีรถไฟเพื่อกินขนม นักเรียนหญิงบางคนหันมาชวนเคียวยะ แต่ชายหนุ่มกลับชำเลืองไปทางฟุรุคาวะพร้อมกับสั่นศีรษะ พอเห็นเขาปฏิเสธ เด็กกลุ่มนั้นจึงพากันออกจากห้อง พวกที่เหลือก็ทยอยกันออกไปทีละคนสองคน ไม่ช้าห้องที่เคยวุ่นวายก็เงียบสงบเหมือนป่าช้าในยามค่ำคืน

                แสงอาทิตย์สีส้มส่องผ่านหน้าต่างเข้ามากระทบกับร่างของฟุรุคาวะ เขายังคงนั่งเหม่ออยู่เช่นเดิมและมองเพื่อนที่กำลังเดินออกจากโรงเรียนไปเป็นกลุ่มอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน เพียงแต่วันนี้ความสงบที่เคยชอบถูกทำลายลงด้วยเสียงของเคียวยะ

                “ยังไม่กลับอีกหรือ” ถามพลางถือวิสาสะลากเก้าอี้มานั่ง ฟุรุคาวะรีบเก็บแขนทั้งสองข้างแนบลำตัวพร้อมขยับถอยออกห่าง

                “แล้วนายล่ะ” คนตัวเล็กย้อนถาม เคียวยะยิ้มน้อยๆอย่างอารมณ์ดี

                “ฉันรอคนมารับ” เขานิ่งไปสักระยะและพูดต่อ “จะกลับด้วยกันไหมล่ะ”

                ฟุรุคาวะรีบส่ายหน้า “ฉันกลับเองได้”

                “ตามใจ” เคียวยะพูดพลางมองออกไปที่ถนนหน้าโรงเรียนซึ่งมีรถสีขาววิ่งเข้ามาจอด แต่พอเห็นคนขับเปิดประตูออกมายืนรอข้างนอก เขาก็นิ่วหน้า “ทำไมมาเร็วนักนะ เจ้าบ้า”

    บ่นพึมพำด้วยท่าทางรำคาญมากกว่าหงุดหงิดและหันมาทางฟุรุคาวะอีกครั้ง “พรุ่งนี้เจอกัน”

                ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินหยิบกระเป๋าเดินออกจากห้อง ฟุรุคาวะมองตามอย่างโล่งใจแต่แล้วจู่ๆความรู้สึกบางอย่างก็ถาโถมเข้ามาในอก จะบอกว่าเป็นความเศร้าก็ไม่เชิงนักเพราะมันเป็นความโหยหาอาวรณ์อย่างลึกซึ้งเหมือนสิ่งสำคัญในชีวิตกำลังลอยหายไป เป็นความอาดูรอันโศกสลดต่างจากความรู้สึกในช่วงแรกที่ต้องสูญเสียบิดามารดา ความเจ็บปวดพุ่งทะลักขึ้นมาอย่างท่วมท้นทำให้ฟุรุคาวะต้องหอบหายใจอย่างหนักและยกมือขึ้นกุมหน้าอก อาการที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้เด็กหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

                “เราเป็นอะไรไปเนี่ย?

                เขาพึมพำกับตัวเองพร้อมกับพยายามคุมสติแต่กลับต้องตระหนกเมื่อมีเสียงใครบางคนดังมาจากประตู

                “ยังไม่กลับอีกเหรอ ฟุรุคาวะ”

                น้ำเสียงห้าวไม่น่าฟัง ไม่จำเป็นต้องมองชายหนุ่มก็รู้ว่าคนพูดคือ คาวาเบะ มุซาชิ นักเรียนห้องเดียวกัน แต่มีนิสัยอันธพาลชอบหาเรื่องวิวาทชกต่อยและรีดไถข่มขู่คนอื่นอยู่เสมอจนถูกพักการเรียนไปหลายครั้ง ที่สำคัญคือเขามีข่าวลือว่าชอบทำมิดีมิร้ายกับคนอ่อนแอกว่าเป็นประจำ โดยไม่เลือกว่าเป็นหญิงหรือชาย

                “ว่าไง ถามแล้วทำไมไม่ตอบ” คำพูดกระชากอย่างข่มขู่ขณะที่เจ้าตัวก้าวเข้ามาในห้อง ตามด้วยลูกสมุนประจำตัวอีกสามคน พอเข้าไปใกล้ ฟุรุคาวะก็คว้ากระเป๋าลุกขึ้นทันที

                “ฉันกำลังจะกลับ” เขาพูดห้วนๆก่อนเดินเลี่ยงไปอีกด้านแต่ถูกสมุนของคาวาเบะมาขวางเอาไว้ ชายหนุ่มเม้มปากน้อยๆเพื่อข่มความกลัวก่อนหันไปอีกทาง ก็ถูกสมุนอีกคนปราดมายืนขวางเช่นเดียวกัน

                “พอฉันมานายก็จะกลับ ทำแบบนี้มันหมายความว่ายังไง” คาวาเบะถามพลางเดินเข้าไปหาและแกล้งทำเป็นจับปกเสื้อของอีกฝ่ายและจัดมันให้เข้ารูป “อย่าบอกนะว่าจะรีบไปรับใช้เจ้าซาคาโมโตะ”

                “ทำไมฉันต้องทำแบบนั้นด้วย” ฟุรุคาวะพูดพร้อมกับถอยหลังหนี คาวาเบะฉีกยิ้มอย่างน่ากลัว

                “ฉันเองก็ไม่รู้ เห็นนายบริการเขาทุกอย่างตั้งแต่จูงมือไปห้องอาหาร พาเข้าห้องน้ำ แถมยังพูดคุยกันกระหนุงกระหนิงอย่างกับคู่รัก ” พูดพลางรวบมือให้เป็นกำปั้นและชกบนมืออีกข้างเบาๆ “พอมานั่งคิดดู หมอนั่นเป็นคนของตระกูลซาคาโมโตะ ถ้าเกิดถูกใจนายขึ้นมาก็ได้รับผลประโยชน์ไปเต็มๆ”                        

                คำพูดดูแคลนทำให้หน้าของฟุรุคาวะแดงก่ำ

                “ฉันไม่สนใจหมอนั่น” ชายหนุ่มพูดเสียงดัง คาวาเบะคว้าคอเสื้อเขากระชากเข้าหาตัว

                “แต่หมอนั่นสนใจนาย บอกฉันหน่อยฟุรุคาวะ ทั้งที่เพิ่งเจอกันวันแรก ทำไมเจ้าซาคาโมโตะถึงได้ติดอกติดใจนายนัก”

                “ฉันจะไปรู้ได้ยังไง” ฟุรุคาวะพูดและพยายามแกะมือของอีกฝ่ายเป็นพัลวัน คาวาเบะจ้องเขาด้วยดวงวาวดุจพยัคฆ์มองเหยื่อก่อนผลักชายหนุ่มจนเซไปกระแทกกับโต๊ะเรียน

                “รู้ตัวหรือเปล่าว่านายกำลังทำให้ฉันโกรธ” อันธพาลประจำโรงเรียนพูด “ฉันเป็นคนคุมที่นี่ เป็นกฎของเรียนนี้ ดังนั้นคนที่นายควรบริการคือคาวาเบะ มุซาชิ ไม่ใช่ซาคาโมโตะ เคียวยะ”

                “ก็บอกแล้วไงว่า ฉันไม่ได้บริการอะไรหมอนั่น” ฟุรุคาวะโพล่งออกมาอย่างหมดความอดทน “ถ้านายไม่พอใจซาคาโมโตะก็นัดเจอกับเขาตรงๆไปเลยสิ”

                คาวาเบะมองคนปากกล้าเขม็ง

                “ฉันทำแน่” เขาพูดเสียงกร้าวและพยักหน้าส่งสัญญาณ สมุนที่ยืนอยู่จึงปราดเข้าไปยึดแขนทั้งสองข้างของฟุรุคาวะทันที “ด้วยการส่งสาสน์พิเศษไปบอกมัน”

                จิตใต้สำนึกกระตุ้นเตือนให้รู้ถึงอันตราย ฟุรุคาวะพยายามดิ้นรนเพื่อให้หลุดจากพันธนาการ คาวาเบะจึงก้าวเข้าไปหาพร้อมกับเงื้อฝ่ามือหนาขึ้นฟาดเปรี้ยงลงบนแก้ม ใบหน้าสวยสะบัดไปตามแรงความเจ็บปวดที่ได้รับทำให้ชายหนุ่มถึงกับน้ำตาซึม

                “นายควรเชื่อฟังคำสั่งฉันคนเดียวเท่านั้น ฟุรุคาวะ” เขาพูดพลางไล่มือไปบนรอยช้ำบนใบหน้า พอเลื่อนลงมาที่ริมฝีปากบางสีชมพู ความคิดอันแสนร้ายกาจก็วิ่งเข้าไปในหัว        

    “ลากมันไปพาดไว้บนโต๊ะ” คาวาเบะสั่ง พอสมุนทำตามที่บอกแล้วเขาก็ฉีกยิ้มและเดินเข้าไปเคล้นคลึงสะโพกของฟุรุคาวะอย่างหื่นกระหาย “ดูสิว่าถ้าเป็นของฉันแล้วหมอนั่นจะยังสนใจนายอยู่อีกหรือเปล่า”

    มือเลื่อนไปรูปซิปและกระชากกางเกงลงมาจนถึงเข่า พอเห็นผิวเนื้อขาวผ่องราวกับผู้หญิงของ

    ฟุรุคาวะแล้ว คาวาเบะถึงกับกลืนน้ำลาย  

    “รู้แล้วว่าทำไมเจ้าซาคาโมโตะถึงสนใจนายนัก” พูดพลางลูบไล้สะโพกเนียนนุ่มและโน้มตัวลงไปกระซิบข้างหู “แต่หลังจากนี้เขาคงไม่มองนายอีกแล้ว”

    นิ้วหยาบกระด้างเลื่อนลงไปในรอยแยก ฟุรุคาวะพยายามดิ้นรนขัดขืนแต่กลับถูกสมุนของคาวาเบะกดให้อยู่นิ่ง เมื่อไม่อาจทำอะไรได้เด็กหนุ่มจึงร้องตะโกนจนสุดเสียง

    “ช่วยด้วย!

     

    */*/*/*/*/*

               

                              

                             

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×