ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fic Attack on Titan] Counter Attack Mankind

    ลำดับตอนที่ #15 : บทที่ 15 ความอ้างว้างที่แสนอบอุ่น

    • อัปเดตล่าสุด 9 มี.ค. 58


    15

    ความอ้างว้างที่แสนอบอุ่น

     ไนล์แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อเห็นขบวนรถหน่วยสำรวจลำเลียงกลุ่มโจรมาส่งถึงที่ทำการกองสารวัตรทหาร พอเห็นสภาพของฮักเบิร์ตแล้วเขาไม่ต้องเดาเลยว่าเกิดอะไรขึ้นและรู้เลยว่าเป็นฝีมือของใครแต่ออกจะแปลกใจอยู่บ้างเพราะเคยได้ยินกิตติศัพท์ของฮักเบิร์ตว่าเป็นคนเจ้าเล่ห์และเป็นผู้ร้ายปากแข็ง จนเมื่อเห็นรายงานของเอลวินถึงรู้ว่าคำสารภาพทั้งหมดมาจากสมุนมือขวาซึ่งก็คือฟอร์คเกอร์นั่นเอง   

    และเป็นธรรมดาของพวกหางแถวใจปลาซิว เมื่อหลุดปากคนหนึ่ง ที่เหลือก็คายทุกอย่างออกมา

    คำสารภาพของฟอร์คเกอร์นำไปสู่การจับกุมผู้ถือบังเหียนอย่าง ฟาเบียน เบคเคียร์ต ในชั้นแรกเขายืนกรานปฏิเสธแต่พอเห็นจดหมายของฮักเบิร์ตก็หน้าถอดสีและยอมรับว่าตนเองมีส่วนเกี่ยวข้องกับการลักลอบค้าเครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติ นอกจากนี้เขายังซัดทอดถึงผู้ร่วมขบวนการอีกสองสามคน แต่พอไนล์ถามถึงบุคคลที่ชักใยอยู่เบื้องหลังเขากลับปิดปากนิ่งเงียบไม่พูดอะไรออกมา จนเอลวินนำจดหมายลับและทองคำที่มีตราประทับของข้าหลวงใหญ่ คริสตอฟ แอมเซล ที่ค้นได้จากบ้านพักตากอากาศของฟาเบียนริมทะเลสาบนอกเขตกำแพงซีนามายืนยัน หัวหน้าหมู่ผู้ฉ้อฉลก็นั่งคอตกยอมสารภาพทุกอย่าง

    ใช้เวลาสองวันการสอบสวนจึงสิ้นสุดลง ฟาเบียน ฮักเบิร์ตและสมุนทั้งหมดถูกนำตัวไปคุมขังรอคำตัดสิน วันต่อมาแอมเซลถูกปลดตำแหน่งและโดนนำตัวไปขังรวมกับผู้ร่วมขบวนการ การกวาดล้างในครั้งนี้สร้างความยินดีให้กับไนล์เป็นอย่างมากตรงกันข้ามกับรีไวที่ทั้งรำคาญใจและหงุดหงิดเพราะเขากับเอลวินต้องวางมือจากงานของหน่วยสำรวจ เดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อช่วยเหลือกองสารวัตรทหาร

    ถึงจะแค่สองวัน แต่สำหรับรีไวแล้วมันช่างเป็นเวลาที่ยาวนานจนสุดทน เขาพยายามปฏิบัติงานอย่างเต็มกำลังเพื่อจะได้กลับไปสมทบกับลูกหน่วยที่ปราสาทให้เร็วที่สุด แต่ยิ่งเร่งก็ยิ่งช้าเพราะกองสารวัตรทหารทำงานกันอย่างอืดอาดแบบเช้าชามเย็นชาม การจับกุมข้าหลวงแอมเซลคงใช้เวลามากกว่านั้นหรือบางทีอาจเป็นไปไม่ได้เลยหากเอลวินไม่เตือนให้ไนล์ไปกระตุ้นลูกน้อง ซึ่งได้ผลเพราะชั่วข้ามคืนหลักฐานทุกอย่างก็ตกไปอยู่ในมือของผู้บัญชาการสูงสุด แซคเคลย์ ผ่านไปครึ่งวันแอมเซลก็ถูกส่งตัวไปขังรวมกับฮักเบิร์ต

    ความคืบหน้าทำให้รีไวโล่งใจขึ้นมาบ้างแต่กระนั้นก็ไม่ช่วยให้ความคิดคำนึงของเขาที่มีต่อเอเลนลดลง เขายังคงเป็นห่วงทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นเรื่องเจ้าเด็กเหลือขอเกิดสติแตกขึ้นมาจนกลายร่างเป็นไททันหรือทำตัวเซ่อซ่าระหว่างการฝึกซ้อมจนได้รับบาดเจ็บ ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิดจนอยากทิ้งงานทุกอย่างและควบม้ากลับปราสาทให้สิ้นเรื่องสิ้นราว

    วันที่สามในเมืองหลวง หลังจากการเข้าพบและปรึกษางานกับแซคเคลย์ รีไวกับเอลวินจึงเดินทางกลับที่พักซึ่งจัดเตรียมไว้สำหรับคนของหน่วยสำรวจโดยเฉพาะ พอพ้นจากการติดตามของกองสารวัตรทหารแล้วรีไวก็หลุดปากออกมาอย่างหงุดหงิด

    “น่ารำคาญชะมัด”

    เอลวินซึ่งนั่งที่โต๊ะทำงานและเตรียมหยิบเอกสารสำคัญขึ้นมาอ่านเหลือบตาขึ้นมอง

    “เรื่องอะไร”

    เขาถามทั้งที่รู้อยู่แก่ใจดีว่าอีกฝ่ายกำลังพูดเรื่องอะไร รีไวจึงขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจนัก

    “นายรู้อยู่แล้วไม่ใช่หรือ”

    ผู้บัญชาการหนุ่มอมยิ้มน้อยๆก่อนลดสายตาลงไปอ่านรายงานและทำเป็นนั่งนิ่งเหมือนไม่สนใจกับคำถามเท่าใดนัก ท่าทางไม่รู้ร้อนรู้หนาวของเขาทำให้รีไวเริ่มโมโหจนต้องโพล่งออกมา

    “โฮ่ย เอลวิน”

    น้ำเสียงต่ำเหมือนเตือนให้รู้ว่าพร้อมจะเหวี่ยงร่างผู้บังคับบัญชาออกทางหน้าต่างหากไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจ เอลวินจึงคลี่ยิ้มน้อยๆ

    “ใจเย็นน่ะรีไว” เขาวางรายงานก่อนประสานมือวางไว้บนโต๊ะ “แซคเคลย์บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าหลักฐานทุกอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ แอมเซลดิ้นไม่หลุดแน่”

    “ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงแล้วทำไมนายถึงยังอยู่ที่นี่” รีไวถามพลางมองคนตรงหน้าเหมือนจะจ้องจับผิด แต่สายตาดังกล่าวไม่ได้ทำให้คนที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ของตัวเองอย่างเอลวินหวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย 

    “อยากให้แน่ใจกว่านี้อีกนิด”

    คำพูดที่เหมือนเป็นการพึมพำกับตัวเองมากกว่าจะเป็นการบอกกล่าวทำให้คนตัวเตี้ยมุ่นคิ้ว

    “นายยังกังวลอะไรอยู่อีก”

    “ข้าหลวงแอมเซล ถึงเขาจะไม่ใช่เชื้อพระวงศ์แต่ก็เป็นพวกชนชั้นสูง ถ้าพวกนั้นยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องเราก็ไม่มีทางเอาผิดเขาได้”

    “งั้นก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกกองสารวัตรทหาร” รีไวพูดอย่างไม่แยแสแต่เอลวินกลับส่ายหน้า

    “แอมเซลเป็นเพื่อนกับนิโคลัส โลบอฟ คนพวกนี้ต้องการกำจัดหน่วยสำรวจ ถ้าปล่อยให้รอดไปได้พวกเราเองต่างหากที่จะเป็นฝ่ายเดือดร้อน”

    คำอธิบายของผู้บังคับบัญชาทำให้รีไวต้องนิ่ง เขารู้อยู่แก่ใจดีว่าพวกชนชั้นสูงต้องการยุบหน่วยสำรวจตลอดเวลาเพราะคิดว่าการออกไปนอกกำแพงเป็นเรื่องเพ้อฝัน ขอบฟ้าอันกว้างใหญ่นอกกำแพงสูงเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่มีวันเอื้อมถึง และที่สำคัญคนเหล่านั้นต้องการสงวนเงินภาษีที่ต้องเสียไปกับการสำรวจไว้กับตนเอง คริสตอฟ แอมเซลก็เป็นหนึ่งในนั้นซึ่งเขาเองก็แน่ใจว่าจะต้องเกิดปัญหากับคนในหน่วยสำรวจแน่หากหมอนี่รอดตัวจากคดี

    รีไวกำหมัดแน่น เขาไม่ยอมให้พวกสกปรกนั่นมาแตะต้องคนของเขาอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเอเลน  

    “แล้วนายจะทำยังไง”

    “ทำให้คนพวกนั้นแตกคอกันเอง” ผู้บัญชาการหน่วยสำรวจตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนสิ่งที่พูดออกมาเป็นเรื่องที่สามารถทำได้อย่างง่ายดาย หากเป็นคนอื่นรีไวคงไม่เชื่อเท่าใดนัก แต่เพราะคนพูดคนคือเอลวินผู้ซึ่งไม่เคยหลุดปากพล่อยๆ ชายหนุ่มจึงเข้าใจในทันทีว่าอีกฝ่ายต้องวางแผนการบางอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว

    “เจ้าพวกนั้นเชื่อใจกันมาก แน่ใจหรือว่าแผนของนายจะได้ผล”

    “คนบางจำพวกผูกพันกันด้วยความละโมบ แต่สั่นคลอนได้ด้วยเงินทองและอำนาจ” เอลวินพูดด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม แต่พอเห็นรีไวผงกศีรษะและทำท่าจะลุกเขาก็ถาม “นายจะไปไหน”

    “กลับปราสาท” รีไวตอบเสียงกระด้าง พอเห็นคนฟังทำหน้าคล้ายคาดไม่ถึงว่าจะได้ยินแบบนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว “ไม่มีอะไรให้ฉันทำแล้วนี่”

    “ภารกิจสำคัญของเราในตอนนี้คือให้ความช่วยเหลือแซคเคลย์ นายยังไปไหนไม่ได้จนกว่าแอมเซลจะอยู่ในคุก”

    “แต่ฉันมีงานอื่นต้องทำ” คนตัวเตี้ยเถียงและหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อเห็นสายตารู้ทันของเอลวิน  

    “ไม่ต้องเป็นห่วง” เขาพูดพลางเปิดลิ้นชักดึงจดหมายฉบับหนึ่งส่งให้รีไว พอเปิดอ่านถึงรู้ว่าเป็นจดหมายจากเอลโด้ที่รายงานเรื่องการทำงานของลูกหน่วยทุกคน โดยเฉพาะเอเลนซึ่งเขาเน้นย้ำว่าปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมและเป็นปรกติดีทุกประการ

    “นึกยังไงถึงส่งคนไปที่นั่น” รีไวถามหลังอ่านจดหมายจบ เอลวินส่งยิ้มให้ก่อนตอบ

    “ฉันก็เป็นห่วงเอเลนเหมือนกับนายนั่นแหละ” คนมีตำแหน่งสูงกว่าตอบ น้ำเสียงที่เหมือนกับแฝงความนัยบางอย่างเอาไว้ทำให้รีไวต้องเหลือบตามอง พอเห็นสีหน้าของเอลวินแล้วเขาก็เริ่มสังหรณ์ใจบางอย่าง เพราะดูท่าทางแล้วเจ้าคนจอมวางแผนคงไม่ได้มีแค่ความเป็นห่วง หากแต่มีความรู้สึกอื่นซึ่งเขาไม่อยากคิดเลยว่ามันคืออะไร

    “เอเลนเป็นคนของหน่วยพิเศษ” รีไวพูดสั้นๆเป็นเชิงเตือนว่าอย่าได้ข้องแวะกับคนของเขาอย่างเด็ดขาด ซึ่งเอลวินก็เข้าใจความหมายนั้นดีและรู้ด้วยว่าตอนนี้หัวหน้าทหารคนเก่งเริ่มมีอาการ หวง เจ้าหนูไททันขึ้นมาบ้างแล้ว  

    “แต่ฉันเป็นผู้บัญชาการหน่วยสำรวจ” เขาพูดสั้นๆและมองหน้าอีกฝ่ายคล้ายจะบอกว่าเขาเองก็มีสิทธิ์ในตัวของเอเลนเช่นเดียวกันและเกือบเผลอยิ้มเมื่อเห็นความหึงหวงกำลังฉายออกมาจากดวงตาสีเทาที่แทบไม่เคยแสดงความรู้สึกใด

    “งั้นก็รีบจบเรื่องนี้เสียที” รีไวพูดเสียงเนิบเย็นเหมือนเบื่อหน่ายกับงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสำรวจเลยสักนิดและจ้องเอลวินด้วยดวงตาวาววับก่อนลุกขึ้น “ฉันอยากกลับไปหาเจ้าพวกนั้นเร็วๆ”

    พูดจบเขาก็ก้าวออกจากห้องโดยไม่ฟังเสียงเรียกของผู้บังคับบัญชา ระหว่างเดินไปตามทาง หัวใจของรีไวก็อัดแน่นไปด้วยความร้อนรุ่ม เขารู้ดีว่าเอลวินสนใจพลังไททันในตัวของเอเลนแต่นึกไม่ถึงว่าความคิดจะเกินเลยมากไปกว่านั้น และคงไม่ใช่เรื่องยากหากหมอนั่นคิดครอบครองเจ้าเด็กเหลือ เพราะด้วยตำแหน่งของผู้บัญชาการ เพียงแค่ออกคำสั่งให้เอเลนย้ายจากหน่วยพิเศษเข้าไปอยู่ในศูนย์บัญชาการ เขาก็จำต้องทำตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

    คิดพลางกำหมัดแน่น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นเขาจะต้องบอกเอลวินไปตามตรง ว่าเอเลนเป็นของเขา และเขาจะไม่มีวันยกเด็กเหลือขอนี่ให้กับใครทั้งสิ้น ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นเอลวิน ฮันซี่หรือแม้กระทั่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด แดริอุส แซคเคลย์ก็ตาม

    ใช่แล้ว เอเลนเป็นสิ่งสำคัญที่สุดและเขาจะไม่มีวันยอมยกของล้ำค่านี้ให้ใครอย่างเด็ดขาด

    ไม่มีวัน !

    */*/*/*/*

    ขณะที่รีไวกำลังหงุดหงิดกับสิ่งที่เพิ่งรับรู้อยู่นั้น ที่ปราสาทห่างออกไปในเวลาเดียวกันเอเลนก็มีความรู้สึกแบบเดียวกัน ต่างตรงที่เขาไม่เข้าใจอารมณ์ประหลาดของตัวเอง จะบอกว่าเป็นความหงุดหงิดก็ไม่เชิงนัก ความหงอยเหงาก็ไม่ใช่ ที่แน่นอนคือความรู้สึกดังกล่าวเริ่มเกิดขึ้นตอนที่เขาไม่เห็นหน้ารีไว พอได้ยินจากรุ่นพี่ว่าหัวหน้าต้องอยู่ในเมืองอีกหลายวัน ความอ้างว้างก็ถาโถมเข้าใส่จนหัวใจของเด็กหนุ่มเหน็บหนาว

    เอเลนหยุดงานที่กำลังทำอยู่และเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เมฆสีขาวดุจปุยฝ้ายกลุ่มใหญ่กำลังเคลื่อนผ่านไปอย่างเงียบกริบ สายลมแผ่วพัดผ่านมาตามยอดสนจนโยกไหวไปมาแต่แล้วจู่ๆมันก็ม้วนตัวลงมายังเบื้องล่างเป่าใบไม้แห้งที่เด็กหนุ่มกวาดรวมกันเอาไว้ให้กระจายไปคนละทิศละทาง

    ดวงตาสีสวยมองใบไม้ที่เกลื่อนเต็มพื้นอย่างเศร้าสร้อย ทั้งที่เมื่อครู่พวกมันยังกองอยู่ด้วยกันแท้ๆพริบตาก็ถูกลมพัดพาให้แยกจากกันไปจนไกล คูคล้ายตัวเขากับหัวหน้าไม่มีผิด ทั้งที่เวลานี้เขาควรจะได้ยินเสียงดุของหัวหน้า ถูกดวงตาคมกริบฉายแวววาววับจับจ้องทุกฝีเก้า แทนที่จะมีความสุขยามได้อยู่ด้วยกันกลับถูกพรากให้ห่างหายด้วยภารกิจที่คาดไม่ถึง

    คิดพลางถอนใจออกมาอย่างกลัดกลุ้มพร้อมกับตั้งคำถาม ป่านนี้หัวหน้าทำอะไรอยู่ หัวหน้าจะมีความรู้สึกแบบเดียวกับเขาหรือเปล่า คิดถึงเด็กเหลือขอคนนี้บ้างหรือไม่ หรือหมกมุ่นอยู่กับงานจนไม่มีที่ว่างให้เขาเลย

    น้ำใสๆเอ่อคลอเบ้าและคงไหลพรากอาบแก้มหากเอเลนไม่รับปาดมันออกเสียก่อน ตอนนี้เขาเป็นคนของหน่วยพิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดในหน่วยสำรวจ จะมาเสียน้ำตาให้กับเรื่องไร้สาระแบบนี้ไม่ได้ ที่สำคัญคือเพื่อให้หัวหน้ารีไวยอมรับ เขาจะต้องเข้มแข็ง อดทนและไม่แสดงความอ่อนแอออกมาให้เห็นอย่างเด็ดขาด

    พอปรับอารมณ์ให้อยู่ในสภาพปรกติและพอจะลืมความเศร้าไปได้บ้างเอเลนก็ก้มหน้าก้มตาทำงานต่อจนเสร็จ เก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดเรียบร้อยเพตร้าก็เดินเข้ามาเรียกไปกินมื้อกลางวัน นั่งพักพูดคุยปรึกษาข้อสงสัยเรื่องการเคลื่อนขบวนทัพแบบใหม่กับกุนเทอร์และเอลโด้โดยมีออรูโอ้คอยเหน็บแหนมเป็นระยะอยู่พักใหญ่ทุกคนก็แยกย้ายไปปฏิบัติภารกิจกันต่อกระทั่งเย็น

    มื้อค่ำวันนี้พิเศษขึ้นเล็กน้อยจากเนื้อไก่ป่าที่ออรูโอ้ล่ามาได้ ทุกคนจึงลงมือรับประทานกันอย่างเอร็ดอร่อย จะมีก็แต่เอเลนเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ตักซุปเข้าปากอย่างแกนๆ สีหน้าหดหู่กับท่าทางหงอยเหงามากกว่าทุกครั้งทำให้เพตร้าต้องเอ่ยปากถาม

    “เป็นอะไรไปหรือเอเลน”

    ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะไม่ได้ยินที่คำถาม เพราะเขายังคงนั่งใจลอยใช้ช้อนกวนอาหารในถ้วยช้าๆ หญิงสาวจึงเรียกซ้ำ “เอเลน”

    เสียงที่ดังกว่าเดิมทำให้ทุกคนหยุดและหันไปมองเอเลนเป็นตาเดียว ออรูโอ้ซึ่งคันปากอยู่นานจึงโพล่งออกมา

    “สงสัยจะคิดถึงหัวหน้าเลยกินอะไรไม่ลง” จอมปากมากเบ้หน้าน้อยๆพลางซดซุปเข้าไปคำใหญ่ก่อนจะพูดต่อ “ฉันขอเตือนไว้ก่อนเลยนะไอ้เด็กเหลือขอ หัวหน้ามีงานยุ่งจนบางทีแทบไม่มีเวลาคุยกับพวกเรา ดังนั้นเด็กเจ้าปัญหาอย่างแกจึงไม่มีสิทธิ์เรียกร้องความสงสาร เพราะต่อให้แกทำท่าเป็นหมาหงอยมากแค่ไหนหัวหน้าเขาก็ไม่สนใจหรอก”

    คำขู่ของออรูโอ้ทำให้หน้าเงื่องหงอยจ๋อยลงไปอีก เพตร้าจึงรีบเหยียบเท้าคนช่างพูดเพื่อเตือนให้หุบปากพร้อมกับชวนคุย

    “อาหารไม่ถูกปากเหรอเอเลน”

    “เปล่าครับ” เด็กหนุ่มตอบพลางมองถ้วยซุปตรงหน้าด้วยความรู้สึกผิด ทั้งที่เขาเป็นตัวประหลาด เป็นไททันที่น่ารังเกียจแต่รุ่นพี่ทุกคนกลับเก็บงำความหวาดกลัวเอาไว้แถมยังมอบความเอ็นดูเมตตาเอาใจใส่ กระทั่งอาหารมื้อนี้ออรูโอ้ก็ยังอุตส่าห์ออกไปหาเนื้อมาให้ แทนที่เขาจะแสดงความกระตือรือร้นด้วยการกินอย่างเอร็ดอร่อยเป็นการขอบคุณกลับทำหน้าเบื่อโลกแถมยังกินน้อยจนนับคำได้

    จะให้เขากินลงได้ยังไงในเมื่อไม่มีคนสำคัญร่วมโต๊ะ

    “เจอซุปมันฝรั่งทุกวันเป็นใครก็เบื่อด้วยกันทั้งนั้น” เอลโด้พูดอย่างเคร่งขรึมแต่ออรูโอ้กลับชักสีหน้าและคงปล่อยคำประชดประชันออกมาอีกชุดใหญ่ถ้ากุนเทอร์ไม่ขัดขึ้นมาเสียก่อน 

    “เบื่อยังไงก็ต้องฝืน ไม่อย่างนั้นหัวหน้าจะโกรธ”

    เอเลนมองหน้าคนพูด ถูกของคุณกุนเทอร์ หากเขาไม่กินอาหารแล้วจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนไปต่อสู้กับพวกไททัน ถ้าหัวหน้ารีไวรู้คงไม่ชอบใจแน่

    “เข้าใจแล้วครับ” พูดพร้อมกับตักอาหารใส่ปากกินจนหมด ถึงไม่รู้รสแต่ขอให้ท้องอิ่มไว้ก่อนเพื่อที่จะได้มีแรงฝึกตอนหัวหน้ากลับมา พอทุกคนอิ่มกันหมดแล้วเอเลนจึงเสนอตัวเป็นคนทำความสะอาดโต๊ะอาหาร พอจัดการงานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยเขาก็อาบน้ำ ขึ้นห้องนอน

    พออยู่ตามลำพังความเหงาก็กลับมาอีกครั้ง มันเป็นความอ้างว้างที่เอเลนเคยสัมผัสมาแล้วตอนสูญเสียมารดาอันเป็นที่รัก ผิดกันตรงที่ความรู้สึกในครั้งนั้นเป็นความหดหู่จนหมดอาลัยตายอยากในชีวิต แต่ความคิดคำนึงที่มีต่อหัวหน้ารีไวนั้นตรงกันข้าม มันเปี่ยมล้นไปด้วยความโหยหาและปรารถนาจะไขว่คว้ามาครอบครอง แม้บางครั้งความคิดนั้นช่างเจ็บปวดแต่หัวใจกลับอิ่มเอิบไปด้วยความสุขโดยไม่สนว่าอีกฝ่ายจะมองเขาเป็นเพียงเด็กเหลือขอคนหนึ่ง

    เด็กเหลือขอคนนี้แหละที่รักหัวหน้ารีไวมากยิ่งกว่าใครทั้งหมด

    คิดพลางปิดเปลือกตาลง แต่ภาพใบหน้าเคร่งขรึมกลับปรากฏขึ้นอย่างกระจ่างชัดในมโนสำนึก เอเลนรีบลืมตาขึ้นพร้อมกับสูดลมหายใจเข้าเพื่อระงับความปั่นป่วนที่อัดแน่นอยู่ในอก คิดว่าสงบลงได้แล้วเขาก็หลับตาลงอีกครั้ง ใบหน้าอันหล่อเหลาของรีไวก็สว่างวาบขึ้นในทันใด

    “บ้าเอ๊ย!” เด็กหนุ่มโพล่งออกมาดังๆพร้อมกับลุกพรวดขึ้นขยี้ผมสีน้ำตาลของตัวเองจนยุ่ง เขาไม่ทางข่มตาให้หลับลงได้แน่หากยังมัวคิดถึงแต่หัวหน้ารีไว งั้นเขาควรทำยังไงดีล่ะ เอเลนถามตัวเองพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง สามวันก่อนตอนอยู่ในห้องใต้ดินเขาสร้างความหวังเล็กๆตลอดเวลาว่าคงมีโอกาสนอนในห้องชั้นบนเหมือนกับคนอื่น ได้เข้าไปทำความสะอาดห้องของหัวหน้าเป็นบางครั้ง และถ้าได้รับคำชมด้วยก็คงจะดีไม่น้อย

    แต่ตอนนี้หัวหน้าไม่อยู่ ต่อให้อยากดูแลใกล้ชิดแค่ไหนก็ไม่มีทางเป็นไปได้ เอเลนคิดอย่างเจ็บปวดพลางกลืนก้อนสะอื้นเข้าไปในลำคอ ที่เขาอยากนอนให้หลับไม่ใช่เพราะความอ่อนล้า แต่ห้วงนิทราทำให้เด็กหนุ่มไม่ต้องทรมานกับความคิดถึง คิดแล้วก็เอนตัวลงอีกครั้งแต่ก็เหมือนเช่นเดิมคือเขาไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ เมื่อไม่รู้จะทำยังไงเอเลนจึงออกจากห้อง เดินไปตามระเบียงอันเงียบสงัด เด็กหนุ่มไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าตนเองกำลังไปไหน มารู้ตัวอีกทีเขามาหยุดที่ห้องของรีไวแล้ว 

    เขามาทำอะไรที่นี่ หัวหน้าไม่อยู่ในห้องสักหน่อย เอเลนบอกกับตัวเองแต่มือกลับเลื่อนไปจับลูกบิดประตู เพียงหมุนเบาๆมันก็เปิดออกอย่างง่ายดาย สมองของเด็กหนุ่มร้องห้ามว่าอย่าแต่ขาทั้งสองข้างกลับก้าวล่วงเข้าไปข้างใน แม้จะเป็นเวลากลางคืนแต่แสงนวลของดวงจันทร์ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างทำให้มองเห็นสิ่งรอบตัวได้ไม่ยากนัก เอเลนกวาดตามองไล่ตั้งแต่โต๊ะทำงาน ชั้นหนังสือไปจนถึงเตียงนอนด้วยทั้งห้องดูสะอาดสะอ้านปราศจากผงฝุ่น ข้าวของทุกอย่างถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบต่างจากห้องของผู้ชายทั่วไป

    เอเลนมองเอกสารกองโตบนโต๊ะ งานเยอะขนาดนี้หัวหน้าถึงไม่ค่อยมีเวลาพูดคุยเล่นหัวกับลูกน้อง คิดพร้อมกับเดินไปเรื่อยๆส่วนตาก็มองไปรอบๆและหยุดตรงเสื้อนอกสีน้ำตาลที่แขวนไว้เหนือเตียง

    “เสื้อของหัวหน้า” เด็กหนุ่มพึมพำพลางยื่นมือไปแตะ เขาพยายามสะกดความปรารถนาของตัวเองที่อยากจะดึงลงมาสวม เพราะคิดว่ามันคงให้ความรู้สึกเหมือนตอนที่อยู่ในอ้อมกอดของหัวหน้า แต่ถ้าถือวิสาสะเช่นนั้นเขาคงโดนไล่กลับลงไปนอนในห้องใต้ดินไม่มีโอกาสเห็นเดือนเห็นตะวันอีกต่อไป ความที่ไม่อยากอยู่ห่างจากหัวหน้าอันเป็นที่รัก เอเลนจึงจำต้องตัดใจแต่กระนั้นก็ยังไม่วายดึงปลายแขนเสื้อมาจุมพิตเบาๆและหันไปมองเตียงที่มีผ้าสีขาวสะอาดปูเอาไว้อย่างเรียบร้อยแทน ความคิดคำนึงถึงคนไกลเพิ่มพูนท่วมหัวอก เด็กหนุ่มทิ้งตัวลงนั่งและลูบที่นอนอันว่างเปล่าอย่างแผ่วเบา

    “หัวหน้า”

    เขาเรียกด้วยความคิดถึงก่อนทิ้งตัวลงเอาหน้าซุกหมอน แม้ที่นอนจะเย็นเยียบเพราะปราศจากคนนอนมาหลายวันแต่กลิ่นหอมกรุ่นจากกายของรีไวยังคงฝังแน่นอยู่ทุกอณู มันเป็นกลิ่นที่สะอาดในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกถึงความแข็งแกร่ง เอเลนสูดกลิ่นนั้นเข้าไปจนเต็มปอดพร้อมกับยิ้มอย่างมีความสุข   

    “กลิ่นของหัวหน้า”

    เด็กหนุ่มพูดพลางสูดลมหายใจอีกหลายครั้ง เขารู้ดีว่าสิ่งตนกำลังทำในตอนนี้เป็นความผิด และควรออกจากห้องก่อนรุ่นพี่มาเห็นแต่ร่างกายกลับดื้อแพ่งไม่ยอมทำตาม พอจะลุกใจก็ต่อรองว่าขออีกสักนิด บ่ายเบี่ยงไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนในที่สุดก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว

    เพียงเพื่อให้เจ้าของห้องพบว่าเตียงของตัวเองโดนคนที่แสนคิดถึงยึดครอง

    หลังจากเอเลนหลับไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงรีไวก็เดินทางมาถึงปราสาท ตอนแรกที่เห็นชายหนุ่มก็รู้สึกโกรธอยู่บ้างแต่พอเห็นคนน่ารักกำลังหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข โทสะก็คลายลง เขาหย่อนตัวลงนั่งและมองเอเลนด้วยดวงตาอันอ่อนโยน

    “เจ้าเด็กเหลือขอ”

    มือขยี้ผมสีน้ำตาลยุ่งเหยิงไม่แรงนักแต่ก็พอที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกตัว เด็กหนุ่มผงกศีรษะและขยี้ตาอย่างงัวเงีย แต่พอเห็นคนที่กำลังนั่งหน้าบึ้งอยู่ข้างๆเขาก็ลุกพรวดขึ้นพร้อมกับเอ่ยเรียกด้วยความตกใจ

    “หัวหน้ารีไว !

    “เออ” น้ำเสียงราบเรียบค่อนไปทางดุ “มาทำอะไรในห้องฉัน”

    ใบหน้าที่แม้จะไม่ได้แสดงอารมณ์อะไรมากนักแต่เอเลนกลับสัมผัสถึงคลื่นมรณะที่กำลังแผ่ออกมาจากหัวหน้ารีไวได้อย่างชัดแจ้ง การรุกล้ำเข้าไปในห้องของคนอื่นเป็นความผิด ยิ่งเป็นห้องของหัวหน้ารีไวด้วยแล้วโทษที่ได้รับย่อมหนักเป็นทวีคูณ ความหวาดกลัวกับทัณฑ์ที่จะได้รับทำให้เด็กหนุ่มแทบกระโดดหนีออกทางหน้าต่างให้รู้แล้วรู้รอด แต่เมื่อคิดอีกทีด้วยความสูงเพียงแค่นี้คนที่มีพลังไททันอย่างเขาคงแค่เจ็บหนักแต่ไม่ถึงกับตาย   

    “เอ้า !ว่ายังไงทำไมถึงไม่ตอบ” รีไวถามย้ำอีกครั้ง เอเลนสะดุ้งสุดตัวและระล่ำระลักตอบ

    “ผ...ผม” เด็กหนุ่มเม้มปากเพราะคิดหาคำโกหกไม่ออก แต่พอนึกได้ว่าคนอย่างหัวหน้าคงไม่ชอบคำพูดพล่อยๆ เขาจึงตัดสินใจบอกไปตามความจริง “ผมนอนไม่หลับครับ”

    “หา !!” รีไวร้อง “แกนอนไม่หลับเลยเข้ามาเดินเล่นในห้องฉันอย่างนั้นหรือ”

    “เปล่านะครับ ที่เข้ามาเพราะผมคิดถึงหัวหน้า เลยนึกว่าถ้าอยู่ในห้องนี้แล้วจะทำให้สบายใจขึ้นมาบ้าง” ดวงตากลมโตมองอย่างออดอ้อน “จริงๆนะครับ”

    ความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายขณะที่หัวใจเต้นถี่ระรัว รีไวรู้ตัวดีว่าเริ่มหวั่นไหวเมื่อได้เห็นเด็กหนุ่มนั่งเอียงคอน้อยๆอยู่บนเตียง ช่างน่ารักเสียจนเขาอยากจะดึงเข้ามากอดและพรมจุมพิตให้ทั่วทั้งตัว ชายหนุ่มถอนใจแรงๆเพื่อไล่ความคิดประหลาดออกจากหัวแต่เอเลนกลับเข้าใจว่าเขากำลังโกรธ จึงรีบขยับลงจากเตียง

    “ขอโทษครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้” มือแข็งแกร่งคว้าหมับเข้าที่หัวไหล่ เด็กหนุ่มสะดุ้งเฮือกตัวแข็งไม่กล้ากระดุกกระดิก “ห...หัวหน้า”

    “ใครอนุญาตให้แกไปมิทราบ” รีไวพูดพลางจ้องอีกฝ่ายด้วยดวงตาวาววับ พลันแสงดังกล่าวก็ดับวูบลงขณะที่เขาพูดประโยคต่อมา “ก็ได้ ฉันยอมให้หนึ่งคืน ถ้ามันทำให้แกสบายใจ”

    ดวงตาสีเขียวมรกตเบิกกว้าง “หมายความว่า ผมนอนกับหัวหน้าได้หรือครับ”

    “ใครบอกว่าฉันจะนอนกับแก” คนตัวเตี้ยตอบพลางเลื่อนสายตาไปที่โต๊ะ “ฉันต้องจัดการงานที่ค้างไว้ให้เสร็จ ส่วนแกก็นอนบนเตียงนั่นไป”

    “แล้วถ้าหัวหน้าง่วงละครับ” เอเลนถามตามตรงและก้มหน้าลงหลบสายตาที่จ้องมองมาอย่างดุดัน

    “ถามมากน่ารำคาญ” เขาโพล่งอย่างเหลืออด “ถ้าง่วงฉันก็จะถีบแกลงจากเตียง เป็นไงพอใจแล้วหรือยัง”

    “ครับ” ตอบอ่อยๆ “ขอโทษครับที่รบกวน”

    “ช่างเถอะ” รีไวพูดเหมือนต้องการตัดบท “ดึกมากแล้ว นอนได้แล้วเอเลน”

    เด็กหนุ่มยิ้มกว้างด้วยความดีใจและรีบกล่าวคำขอบคุณด้วยความรู้สึกเบิกบานกว่าตอนที่เข้ามาในห้องนี้ ในที่สุดเขาก็ได้นอนห้องเดียวกับหัวหน้า เอเลนคิดอย่างมีความสุขพลางล้มตัวลง พอหัวถึงหมอนเขาก็หลับแทบจะทันที ส่วนรีไวหลังจากรอจนแน่ใจว่าเด็กหนุ่มหลับสนิทแล้วจึงอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าและนั่งทำงานต่อจนเริ่มง่วงจึงเดินไปที่เตียง พอเห็นใบหน้าอิ่มสุขของเอเลนแล้วเขาก็อดไม่ได้ที่จะก้มลงไปจุมพิตเบาๆบนหน้าผากพร้อมกับพูดอย่างอ่อนโยน

    “ราตรีสวัสดิ์ เอเลน”

    */*/*/*/*/*

      

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×