คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : บทที่ 14 ความทรมานอันสูญเปล่า
14
ความทรมานอันสูญเปล่า
เสียงเคาะประตูดึงความสนใจของเอลวินซึ่งกำลังตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับภาพร่างแผนผังการเดินทัพได้บ้างเล็กน้อย เขาเพียงเอ่ยปากอนุญาตและรอจนคนด้านนอกก้าวเข้ามาจึงกล่าวทักทายเหมือนรู้อยู่แล้วว่าผู้นั้นเป็นใคร
“มาเร็วกว่าที่คิดนะ”
“ฉันอยากจัดการให้เสร็จเร็วๆ” รีไวตอบพลางเดินไปหยุดที่โต๊ะทำงาน พอเห็นอีกฝ่ายยังคงลากดินสอโยงตำแหน่งต่างๆบนผัง คิ้วเรียวเข้มก็ขมวดเข้าหากัน
“เราต้องสอบปากคำคนร้าย” หัวหน้าทหารกล่าวเตือน เอลวินจึงหยุดมือแต่ยังไม่เงยหน้า
“วางแผนไว้แล้วหรือยัง”
“เรื่องอะไร” รีไวย้อนถาม ผู้บัญชาการหน่วยสำรวจยังไม่ตอบในทันทีแต่กลับวางไม้บรรทัดบนแผนที่และใช้ดินสอลากเส้นเชื่อมสัญลักษณ์รูปสี่เหลี่ยมสามแห่งมารวมไว้ที่จุดเดียว
“จากที่สังเกต ฮักเบิร์ตเป็นคนปากแข็งใจคอเด็ดเดี่ยว แค่กำลังคงง้างปากหมอนั่นไม่ได้”
รีไวทำท่าจะตอบแต่กลับถูกขัดจังหวะด้วยเสียงประตู เขายืนรอให้เอลวินอนุญาตและเลิกคิ้วขึ้นเมื่อเห็นคนเคาะเดินยิ้มระรื่นเข้ามาในห้อง
“ฮันซี่”
“ไงรีไว สบายดีเหรอ เอเลนของฉันเป็นยังไงบ้าง” หัวหน้าหมู่ผู้ชาญฉลาดกล่าวทักอย่างร่าเริง รีไวกลับนิ่วหน้าพร้อมกับพึมพำ
“เอเลนของฉันต่างหาก”
“หา ! เมื่อกี้นายว่าอะไรนะ” ฮันซี่ย้อนถามในขณะเดียวกันก็ยกมือขึ้นป้องหูคล้ายจะบอกว่าเมื่อครู่เธอได้ยินไม่ถนัด การกระเซ้าเย้าแหย่ระหว่างคนทั้งสองคงไม่มีทางจบลงหากเอลวินไม่ขัดขึ้นมาก่อน
“เราต้องสรุปสำนวนการสอบสวนให้ได้ก่อนวันพรุ่งนี้” เขามองหัวหน้าหมู่สาวก่อนเลื่อนสายตากลับไปทางรีไว “ดังนั้นฉันจึงขอให้ฮันซี่มาช่วย”
“ไม่จำเป็น” รีไวพูดเสียงเรียบแต่สาวสติเฟื่องกลับยกมือขึ้นกอดอกพร้อมกับพูดด้วยท่าทางเป็นการเป็นงาน
“แค่กำปั้นกับรองเท้าไม่ช่วยให้เราได้ความจริงหรอก”
“ท่าทางบ้าบอก็ช่วยอะไรไม่ได้เหมือนกัน” คนเตี้ยกว่าเถียง ทั้งคู่คงต่อปากต่อคำกันอีกนานหากเอลวินไม่ยกมือห้าม
“พอได้แล้วทั้งสองคน” เขาพูดอย่างเคร่งขรึม “หน่วยสำรวจของเรามีงานสำคัญรออยู่ ดังนั้นมาช่วยกันจบเรื่องนี้เร็วๆดีกว่า”
ผู้บัญชาการหนุ่มหันไปทางรีไว “ฉันรู้ว่านายอยากจัดการฮักเบิร์ต แต่อย่างที่ฮันซี่พูด คนอย่างเขาผ่านอะไรมามากต่อให้โดนนายซ้อมจนหมอบคาห้องขังก็ไม่มีทางบอกอะไร”
“งั้นนายจะให้ทำยังไง คุกเข่าอ้อนวอนมันอย่างนั้นหรือ” รีไวประชดด้วยสีหน้าบ่งบอกถึงความอดทนที่กำลังจะสิ้นสุดลง แต่เอลวินกลับส่งรอยยิ้มที่เขาไม่ชอบเลยสักนิดให้
“ฉันมีวิธีดีกว่านั้นอีก” เขาพูดพลางหันไปทางฮันซี่ ดวงตาสีน้ำตาลภายใต้กรอบแว่นทรงประหลาดทอประกายระยิบระยับ
“พอเห็นฮักเบิร์ต ฉันก็รู้ในทันทีว่าหมอนั่นเป็นพวกที่ไม่มีทางสารภาพอะไรง่ายๆ แต่หลังจากใช้เวลาใคร่ครวญตอนกินมื้อเย็น ฉันก็คิดอะไรบางอย่างออก รับรองได้เลยว่าพอได้ยินแล้วนายต้องชอบ”
“แน่ในหรือว่าจะได้ผล”
“ร้อยเปอร์เซ็นต์” ฮันซี่ตอบอย่างมั่นใจ “ถ้าไม่ได้ผลฉันยอมยกหัวไททันให้นายสิบหัวเลย”
“เก็บของน่าขยะแขยงแบบนั้นไว้ในห้องของเธอดีกว่า” รีไวพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนหันกลับไปทางเอลวิน “บอกแผนของนายมา ฉันจะได้ลงไปจัดการเจ้าพวกขยะนั่นเสียที”
*/*/*/*/*/*
ฮักเบิร์ตถูกล่ามโซ่ท่านั่งคุกเข่าอยู่ในห้องขังลึกลงไปใต้ดินเบื้องล่างของตึกบัญชาการหน่วยสำรวจ จากประสบการณ์ของการเป็นโจรมาตลอดชีวิตทำให้เขารู้ว่า ไม่ช้าจะต้องโดนซ้อมอย่างหนักและหากหลุดปากบอกสิ่งที่หน่วยสอบสวนต้องการแล้วเขาจะต้องถูกขังลืมหรือถ้าโชคดีหน่อยอาจโดนแขวนคอ แต่ถ้ามองในแง่ดี บางทีผู้ว่าจ้างระดับ ‘ใหญ่’ อาจใช้เส้นสายดึงเขากับลูกน้องออกจากคุก และหากเป็นเช่นนั้นจริงเขาจะทำบางอย่างให้พวกหน่วยสำรวจเจ็บแสบไปจนวันตาย
เริ่มจากเจ้าเตี้ยที่ชื่อรีไว
รอยยิ้มอำมหิตผุดขึ้นบนใบหน้าขณะที่ฮักเบิร์ตจินตนาการถึงสิ่งชั่วร้ายนานัปการที่จะประเคนให้คนในหน่วยสำรวจ แต่พอได้ยินเสียงฝีเท้าที่กำลังสะท้อนก้องไปตามผนังหินดังใกล้เข้ามา รอยยิ้มดังกล่าวก็คลายลง ดวงตาเขม้นมองไปที่ประตู แสงแห่งความอาฆาตเต้นระริกในหัวอกเมื่อเห็นคนก้าวเข้ามา
“รีไว”
มันเอ่ยทักพร้อมกับส่งรอยยิ้มเหี้ยมแต่อีกฝ่ายไม่สนใจแถมยังออกคำสั่งกับทหารที่ตามมาด้วย
“ย้ายมันไปไว้อีกห้อง”
“รับทราบ”
ทั้งคู่มัดฮักเบิร์ตก่อนปลดโซ่และรุนเขาให้ออกจากห้อง ระหว่างเดินไปตามทางที่ทอดยาวลึกลงไปในใต้ดิน โจรร้ายก็เปล่งเสียงหัวเราะในลำคอ
“มีอะไรน่าขำ” ทหารคนหนึ่งตะคอกถาม ฮักเบิร์ตยังคงหัวเราะต่อไปอีกหน่อยก่อนตอบ
“ก็ที่พวกแกกำลังทำอยู่น่ะมันตลกสิ้นดี” ดวงตาเจ้าเล่ห์ตวัดไปทางรีไวซึ่งเดินตามมาเงียบๆ “ย้ายฉันลงไปห้องด้านล่างเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นได้ยินเสียงฉันตอนโดนซ้อม ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าไอ้หมัดสั่วๆของแกน่ะ มันไม่ทำให้ฉันเจ็บเลยสักนิด โดนผึ้งต่อยยังปวดมากกว่า”
มันหยุดเล็กน้อยและแกล้งทำตาโตเหมือนนึกขึ้นได้
“อ้อ จะว่าไปก็มีบางหมัดที่เจ็บๆคันๆ แต่ฉันไม่แปลกใจหรอกเพราะตัวแกมันไม่ได้โตไปกว่าผึ้ง ใช่ไหมรีไว”
สีหน้าของรีไวยังคงนิ่งสงบเหมือนไม่สนใจคำสบประมาทที่พรั่งพรูออกจากปากคนชั่ว แต่ทหารที่มาด้วยกันกลับฟาดหลังฮักเบิร์ตด้วยกระบองดังตุบ
“หุบปากเดี๋ยวนี้ !”
“ไม่งั้นแกจะทำไม ตีฉันจนตายอย่างนั้นหรือ” โจรร้ายแกล้งพูดยั่ว “จะทำแบบนั้นก็ได้นะแต่อย่าลืมหาข้อแก้ตัวดีๆไปบอกหัวหน้าของพวกแกที่ชื่ออะไรนะ เอวี่ เฮนรี่ สตีฟ...”
ทหารทั้งสองมองหน้ากันแต่ไม่ยอมกล่าวคำตอบโต้ใดๆออกมา ฮักเบิร์ตจึงรู้ว่าคนของหน่วยสำรวจมีความหนักแน่นไม่หวั่นไหวไปกับคำยั่วยุง่ายๆ ต่างจากพวกกองสารวัตรทหารซึ่งเขาแน่ใจว่าหากใช้พูดแบบเดียวกัน เจ้าพวกอ่อนหัดนั่นคงลงไม้ลงมือกับเขาจนลืมเรื่องการสอบสวนไปเลย
เพื่อเอาตัวรอดจากการถูกซ้อมและเป็นการประวิงเวลารอความช่วยเหลือที่ฮักเบิร์ตแน่ใจว่าฟาเบียนต้องส่งคนจากกองสารวัตรทหารมารับเขาจากพวกหน่วยสำรวจ แต่จะด้วยวิธีใดเพราะจากที่ลองหยั่งเชิง คนพวกนี้ภักดีต่อผู้บัญชาการและภูมิใจในหน่วยของตัวเองมาก เพียงแค่คำพูดยุแยงธรรมดาคงไม่มีทางได้ผล
ระหว่างจมอยู่กับแผนการ เขาก็ได้ยินเสียงแอดจากการเสียดสีของประตูโลหะดังบาดหู นั่นเองที่ทำให้ฮักเบิร์ตหลุดจากภวังค์และมองสถานที่จองจำแห่งใหม่ด้วยความรู้สึกที่ไม่ได้แย่ไปกว่าเดิมนัก เพราะมันยังคงเป็นห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ต่างกันก็ตรงที่ความอับชื้นและมีกลิ่นเหม็นน่าคลื่นเหียนเพราะไม่มีช่องแสง จะมีก็แต่เพียงช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆสูงเหนือศีรษะซึ่งเขาเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกันว่ามันคืออะไร จะว่าช่องระบายอากาศก็ไม่น่าใช่ บางทีอาจเป็นช่องสำหรับใส่ยาพิษกระมัง ฮักเบิร์ตคิดและอมยิ้มน้อยๆขณะกวาดตามองรอบตัว ทางเข้าออกมีเพียงประตูโลหะหนาหนัก ผนังสี่ด้านมีช่องสำหรับตรึงร่างนักโทษทั้งในท่านั่งและยืน ส่วนตรงกลางมีห่วงเหล็กขนาดใหญ่ไว้สำหรับร้อยโซ่ รั้งร่างนักโทษให้อยู่ในท่านั่งคุกเข่าเหมือนที่เคยโดนมาแล้ว
“ล่ามมันไว้กลางห้องเสร็จแล้วออกไปได้”
รีไวสั่ง เขายืนรอให้ลูกน้องล่ามฮักเบิร์ตและออกจากห้องไปหมดแล้วจึงปิดประตูและก้าวไปยืนตรงหน้าโจรร้าย ดวงตาสีเทาเรียวจ้องอีกฝ่ายอย่างชิงชัง
“ทำไมเงียบไปล่ะ” เขาถาม “อย่าบอกนะว่าเกิดกลัวขึ้นมาจนไม่กล้าพูดอะไร”
“ถ้าแกตัวใหญ่กว่านี้ก็ไม่แน่” ฮักเบิร์ตพูดพลางมองรีไวอย่างดูแคลน “ขนาดนั่งหัวแกยังสูงไม่พ้นไหล่ของฉันเลย”
รีไวเหวี่ยงเท้าฟาดคนปากเสียจนหน้าสะบัดพอถูกจ้องด้วยดวงตาอาฆาตเขาก็เตะซ้ำอีกครั้งจนฟันร่วง
“ขอโทษ หน้าของแกมันอยู่ในตำแหน่งเท้าของฉันพอดี” เขาพูดพลางก้มลงมองรองเท้าของตัวเอง พอเห็นว่ามันเปรอะไปด้วยเลือดเขาก็เบ้หน้า “ชิ สกปรกชะมัด”
รีไวพูดอย่างรังเกียจก่อนเลื่อนสายตาไปยังฮักเบิร์ตที่กำลังถ่มเลือดปนน้ำลายลงพื้น “ถ้ายังอยากเหลือฟันเอาไว้เคี้ยวขนมปังก็รีบสารภาพออกมาซะ”
หัวหน้าโจรแค่นเสียงหัวเราะ
“นั่นสินะ” ดวงตากร้าวเหลือบขึ้นมองคนตรงหน้า “หัวหน้าทหารรีไว” ฮักเบิร์ตพูด “ได้ยินชื่อแกมานาน ลือกันว่าแกเป็นคนเก่ง”
เขายืดตัวขึ้นพลางจ้องรีไวอย่างท้าทาย
“ถ้าแกแน่จริงก็ต้องรีดคำตอบจากปากฉันได้ แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าต่อให้เชือดเนื้อฉันเป็นชิ้นๆ พวกแกก็ไม่มีวันได้ในสิ่งที่ต้องการ”
“งั้นก็ต้องลองดู” พูดพร้อมกับเตะเข้าที่ชายโครง “ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าแกจะทนเป็นกระสอบได้นานแค่ไหน”
เขาเตะเสยปลายคางฮักเบิร์ตอีกครั้งจนหน้าหงาย ตีเข่า ถีบ กระทืบติดต่อกันนับไม่ถ้วน พอเห็นอีกฝ่ายสำลักออกมาเป็นเลือดและหายใจหอบอย่างหนักเขาจึงยั้งมือก่อนแกล้งถามเหมือนลองใจ
“ถ้าอยากให้ฉันหยุดก็บอกมาว่าแกติดต่ออยู่กับใคร”
ใบหน้าบวมช้ำของฮักเบิร์ตเงยขึ้น เขาเปิดรอยยิ้มเยาะทั้งที่ฟันร่วงเกือบหมดปาก
“ได้สิ” โจรร้ายตอบด้วยท่าทางยียวน “ฉันเขียนชื่อคนพวกนั้นไว้ที่ก้น แกต้องก้มลงมาดูเองถึงจะรู้”
คำยั่วยุไม่สร้างความโกรธให้กับรีไวเท่าใดนัก ว่าไปแล้วเขาเริ่มรำคาญกับเกมน่าเบื่อนี่มากกว่า เมื่อไม่ได้คำตอบ ชายหนุ่มจึงลงมือซ้อมโจรชั่วต่ออีกพักใหญ่ พอเห็นอีกฝ่ายไม่ยอมปริปากแน่เขาจึงเปลี่ยนวิธี
“แกกำลังถ่วงเวลา” รีไวดักคอ “คิดหรือว่าคนสูงส่งพวกนั้นจะยื่นมือเข้ามาช่วย”
ฮักเบิร์ตหัวเราะในลำคอ
“ไม่ใช่แค่ช่วย พวกเขาจะทำมากกว่านั้นอีก” เขายกหัวขึ้น “อย่างเช่นตามเก็บลูกน้องของแกทีละคน เริ่มจากเจ้าหนูหน้าสวยผมสีน้ำตาล ...อ๊าคคคคค !!!”
มันร้องลั่นเมื่อรีไวเตะแขนข้างหนึ่งจนหัก เท่านั้นยังไม่พอ เขายังใช้เท้าขยี้แขนข้างนั้นซ้ำอีกครั้งสร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหันจนฮักเบิร์ตต้องส่งเสียงกรีดร้องออกมา
“แกจะทำชั่วยังไงฉันไม่สน อย่ามาบังอาจแตะต้องเอเลนของฉัน”
รีไวพูดด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มอย่างที่ชอบใช้เป็นประจำ กระนั้นฮักเบิร์ตก็ยังสัมผัสถึงความโกรธที่แฝงเอาไว้อย่างแนบเนียนจนได้ โจรร้ายนึกกระหยิ่มอยู่ในใจ ในที่สุดเขาก็ล่วงรู้ถึงจุดอ่อนของบุรุษผู้แข็งแกร่งที่สุดของมวลมนุษยชาติ
“เอเลนของฉันอย่างนั้นเหรอ” ฮักเบิร์ตทวนประโยคด้วยใบหน้าเจ้าเล่ห์ “เป็นคำพูดที่แปลกดี ว่าไหม” พูดพลางใช้ดวงตาที่บวมปูดจ้องรีไวเขม็ง “เจ้าเด็กนั่นเป็นคนรักของแกงั้นสิ”
“ไม่ใช่เรื่องที่แกต้องสู่รู้”
“มันเป็นเรื่องที่ฉันควรรู้ต่างหาก เพราะพอหลุดจากที่นี่ไปแล้วฉันจะทำให้แกสำนึกว่า ไม่ควรเข้ามายุ่งกับเรื่องพวกนี้”
ฮักเบิร์ตตอบอย่างผยองและคิดว่าคำขู่นั่นคงทำให้เจ้าเตี้ยหวาดกลัว ไม่กล้าลงมือกับเขาอีกต่อไปแต่โจรชั่วคิดผิดเพราะไม่ถึงอึดใจเขาก็ต้องเปล่งเสียงร้องดังกว่าเก่าเมื่อรีไวกระทืบแขนอีกข้างจนหักและเตะเข้าที่ชายโครงหลายครั้งจนมีเสียงกร๊อบเบาๆ
“อ๊าคคคคคคค!!!!!!”
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดดังลั่นลอดผ่านผนังกับประตูหนาออกไปจนถึงห้องขังนักโทษซึ่งเป็นลูกน้องของฮักเบิร์ต ทุกคนต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“เสียงหัวหน้าไม่ใช่เหรอ” ใครคนหนึ่งพูดขึ้นและหุบปากนั่งนิ่งเมื่อทหารที่ยืนเฝ้าหน้าห้องขังหันมาขู่
“ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวก็ถึงตาของพวกแกแล้ว”
ลึกลงไปภายในห้องที่ใช้สอบสวนฮักเบิร์ต รีไวยืนกอดอกมองร่างโชกเลือดที่แน่นิ่งไปแล้วอย่างใจเย็น พอเห็นอีกฝ่ายขยับตัวเขาก็เปรยขึ้นมาลอยๆ
“ยังไม่ตายอีกเหรอ”
ถึงจะเจ็บเจียนขาดใจ แต่คนที่มีแต่ความทะนงตนอย่างฮักเบิร์ตไม่มีวันแสดงความอ่อนแอให้เจ้าเตี้ยหน่วยสำรวจที่เขาแสนชิงชังได้เห็น หัวหน้าโจรร้ายยังคงแค่นหัวเราะ
“แค่นี้ทำอะไรฉันไม่ได้หรอก” มันพยายามผงกหัวขึ้นเพื่อส่งสายตาอาฆาตให้รีไว แต่แขนที่หักสะบั้นทำให้เขาขยับตัวไม่ไหว เมื่อไม่ได้ดังใจฮักเบิร์ตจึงส่งเสียงคำรามออกมาแทน สำหรับรีไวแล้วมันช่างเป็นความดันทุรังที่น่าทุเรศเหลือเกิน
“เก็บแรงเอาไว้ดีกว่า” เขาพูด “เพราะพรุ่งนี้พวกแกทั้งหมดจะถูกส่งตัวไปที่กองสารวัตรทหาร”
สิ่งที่ได้ยินทำให้ฮักเบิร์ตต้องขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ
“ว่าไงนะ ทำไม” เขากลืนความเจ็บปวดบังคับตัวเองให้เงยหน้าขึ้น พอเห็นใบหน้าเรียบเฉยของคนตัวเตี้ยแล้วโจรชั่วก็เผยอยิ้ม “อ้อ คงเป็นคำสั่งของท่านผู้นั้นสินะ เฮอะ! บอกแล้วไงว่าพวกแกไม่มีวันได้ในสิ่งที่ต้องการหรอก”
รีไวยืนมองฮักเบิร์ตนิ่งอยู่อึดใจก่อนเฉลยด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบเช่นเดียวกับสีหน้า
“ตรงกันข้าม เราได้ทุกอย่างที่ต้องการแล้ว พรุ่งนี้หลังจากส่งแกเข้าเมือง ฟาเบียนกับคริสตอฟจะถูกเชือดเป็นรายต่อไป”
สิ่งที่ได้ยินทำให้ฮักเบิร์ตเบิกตากว้าง
“เป็นไปไม่ได้ พวกแกรู้เรื่องนี้ได้ยังไง” เขาชะงักคำพูดค้างและหัวเราะหึ ๆ ในลำคอ “เข้าใจแล้ว นี่คงคิดจะใช้แผนล่อให้ฉันหลุดปากพูดออกไปใช่ไหม ฮึ! คนอย่างฮักเบิร์ตไม่มีทางหลงอุบายตื้นๆแบบนั้นหรอก”
“ฉันก็ไม่หวังจะได้คำสารภาพจากแก” รีไวพูด ฮักเบิร์ตนิ่วหน้า
“หมายความว่ายังไง”
เสียงคลิกดังมาจากประตู มันเปิดออกพร้อมฮันซี่ที่กำลังก้าวเข้ามา
“เป็นยังไง” รีไวถาม หัวหน้าหมู่สติเฟื่องชูนิ้วหัวแม่มือ
“เรียบร้อย เจ้านั่นคายออกมาจนหมดไส้หมดพุง ที่เหลือก็แค่เอาหลักฐานที่ค้นมาจากบ้านหลังนั้นส่งให้ไนล์” เธอตอบด้วยท่าทางกระตือรือร้นโดยไม่สนใจมองฮักเบิร์ตเลยแม้แต่น้อย หัวหน้าโจรร้ายตะโกนลั่น
“พวกแกกำลังพล่ามเรื่องอะไร เจ้านั่นที่พูดถึงคือใคร?”
“ฟอร์คเกอร์” ฮันซี่หันมาตอบ “ถึงจะใจกล้าอยู่บ้างแต่หมอนั่นตาขาวกว่าที่ฉันคิด ตอนแรกที่เห็นนายถูกรีไวซ้อม เขากลัวแต่ก็ยังลังเล แต่พอเห็นนายโดนหักแขนและได้ยินเสียงร้องครั้งสุดท้าย เขาก็ปอดแหกรีบสารภาพทุกอย่างออกมา”
หญิงสาวหัวเราะคิกคัก “คงกลัวตัวเองจะเป็นรายต่อไป”
“ฟอร์คเกอร์ ไอ้คนขี้ขลาด” ฮักเบิร์ตทวนชื่อสมุนมือขวาอย่างโกรธจัดพลางส่ายหัวช้าๆเหมือนไม่อยากเชื่อคำพูดของฮันซี่ “แต่ฉันไม่เข้าใจ ในเมื่อพวกแกลากฉันลงมาซ้อมในห้องนี้ แล้วฟอร์คเกอร์จะเห็นทุกอย่างได้ยังไง”
หัวหน้าหมู่เจ้าปัญญาชี้ไปยังช่องเล็กๆบนเพดาน “มันเป็นช่องพิเศษ มองจากข้างล่างจะไม่มีทางเห็นคนที่อยู่ข้างบน แต่คนที่ถูกขังอยู่ข้างบนสามารถเห็นทุกอย่างที่อยู่ในห้องนี้ได้อย่างสบาย”
ฮักเบิร์ตอ้าปากค้าง
“แล้วที่แกซ้อมฉัน ?”
“มันเป็นการเชือดไก่ให้ลิงดู” รีไวพูด “เพราะฉันรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าต่อให้โดนซ้อมหนักแค่ไหน คนอย่างแกก็ไม่มีวันคายอะไรออกมา”
“หมายความว่าฉันเจ็บตัวเปล่า”
ฮักเบิร์ตพูดเสียงสั่นด้วยความแค้นใจ รีไวไม่ตอบแต่กลับชำเลืองมองอีกฝ่ายด้วยหางตาและรู้สึกสะใจกับสภาพใบหน้าซึ่งบวมปูดจนแทบไม่เหลือเค้ากับแขนที่ห้อยร่องแร่งเหมือนนกปีกหัก
ในที่สุดเจ้าขยะชั้นต่ำก็ได้รับโทษที่บังอาจทำให้เอเลนต้องเจ็บตัว รีไวคิดก่อนหันไปทางฮันซี่
“ไปกันเถอะ”
*/*/*/*/*/*
ความคิดเห็น