ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fic Attack on Titan] Counter Attack Mankind

    ลำดับตอนที่ #13 : บทที่ 13 บาดแผลกับความห่วงใย

    • อัปเดตล่าสุด 28 ก.พ. 58



    13

    บาดแผลกับความห่วงใย

    เอเลนมองภาพตรงหน้าด้วยความตระหนก เขารอดจากการประทุษร้ายของฮักเบิร์ตได้เพราะรีไวพุ่งเข้ามาขวางและใช้แขนข้างหนึ่งรับไม้ท่อนนั้นเอาไว้ เสียงกระทบระหว่างของแข็งกับผิวเนื้อที่ดังสนั่นเมื่อครู่เป็นเครื่องบ่งบอกว่าแรงปะทะนั่นสร้างบาดแผลและความเจ็บปวดอย่างรุนแรง แต่หัวหน้าทหารผู้แข็งแกร่งกลับไม่แสดงออกทางสีหน้าเลยสักนิด ไม่แม้แต่จะชายตามาทางเอเลนเลยด้วยซ้ำ เพราะเวลานี้เขากำลังจ้องใบหน้าของจอมวายร้ายอย่างโกรธจัดจนแทบจะฉีกให้เป็นชิ้น

    “อย่าแตะต้องคนของฉัน”

    รีไวพูดเน้นเสียงทีละก่อนปัดไม้ท่อนนั้นออกและสวนกำปั้นเสยเข้าที่ปลายคางของฮักเบิร์ตจนหน้าหงาย โจรร้ายเซถอยหลังไปไม่ถึงครึ่งก้าวก็โดนเตะซ้ำเข้าที่ชายโครง มันต้องงอตัวลงเพราะทั้งจุกและเจ็บ   รีไวจึงจับหัวของมันกระแทกเข่าและเงื้อกำปั้นอัดลงไปบนท้ายทอย ร่างสูงใหญ่ของฮักเบิร์ตจึงร่วงลงไปกองกับพื้น รีไวกระทืบมันซ้ำอีกครั้งก่อนพูดพอให้ได้ยิน

    “นี่สำหรับเอเลน”

    เขามองฮักเบิร์ตอย่างเกลียดชังก่อนส่งสัญญาณเรียกกุนเทอร์ให้เข้ามาพันธนาการหัวโจกตัวร้ายเอาไว้จากนั้นจึงหันไปทางเอเลน

    “เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

    “ไม่ครับ” เด็กหนุ่มตอบพร้อมกับลุกขึ้นและมองแขนของรีไวอย่างเป็นห่วง “แต่หัวหน้า....”

    “ฉันไม่เป็นไร” หัวหน้าทหารตัดบทสั้นๆก่อนใช้สายตาสำรวจไปรอบๆ เมื่อเห็นว่าลูกน้องทั้งสามมัดโจรและลากไปรวมเอาไว้ด้วยกันแล้วเขาจึงเดินไปหยุดยืนตรงหน้าฮักเบิร์ต

    “แกเป็นหัวหน้าใช่ไหม” เขาถาม อีกฝ่ายถ่มเลือดใส่รองเท้าของรีไวก่อนเงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงตาอาฆาต 

    “เออ” มันตอบและจ้องอย่างท้าทาย แต่ก็เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นเพราะหัวหน้าทหารร่างเตี้ยเหวี่ยงเท้าฟาดเข้าที่ปากของมันอย่างแรงจนหน้าสะบัด

    “อย่าทำรองเท้าของฉันสกปรก”                                                                                      

    พูดอย่างชิงชังรังเกียจและทำท่าจะเตะซ้ำอีกครั้งแต่ต้องหยุดชะงักเมื่อมีเสียงแหลมเล็กของสลิงจากเครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติจำนวนมากดังใกล้เข้ามา ออรูโอ้ซึ่งยังเฝ้าอยู่บนต้นไม้จึงป้องปากบอก

    “กองหนุนมาแล้วครับหัวหน้า”  

    เพตร้าพุ่งเข้ามาเป็นคนแรก พอเห็นออรูโอ้กำลังส่งรอยยิ้มกวนประสาทให้เธอจึงนิ่วหน้าและลดสายตาลงมองไปยังด้านล่าง มิเกะซึ่งตามมาติดๆเหวี่ยงตัวมายืนบนไม้กิ่งเดียวกัน พอเห็นโจรถูกมัดกองรวมเอาไว้เขาก็หยิบพลุสัญญาณออกมายิง

    ควันสีเขียวพุ่งตรงขึ้นไปบนท้องฟ้า ชั่วอึดใจทหารของหน่วยสำรวจนำโดยเอลวินก็ควบม้าเข้ามาสมทบ พอเห็นรีไวกับสภาพสะบักสะบอมของโจรเท่านั้น เขาก็เอ่ยปากถามทั้งที่ยังไม่ลงจากหลังม้า

    “ทำไมไม่รอกำลังหนุน”

    “พวกมันรู้ตัวน่ะสิ” หัวหน้าทหารตอบและมองกลุ่มวายร้ายที่กำลังถูกต้อนขึ้นรถครู่หนึ่งจึงหันกลับมาที่เอลวินอีกครั้ง “ขังพวกมันไว้ก่อน เดี๋ยวฉันจัดการเอง”

    ประโยคที่พูดเหมือนให้ทุกคนกลับไปยังศูนย์บัญขาการหน่วยสำรวจก่อนทำให้เอลวินต้องมองหน้าเขาด้วยความแปลกใจ

    “ไม่ไปด้วยกันหรือ”

    “ยังก่อน” รีไวตอบและคิดจะยุติการสนทนาไว้แค่นั้น แต่พอเห็นสายตาเชิงบังคับให้อธิบายจากผู้บัญชาการแล้วก็ถอนใจก่อนขยายความออกมาอีกนิด “มีธุระนิดหน่อยน่ะ”

    “งั้นหรือ” เอลวินพูด ดวงตาสีฟ้าเลื่อนไปทางเอเลนโดยไม่ได้ตั้งใจและฉุกคิดขึ้นมาได้เมื่อเห็นสายตากังวลกำลังจ้องตรงมายังรีไว  

    “บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

    “เปล่านี่ ถามทำไม” หัวหน้าทหารร่างเตี้ยตอบ ผู้บัญชาการหน่วยสำรวจมองอย่างไม่เชื่อเท่าไหร่แต่เพราะรู้นิสัยของอีกฝ่ายดีว่าต่อให้บาดเจ็บจนเลือดไหลโกรกก็ยังคงบอกว่าตัวเองไม่เป็นอะไร เขาจึงกล่าวเสียงเรียบ  

    “แค่คำถาม” เขาหันไปทางมิเกะ “ฮักเบิร์ตเป็นคนเจ้าเล่ห์และไม่เคยไว้ใจใคร ฉันคิดว่าเขาต้องมีหนังสือสัญญาการซื้อขายของคริสตอฟหรือจดหมายจากฟาเบียน ค้นบ้านและบริเวณนี้ให้ละเอียด ที่เหลือพานักโทษกลับไปศูนย์บัญชาการ”

    “รับทราบ” มิเกะรับสั้นๆก่อนหันไปเรียกลูกน้องและแยกย้ายกันไปปฏิบัติตามคำสั่ง รีไวมองตามด้วยสายตาเหมือนไม่เชื่อในข้อสันนิษฐานของเอลวินเท่าใดนัก

    “แน่ใจได้ยังไงว่ามีของพวกนั้น ป่านนี้เจ้านั่นคงเผาไปหมดแล้ว”    

    “อย่างที่บอก เขาไม่เคยไว้ใจใคร” ผู้บังคับบัญชาหน่วยสำรวจตอบพลางจ้องการทำงานของมิเกะครู่หนึ่งจึงลดตาลงมาทางรีไว “ถ้าจะตามไปทีหลังก็อย่าให้ค่ำนัก ฉันอยากสอบสวนเจ้าพวกนี้ให้เสร็จเร็วๆ”

    “เข้าใจแล้ว” คนตัวเตี้ยตอบ พอเห็นคนในหน่วยของตนเองยืนพร้อมหน้ากันแล้วเขาก็เดินไปสมทบโดยไม่สนใจกล่าวคำใดเพิ่มเติม จากนั้นสมาชิกของหน่วยรีไวทุกคนก็ใช้เครื่องเคลื่อนย้ายสามมิตินำตนไปยังจุดที่ผูกม้าเอาไว้ ส่วนเอลวินหลังจากยืนรอมิเกะสักพักก็นำขบวนทัพพารถนักโทษกลับไปยังศูนย์บัญชาการ

    เพราะที่ซ่อนตัวของกลุ่มโจรอยู่ห่างจากปราสาทของหน่วยรีไวไม่มากเท่าใดนัก ใช้เวลาไม่นานทั้งหมดก็ถึงที่พัก หลังจากพาม้ากลับเข้าคอก และนั่งพักพอหายเหนื่อยแล้วรีไวจึงสั่งให้ลูกน้องทุกคนเขียนรายงานส่วนตัวเองแยกตัวขึ้นไปยังห้องพัก พออยู่ตามลำพังแล้วเขาจึงปลดผ้าคลุม ถอดเครื่องแบบ ตอนดึงแขนออกจากเสื้อมือจึงไปโดนแผลที่ฮักเบิร์ตทำเอาไว้โดยไม่ตั้งใจ ความเจ็บแปลบวิ่งพล่านไปทั่วร่าง เขานิ่วหน้าและสบถออกมาเบาๆ

    “ชิ !

    รีไวโยนเสื้อไปที่เตียงก่อนหย่อนตัวลงนั่งและยกแขนข้างเจ็บขึ้นมองรอยช้ำอย่างหงุดหงิด เขาผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน จัดการกุ๊ยในเมืองใต้ดินได้เป็นร้อย โค่นไททันมานับไม่ถ้วน แต่กลับต้องพลาดท่าเสียทีโจรกระจอกจนเจ็บตัวเพียงเพื่อช่วยเจ้าเด็กเหลือขอแค่คนเดียว

    ดีแล้วไม่ใช่หรือ

    อีกเสียงดังขึ้นในใจ หากเปลี่ยนจากแขนของเขาเป็นหัวของเอเลน ผลที่ได้คงไม่ใช่แค่รอยช้ำ เพราะแรงที่ฮักเบิร์ตฟาดลงมาบอกเจตนาอย่างชัดแจ้งว่า กะเอาให้ถึงตาย

    เขาไม่มีวันปล่อยให้เป็นเช่นนั้นแน่ รีไวคิดพลางลุกขึ้นเดินไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลเพื่อจัดการกับรอยช้ำบนท่อนแขน ถ้าเป็นเวลาปรกติ เขาคงใช้ผ้าชุบน้ำเย็นโปะทิ้งไว้สักพักแล้วปล่อยทิ้งไว้สักสองสามวันรอยเหล่านั้นก็จะจางหายไปเอง แต่เพราะเย็นนี้เขาต้องเดินทางไปสอบปากคำพวกโจร ซึ่งรีไวแน่ใจว่าพอฮักเบิร์ตเห็นผลงานที่ฝากไว้บนแขนจะต้องลำพองใจที่สามารถทำร้ายบุรุษผู้ได้ชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดของหน่วยสำรวจและคงไม่ยอมปริปากบอกอะไรแน่ ดังนั้นเขาจึงจำต้องปกปิดรอยช้ำให้มิดชิดและข่มความเจ็บปวดทั้งหมดเอาไว้ให้ดี ไม่เช่นนั้นแล้วที่ลงแรงมาทั้งหมดจะเป็นการสูญเปล่า เมื่อไม่มีหลักฐานจับกุม พวกตัวเอ้ในเมืองหลวงก็จะลอยหน้าลอยตากอบโกยผลประโยชน์กันต่อไป

    คิ้วเรียวเข้มขมวดเข้าหากันอย่างหงุดหงิดขณะควานหาสิ่งที่พอจะบรรเทาความเจ็บปวดลงได้แต่ไม่พบ เพราะของที่อยู่ในกล่องมีแค่ยาแก้ปวด ยาฆ่าเชื้อและผ้าพันแผลเท่านั้น ซึ่งอย่างหลังนี่แหละที่น่าจะมีประโยชน์ที่สุด คิดแล้วจึงหยิบม้วนผ้าขึ้นมาเพื่อใช้พันแขนข้างที่เจ็บ ยังไม่ทันลงมือเขาต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู

    “เข้ามา”

    อนุญาตโดยไม่ถามว่าเป็นใคร เพราะส่วนใหญ่แล้วมีเพียงกุนเทอร์หรือเอลโด้เท่านั่นที่เข้ามารายงานผลการทำงานในแต่ละวัน พอได้ยินเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาข้างใน เขาก็เอ่ยถามโดยตายังคงมองท่อนแขนของตัวเอง “มีอะไร”

    “เอ่อ...” เสียงค่อนข้างใสของเด็กวัยหนุ่มพูดเบาๆเหมือนลังเล รีไวใจหายวาบ เขาเงยหน้าขึ้นมองทันที

    “เอเลน” เรียกอย่างตระหนกพร้อมกับซ่อนแขนข้างที่เจ็บไว้ด้านหลัง หากเป็นลูกน้องทั้งสี่เขาคงไม่ทำแบบนั้น เพราะทุกคนมองการบาดเจ็บเป็นเรื่องธรรมดาและไม่กล้าเซ้าซี้อะไรกับเขามากนัก แต่เจ้าหนูนี่ต่างจากคนอื่นและเป็นคนเดียวเท่านั้นที่รีไวไม่อยากให้มาเห็นเขาในสภาพอ่อนแอ “ทำรายงานเสร็จแล้วหรือ”

    ถามไปอย่างนั้นเพราะนึกเรื่องอื่นไม่ออก เอเลนส่ายหน้าช้าๆ

    “ยังครับ”

    “งั้นก็รีบกลับไปทำให้เสร็จ แล้วฝากเอล...”

    “ผมเขียนไม่ได้ครับ” เอเลนขัดประโยคของรีไวและก้มหน้าหลบดวงตาเรียวที่กำลังทอประกายวาว “คือผม.....”

    ปากสีอ่อนเม้มน้อยๆเหมือนไม่แน่ใจว่าควรพูดในสิ่งที่ตนเองคิดออกมาดีหรือไม่ เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดเพื่อรวบรวมความกล้า มือทั้งสองข้างกำแน่นและเงยหน้าขึ้น

    “ผมเป็นห่วงหัวหน้าครับ”

    เขาโพล่งออกมาในที่สุดและกลืนน้ำลายลงคอเหมือนรู้ตัวว่าเพิ่งหลุดคำสั่งประหารออกไป ก้อนเนื้อในอกเต้นระรัวดุจกลองในขณะที่สมองจินตนาการถึงทัณฑ์ต่างๆที่หัวหน้าคนสำคัญจะนำมาลงโทษฐานหลุดปากพูดอะไรที่ฟังแล้วเหมือนคนอ่อนแอ แต่ผิดคาดเมื่อรีไวพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

    “ฉันไม่เป็นอะไรสักหน่อย”

    “แต่เจ้าโจรนั่นตีแรงมากเลยนะครับ แรงจนผมกลัวว่าแขนของหัวหน้าจะหัก” เอเลนแย้ง ดวงตากลมโตสีมรกตฉายความเป็นห่วงอย่างจริงจัง การแสดงออกอันแสนบริสุทธิ์ทำให้รีไวถึงกับใจเต้น กายร้อนผ่าว ความรุ้สึกหลายหลายประเดประดังกันเข้ามา ทั้งซาบซึ้ง อิ่มเอมใจ เขามองเด็กหนุ่มนิ่งอยู่เสี้ยววินาทีจึงเบือนหน้าหนีไปอีกด้านและพูดไม่ดังนัก

    “แค่ช้ำนิดหน่อยเท่านั้น”

    “จริงหรือครับ” น้ำเสียงโล่งใจขึ้นขณะที่คนพูดก้าวไปยืนตรงหน้า พอเห็นรอบจ้ำวงใหญ่บนท่อนแขนแข็งแกร่งแล้วคิ้วสีน้ำตาลเข้มก็ขมวดเข้าหากัน “ช้ำขนาดนี้ไม่เรียกว่านิดหน่อยแล้วนะครับ”

    มือยื่นไปดึงแขนของอีกฝ่ายอย่างถือวิสาสะ ขณะที่เจ้าตัวเริ่มร่าย “แบบนี้ต้องหาอะไรเย็นๆประคบ ทายาแล้วใช้ผ้าพันให้แน่น”

    เอเลนหยุดคำพูดและมองรีไว “เดี๋ยวผมมาครับ”

    บอกเสร็จก็เดินออกจากห้อง หลังจากหายไปชั่วอึดใจเขาก็กลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมกับถุง ผ้านุ่มสีขาว อ่างและเหยือกใบเขื่อง พอวางของทุกอย่างลงเอเลนจึงรินน้ำใส่อ่าง จุ่มผ้าลงไปแล้วบิดพอหมาด จากนั้นจึงนำมาวางบนแขนของรีไว พออีกฝ่ายทำท่าจะชักหนีเด็กหนุ่มก็ดึงเอาไว้

    “อยู่นิ่งๆสิครับ” พูดพลางกดผ้าลงบนรอยช้ำ “ทำแบบนี้แล้วแขนของหัวหน้าจะได้ไม่บวมแล้วก็เจ็บน้อยลงด้วยครับ”

    พอผ้าเริ่มอุ่นขึ้น เอเลนก็นำกลับไปชุบน้ำ บิดและนำไปโปะบนแขนของรีไวอีกสองสามครั้ง จากนั้นก็เปิดถุงหยิบตลับไม้เล็กๆออกมา

    “อะไรน่ะ” รีไวถามด้วยความอยากรู้ เด็กหนุ่มส่งยิ้มน้อยๆให้

    “ยาแก้ช้ำครับ” ตอบพร้อมกับใช้นิ้วแตะลงบนครีมสีเข้มในตลับจากนั้นก็นำมาแต้มบนรอยจ้ำบนแขนเบาๆระหว่างนั้นก็อธิบายไปด้วย “ตอนเป็นทหารฝึกหัดผมโดนหามเข้าห้องพยาบาลบ่อยๆจนคุณหมอเบื่อหน้าเลยให้ผมพกยาตลับนี้เอาไว้ครับ”

    “ซุ่มซ่ามไม่เคยเปลี่ยน” รีไวเปรยพอได้ยิน แต่เอเลนกลับเอียงคอน้อยๆพร้อมกับแย้ง

    “ผมเป็นคนมุ่งมั่นมากจนเกินเหตุต่างหาก” เขาเก็บตลับไม้ลงถุง หยิบผ้าพันแผลมาคลี่ออกและนั่งคุกเข่า รีไวขมวดคิ้ว

    “จะทำอะไรอีก”

    “พันแขนให้หัวหน้าไงครับ”

    “ไม่ต้อง” อีกฝ่ายค้านและเตรียมจะยกแขนหนีแต่เอเลนรู้ทันจึงรีบคว้าหมับ

    “หัวหน้าต้องไปสอบปากคำพวกโจร จะให้มันเห็นรอยช้ำนี่ไม่ได้นะครับ”

    รีไวมองเด็กหนุ่มด้วยความแปลกใจ เพราะแม้แต่ลูกน้องทั้งสี่ยังไม่รู้เรื่องนี้ แล้วเจ้าเด็กเหลือขอนี่ไปได้ยินมาจากไหน

    “แกรู้ได้ยังไง”

    “ผมได้ยินตอนหัวหน้าคุยกับผู้บัญชาการเอลวินครับ” เอเลนตอบและรีบก้มหน้าลงหลบสายตา “ขอโทษด้วยครับที่ยืนฟังโดยไม่ได้รับอนุญาต”

    ใช่ แกผิดที่ยืนฟังผู้ใหญ่คุยกันโดยไม่ได้รับอนุญาต รีไวนึกตำหนิอยู่ในใจพลางจ้องหน้าคนที่กำลังพันแขนให้เขาอย่างบรรจง ไหนจะเรื่องขัดคำสั่งที่เขาบอกให้ยืนประจำอยู่กับที่ ยังไม่นับเรื่องการเป็นต้นเหตุให้กลุ่มโจรรู้ตัวทำให้การจับกุมวุ่นวายมากยิ่งขึ้น ความจริงแล้วเขาอยากลงโทษเจ้าเด็กดื้อคนนี้ให้หลาบจำเพื่อที่ครั้งต่อไปจะได้ไม่ก่อปัญหาและปฏิบัติตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด แต่จะด้วยวิธีใดล่ะ ขังไว้ในห้องใต้ดิน จับขึงพืดไว้กับเตียงหรือฉีกเสื้อผ้าออกแล้วใช้ปลายลิ้นลากไล้ไปทุกซอกทุกมุม จากนั้นก็เคล้นคลึงให้ทั่วทั้งตัว

    ความร้อนแผ่ซ่านทั่วใบหน้า เขาคิดเรื่องน่าอายแบบนี้ออกมาได้ยังไง เอเลนเป็นทหารและไททัน เป็นความหวังของมนุษยชาติ ที่แม้จะถูกใจมากแค่ไหน เจ้าหนูนี่ก็เป็นสิ่งสำคัญ เป็นคนที่เขาไม่ควรยึดมาครองเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว

    คิดพลางมองใบหน้าใสซื่อที่กำลังก้มหน้าก้มตาพันแขนให้เขาอย่างขะมักเขม้น ตอนที่กำลังสู้อยู่กับฮักเบิร์ตซึ่งเป็นตัวอันตราย เจ้าเด็กเหลือขอนี่ยังกล้ากระโจนลงมาขวาง พอโดนซัดจนร่วงก็ยังฝืนลุกขึ้นมาช่วยซ้ำแล้วซ้ำเล่า คิ้วของรีไวขมวดมุ่นจนแทบจะผูกเป็นปม เขาไม่ได้โกรธเด็กหนุ่มเลยสักนิด ตรงกันข้ามกลับเพิ่มพูนความรักมากยิ่งขึ้น เพราะนั่นหมายความว่าเอเลนเป็นห่วงเขามากกว่าชีวิตของตัวเอง

    พอคิดถึงตรงนี้รีไวถึงกับเผลอตัวกำมือแน่น คนที่ควรได้รับการปกป้องคือแกต่างหาก เด็กเวร

    “เรียบร้อยแล้วครับ” เอเลนพูดและทำท่าจะยืนขึ้นแต่ต้องใจหายวาบเมื่อถูกแขนแข็งแกร่งคว้าเข้าไปกอด “ห...หัวหน้า”

    เขาเรียกเสียงสั่นเพราะคาดไม่ถึงว่าหัวหน้าทหารผู้เย็นชาจะทำอะไรแบบนั้นและหยุดชะงักค้างนิ่งเมื่อรีไวกระซิบข้างหู

    “อย่าทำอะไรเสี่ยงแบบวันนี้อีกนะ”

    น้ำเสียงทุ้ม นุ่มอย่างที่เอเลนไม่คิดว่าจะได้ยินมาก่อน ใบหน้าของเด็กหนุ่มร้อนผ่าว ใจเต้นแรงจนแทบหลุดออกจากอก

    “ค...ครับ”

    เด็กหนุ่มรับคำเสียงแผ่ว ตอนนี้เขารู้สึกเหมือนร่างกายเบาหวิว สมองอื้ออึงด้วยประโยคเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    หัวหน้ากอดเรา !

    “ดีมาก” เสียงรีไวดึงจิตใจที่กำลังกระเจิดกระเจิงกลับคืนมา แต่ต้องแตกซ่านอีกครั้งเมื่อรู้สึกว่าอีกฝ่ายจุมพิตผมสีน้ำตาลนุ่มอย่างแผ่วเบาก่อนคลายอ้อมกอดและลุกขึ้นแต่งตัว พอเห็นเด็กหนุ่มตัวแข็งไม่ไหวติงเขาก็ขมวดคิ้ว

    “เป็นอะไร”

    “ป...เปล่าครับ” เอเลนปฏิเสธด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ มือทั้งสองข้างโบกไปมาเป็นพัลวัน พอเห็นรีไวคว้าผ้าคลุมหน่วยสำรวจเขาก็ถาม

    “จะไปเลยหรือครับ”

    “ใช่” รีไวตอบพลางกลัดกระดุม “เอลวินกับฉันอยากจบเรื่องนี้เร็วๆ”   

    “แต่หัวหน้ากำลังเหนื่อยแถมยังเจ็บอยู่ด้วย น่าจะพักสักคืนก่อน” เด็กหนุ่มพูดด้วยความเป็นห่วง อีกฝ่ายมองด้วยหางตาก่อนตอบ

    “ไม่ได้หรอกเอเลน เอลวินต้องการหลักฐานในการจับกุมซึ่งฉันแน่ใจว่ากุญแจสำคัญอยู่กับเจ้าคนที่ชื่อว่าฮักเบิร์ต ถ้าเราต้องการข้อมูลจากคนชั่ว ก็ต้องง้างปากพวกมันตอนที่กำลังเจ็บแหละกลัว”

    “ผมคิดว่าเขาคงไม่ยอมบอกอะไรง่ายๆ” เอเลนพูดไปตามที่คิดและเย็นสันหลังวาบเมื่อเห็นสายตาน่ากลัวของรีไว

    “กับคนอื่นคงใช่แต่ไม่สำหรับฉัน” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่คนได้ยินต้องขนลุก พอจะก้าวออกจากห้องเขาก็หันมากำชับกับเด็กหนุ่ม “แกเองก็อย่าเอาแต่เล่น เขียนรายงานให้เสร็จ พรุ่งนี้เช้าฉันต้องเห็นมันวางอยู่บนโต๊ะ”

    “ครับ”

    เอเลนรับคำสั่งด้วยท่าทางแข็งขัน แต่แล้วก็ทำหน้าเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ครั้นจะเอ่ยปากพูดก็ไม่ค่อยกล้าเพราะเห็นว่ารีไวกำลังรีบ แต่เมื่อนึกถึงความอบอุ่นตอนอยู่ในอ้อมกอด เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจ

    “เอ่อ...หัวหน้าครับ”

    “อะไร” ตอบกลับมาทันควันเหมือนรออยู่ก่อนแล้ว เอเลนทำหน้าลังเลก่อนพูดอ้อมแอ้มไม่เต็มปาก

    “คืนนี้ใครจะเป็นคนพาผมลงไปห้องใต้ดินหรือครับ”

    รีไวหันกลับมามอง พอเห็นสีหน้าหงอยของเด็กหนุ่มแล้วก็นึกสงสาร ถ้าไม่ติดที่ต้องสอบสวนผู้ต้องหาด้วยตัวเองแล้วเขาจะยกเลิกนัดเอลวินและพาเจ้าเด็กเหลือขอนี่ขึ้นเตียง

      “คืนนี้แกไม่ต้องนอน..” เขาแกล้งตอบด้วยน้ำเสียงเหมือนรำคาญเต็มแก่ พอเห็นเอเลนทำหน้าจ๋อยเขาก็ยิ้มในหน้าและกล่าวต่อประโยค “ในห้องใต้ดิน”

    ประโยคสุดท้ายทำให้เอเลนหูผึ่ง เขามองหน้ารีไวพร้อมกับถามย้ำเหมือนไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยิน

    “อะไรนะครับ”

    “ฉันบอกว่าแกไม่ต้องลงไปนอนที่ห้องใต้ดินอีกแล้ว” หัวหน้าสุดแกร่งพูด “เอลวินอนุญาตให้ขึ้นมานอนข้างบนได้เหมือนคนอื่น ส่วนจะเป็นห้องไหนก็เลือกเอา ทำความสะอาดเสร็จหมดแล้วนี่”

    นั่นเองคือคำตอบที่ว่าเหตุใดรีไวจึงให้เขาทำความสะอาดห้องทั้งสามทางปีกขวา เด็กหนุ่มนึก แน่นอนว่าเขาดีใจที่หลุดพ้นจากห้องขังอับๆ ขึ้นมารับอากาศบริสุทธิ์ด้านบน แต่ก็แอบน้อยใจที่หัวหน้าไม่ยอมแพร่งพรายอะไรออกมาสักคำ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องงาน เรื่องส่วนตัวหรือเรื่องอะไรก็ตาม นอกจากเก็บความลับเก่ง ปากหนักและร้ายในบางครั้งแต่กลับเป็นคนมีน้ำใจ ด้วยตัวตนที่ไม่เหมือนใครนี่แหละเขาถึงได้ชอบ   

    ดวงหน้าสวยร้อนผ่าว ใช่ เขายอมรับว่าชอบหัวหน้ารีไว และอยากรู้เหลือเกินว่าอีกฝ่ายคิดยังไงกับเขา เพราะเท่าที่ผ่านมานอกจากการฝึกอย่างเข้มงวดแล้วหัวหน้าก็ไม่เคยแสดงอะไรออกมา ส่วนเรื่องความช่วยเหลือก็เป็นเพียงหน้าที่ การกอดเมื่อครู่ให้ความรู้สึกเหมือนผู้ใหญ่เอ็นดูเด็กมากกว่า ระหว่างที่กำลังว้าวุ่นอยู่กับความคิดอยู่นั้นเด็กหนุ่มได้ยินเสียงแว่วเหมือนใครบางคนกำลังเรียก

    “เอเลน”

    เสียงนั้นเบาเหมือนสายลม เอเลนจึงยังคงจมอยู่ในภวังค์ความคิดและสรุปเอาเองว่า หากหัวหน้าไม่ยอมเผยความในใจออกมา เขาก็จะเป็นฝ่ายสารภาพเอง

    “โฮ่ย เอเลน”

    เสียงทุ้มกรอกเข้าไปในหูดังจนเด็กหนุ่มสะดุ้งสุดตัว สติที่กำลังจมดิ่งลงไปในความคิดถูกดึงกลับมาอีกครั้ง เมื่อเงยหน้าขึ้นเอเลนต้องใจหายวาบเมื่อเห็นรีไวกำลังยืนจ้องตาวาว

    “จะยืนใจลอยไปถึงไหน ลงไปเขียนรายงานได้แล้ว”

    เขาสั่งด้วยใบหน้าดุ เอเลนรีบยืนตรงและจรดกำปั้นไว้ที่อก

    “ครับ !” เด็กหนุ่มเดินออกจากห้อง แต่พอถึงประตูเขากลับหยุดและหมุนตัวหันไปทางหัวหน้าอีกครั้ง “ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับ”   

    พูดจบเอเลนก็ก้าวออกจากห้องในทันทีเพราะรู้ดีว่าหากยังขืนโอ้เอ้อาจโดนฝ่ามือหรือลูกเตะสุดโหดของหัวหน้า เพราะความเร่งรีบเด็กหนุ่มจึงไม่มีโอกาสรู้ว่ารีไวกำลังมองตามเขาด้วยสายตาที่แสนอ่อนโยน

    “เจ้าเด็กเหลือขอ”

    ชายหนุ่มพึมพำพลางกระตุกรอยยิ้มน้อยๆบนมุมปาก แต่พอรู้ตัวเขาก็รีบปรับสีหน้าให้ดูเคร่งขรึมเหมือนที่เคยทำอยู่เป็นนิจ จากนั้นจึงลงมายังชั้นล่างกำชับเรื่องงานและการย้ายห้องของเอเลนอีกครั้งก่อนออกเดินทาง  

     

    */*/*/*/*/*/*

                                                                                                                                                 

         

     

       

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×