ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [fic Attack on Titan] Counter Attack Mankind

    ลำดับตอนที่ #11 : บทที่ 11 ไลล่า

    • อัปเดตล่าสุด 1 พ.ย. 57


    11

    ไล่ล่า

    แสงสีทองจากดวงอาทิตย์ยามอรุณรุ่ง ปลุกชีวิตของสัตว์น้อยใหญ่ภายในป่าให้กลับมีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง สัตว์ขนฟูตัวน้อยอย่างกระรอกโผล่หัวเล็กๆของมันออกมาจากที่ซ่อน ตากลมโตใสแจ๋วมองไปรอบๆอย่างระวังภัยก่อนกระโดดออกมายืนอยู่บนกิ่งไม้และเริ่มต้นสะบัดแข้งสะบัดขาคล้ายขับไล่ความเมื่อยล้าจากการนอนคุดคู้มาทั้งคืน ไม่ไกลจากตัวของมันนัก ตรงปลายกิ่ง นกน้อยสองตัวกำลังผลัดกันไซ้ขน และโบกปีกไปมาดุจเตรียมความพร้อมก่อนโผบิน แต่แล้วความสงบสุขทั้งหลายก็ถูกทำลายลงด้วยเสียงกึงกังจากเกวียนคันใหญ่และม้าหลายตัว

    “เฮ้ย!พวกแกน่ะ เร่งม้าให้มันเร็วกว่านี้หน่อยจะได้ไหม” ชายวัยฉกรรจ์หนวดเครารุงรังร่างสูงกำยำหันไปตะคอกพวกที่กำลังควบม้าตามมาติดๆ

    “พวกเรามาไกลกันขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องกังวลไปหรอกน่า ฮักเบิร์ต” เสียงคนที่ควบม้าตีคู่มาด้วยกันเอ่ยเตือน แต่ชายที่มีชื่อว่าฮักเบิร์ตกลับนิ่วหน้า

    “มันก็ใช่ แต่ฉันกลัวว่าเจ้าพวกนั้นจะตามมาทัน”

    “พวกสารวัตรทหารน่ะเหรอ” อีกฝ่ายพูดและเปล่งเสียงหัวเราะออกมาดังๆ “เจ้าหน้าโง่พวกนั้นคงยังไม่รู้หรอกว่ามีอะไรหายไปบ้าง”

    “อย่าประมาทเกินไปนัก ฟอร์คเกอร์” ฮักเบิร์ตพูดพลางมองชายหน้าเสี้ยม รูปร่างผอมสูงที่กำลังควบม้าอยู่ข้างๆอย่างไม่ชอบใจนัก “ฉันได้ยินมาว่าไนล์กำลังจับตามองพวกเราอยู่”

    “ไนล์?” ฟอร์คเกอร์ทวนชื่อและกลั้วหัวเราะในลำคอ “เจ้างั่งนั่นดีแต่สอพลอพวกขุนนาง ไม่มีสมองจริงๆหรอก”

    ฮักเบิร์ตชำเลืองตามองเพื่อน ใจนึกค้านว่า หากดอร์ค ไนล์ เป็นพวกไร้สมองจริงคงไม่ก้าวขึ้นไปอยู่ในตำแหน่งระดับผู้บัญชาการกองสารวัตรทหารแน่ และไอ้ตำแหน่งที่ว่านี่แหละเป็นตัวบังคับให้เขาต้องทำเหมือนคนไม่เอาถ่าน เพราะเท่าที่รู้มา นิสัยโดยเนื้อแท้ของเจ้าผบ.หน้าปลาจวดคนนี้มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่สูง และเป็นห่วงเป็นใยประชาชนไม่ต่างไปจากผบ.ของกองกำลังรักษาการณ์หรือผบ.หน่วยสำรวจเท่าใดนัก ที่บางครั้งเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ก็เพื่อเอาใจเหล่าบรรดาขุนนางกับผู้ทรงอิทธิพลไม่ให้ก้าวก่ายล้ำเส้นจนเป็นที่เดือดร้อนต่อคนทั่วไป

    “ว่าแต่ มีคนติดต่อสินค้าคราวนี้แล้วหรือยัง” เสียงฟอร์คเกอร์เป่าความคิดทั้งหลายออกจากหัวของฮักเบิร์ต เขาส่ายหน้าช้าๆพลางชำเลืองตาข้ามไหล่ของตัวเองไปยังเกวียนที่วิ่งตามมา

    “ยัง”

    “งั้นเราก็เสียแรงเปล่าน่ะสิ” ฟอร์คเกอร์โวยพร้อมกับกระแทกลมหายใจออกมาอย่างหงุดหงิด “เฮอะ! เจ้าฟาเบียนงี่เง่า เร่งให้เราเข้าไปเอาของทั้งที่ไม่มีลูกค้าเลยสักคน”

    “นายจะบ่นหาสวรรค์วิมานอะไร ฟอร์คเกอร์” ฮักเบิร์ตดุเพื่อนด้วยความรำคาญ “ที่ฟาเบียนเร่งพวกเราเพราะมีข่าวว่าพวกหน่วยสำรวจเตรียมออกนอกกำแพงอีกครั้ง”

    “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกเรา” ฟอร์คเกอร์ถาม อีกฝ่ายมุ่นคิ้วเหมือนเบื่อหน่ายกับความไร้ปัญญาของเพื่อน

    “หัดใช้สมองคิดหน่อยได้ไหม ทุกครั้งที่พวกหน่วยสำรวจออกนอกกำแพง จะมีการเบิกเครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติอีกจำนวนหนึ่งเพื่อใช้เป็นเครื่องสำรอง ซึ่งในบางครั้งจะมีการโอนย้ายจากกองสารวัตรทหารหรือกองกำลังรักษาการณ์ เป็นโอกาสให้ฟาเบียนสวมรอยแจ้งยอดที่ลักลอบออกมาปนเข้าไปด้วย”

    “แล้วไม่มีใครรู้เหรอ”

    “หัวหน้าหมู่เป็นคนแจ้งยอดเอง ใครมันจะไปกล้าตรวจสอบกันวะ”

    ฮักเบิร์ตตอบอย่างรำคาญเต็มแก่ ฟอร์คเกอร์ขมวดคิ้วคิดตาม ทั้งที่ไม่ค่อยเข้าใจนักเขาก็ยังอุตส่าห์พยักหน้าเหมือนรู้ทุกสิ่งที่เพื่อนกล่าวออกมา

    “เข้าใจล่ะ” พูดพลางหันไปมองเกวียนบรรทุกเครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติอย่างกังวล “แต่ระหว่างนี้จะเอายังไงกันดี ไหนจะที่ซ่อนของพวกเรา ไหนจะที่หมกไอ้เครื่องบ้าๆตั้งสามสิบอัน” เขาหยุดชะงักและเบิกตาโพลงเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

    “จริงสิ ฉันจำได้ว่ามีปราสาทร้างอยู่แถวนี้ เราไปซ่อนกันที่นั่นดีไหม”

    “ไม่ได้” ฮักเบิร์ตค้านแทบจะทันที ฟอร์คเกอร์นิ่วหน้า

    “ทำไม”

    “ที่นั่นเคยเป็นศูนย์บัญชาการของหน่วยสำรวจมาก่อน ถึงจะถูกปล่อยร้างมานานแต่ก็มีข่าวแว่วมาว่ายังมีทหารบางกลุ่มใช้เป็นที่พักตอนลาดตระเวน”    

    “งั้นก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่ เราจะได้ปาดคอพวกมันแล้วยึดอุปกรณ์นั่นมาซะ”

    ฟอร์คเกอร์พูดออกมาอย่างย่ามใจ แต่ฮักเบิร์ตกลับโพล่งออกมาอย่างเหลืออด

    “คิดอะไรโง่ๆ ! หน่วยสำรวจไม่กระจอกเหมือนพวกสารวัตรทหาร ขืนไปแตะต้องพวกมัน แกเองนั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายโดนเชือด!

    น้ำเสียงเกรี้ยวกราดของเพื่อนร่วมก๊วนทำให้ฟอร์คเกอร์ต้องแอบกลืนน้ำลายด้วยความกลัว เพราะฮักเบิร์ตเป็นพวกพูดน้อยก็จริงแต่ถ้าได้ยินอะไรไมเข้าหูหรือโกรธขึ้นมา พวกเขาอาจโดนฆ่าเอาง่ายๆ

    “แค่พูดเล่นสนุกแก้เบื่อเท่านั้น ไม่เห็นต้องโมโหอะไรเลย” เสียงพูดอุบอิบจนแทบไม่หลุดจากปาก กระนั้นอีกฝ่ายยังได้ยิน

    “เก็บคำพูดของแกไว้ให้พวกหมาจิ้งจอกเถอะ” ฮักเบิร์ตประชดพลางเงยหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ที่กำลังเลื่อนสูงขึ้นด้วยสายตากังวล “ใกล้เที่ยงแล้วพวกเรายังไปไม่ถึงไหนเลย”

    เขาหันไปทางฟอร์คเกอร์ “เร่งพวกขี้เกียจให้เร็วขึ้น เราต้องไปถึงที่พักก่อนค่ำ”

    ฟอร์คเกอร์หันไปทางด้านหลัง มองเกวียนที่กำลังกระเด้งกระดอนไปตามความขรุขระของถนนสายเก่าอย่างวิตก

    “แต่ถ้าเร็วกว่านี้ เกวียนมันจะไม่ไหวเอานา”

    “แต่ถ้าขืนพวกแกยังช้าอยู่แบบนี้ มีหวังได้เจอพวกหน่วยสำรวจแน่” ฮักเบิร์ตตะคอกพร้อมกับกวาดสายตาไปรอบตัวอย่างระแวดระวัง กิริยานั่นเองที่ทำให้ฟอร์คเกอร์นึกเฉลียวใจขึ้นมา

    “อย่าบอกนะว่า”

    “ใช่” ฮักเบิร์ตพูดอย่างเคร่งขรึม “ป่าแถบนี้อยู่ในความรับผิดชอบของพวกมัน” ตาสีฟ้าแข็งกร้าวเลื่อนไปยังทิศทางที่ตั้งของปราสาทพลางนึกภาวนาในใจให้สถานที่แห่งนั้นยังคงร้างไร้ผู้คนก่อนตะโกนย้ำให้บรรดาลูกสมุนเพิ่มความเร็วในการเดินทาง

    ไม่ไกลจากเส้นทางที่พวกโจรใช้มากนัก กุนเทอร์กับเอลโด้พยายามเร้นตัวกับต้นไม้อย่างระมัดระวังเพื่อมิให้เป้าหมายรู้ว่าถูกเฝ้ามอง อันที่จริงตอนที่ออกจากปราสาท ทั้งสองตั้งใจว่าจะลาดตระเวนรอบป่าเพื่อหาร่องรอยก่อนแต่ระหว่างทางกลับเจอกับคนกลุ่มนี้ ลางสังหรณ์บางอย่างบอกให้ทั้งคู่สะกดรอยตามพวกมันในทันที แม้ฮักเบิร์ตจะมีความระแวดระวังมากเพียงใด ก็ใช้ได้กับทหารกองสารวัตรทหารที่อ่อนด้อยประสบการณ์การต่อสู้เท่านั้น แต่สำหรับผู้ช่ำชองการรบอย่างหน่วยสำรวจแล้ว ความเก่งกาจของเขากลับไร้ความหมายไปอย่างสิ้นเชิง ความชำนาญในการใช้เครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติของกุนเทอร์กับเอลโด้ นอกจากจะไปได้อย่างรวดเร็วแล้วยังเงียบกริบ แม้บางครั้งทั้งคู่จะอยู่ประชิดเกวียนชนิดใกล้แค่เอื้อม พวกโจรก็ยังไม่สำเหนียกเลยสักนิดว่าโดนติดตาม

    เมื่อถึงเวลาเที่ยงวัน ฮักเบิร์ตจึงสั่งให้ลูกน้องหยุดพัก ระหว่างที่คนด้านล่างกำลังนั่งกินอาหาร     กุนเทอร์และเอลโด้จึงนั่งปรึกษากันบนต้นไม้ ห่างเกินระยะสายตาของพวกโจร

    “เอาไงดี” เอลโด้ตั้งคำถาม “จะตามพวกมันไปเรื่อยๆ หรือกลับไปบอกหัวหน้า”

    “ฉันอยากตามพวกมันไปจนถึงที่ซ่อน” กุนเทอร์ตอบพร้อมกับลูบคางตัวเองระหว่างใช้ความคิด “แต่ถ้าทำแบบนั้นเราก็จะขาดการติดต่อกับหัวหน้า ถ้ามัวย้อนกลับไปปราสาท เราก็จะคลาดกับพวกมัน”

    “งั้นเราควรแยกกัน นายกลับไปปราสาท ฉันจะตามโจรพวกนี้เอง”

    “แต่มันอันตรายเกินไป” กุนเทอร์แย้ง เอลโด้ส่ายหน้า

    “ถ้าเทียบกับตอนสู้กับพวกไททันแล้ว เจ้าพวกนี้จัดการง่ายกว่ามาก”

    กุนเทอร์ส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย “พวกไททันไม่มีสมองกับปืน แต่โจรพวกนี้มีทั้งสองอย่าง ถ้าพวกมันรู้คงไม่ปล่อยนายเอาไว้แน่”

    “ก็อย่าให้พวกมันรู้สิ” เอลโด้แย้งด้วยน้ำเสียงที่ทำให้ดูเหมือนเป็นเรื่องสนุก พลางหันไปมองคนด้านล่างซึ่งดูเหมือนจะกินอาหารกันเสร็จหมดแล้วและเตรียมตัวเดินทางต่อ “อย่ามัวแต่โอ้เอ้อยู่เลย รีบไปรายงานเรื่องนี้กับหัวหน้าเร็วๆดีกว่า”

    “เอางั้นก็ได้” กุนเทอร์ผงกศีรษะ “แต่จะรู้ได้ยังไงว่าต้องตามนายไปทางไหน”

    “ฉันจะทำเครื่องหมายเอาไว้บนต้นไม้” พูดพลางวาดมือเป็นรูปกากบาท “เหมือนตอนที่เราเชือดพวกไททัน” 

    “ตกลง” กุนเทอร์พูดพลางตบบ่าเพื่อน “ระวังตัวให้ดีล่ะ”

    “นายก็ด้วย” เอลโด้ตอบ ทั้งคู่มองกลุ่มโจรซึ่งตอนนี้ขึ้นไปนั่งบนหลังม้ากันหมดทุกคนแล้ว เมื่อได้จังหวะเหมาะกุนเทอร์ก็แยกตัวจากเอลโด้ มุ่งหน้ากลับไปยังปราสาท ซึ่งเมื่อไปถึงเขาก็รีบรายงานรีไวถึงเรื่องที่เกิดขึ้น พอฟังจบหัวหน้าทหารสุดแกร่งก็หันไปสั่งให้เพตร้าและออรูโอ้เตรียมตัวเดินทาง

    “แล้วเอเลนล่ะคะ” หญิงสาวเอ่ยถาม เพราะเห็นว่าหัวหน้าของเธอไม่ยอมเปิดเผยเรื่องนี้ให้เด็กหนุ่มได้รู้ รีไวจึงลุกขึ้นพร้อมกับตอบสั้นๆ

    “ฉันจะบอกเขาเอง” หยุดชะงักเล็กน้อยก่อนหันไปถามเพตร้า “ตอนนี้เจ้าเด็กนั่นอยู่ที่ไหน”

    “กวาดใบไม้อยู่ตรงลานหินหน้าปราสาทค่ะ”

    เมื่อได้ยินคำตอบ รีไวก็เดินออกจากห้องตรงไปยังลานหินและพบคนที่กำลังตามหากำลังกวาดพื้นอย่างขะมักเขม้น  ตอนแรกชายหนุ่มตั้งใจเอ่ยเรียกแต่พอเห็นเอเลนกำลังก้มหน้าง่วนอยู่กับการทำความสะอาดแล้ว เขากลับชะงักค้างยืนนิ่งพูดอะไรไม่ออก

    แม้จะดูเหน็ดเหนื่อย แต่ใบหน้าเกลี้ยงเกลานั้นก็ไม่ได้ลดความงามลงเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม แก้มทั้งสองข้างยังระเรื่อด้วยสีชมพูอ่อนรับกับริมฝีปากบาง ผมสีน้ำตาลละเอียดพลิ้วไปมาอย่างเป็นธรรมชาติตามการเคลื่อนไหว ยิ่งเสริมกับดวงตาสีเขียวที่ฉายความเศร้าออกมาจางๆด้วยแล้ว เจ้าเด็กเหลือขอนี่ยิ่งสวยบาดจิตกระตุ้นให้ร่างกายของรีไวเกิดอาการปั่นป่วนขึ้นมา เขารีบสะบัดหน้าแรงๆเพื่อไล่ความรู้สึกแปลกๆที่กำลังแผ่ซ่านไปทั่วร่างก่อนเอ่ยเรียก

    “โฮ่ย เอเลน”

    “ครับ” เด็กหนุ่มขานรับพร้อมกับวิ่งเข้าไปหา “มีอะไรหรือครับหัวหน้า”

    “เราจะออกลาดตระเวน” รีไวตอบสั้นๆ คิ้วสีน้ำตาลเข้มของเอเลนเลิกสูงด้วยความแปลกใจ

    “ตอนนี้เหรอครับ ทำไม....”

    “เลิกตั้งคำถามน่ารำคาญซะทีแล้วไปเตรียมตัวเดี๋ยวนี้” หัวหน้าร่างเตี้ยตัดบทและกำชับสั้นๆเมื่อเห็นเด็กหนุ่มยังคงยืนนิ่ง “ให้ไว!

    “ครับ” 

    เอเลนรับคำหนักแน่น ก่อนหมุนตัววิ่งกลับเข้าไปในปราสาทเพื่อเตรียมเครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติ ถึงยังนึกน้อยใจกับท่าทีเย็นชาของหัวหน้าเมื่อคืน แต่พออีกฝ่ายเข้ามาออกคำสั่งด้วยตัวเองแบบนี้ก็ยังอดรู้สึกใจเต้นไม่ได้ กระนั้นก็ยังคงตั้งแง่ในเรื่องการปฏิบัติตนว่านอกเหนือจากหน้าที่ของทหารที่ต้องทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาแล้ว เขาจะไม่เข้ายอมเข้าใกล้หัวหน้าทหารเจ้าอารมณ์คนนี้อีกเลย

    ใช้เวลาไม่นานสำหรับการแต่งตัว เมื่อออกไปนอกปราสาทอีกครั้งเด็กหนุ่มจึงพบว่าทุกคนกำลังนั่งรออยู่บนหลังม้า ออรูโอ้มองเขาด้วยสีหน้าที่แสดงออกถึงความหงุดหงิดในขณะที่เพตร้าขยับปากเป็นเชิงบอก เร็วๆ พลางส่งบังเหียนม้าที่สวมอานเรียบร้อยแล้วให้ เอเลนยื่นมือไปรับพร้อมกับกล่าวคำขอบคุณ ดวงตาเหลือบไปทางรีไวโดยไม่ได้ตั้งใจ พอเห็นดวงตาสีเทาวาววับกำลังจ้องอย่างตำหนิ เขาก็รีบเหวี่ยงตัวขึ้นไปนั่งบนหลังม้าและพูดออกมาเบาๆ

    “ขอโทษครับ”

    “อย่ามัวแต่โอ้เอ้ รีบไปกันได้แล้ว”

    รีไวตัดบทและควบม้านำออกไปโดยออรูโอ้และเพตร้าตามไปติดๆ ปล่อยให้เอเลนที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัววิ่งรั้งท้าย ควบม้าตามไปได้สักระยะ เด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงร้องเตือนจากหัวหน้า

    “เคยบอกแล้วไม่ใช่หรือว่า ห้ามแกช้ากว่าม้าสองตัวหลัง”

    ไม่ต้องรอให้พูดซ้ำอีกครั้ง เอเลนเร่งม้าของตัวเองให้แซงออรูโอ้กับเพตร้า จนขึ้นไปตีคู่กับกุนเทอร์จากนั้นก็รักษาระยะห่างเอาไว้ ระหว่างนั้นเองเสียงออรูโอ้เปรยมาพอให้ได้ยินว่า

    ชิ เจ้าเด็กใหม่

    เอเลนไม่ได้สนใจรุ่นพี่ปากเสียคนนี้มากนักเพราะมัวแต่พะวงอยู่กับการบังคับม้าเพื่อให้วิ่งตามรีไวได้ทัน ระหว่างนั้นก็อดนึกแปลกใจไม่ได้ว่า เหตุใดการออกมาในครั้งนี้จึงดูรีบร้อนกว่าที่เคย

    ถึงจะบอกว่าเป็นการลาดตระเวน แต่ความเร่งรีบผนวกกับพื้นที่ซึ่งไม่เคยได้รับอนุญาตให้ย่างกรายเข้ามาทำให้เอเลนเริ่มสงสัยแต่ก็ยังคงเก็บเงียบเอาไว้ไม่กล้าถาม กระทั่งทั้งสี่ล่วงลึกเข้าไปในป่าและรีไวออกคำสั่งให้กุนเทอร์เป็นฝ่ายวิ่งนำ เขาจึงหลุดปากถาม

    “เราจะไปไหนกันหรือครับ”

    รีไวไม่ตอบ อันที่จริงเขาไม่สนใจสิ่งที่เอเลนถามเลยด้วยซ้ำ เพราะดวงตาทั้งคู่จ้องเขม็งตรงไปยังกุนเทอร์เหมือนไม่ต้องการให้คลาดสายตา ถึงจะพอเข้าใจว่าทุกคนกำลังคร่ำเคร่งอยู่กับการทำงาน แต่ท่าทีอันเฉยชาของหัวหน้าและการนิ่งเงียบไม่ยอมปริปากบอกอะไรเลยสักนิดทำให้เด็กหนุ่มนึกน้อยใจ

    ตกลงแล้วรีไวเห็นเขาเป็นอะไรกันแน่ สมาชิกคนหนึ่งของทีมหรือตัวประหลาดสำหรับหน่วยสำรวจ เพราะนอกจากการฝึกโดยวิธีลาดตระเวนกับแผนการเดินทัพอย่างคร่าวๆแล้ว เขาแทบไม่รู้จุดประสงค์หลักของงานในแต่ละครั้งเลยแม้แต่น้อย ถึงรุ่นพี่จะเข้ามาพูดคุยด้วยก็เหมือนเป็นการทักทายกันตามมารยาทมากกว่า โดยเฉพาะหัวหน้ารีไว ที่แม้บางครั้งจะแสดงความเห็นห่วงเป็นใยออกมาบ้าง แต่ก็แค่แวบเดียวเท่านั้น ซึ่งถ้าคิดกันตามจริงแล้วเหมือนเป็นการกระทำตามหน้าที่มากกว่า

    งั้นที่เข้าใจว่าความอบอุ่นอ่อนโยนของหัวหน้ารีไวเป็นการกระทำจากความรัก ก็เป็นเพียงแค่การคิดไปเองฝ่ายเดียวสินะ เด็กหนุ่มนึกอย่างผิดหวัง ดวงตาสีเขียวร้อนผ่าวและเปียกชื้นเพราะน้ำอุ่นๆที่เริ่มปริ่มอยู่ตรงขอบ เอเลนรีบกัดปากตัวเองจนช้ำเพื่อต้องการให้ความเจ็บปวดช่วยบดบังความเสียใจ น้ำตาแห่งความเศร้าจะได้ไม่ไหลออกมา

    “ถึงแล้วครับหัวหน้า” เสียงกุนเทอร์ดังขึ้นทำให้เด็กหนุ่มได้สติ เขารีบสูดลมหายใจเข้าเพื่อรวบรวมความคิดว้าวุ่นพร้อมกับดึงบังเหียนม้าให้หยุดก่อนจะหันไปมองรุ่นพี่ทุกคนกำลังเงยหน้าขึ้นจ้องต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า แต่พอแหงนหน้าขึ้นมองตาม ร่างของรีไวก็ลอยละลิ่วขึ้นไปอยู่บนกิ่งไม้แล้ว

    “มีเครื่องหมายจริงด้วย” เขาพึมพำพลางมองลงไปยังลานดินเบื้องล่าง คิ้วเรียวเข้มขมวดเข้าหากันเมื่อเห็นร่องรอยของม้าหลายตัวกับรอยเกวียนบนถนน กุนเทอร์ซึ่งตามขึ้นมาสมทบจึงรีบอธิบาย

    “พวกมันพักตรงนี้อยู่ครู่ใหญ่และเดินทางต่อไปทางด้านนั้นครับ”

    มือชี้ไปขณะพูด รีไวเลื่อนสายตามองตามก่อนจะลดกลับลงมาที่รอยล้อเกวียนอีกครั้ง

    “รอยลึกขนาดนี้เกวียนคงหนักมาก สินค้าของมันคงเยอะพอดู”

    “เห็นเจ้าคนที่ชื่อว่าฟอร์คเกอร์พูดว่ามีทั้งหมดสามสิบอัน” กุนเทอร์พูด รีไวพยักหน้าน้อยๆก่อนกวาดตามองไปทั่วบริเวณและหยุดกึกตรงต้นไม้อีกต้น ทุกคนต่างมองตามแต่ยังไม่ทันได้ถาม ร่างของหัวหน้าผู้แข็งแกร่งก็ถูกสลิงดึงไปยืนอยู่ต้นไม้นั้นแล้ว กุนเทอร์ ออรูโอ้และเพตร้ารีบเคลื่อนตัวตามไปอย่างรวดเร็วโดยมีเอเลนเป็นคนรั้งท้ายเหมือนเดิม

    “นี่มัน” กุนเทอร์พึมพำมือแตะรอยบากรูปกากบาทที่ถูกจารึกไว้ในเนื้อไม้ “เครื่องหมายที่เอลโด้ทำไว้เพื่อบอกทาง”

     เขาดวงตาเลื่อนไปตามรอยเกวียนที่เลือนหายไปเพราะพื้นดินบางส่วนแข็งจนน้ำหนักของมันไม่อาจสร้างรอยกดเอาไว้ได้ส่วนปากก็ถาม “เอายังไงกันต่อดีครับหัวหน้า”

    “ตามไปจนถึงที่ซุกหัวของพวกมัน” รีไวตอบอย่างเคร่งขรึมก่อนหันไปออกคำสั่งกับเพตร้า “ไปที่หน่วยสำรวจ บอกเอลวินว่าเราเจอรังของพวกโจรแล้วให้รีบส่งกำลังเสริมมารอไว้”

    “ค่ะ” หญิงสาวรับคำและย้อนกลับไปที่ม้าจากนั้นก็ควบออกไป รีไวเฝ้ารอจนแน่ใจว่าเพตร้าพ้นไปจากบริเวณนั้นอย่างปลอดภัยแล้วจึงวกกลับมาที่เอเลน

    “แกเฝ้าม้าอยู่ที่นี่”

    “ทำไมกันครับ” เด็กหนุ่มถามพลางจ้องร่องรอยต่างๆบนพื้นด้านล่างรวมทั้งกากบาทบนต้นไม้ก่อนจะเลื่อนสายตากลับไปที่รีไวอีกครั้ง “นี่ไม่ใช่การลาดตระเวนธรรมดาใช่ไหมครับ”

    “ไม่ใช่เรื่องที่แกต้องรู้” หัวหน้าทหารผู้แข็งแกร่งตัดบทและขยับตัวเพื่อตามรอยคนร้ายต่อแต่เอเลนคว้าแขนเขาเอาไว้

    “หัวหน้ากำลังปิดบังอะไรอยู่ใช่ไหม ผมก็เป็นลูกน้องของคุณ เป็นทหารเหมือนกัน ย่อมมีสิทธิรู้เหมือนคนอื่นไม่ใช่หรือครับ” เด็กหนุ่มถามด้วยความโกรธ แต่ต้องเย็นสันหลังวาบเมื่อเห็นสายตาที่โกรธกว่าของรีไว เขารีบปล่อยแขนของอีกฝ่ายทันที “ขอโทษครับ”

    “เพราะแกเป็นลูกน้องถึงต้องทำตามคำสั่ง” รีไวพูดเสียงกระด้าง “ฉันสั่งให้รอ แกก็ต้องอยู่ตรงนี้จนกว่าฉันจะกลับมา”

    “แต่ว่า”

    “ถ้าไม่พอใจก็กลับปราสาทไปซะแล้วก็เตรียมตัวไปหาฮันซี่ เพราะฉันเองก็เบื่อที่จะต้องมาคอยดูแลเด็กเหลือขออย่างแกเต็มทีแล้ว”

    คำพูดตัดรอนอย่างไร้เยื่อใยทำให้เอเลนถึงกับสะอึก ดวงตาสีเขียวเบิกโพลงเพราะคิดไม่ถึงว่ารีไวจะพูดประโยคร้ายกาจแบบนี้ออกมา นั่นเองที่เด็กหนุ่มนึกได้ว่าไม่ควรถามออกไปแบบนั้น ครั้นจะกล่าวคำขอโทษก็หมดโอกาสเพราะสีหน้าขุ่นเคืองอย่างที่สุดของรีไว เตือนให้รู้ว่าเขาไม่ควรหลุดคำใดออกมาอีก เมื่อไม่อาจแก้ตัว เอเลนจึงยืนคอตก ก้มหน้าและเอ่ยปากรับคำด้วยเสียงที่เกือบจะเป็นสะอื้น

    “ครับ ผมจะปฏิบัติตามที่หัวหน้าสั่งครับ”

    ดวงตาวาววับอ่อนลงเล็กน้อยแต่ยังคงฉายความขุ่นใจออกมาจางๆ รีไวมองเด็กหนุ่มเหมือนต้องการให้แน่ใจว่าเขาจะทำตามที่พูดก่อนเลื่อนกลับไปยังกุนเทอร์และออรูโอ้พร้อมกับออกคำสั่ง

    “ไปกันเถอะ”

    สลิงของเครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติดังขึ้นพร้อมกัน นำร่างของคนทั้งสองออกจากที่นั่น พุ่งหายเข้าไปในป่าภายในเวลาเพียงชั่วอึดใจ เอเลนมองตามด้วยความหงุดหงิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจำใจย้อนกลับไปยังจุดที่ทุกคนผูกม้าเอาไว้ พอเท้าเหยียบย่ำลงบนพื้นหญ้าเขาก็เดินกลับไปกลับมาด้วยรู้สึกทั้งโกรธและน้อยใจกับคำพูดทิ้งท้ายของรีไว

    ถ้าไม่พอใจก็กลับปราสาทไปซะแล้วก็เตรียมตัวไปหาฮันซี่ เพราะฉันเองก็เบื่อที่จะต้องมาคอยดูแลเด็กเหลือขออย่างแกเต็มทีแล้ว

     มือสองข้างกำแน่น ทั้งที่พยายามทำทุกอย่างแม้ว่าคำสั่งที่ได้รับเหมือนเป็นการกลั่นแกล้งมากกว่าการทำงานอย่างจริงจัง โดยหวังว่าผู้ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นบุรุษผู้แข็งแกร่งที่สุดของมวลมนุษย์ชาติจะสนใจ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นการกระทำที่เสียเปล่า เพราะหัวหน้ารีไวไม่เคยใส่ใจเลยสักนิด หนำซ้ำยังออกปากเอ่ยคำว่ารำคาญออกมาให้เขาได้ยินหลายครั้ง เด็กหนุ่มถอนใจออกมาอย่างแรงด้วยความทดท้อ มันก็ไม่แปลกนักหรอก เพราะตัวประหลาดที่สามารถแปลงร่างเป็นสิ่งน่ารังเกียจอย่างไททันเช่นเขา ใครมันจะทำใจชอบเข้าไปได้ลง

    คิดพลางเตะหินก้อนหนึ่งที่อยู่ตรงปลายเท้าจนกระเด็นไปไกลก่อนกระแทกตัวลงนั่งบนพื้นหญ้าและแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าซึ่งมีปุยเมฆสีขาวลอยละล่องอย่างเศร้าสร้อย หากไม่เป็นที่ต้องการ เขาก็จะไปตามคำสั่ง เพราะคุณฮันซี่เองก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรนัก นอกจากเรื่องความสติเฟื่องแล้ว เธอก็เป็นผู้บังคับบัญชาที่ดีเลยทีเดียว

    เอเลนถอนใจออกมาอีกครั้งพลางลดสายตาลงมองม้าทั้งสี่ที่กำลังแทะเล็มหญ้าอย่างสบายอกสบายใจ ก่อนจะเลื่อนไปยังเทือกเขาที่ทอดยาวเป็นเงาสีเทาหม่นไกลสุดตา เสียงซู่ซ่าของใบไม้ยามต้องลมผสานกับกลิ่นหอมอ่อนๆของดอกไม้ซึ่งไม่รู้มาจากไหนสร้างความแช่มชื่นให้บังเกิดขึ้น อารมณ์ขุ่นเคืองเมื่อครู่เริ่มคลายลงทีละน้อย เด็กหนุ่มจึงตั้งสติและค่อยๆคิดทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้น

    รุ่นพี่กุนเทอร์กับเอลโด้ ออกลาดตระเวนตั้งแต่เช้ามืด แต่คนที่กลับมามีเพียงกุนเทอร์เพียงคนเดียวเท่านั้น แสดงว่าทั้งสองต้องไปเจอกับอะไรบางอย่าง ซึ่งเขาเองก็เดาไม่ถูกว่าเป็นเรื่องอะไร แต่คงร้ายแรงพอดูเพราะหัวหน้ารีไวสั่งให้เขากับคนที่เหลือออกเดินทางอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย แถมยังใช้เส้นทางที่ไม่เคยย่างกรายเข้ามาเลยสักหน พอเห็นร่องรอยบนพื้นซึ่งแม้จะไม่มีใครบอก เด็กหนุ่มก็รู้ว่ามันเป็นรอยของกองคาราวาน รีไวกลับสั่งให้คุณเพตร้าเดินทางไปยังหน่วยสำรวจเพื่อแจ้งกับเอลวิน ส่วนตัวเองกับคุณกุนเทอร์ยังคงเดินรุดหน้าต่อไป โดยอาศัยรอยบากรูปกากบาทที่ได้ยินมาว่า คุณเอลโด้ทำเอาไว้ แต่กลับสั่งให้เขาอยู่ตรงนี้เพื่อเฝ้าม้า

    คิ้วสีน้ำตาลสวยขมวดเข้าหากันขณะใช้ความคิด ว่าไปแล้วตอนเป็นทหารฝึกหัด เขาก็เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง และจากประสบการณ์นี้เองที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้ว่า มีการซื้อขายเครื่องเคลื่อนย้ายสามมิติในตลาดมืด บางทีสิ่งที่หัวหน้ารีไวกำลังติดตาม อาจเป็นโจรพวกนั้นก็เป็นได้

    พอคิดถึงตรงนี้ สมองของเอเลนก็สว่างวาบขึ้น หรือที่หัวหน้ารีไวไม่ยอมให้ตามไปด้วย เพราะกลัวว่าเขาจะได้รับอันตรายจากพวกโจร    

    มือกำแน่นด้วยความเจ็บใจ ทั้งที่หัวหน้าและรุ่นพี่ทุกคนเป็นห่วงขนาดนี้ แต่เขากลับแปลเจตนาเป็นอย่างอื่น เด็กหนุ่มนึกย้อนกลับไปเมื่อตอนที่เจอกับโจรเป็นครั้งแรก แม้ตอนนั้นพวกเขายังเป็นเพียงทหารฝึกหัดแต่ก็เอาชนะพวกมันได้ด้วยสมองอันปราดเปรื่องของอาร์มินผนวกกับจำนวนคนที่มีมากกว่า หากครั้งนี้เป็นเหตุการณ์เดียวกัน ย่อมหมายความว่าหน่วยพิเศษทุกคนกำลังก้าวเข้าสู่อันตราย

    ในครั้งนั้น คนร้ายมีจำนวนเพียงแค่สี่ กว่าพวกเขาจะจับกุมตัวได้ก็เล่นเอาหืดขึ้นคอ หากคราวนี้พวกโจรมีกันเป็นกลุ่มหน่วยพิเศษอาจรับมือไม่ไหว เพราะแม้หัวหน้ารีไวและรุ่นพี่ทุกคนจะมีฝีมือฉกาจฉกรรจ์ แต่ด้วยจำนวนคนที่น้อยกว่าย่อมเสียเปรียบในการต่อสู้ ที่สำคัญดาบไม่มีทางชนะปืน

    พอนึกถึงตรงนี้เอเลนก็ลุกพรวดขึ้น ใจเต้นระรัวด้วยความเป็นห่วงรีไว ครั้นจะตามไปช่วยก็กลัวว่าจะเป็นการขัดคำสั่ง แต่ถ้าหัวหน้าของเขาเกิดพลาดพลั้ง โดนโจรทำร้ายล่ะ

    เด็กหนุ่มยืนหันรีหันขวางด้วยความสับสนแต่สุดท้ายความเป็นห่วงก็มีอำนาจเหนือกว่า เอเลนดึงไกยิงออกมาจากที่เก็บปล่อยสลิงขึ้นไปปักบนต้นไม้และเหวี่ยงตัวไปกระทั่งถึงจุดที่พบเครื่องหมาย จากนั้นก็เริ่มกวาดตามองแบบที่รีไวทำกระทั่งพบกากบาทบนต้นไม้อีกต้น ห่างจากตรงนั้นไปพอสมควร ไม่รอช้า    เอเลนรีบพุ่งตรงไปยังตำแหน่งนั้นทันที และเริ่มเคลื่อนตัวไปตามเครื่องหมายที่ทำไว้เป็นระยะ ลึกเข้าไปในป่า ความเป็นห่วงทำให้เด็กหนุ่มลืมคำสั่งของหัวหน้าไปจนหมดสิ้น สิ่งเดียวที่ร่ำร้องอยู่ภายในใจ เขาจะอยู่เคียงข้างและปกป้องรีไวให้ถึงที่สุด แม้ต้องแลกด้วยชีวิตก็ยอม

     

    */*/*/*/*

     

     

     

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×