คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : 1
My Spy ฉันขอหัวใจของนายนะ
“ของที่สั่งได้แล้วค่ะคุณเอเลน”
เสียงใจดีของผู้หญิงวัยกลางคนพูดพร้อมกับยื่นถุงกระดาษส่งให้เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลที่กำลังยืนจ้องขนมในตู้กระจกอย่างเพลิดเพลิน เขารีบยื่นมือออกไปรับ
“ขอบคุณครับ”
เด็กหนุ่มกล่าวพลางส่งเงินพร้อมกับรอยยิ้มให้ อีกฝ่ายเอียงคอน้อยๆ
“แคนี้ก็พอจ้ะ” เธอพูดและส่งธนบัตรคืนให้หนึ่งใบ พอเป็นเอเลนทำหน้างงก็หัวเราะและอธิบาย “เห็นรอยยิ้มสดใสของเธอแล้ว ฉันเลยลดราคาให้ครึ่งหนึ่ง”
“จะดีหรือครับ” เด็กหนุ่มถามด้วยความลังเล เจ้าของร้านจึงหัวเราะและใช้มือขยี้ผมเขาอย่างเอ็นดู
“ดีแน่นอนจ้ะ” พูดจบก็คว้าไหล่เล็กๆทั้งสองข้างแล้วหมุนจากนั้นก็รุนหลังเขาไม่แรงนัก “ไม่รับกลับเดี๋ยวมิคาสะจะดุเอานะ”
เมื่อเจ้าของร้านพูดออกมาแบบนั้น เอเลนจึงจำต้องยัดเงินใส่กระเป๋าและหันไปกล่าวคำขอบคุณอีกครั้งก่อนเดินออกจากร้าน และแวะซื้อส้มอีกสองสามลูกเพื่อนำไปคั้นจากนั้นก็เข้าร้านหนังสือ ใช้เวลาเลือกไม่นานก็ได้นิทานเด็กมาหนึ่งเล่ม จ่ายเงินเสร็จเด็กหนุ่มก็เดินตัวปลิวกลับไปยังร้านของตัวเอง
เอเลน เป็นเด็กหนุ่มอายุ 16 ปี มีผมสีน้ำตาลและนัยน์ตาสีเขียวมรกตแสนงดงาม มารดาเสียชีวิตไปนานแล้ว ส่วนบิดาหายสาบสูญไปกว่าสามปี ความจริงเขาจะต้องถูกส่งไปอยู่สถานสงเคราะห์เพื่อรอพ่อแม่อุปถัมภ์แต่โชคดีที่ป้าคนหนึ่งยื่นมือเข้ามาอุปการะ เขาจึงสามารถอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ได้ต่อไป
กระทั่งวันหนึ่งป้าผู้อารีคนนั้นส่งมิคาสะมาอยู่เป็นเพื่อน แรกๆเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมแถมยังไม่ค่อยชอบลูกพี่ลูกน้องของคนนี้นัก เพราะเธอเป็นคนเงียบขรึมไม่พูดไมจา จนวันหนึ่งป้าเล่าให้ฟังว่า ครอบครัวของมิคาสะถูกโจรฆ่าตายหมด และหากไม่รับเธอมาลี้ยง มิคาสะก็จะถูกส่งเข้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ซึ่งถ้าเป็นคงเป็นเรื่องแย่ที่สุดสำหรับเด็กหญิงตัวเล็กๆ ป้าของเขาจึงอาสารับเธอมาอนุเคราะห์และส่งมาอยู่กับเอเลน
พอรู้แบบนั้นแล้วเอเลนจึงตั้งใจเอาไว้ว่าจะคอยดูแลเธออย่างดีที่สุด แต่พอเอาเข้าจริงกลับกลายเป็นว่าคนที่ได้รับการปกป้อง กลับเป็นตัวเขามากกว่า เพราะพอมาอยู่ไม่นานมิคาสะก็เริ่มตกแต่งบ้าน ดัดแปลงให้เป็นร้านกาแฟและขนม โดยตัวเธอเป็นเจ้าของร้านส่วนเอเลนเหมารวมทุกอย่างตั้งแต่พนักงานต้อนรับ พนักงานเสิร์ฟ คนล้างจานไปยันภารโรง
พอนึกถึงตรงนี้เด็กหนุ่มก็หัวเราะคิกคักอย่างชอบอกชอบใจ ความจริงแล้วมิคาสะเองก็อยากช่วยแต่เขาคิดว่าแค่ทำขนมกับชงกาแฟก็เป็นงานที่หนักมากแล้ว ดังนั้นเขาจึงเหมาทุกอย่างที่เหลือทั้งหมดเอง
เอเลนเดินประคองถุงกระดาษขนาดใหญ่ที่มีทั้งขนม ผลไม้และหนังสือไปพลาง คิดถึงเรื่องของตัวเองไปพลางกระทั่งถึงหัวมุมถนน ช่วงที่กำลังจะเลี้ยวนั่นเองเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้หญิงคนหนึ่ง พอหันไปมองก็เห็นผู้ชายผิวดำกำลังวิ่งแหวกฝูงชนตรงเข้ามา ตอนแรกก็งงอยู่เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นจนได้ยินเสียงร้องบอกต่อกันมาว่า “กระชากกระเป๋า” นั่นแหละ เด็กหนุ่มจึงรู้ว่าชายผิวดำคนนั้นคือโจร
เท้าไวเท่าความคิด มันยื่นออกไปขัดขาคนร้ายจนหน้าคะมำ มันคำรามอย่างโกรธจัดและลุกขึ้นทันที พอหันมาเห็นว่าใครเป็นคนทำ เจ้าคนร้ายก็กระชากคอเสื้อเอเลนเอาไว้พร้อมกับตะคอก
“ไอเปี๊ยก แกกล้ามากที่มายุ่งกับฉัน”
ฝ่ามือหนาฟาดเปรี้ยงจนหน้าสะบัดก่อนเหวี่ยงร่างเล็กๆไปกระแทกแผงขายของข้างทางจนพังกระจุย เอเลนครางออกมาด้วยความเจ็บปวดและพยายามลุกขึ้น แต่ต้องทรุดลงไปอีกครั้งอย่างมึนงง ถึงอย่างนั้นปากก็ยังร้องห้าม
“ย...หยุด”
พูดได้เพียงเท่านั้นก็ได้ยินเสียงดัง ตุบ พลั่ก ผัวะ เด็กหนุ่มขมวดคิ้วด้วยความสงสัยและพยายามเงยหน้าขึ้นมอง แต่ความชาจากแรงตบทำให้ดวงตาพร่ามัว จึงเห็นแค่เงาเลือนรางของใครบางคนกำลังอัดคนร้ายจนมันร่วงลงไปกองกับพื้น พอจัดการเสร็จคนคนนั้นก็เดินแหวกฝูงชนจากไปอย่างไม่แยแส
“เดี๋ยว” เอเลนร้องเรียกพร้อมกับมองตามแต่สิ่งที่เห็นเป็นเพียงรองเท้าสีดำขัดจนขึ้นเงามันวับที่มีตราสีขาวสลับดำรูปปีกนกเล็กๆประทับไว้ตรงขอบเท่านั้น พอลุกได้เด็กหนุ่มก็กวาตามองหาชายคนนั้นทันที แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงา เขามองคนร้ายร่างยักษ์ที่นอนหมดสติบนพื้นถนนท่ามกลางข้าวของที่ตกเกลื่อนกระจัดกระจายก่อนจะพูดพึมพำออกมาเบาๆ
“เขาเป็นใครกันนะ”
เด็กหนุ่มมองกองแหลกเละของพุดดิ้งที่อุตส่าห์เดินไปซื้อตั้งไกลกับผลไม้ที่อยู่ในสภาพเดียวกันอย่างนึกสยดสยอง เพราะขนมที่ว่าเป็นของโปรดของมิคาสะ ลองกลับไปมือเปล่าแบบนี้คงโดนเธอซัดติดผนังโทษฐานกลับบ้านมือเปล่า ครั้นจะย้อนกลับไปซื้อใหม่ก็ไม่มีเงินพอ จะไปขอฟรีๆก็น่าเกลียดเกินไป เอเลนคิดพลางถอนใจออกมาอย่างกลัดกลุ้มก่อนหมุนตัวเดินคอตกกลับไปที่ร้านของตัวเอง
พอถึงหน้าร้าน เอเลนยืนขมวดคิ้วอย่างลังเลก่อนตัดสินใจเดินเข้าไป เมื่อเปิดประตู เขาก็เห็นเจ้าหน้าที่ในชุดสูทสีดำกลุ่มใหญ่กำลังนั่งพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ไม่ต้องมองหน้าเขาก็รู้ว่าคนพวกนั้นคือเจ้าหน้าที่ชั้นหัวกะทิของเอฟบีไอที่มีแอลวินเป็นหัวหน้า เพราะมีคนกลุ่มนี้เพียงกลุ่มเดียวเท่านั้นที่เข้ามานั่งเล่นที่ร้านของมิคาสะเป็นประจำ
“กลับมาแล้วครับ” เด็กหนุ่มพูด หญิงสาวที่กำลังก้มๆเงยๆอยู่กับเครื่องชงกาแฟหันมามอง
“อ้าว กลับมาแล้วเหรอเอ...” เธอหยุดเบิกตากว้างและปล่อยถ้วยหลุดจากมือ “เกิดอะไรขึ้น ทำไมหน้าของเธอถึงได้บวมแบบนั้น”
ไม่พูดเปล่ามิคาสะยังกระโดดข้ามเคาท์เตอร์ วิ่งเข้ามาดูโดยแอลวินและเอฟบีไอทั้งกลุ่มตามมาดูด้วย พอถูกรุมเอเลนก็รีบยิ้มพร้อมกับโบกมือเป็นพัลวัน
“แค่ลื่นหกล้มนิดหน่อย ไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ”
“หกล้มจนเป็นรอยผื่นรูปมือเนี่ยนะ” มิคาสะพูดเสียงเข้ม ตาลุกวาว “บอกมาเดี๋ยวนี้ว่าใครเป็นคนทำ”
ไม่พูดเปล่ายังยกกำปั้นขึ้นประกอบ เอเลนยิ้มแห้งๆ
“ผมหกล้มจริงๆ”
“แสดงว่านายต้องล้มไปฟาดกับมือคนอื่น หน้าถึงได้เป็นรอยแบบนั้น” แอลวินตั้งข้อสังเกตพลางหันไปถามสาวแว่นที่กำลังนั่งยื่นหน้าเข้าไปหาเอเลน “หรือเธอว่าไง ฮันซี่”
“ต้องเอาไปผ่าพิสูจน์” หญิงสาวพูดพร้อมกับขยับนิ้วอย่างมันเขี้ยว “ไปกับฉันเถอะนะเอเลน”
“ไม่ครับ” เด็กหนุ่มรีบปฏิเสธและลุกขึ้นไปคว้าผ้ากันเปื้อนมาคาดเอว พอหันมาเห็นทุกคนยังยืนอยู่ที่เดิมจึงพูด “ผมไม่เป็นอะไรจริงๆครับ”
“ว้า น่าเสียดาย” ฮันซี่พูดก่อนเดินคอตกกลับไปที่โต๊ะ ตามด้วยแอลวิน มาร์โคและแจน พอนั่งกันเสร็จเรียบร้อย คนเป็นหัวหน้าก็ชูถ้วยกาแฟเปล่าขึ้น
“ขออีกถ้วยสิเอเลน”
“ครับ” เด็กหนุ่มรับคำและรีบคว้าเหยือกกาแฟมารินให้กับทุกคนจนครบ พอหันกลับเพื่อเอาเหยือกไปวางไว้ที่เดิมเขา ก็มีเสียงโครมดังมาจากทางด้านหลัง เด็กหนุ่มจึงหันไปมองและเลิกคิ้วเมื่อเห็นผู้ชายผมสั้นที่ไม่คุ้นตาเลยสักนิดกำลังนั่งหน้างอ เท้าข้างหนึ่งถีบเก้าอี้อยู่
“เฮ่ย แล้วกาแฟของฉันล่ะ”
น้ำเสียงทุ้ม สั้นจนแทบจะห้วน เอเลนรีบกล่าวขอโทษและหยิบถ้วยไปวางไว้ตรงหน้าเขาพร้อมกับรินกาแฟให้
“รับอะไรเพิ่มไหมครับ” เขาถาม อีกฝ่ายกลับถอดสูทสีดำออกวางพาดไว้บนโต๊ะก่อนพูด
“ฉันขอล้างมือหน่อย”
“ห้องน้ำอยู่ทางนั้นครับ” เอเลนพูดพร้อมกับชี้มือไปทางด้านหลัง พอชายคนนั้นลุกขึ้นเขาจึงเห็นว่ามือข้างหนึ่งมีรอยคราบเลือดประปราย ตอนแรกเด็กหนุ่มคิดว่าเขาคงไปเปื้อนอะไรมาหรือโดนของมีคมบาด แต่พอเหลือบเห็นรองเท้า หัวใจของเขาก็เต้นแรง
รองเท้าหนังสีดำเป็นเงามันวับ กับตราประทับปีกนกเล็กๆสีขาวสลับดำ
แสดงว่าคนที่ช่วยเขาในตอนนั้น ก็คือผู้ชายคนนี้เอง
เอเลนมองสูทสีดำที่พับอย่างเรียบร้อยบนโต๊ะแล้วขมวดคิ้ว หลังจากจัดการโจรวิ่งราวคนนั้นแล้วเขาไปไหน และเข้ามาในร้านตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะจำได้ว่าตอนเปิดประตู ก็ไม่เห็นลูกค้าเดินตามมาเลยสักคน กำลังคิดเพลินๆก็ต้องสะดุ้ง
“ยกเค้กไปส่งที่โต๊ะนั้นด้วยเอเลน”
เสียงมิคาสะร้องสั่ง เด็กหนุ่มจึงละความคิดทั้งหมดก่อนนำจานขนมไปเสิร์ฟลูกค้า พอหมุนตัวหันกลับมาอีกครั้งก็เห็นผู้ชายคนนั้นเดินกลับมาที่โต๊ะพอดี นั่นเองที่ทำให้เอเลนเห็นรูปร่างหน้าตาของเขาชัดเต็มตา
เขาเป็นคนที่มีหน้าตาหล่อเหลาเอาการ ดวงตาค่อนข้างเรียวและดุเอาเรื่อง ชนิดหากโดนจ้องอาจเข่าอ่อนได้ง่ายๆ ผมสีดำซอยสั้นจนเกือบจะเป็นรองทรง แต่ที่สะดุดตาโดดเด่นที่สุดคงเป็นความสูง ตอนแรกที่โดนเรียก เด็กหนุ่มมัวแต่ตกใจจนไม่ทันได้สังเกตว่าชายคนนี้มีส่วนสูงไม่มากนัก แต่ตอนนี้เขากลับเห็นอย่างชัดแจ้งว่า คนที่กำลังเดินอยู่ตรงหน้าแม้จะมีร่างกายผึ่งผายสง่างามแต่ด้อยในเรื่องความสูง บางทีอาจจะเตี้ยกว่าเขาเลยด้วยซ้ำ
“มานั่งตรงนี้ดีกว่ารีไวล์” เสียงแอลวินพูดขึ้น คนถูกเรียกจึงฉวยสูทเดินหน้างอไปนั่งรวมกลุ่ม เอเลนจึงเดาเอาว่าเขาน่าจะเป็นเอฟบีไอเหมือนกัน แต่ทำไมถึงไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน
“ขอกาแฟอีกถ้วยสิเอเลน” แจนชูถ้วยขึ้นพร้อมกับส่งสัญญาณมือเป็นเชิงบอกให้หยิบของรีไวล์มาด้วย เด็กหนุ่มจึงหยิบถ้วยชุดใหม่ไปวางไว้ตรงหน้า พอรินกาแฟให้ทุกคนเสร็จเรียบร้อยแล้วแอลวินก็หันไปถามรีไวล์
“ขนมสักชิ้นดีไหม”
“ไม่ล่ะ” เขาตอบสั้นๆ แจนจึงรีบนำเสนอ
“เอาหน่อยน่ารีไวล์ ขนมของคุณมิคาสะอร่อยมากนะ”
หนุ่มตัวเตี้ยชำเลืองตาไปทางตู้ขนมอย่างหยิ่งๆก่อนเลื่อนกลับมามองถ้วยกาแฟตรงหน้า
“อร่อยแค่ไหนฉันก็ไม่สน เพราะมันไม่สะอาด”
“เฮ้ย พูดแบบนี้ได้ยังไง ฉันเคยไปยืนดูคุณมิคาสะทำตั้งหลายครั้ง เธอระมัดระวังเรื่องคุณภาพกับความสะอาดมากๆ” แจนรีบแก้ตัวแทนแต่คนฟังกลับเบ้ปาก
“ตอนเข้ามาฉันเห็นฝุ่นที่ขอบประตู แถมโต๊ะที่พวกเรานั่งอยู่นี่” ไม่พูดเปล่ายังเอามือป้ายไปบนโต๊ะและยกให้ทุกคนดู “ยังมีคราบเปื้อนอยู่เลยแสดงว่าคนดูแลสักแต่เอาผ้าถูพอผ่านๆ เศษขนมถึงตกเกลื่อนใต้โต๊ะ”
เอเลนชะงักเหยือกที่กำลังรินกาแฟในขณะที่ทุกคนพร้อมใจกันก้มลงมองใต้โต๊ะ และส่ายหน้าเพราะถึงจะมีเศษอาหารอยู่บ้างแต่ก็น้อยมาก
“ให้ตายเถอะรีไวล์ ฉันรู้ว่านายเป็นพวกรักความสะอาด แต่แบบนี้มันจุกจิกเกินไปหน่อยนะ” แอลวินพูดอย่างเอือมระอา เอเลนจึงรีบเสริม
“ผมเช็ดโต๊ะนี้ตั้งสองรอบ แถมกวาดเรียบร้อยแล้วด้วย”
รีไวล์มองเด็กหนุ่มด้วยหางตา
“ไม่ใช่แค่มักง่าย ยังอ่อนหัดอีกต่างหาก”
“หมายความว่ายังไงครับ” เอเลนถามด้วยใบหน้าแดงก่ำ แต่อีกฝ่ายกลับยกกาแฟขึ้นดื่มอย่างไม่สนใจ
“เมื่อเช้าไปเจออะไรมาเหรอ” คราวนี้ฮันซี่ยื่นหน้าเข้ามาถาม คิ้วของรีไวล์ขมวดเข้าหากัน
“ถามทำไม”
“นายถอดสูท”
“แล้วไง” เขาย้อนด้วยน้ำเสียงราบเรียบ สีหน้าเฉยชา ฮันซี่ยิ้มกว้าง
“คนที่แต่งตัวถูกระเบียบเป๊ะตลอดเวลาอย่างนาย ไม่มีวันถอดเสื้อนอกทั้งที่ยังปฏิบัติหน้าที่อยู่แน่ๆ” เธอขยับเข้าไปอีกนิดพลางยื่นมือไปตะปบเสื้อที่วางอยู่บนโต๊ะ และชักกลับทันทีเมื่อถูกเหยือกกาแฟร้อนๆที่อีกฝ่ายคว้าจากเอเลนมาวางทับ “ใจร้ายจัง ขอดูหน่อยก็ไม่ได้”
“ก็แค่รอยเปื้อนจากเลือดของคนร้ายที่กระเด็นมาถูกตอนโดนฉันต่อย” รีไวล์พูดขณะเติมกาแฟใส่ถ้วยของตัวเอง พอเห็นสายตาอยากรู้จากทุกคนเขาก็ถอนใจออกมาอย่างรำคาญแต่ก็ยอมเล่าต่อ “เมื่อเช้าก่อนมานี่ฉันเจอพวกวิ่งราวมาน่ะ ตอนแรกก็ไม่อยากจะเข้าไปยุ่ง แต่ขืนปล่อยไว้มีหวังเจ้าหนูนี่โดนอัดจนตาย”
พูดพลางยกหัวแม่มือไปด้านข้าง ทุกคนหันไปมองเอเลนเป็นตาเดียวแต่ยังไม่ทันได้ถามอะไรเสียงมิคาสะก็ดังมาเสียก่อน
“หมายความว่าเธอถูกทำร้าย” เธอกระโดดข้ามเคาท์เตอร์ตรงมากระชากคอเสื้อเด็กหนุ่ม “ทำไมหมอนั่นถึงทำร้ายเธอ ฉันเคยเตือนแล้วไม่ใช่หรือว่าให้อยู่ห่างๆคนพวกนี้”
“ผมแค่...”
“เขาพยายามช่วยผู้หญิงคนหนึ่งแต่ดันลืมไปว่ารูปร่างของตัวเองเล็กกว่าโจรมาก” รีไวล์อธิบาย เอเลนมองเขาอย่างหมั่นไส้ และนึกในใจว่า นายเองก็ไม่ได้สูงไปกว่าฉันหรอกน่า เจ้าเตี้ย
“แล้วทีนี้จะทำยังไง ถ้าเกิดมันพาพวกตามมาอาละวาดถึงที่ร้าน” มิคาสะพูดด้วยสีหน้ากังวลแต่เอฟบีไอหนุ่มยักไหล่
“ไม่ต้องห่วง เจ้าคนร้ายนั่นโดนตำรวจรวบตัวไปแล้ว” พูดจบก็หันไปทางแอลวิน “เพราะเรื่องนั้นเลยทำให้ฉันมาช้า แต่นายจะประชุมเรื่องนั้นกันที่นี่เหรอ”
“ฉันแค่พาทุกคนมาหากาแฟกับขนมอร่อยๆทานเท่านั้น” แอลวินก่อนหันไปส่งยิ้มให้มิคาสะที่ยังคงยืนกำคอเสื้อเอเลน “ขอโทษที่ลืมแนะนำ หมอนี่ชื่อรีไวล์ เป็นเจ้าหน้าที่พิเศษเก่งที่สุดในเอฟบีไอ”
หญิงสาวรีบคลายมือออก
“ยินดีที่ได้รู้จัก ฉันมิคาสะ ส่วนหมอนี่ชื่อเอเลน” เอแนะนำตัวเองและเด็กหนุ่มไปพร้อมกัน แต่รีไวล์กลับมองทั้งคู่ด้วยหางตาก่อนตวัดกลับไปทางแอลวินอย่างไม่สนใจ กิริยากวนประสาทอย่างสุดขั้วทำให้มิคาสะกำหมัดแน่นและนับหนึ่งถึงร้อยพร้อมกับพยายามเตือนตัวเองในใจหลายตลบว่าให้ใจเย็น เพราะเจ้าเตี้ยนี่เป็นลูกค้า พอสงบใจได้เธอก็ชวนคุย
“คุณทำงานหน่วยเดียวกับคุณแอลวินเหรอ ทำไมฉันถึงไม่เคยเห็นหน้าเลยล่ะ”
รีไวล์ไม่ตอบแถมยังทำเป็นดื่มกาแฟเฉย แจนจึงเป็นคนพูดแทน
“หมอนี่ต้องอยู่สางคดีที่เมืองเก่า เสร็จแล้วถึงตามมาช่วยพวกเรา”
คำอธิบายสั้นๆแต่ก็ทำให้เอเลนหูผึ่ง
“สางคดีนี่หมายถึงตามจับคนร้ายใช่ไหมครับ” เขาถาม พอแจนผงกศีรษะรับ เด็กหนุ่มก็ทำตาโตและหันไปมองรีไวล์ “คุณทำคนเดียวด้วย สุดยอด”
น้ำเสียงเต็มไปด้วยความชื่นชม แต่เอฟบีไอหนุ่มกลับนิ่วหน้าอย่างรำคาญ
“จะคุยเรื่องงานได้หรือยัง” เขาถามแอลวิน อีกฝ่ายจึงพยักหน้าอย่างเคร่งขรึมและหยิบธนบัตรมาวางบนโต๊ะ จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินนำทุกคนออกจากร้านโดยไม่พูดอะไร การจบบทสนทนาแบบปุบปับทำให้หญิงสาวและเอเลนมองทั้งหมดอย่างงงๆ แจนซึ่งออกเป็นคนสุดท้ายแอบขยับเข้าไปใกล้มิคาสะและก้มลงไปกระซิบ
“ขอโทษที่ไปกันเฉยๆ แต่ที่รีบกลับเพราะพวกเรากำลังตามล่าฆาตกรต่อเนื่องอยู่ครับ”
ความคิดเห็น