ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    สายใยรักจิ้งจอกพันปี (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 7 ความช่วยเหลือที่คาดไม่ถึง

    • อัปเดตล่าสุด 5 ม.ค. 59




    บทที่ 7 ความช่วยเหลือที่คาดไม่ถึง

    “ฉันจะไปกะมะโกริ” ซาคาโมโตะเอ่ยขึ้นระหว่างกินมื้อเช้า คิ้วดกหนาของทาคุเลิกสูงด้วยความแปลกใจ

    “ไปทำไม”

    ถามพร้อมกับกัดขนมปังไปด้วย อีกฝ่ายหันหน้าไปทางประตูติดกับระเบียง มองต้นไผ่ที่กำลังโยกเอนไปตามลม

    “อิบูกิ”

    เป็นคำตอบสั้นๆ แต่คนใกล้ชิดอย่างทาคุกลับเข้าใจทันทีว่าซาคาโมโตะยังคงติดใจในเรื่องที่อิบูกิหนึ่งในลูกน้องที่ติดสอยห้อยตามกันมานานโดนทำร้ายและอยากรู้ให้แน่ชัดว่าเป็นฝีมือของใคร แน่นอนว่าสารถีหนุ่มโล่งใจที่เห็นเจ้านายสนใจลูกน้องมากกว่าวิ่งตามผู้หญิง...เอ่อ ไม่สิผู้ชายต่างหาก แต่การเดินทางไปสอบถามด้วยตัวเองนั้นเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่าเลยสักนิด      

    “ให้ทางนั้นส่งคนมารายงานก็ได้นี่นา” เขาแย้งไปตามที่คิดแต่ซาคาโมโตะกลับส่ายหน้าช้า

    “ไม่ได้หรอก ฉันเป็นห่วงกลัวคนส่งสารโดนฆ่าระหว่างทาง”

    “เพราะงั้นแหละฉันถึงไม่อยากให้นายไป” ทาคุพูดพลางดื่มชาเข้าไปอึกใหญ่ ยังไม่ทันวางถ้วยก็พูดต่อ “ถ้าคนลงมือเป็นพวกโอโรจิจริงคงดีใจกันน่าดูถ้ารู้ว่าผู้นำของกินกิสึเนะเดินทางไปตามลำพัง”

    “ใครบอกว่าฉันจะไปคนเดียว” ซาคาโมโตะหันมาตอบ สารถีจอมกวนเข้าใจว่าได้รับอนุญาตให้ตามไปด้วยจึงผงกศีรษะ

    “ตกลง เราจะออกเดินทางกันตอนไหน”

    “ไม่ใช่นาย” ซาคาโมโตะพูดด้วยใบหน้านิ่งก่อนเบนสายตาไปยังประตูที่ถูกเลื่อนเปิดออก ทาคุมองตามและนิ่วหน้าเมื่อเห็นคนที่กำลังก้มตัวลงแสดงความคารวะต่อนายใหญ่อย่างนอบน้อม

    “อย่าบอกนะว่านายจะไปกับยายแก่แร้งทึ้งนี่”

    ทาคุหันมาถามลั่นอย่างไม่เกรงใจ ซาคาโมโตะยังคงนั่งปั้นหน้าตายอย่างไม่รู้สึกรู้สา ยายแก่แร้งทึ้งที่สารถีปากมากพูดถึงจึงกล่าวเชิงตำหนิ

    “อย่าปากเสียเหมือนเผ่าพันธุ์ของเจ้าคุโรอินุ” เป็นการพูดเนิบช้าตามแบบของหญิงชราทั่วไป หากเป็นคนอื่นคงนึกสบประมาทว่านางเป็นแค่คนแก่คนหนึ่งแต่ทาคุรู้ดีว่าภายใต้ร่างกายงุ้มงอดุจถุงผ้าเก่าๆนั้นเต็มไปด้วยเข็มพิษนับพันเล่ม ขืนสุ่มสี่สุ่มห้าปะทะคารมกับยายแก่หงำเหงือกแบบไม่ดูตาม้าตาเรือมีหวังเน่าตั้งแต่ยังไม่ทันอ้าปาก

    “อย่าเรียกข้าด้วยชื่อนั้น” ถึงจะเกรงใจอยู่บ้างแต่ก็อดเถียงไม่ได้ “ที่นี่ข้าคือคันมุริ ทาคุ”

    “สุนัขจะชื่อไหนก็เป็นสุนัขอยู่วันยังค่ำ” ยายแก่หนังเหนียวยังคงกวนประสาทไม่เลิกและคงไม่หยุดแค่นั้นหากเจ้าบ้านซาคาโมโตะไม่เอ่ยตัดบท

    “ไปกันได้แล้วโฮตารุ”

    คำสั่งของเขาทำให้ทาคุทำหน้าเหวอ “จะไปกันตอนนี้เลยเหรอ แล้วโรงเรียนล่ะ?

    “หยุดสองสามวันคงไม่เป็นไรหรอก” ซาคาโมโตะตอบอย่างไม่ค่อยใส่ใจนักก่อนหยุดเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “จริงสิระหว่างที่ฉันไม่อยู่นายช่วยไปดูฟุรุคาวะให้หน่อยได้หรือเปล่า”

    “ไอ้ได้น่ะมันได้อยู่หรอกแต่ทำไมฉันต้องทำแบบนั้นด้วย หมอนั่นไม่ใช่...”

    “เขาถูกพวกปิศาจชั้นต่ำก่อกวนและโดนอันธพาลโรงเรียนตามรังควาน อย่างแรกฉันไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่เพราะส่งจิ้งจอกน้อยไปช่วยแล้วแต่พลังของมันไม่แกร่งพอที่จะจัดการกับพวกมนุษย์ ดังนั้นจึงต้องขอแรงนายอีกคน”

    น้ำเสียงที่ใช้เหมือนเป็นการออกคำสั่งแต่แววตากลับแสดงความหมายที่ทาคุพอจะเดาออกว่ามันเป็นการขอร้อง เขาจึงตกปากรับคำอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก

    “ก็ได้ แต่ฉันดูแลได้เฉพาะระหว่างเดินทางไปกลับเท่านั้น ถ้าเขาโดนทำร้ายในโรงเรียนฉันคงช่วย..”

    “มีอะไรบ้างที่คนอย่างนายทำไม่ได้” ซาคาโมโตะแทรกคำพูดเหมือนไม่อยากรับฟังคำแก้ตัวก่อนลุกขึ้น “ฝากด้วยนะทาคุ”

    กล่าวย้ำอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจ อีกฝ่ายจึงโบกมือไปมาด้วยความรำคาญพร้อมกับพูดประชด

    “เออๆรู้แล้ว ฉันจะดูแลเจ้าบ้านั่นอย่างดีชนิดยุงไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอมเลย”  

    พอซาคาโมโตะคล้อยหลังไปแล้วทาคุยังคงนั่งกินมื้อเช้าต่ออย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวแต่ตากลับเหลือบดูนาฬิกาเป็นระยะ พอได้เวลาเขาก็คว้าถ้วยชากรอกใส่ปากฉวยเสื้อนอกที่วางไว้ข้างตัวมาสวมก่อนลุกขึ้นออกจากห้องเดินตรงดิ่งไปที่รถขับไปยังอพาร์ตเม้นท์ของฟุรุคาวะ จากการบอกเล่าของเจ้านายทำให้เขารู้ว่าห้องของเด็กหนุ่มอยู่ชั้นไหนและหมายเลขอะไร พอหาที่จอดรถได้ก็วิ่งเหยาะๆขึ้นบันไดไปจนถึงห้องและเคาะประตูเรียกอย่างไม่ลังเล ครั้งแรกข้างในยังเงียบกริบไม่มีเสียงตอบก็เคาะอีกครั้ง พอลงมือเป็นครั้งที่สามความอดทนก็เริ่มถึงขีดจำกัดสารถีหนุ่มจึงเปลี่ยนจากการเคาะเป็นใช้กำปั้นทุบประตูดังโครม

    “เฮ้!

    เขาตะโกนเรียกเสียงดังจนห้องข้างๆเปิดประตูออกมาดู พอเห็นต้นเหตุเป็นชายหนุ่มตัวโตเป็นยักษ์ปักหลั่นหน้าตาบูดบึ้งอย่างคนที่พร้อมจะเอาเรื่องก็เปลี่ยนไป กระนั้นก็ยังแข็งใจถาม

    “มาหาใครเหรอครับ”

    “ฟุรุคาวะ ฟุบุกิ” ทาคุพยายามทำเสียงให้นุ่มที่สุดเพื่อให้อีกฝ่ายสบายใจซึ่งได้ผล เพราะสีหน้าหวาดกลัวคลายลงขณะที่เจ้าตัวตอบด้วยน้ำเสียงที่ดีขึ้น

    “เขาออกไปแล้วครับ”

    เช้าขนาดนี้เลยเหรอ ขยันเกินไปแล้วมั้ง สารถีหนุ่มนึกค่อนขอดอยู่ในใจแต่กลับส่งรอยยิ้มแก้เก้อให้กับคู่สนทนา “ผมผิดนัดเองคงต้องรีบตามเขาไปแล้วละครับ” เขาพูดพร้อมกับค้อมศีรษะน้อยๆ “ขอบคุณมาก”

    พูดจบหมุนตัวเดินไปทางยังทางลงพอแน่ใจว่าพ้นจากสายตาคนแล้วเขาก็กระโจนพรวดลงไปตามบันไดอย่างชนิดที่ไม่มีมนุษย์ธรรมดาคนไหนทำได้ พอใกล้จะถึงชั้นล่างเขาก็เปลี่ยนเป็นเดินตามปรกติไปที่รถระหว่างเปิดประตูก็ใช้ความคิดไปด้วย ว่าเจ้าเด็กบ้านั่นออกไปนานแค่ไหนแล้ว เพราะถ้าก่อนหน้าที่เขาจะมาไม่นานก็คงยังอยู่แถวนี้ กำลังคิดเพลินๆสารถีหนุ่มต้องสะดุ้งเมื่อมีเสียง ตุ้บ บนหลังคารถ พอเห็นว่าเป็นอะไรเขาก็ฉีกยิ้มกว้าง

    “ไงเจ้าเหมียว” มือเลื่อนไปลูบหัวมันเบาๆ “แกจำเด็กคนที่ฉันสั่งให้แกล้งได้หรือเปล่า พอจะรู้มั้ยว่าตอนนี้เขาอยู่ไหน”

    เจ้าแมวขาวร้องเหมียว เหมียวติดต่อกันหลายครั้งคล้ายกำลังอธิบาย ทาคุนิ่งฟังจนมันเงียบเสียงจึงผงกศีรษะ

    “ขอบใจมาก” เขาอุ้มมันมาวางบนพื้นและลูบหัวอีกครั้งก่อนกลับไปที่รถ พอนั่งประจำที่แล้วก็ขับไปตามทางที่เคยมาครั้งก่อน ไม่ถึงอึดใจก็เห็นฟุรุคาวะกำลังถูกเพื่อนนักเรียนด้วยกันยืนล้อมกรอบอยู่บนทางเท้า ต้องเป็นอันธพาลที่ซาคาโมโตะพูดถึงแน่ สารถีหนุ่มคิดพลางจอดรถชิดขอบทาง เปิดประตูเดินด้วยท่าทางที่ไม่อนาทรร้อนใจนักตรงเข้าไปหา พอเข้าใกล้จนถึงระยะที่ได้ยินคำสนทนาเขาจึงหยุดรอจังหวะ เป็นเวลาเดียวกับที่คาวาเบะพูดพอดี

    “จะรีบไปไหนเหรอฟุรุคาวะ” เขาถามเสียงต่ำดวงตาเรียวมองเด็กหนุ่มไล่ไปทีละส่วนอย่างจาบจ้วงพลางแลบลิ้นเลียริมฝีปากเหมือนอยากจับคนตรงหน้ามากินให้สมอยาก “เช้าแบบนี้ประตูโรงเรียนยังไม่เปิดหรอกอยู่คุยกับฉันก่อนดีกว่า ถ้าถูกใจบางทีฉันอาจช่วยเปิดประตูให้นาย”

    “ฉันขอปฏิเสธ” ฟุรุคาวะเช้าใจความหมายนั่นดีจึงรีบบอกปัดพร้อมกับขยับเพื่อเดินหนีแต่มือหยาบหนาของลูกน้องคาวาเบะตะครุบไหล่เอาไว้

    “ห้ามแกไปไหนทั้งนั้นถ้าลูกพี่ยังไม่อนุญาต”

    ฟุรุคาวะยืนนิ่งไม่ขยับ เขาไม่กลัวคำขู่แต่รู้ดีว่าต่อให้วิ่งก็หนีพวกบ้านี่ไม่พ้น ทางเดียวที่ทำให้เจ็บตัวน้อยที่สุดคืออยู่เฉยๆ อีกอย่างคาวาเบะคงไม่กล้าลงมือทำอะไรเพราะอยู่ริมถนนซึ่งมีคนเดินผ่านไปมามากพอดู อย่างเก่งก็แค่ถูกไถเงินและโดนตบส่งท้ายสองสามฉาด แต่เด็กหนุ่มคิดผิดเพราะดวงตาเจ้าเล่ห์ของหัวโจกตัวร้ายกลอกไปทางตรอกด้านข้างซึ่งมีกำแพงคอนกรีตทอดยาวลึกเข้าไปจนสุดสายตาพร้อมกับออกคำสั่ง

    “ลากมันเข้าไปในนั้น”

    สมุนทั้งสองปราดเข้ามาล็อคแขนทั้งสองข้างและทำท่าจะลากไปตามสั่งแต่ทั้งหมดต้องหยุดเมื่อได้ยินเสียงกระแอมของทาคุ

    “ทำอะไรกันอยู่เหรอ”

    เขาถามอย่างคนอารมณ์ดีพลางใช้สายตามองไล่ไปทีละคน เจ้าพวกนี้อาจจะตัวใหญ่ในความคิดของเด็กรุ่นเดียวกันแต่สำหรับเขายังเป็นแค่ลูกเจี๊ยบตัวเล็กๆที่บีบเบาๆก็แหลกคามือแล้ว ความคิดนั้นตรงกับใจของคาวาเบะเพราะพอเห็นผู้ชายตัวสูงใหญ่เข้ามาขวางเขาก็ฝ่อลงเล็กน้อย แต่เมื่อคิดอีกทีบางทีหมอนี่อาจจะโตแค่ตัวเขาจึงกางศอกทั้งสองข้างออกวางท่าให้ดูน่าเกรงขามก่อนคำรามใส่

    “เด็กเขาจะคุยกันผู้ใหญ่ไม่เกี่ยว”

    ดวงตาดุดันของทาคุมองฟุรุคาวะแวบหนึ่งก่อนเลื่อนกลับไปทางคาวาเบะ

    “จริงหรือ” เขาแกล้งถามด้วยใบหน้าใสซื่อ “เท่าที่เห็นเหมือนหมอนี่กำลังโดนลากไปอย่างไม่เต็มใจ” เขามองไปรอบๆ “ว่าแต่จะเข้าไปทำอะไรในตรอกเพราะเท่าที่จำได้แถวนั้นไม่มีโรงแรมเลยนี่นา”

    “ฉันไม่คิดอะไรโสโครกแบบแก” คาวาเบะกระชากเสียงอย่างเหลืออดและใจหล่นวูบเมื่อทาคุหันมามองด้วยดวงตากร้าวเปรียบประดุจนัยน์ตาของเพชฌฆาต

    “แต่ฉันแน่ใจว่านายคิด” เขาขยับเข้าไปอีกก้าว “ปล่อยเด็กคนนั้นเดี๋ยวนี้”

    เป็นการออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงทรงพลังจนสมุนทั้งสองปล่อยมือจากฟุรุคาวะโดยไม่รู้ตัว คาวาเบะเองก็รู้สึกประหวั่นไม่แพ้กันแต่เพื่อรักษาอำนาจป้องกันมิให้ตัวเองต้องเสียหน้า เขาจึงแข็งใจยืดอกพร้อมกับกล่าวปฏิเสธ

    “ไม่!

    “ฉันบอกให้ปล่อย” ทาคุพูดเน้นเสียงทีละคำก่อนฟาดกำปั้นเปรี้ยงลงไปที่กำแพง “เดี๋ยวนี้!

    คอนกรีตหนายุบตัวลงเป็นแอ่งกับเศษปูนที่ร่วงกราวลงบนพื้นทำให้อันธพาลทั้งสามอ้าปากค้าง นั่นเองที่ทำให้คาวาเบะสำนึกถึงพละกำลังอันมหาศาลของชายตรงหน้า ต่อให้เอาพวกมากเข้ารุมก็ไม่เห็นแววชนะ แต่คนอย่างคาวาเบะ มุซาชิไม่มีวันวิ่งหนีหากจุกตูดไปง่ายๆอย่างเด็ดขาด เขาจ้องหน้าทาคุอย่างอาฆาตและเค้นเสียงลอดไรฟันออกมา

    “ก็ได้” ดวงตามาดร้ายเลื่อนไปทางฟุรุคาวะ “แกรอดได้แค่ตอนนี้เท่านั้น เผลอเมื่อไหร่ฉันเอาแกตายแน่”

    เขาชูกำปั้นยกนิ้วกลางให้อย่างหยาบคายก่อนหมุนตัวนำลูกน้องทั้งหมดเดินจากไปอย่างเร็วที่สุดท่ามกลางเสียงหัวเราะอย่างถูกอกถูกใจของทาคุ

    “ไอ้เด็กเมื่อวานซืน” เขาพูดอย่างเหยียดๆก่อนก้มลงมองฟุรุคาวะ “บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”

    “ไม่” ทั้งที่ยังไม่คลายความตระหนกก็ยังไม่วายแสดงความไม่พอใจออกมา ทั้งที่ควรดีใจที่มีคนมาช่วยแต่มันคงจะดีกว่านี้มากหากไม่ใช่คนจากตระกูลซาคาโมโตะ

    สีหน้าบูดบึ้งกับการพูดแบบไม่มองหน้าทำให้ทาคุรู้ว่าอีกฝ่ายไม่สบอารมณ์กับน้ำใจในครั้งนี้เท่าไหร่นัก แต่จะสนทำไมเพราะหมอนี่ไม่ได้สลักสำคัญอะไรสำหรับเขาเลยแม้แต่น้อย ที่ช่วยก็เพราะมันเป็นคำสั่งของซาคาโมโตะ ถ้าเจอกันเวลาอื่นต่อให้โดนจับขึงพืดเขาก็ไม่มีวันยื่นมือเข้าไปช่วยเจ้าเด็กขวางโลกคนนี้ให้เปลืองแรง ถึงใจของจะคิดอย่างนั้นแต่พอมองใบหน้าสวยราวกับผู้หญิงแล้วเขาก็อดหลุดปากออกมาไม่ได้

    “จะไม่ขอบคุณสักหน่อยเหรอ”

    “ขอบใจ” สวนกลับห้วนๆแบบมะนาวไม่มีน้ำจนอีกฝ่ายนึกขำ แต่เพื่อรักษามาดให้ดูเคร่งขรึมน่าเกรงขามสารถีหนุ่มจึงกระแอมออกมาเบาๆ

    “ไม่เป็นไร” ตอบสั้นๆพร้อมกับหมุนตัวเดินนำออกไปสองสามก้าว พอรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ยอมเดินตามเขาจึงเอี้ยวตัวเหลียวกลับมามอง “ยืนทื่ออยู่ทำไม ตามฉันมาเร็ว”

    “ไม่”

    พอได้ยินคำปฏิเสธสั้นๆของฟุรุคาวะ สารถีหนุ่มก็โมโหปรี๊ดขึ้นมา

    “ตามใจนะ แต่ฉันรับรองได้เลยว่าเจ้านั่นยังรอนายอยู่”

    คำขู่ทำให้เด็กหนุ่มเริ่มลังเล จริงอย่างที่เจ้ายักษ์นี่พูด คนอย่างคาวาเบะไม่มีทางรามือง่ายๆถ้าหมอนั่นคิดว่าทาคุเป็นแค่คนที่บังเอิญเดินผ่านมาตอนนี้ตัวแสบทั้งสามอาจดักรอเขาอยู่ตรงไหนสักแห่งขืนสุ่มสี่สุ่มห้าเดินไปตามลำพังมีหวังโดนเล่นงานอีกแน่

    “แต่สถานีอยู่ทางนั้น” เขาแย้งไม่เต็มเสียง สารถีหนุ่มเลิกคิ้ว

    “แต่รถของฉันอยู่ทางนี้ เอ้า! อย่ามัวแต่โอ้เอ้รีบไปกันได้แล้ว”

    ครั้งนี้เขาเดินนำออกไปไปโดยไม่สนใจว่าจะมีใครเดินตามหรือไม่ พอถึงรถและไม่เห็นซาคาโมโตะ ฟุรุคาวะถึงกับยืนเก้กังเพราะไม่รู้ว่าควรจะนั่งตรงไหน ทาคุซึ่งนั่งประจำที่เรียบร้อยแล้วจึงชี้หัวแม่มือข้ามไหล่ตัวเองไปยังด้านหลัง

    “เชิญที่เบาะหลังครับคุณหนู”

    เด็กหนุ่มเม้มปากน้อยๆคล้ายไม่เต็มใจนักแต่ก็ยอมทำตามโดยดีพอนั่งเรียบร้อยสารถีก็บังคับรถเข้าสู่เส้นทางระหว่างนั้นก็คอยเหลือบมองคนด้านหลังไปด้วย ตอนเจอกันครั้งแรกเขาไม่สนใจเด็กคนนี้เท่าใดนักแถมยังไม่ชอบใจที่ซาคาโมโตะเอาแต่พูดว่าเป็นคนรักเก่าที่กลับชาติมาเกิด แน่นอนว่าเขาไม่ค่อยเห็นด้วยสักเท่าไหร่เพราะฟูจินเป็นภูตลมที่งดงามอย่างไม่มีใครเทียบย่อมเป็นไปไม่ได้ที่นางจะมาเกิดเป็นเด็กกะโปโลคนนี้     

    คิดพลางชำเลืองอย่างพิจารณา ไม่แปลกหรอกที่เจ้าเคียวยะจะเข้าใจผิดเพราะจากที่เห็น หน้าตาของหนุ่มน้อยฟุรุคาวะสวยไม่เบา ผิวพรรณขาวนวลสะอาดสะอ้านต่างจากผู้ชายทั่วไป แถมกลิ่นกายก็หอมกรุ่นราวสาวแรกรุ่น ถ้าจับมาแต่องค์ทรงเครื่องสักหน่อยคงสวยชนิดที่ผู้หญิงแท้ๆยังอาย นึกถึงตรงนี้แล้วสารถีหนุ่มต้องถอนใจออกมาด้วยความเสียดายนิดๆ แต่ที่แย่กว่านั้นคือนอกจากความสวยแล้วเจ้าหนุ่มคนนี้ไม่มีอะไรสักอย่างที่เชื่อมถึงภูตแสนสวยนางนั้น

    “อ๊ะ! จอดด้วยครับ” เสียงฟุรุคาวะพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าคนขับนั่งใจลอยจนเกือบเลยประตูทางเข้าทำให้ทาคุเหยียบเบรกจนหน้าคะมำ พอคว้ากระเป๋าได้เด็กหนุ่มก็เปิดประตู “ขอบคุณอีกครั้งนะครับ”

    เขากล่าวทิ้งท้ายก่อนลงจากรถเหลือเพียงกลิ่นหอมละมุนไว้เพียงจางๆ ไม่ใช่กลิ่นหอมของสบู่ บอดี้ครีมหรือน้ำหอมอย่างที่มนุษย์ชอบใช้หากเป็นกลิ่นจากผิวของดรุณีที่กำลังอยู่ในวัยแตกเนื้อสาว

    กลิ่นของฟูจิน

    ทาคุสะบัดศีรษะแรงๆเพื่อไล่ความคิดดังกล่าวออกไป ก็แค่คล้ายแต่ไม่ใช่กลิ่นของนาง เขาบอกกับตัวเองก่อนติดเครื่องรถทันใดนั้นเองจิตสัมผัสอันว่องไวเหนือมนุษย์ก็จับอะไรบางอย่างได้ จากประสบการณ์อันยาวนานทำให้รู้ว่ามันเป็นความอาฆาต เคียดแค้นชิงชังพอมองไปยังฟุรุคาวะเส้นขนบนลำคอของสารถีหนุ่มถึงกับลุกซู่เมื่อเห็นหมอกสีดำกลุ่มใหญ่ลอยวนอยู่รอบตัวแต่ก็เพียงชั่วประเดี๋ยวเท่านั้นพอรู้ว่าถูกจ้อง หมอกแห่งความชิงชังก็ค่อยๆจางลงจนหายไปในที่สุด

    หมอนี่ตกเป็นเป้าของพวกปิศาจอย่างที่เคียวยะบอกจริงๆ ทาคุนึกพลางเคาะนิ้วชี้กับพวงมาลัยอย่างใช้ความคิด แบบนี้เขาคงกลับไปนอนตีพุงเล่นที่บ้านไม่ได้แน่ แต่จะเข้าไปเฝ้าถึงในโรงเรียนก็คงไม่ได้เช่นเดียวกัน

    ถ้าเช่นนั้นเขาควรทำยังไงดี ?

    สมองประมวลผลหาคำตอบอย่างว่องไว เมื่อคิดได้สารถีหนุ่มก็ยิ้มให้กับตัวเอง เขาขับรถไปจอดไว้ในศูนย์การค้าที่อยู่ไม่ห่างจากที่นั่นเท่าใดนักจากนั้นก็เดินย้อนกลับมา เดินวนรอบโรงเรียนหนึ่งรอบก่อนตัดสินใจกระโดดข้ามรั้วเข้าไปข้างใน

    ฟุรุคาวะนั่งฟังอาจารย์บรรยายประวัติศาสตร์ของประเทศด้วยอารมณ์ที่ค่อนไปทางหงุดหงิด นับเป็นเรื่องแปลกสำหรับวิชาโปรดซึ่งเขาเองก็อธิบายไม่ได้เหมือนกันว่าทำไม จะบอกว่าเป็นผลพวงจากเหตุการณ์ในตอนเช้าก็ไม่น่าใช่เพราะเขาเจอการรีดไถแบบโหดๆจากคาวาเบะมาหลายครั้งแต่ก็ไม่เคยใส่ใจกับมัน ครั้นจะโทษว่าไม่พอใจคนขับรถที่ชื่อทาคุก็ไม่น่าเป็นไปได้ หรือเป็นเพราะซาคาโมโตะ เด็กหนุ่มฉุกคิดพลางเหลือบตาไปทางโต๊ะเรียนที่ว่างเปล่า ไม่น่าใช่ เขาควรดีใจที่ไม่มีพวกโรคจิตมาคอยก่อกวนมากกว่า

    ความโหวงเหวงในหัวอกทำให้ฟุรุคาวะรู้สึกเหมือนข้างในเป็นหลุมลึกอันว่างเปล่า เป็นครั้งแรกที่เขาบังเกิดความรู้สึกแบบนี้ แต่ทำไมล่ะทั้งที่เมื่อก่อนเคยคิดว่าร่างกายของตนเองเป็นเพียงฟองน้ำแห้งๆที่ถูกโยนทิ้งไว้กลางทะเลทรายเท่านั้น ฟองน้ำที่สูญเสียความชุ่มชื่นของชีวิตไปพร้อมกับความตายของพ่อและแม่ ฟองน้ำที่โดดเดี่ยวท่ามกลางความโหดร้ายของโลกสีเทา ความเปลี่ยวเหงาทำให้เขาตัดขาดจากทุกคนและไม่เคยสนใจสิ่งรอบตัวอีกเลย กระทั่งเมื่อวันวาน วันที่ซาคาโมโตะ เคียวยะก้าวเข้ามาในห้อง แม้มองเพียงหางตาหัวใจของเขากลับกระตุกวาบเต้นแรงขึ้นเหมือนยินดีที่พบกับผู้ที่โหยหามานาน ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันแท้ๆแต่กลับรู้สึกเหมือนเป็นคนในครอบครัว

    ทำไมกันนะ ?

    เด็กหนุ่มระบายลมหายใจยาวก่อนเบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างปล่อยจิตใจอันเต็มไปด้วยความสับสนล่องลอยไปกับสายลมที่แห้งและเย็นของฤดูใบไม้ร่วง เขานั่งนิ่งไม่ยอมขยับแม้เป็นช่วงเวลาพักตลอดไปจนถึงช่วงบ่าย พอเลิกเรียนทุกคนค่อยๆทยอยเดินออกจากห้องกันหมดแล้วนั่นแหละถึงเริ่มขยับตัว เขาหยิบกระเป๋าลุกขึ้นเดินไปที่ประตูแต่ยังไม่วายเหลียวหลังกลับไปมองโต๊ะของซาคาโมโตะอีกครั้งพลางนึกภาวนาในใจให้พรุ่งนี้เจอกัน จากนั้นก็เดินเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากออกจากห้องลงบันไดไปได้เพียงครึ่งทางสมุนของคาวาเบะก็ถลันจากที่ซ่อนมาขวางเอาไว้

    “ไงฟุรุคาวะ” หนึ่งในนั้นเอ่ยทักพลางเลื่อนสายตามองข้ามไปยังด้านหลัง “แย่หน่อยนะที่ไม่มีบอดี้การ์ดคอยตามเหมือนทุกวัน”

    “หมอนั่นไม่ใช่บอดี้การ์ด” เด็กหนุ่มโต้พลางก้าวลงไปอีกสองขั้นแต่ถูกลูกน้องของคาวาเบะอีกคนคว้าข้อมือหมับ

    “นายไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น” ไม่พูดเปล่ายังกระชากแขนอย่างแรงจนเขาเกือบล้มจากนั้นก็ลากไปจนถึงห้องเรียนแล้วผลักจนล้มหน้าคว่ำพอจะลุกก็ถูกทั้งสองจับแขนขาตรึงเอาไว้กับพื้น

    “เรียบร้อยแล้วครับลูกพี่” เจ้าคนที่จับแขนร้องบอก ฟุรุคาวะเย็นวาบไปทั้งร่างเมื่อเห็นคาวาเบะเดินเข้ามาอย่างผู้มีชัย

    “สายัณห์สวัสดิ์ฟุรุคาวะ” เขาพูดเสียงเหี้ยมขณะก้าวไปยืนคร่อม ดวงตาเรียวเจ้าเล่ห์ไล่สำรวจร่างกายของเด็กหนุ่มอย่างกระหาย “บอกแล้วไงว่าเจอกันอีกครั้งนายไม่รอดแน่”

    ได้ยินแบบนั้นฟุรุคาวะก็ดิ้นจนสุดแรงเกิดเพื่อให้หลุดจากมือของเจ้าคนถ่อยแต่แรงของคนเพียงคนเดียวไม่มีทางสู้คนจำนวนมากได้อยู่แล้ว โดยเฉพาะพวกที่ช่ำชองกับการทำร้ายคนอื่นอย่างคาวาเบะ หัวโจกตัวร้ายยืนดูการขัดขืนของเด็กหนุ่มอย่างใจเย็นพอเห็นว่าเริ่มหมดแรงเขาก็ย่อตัวลงสองมือตะปบหมับที่คอเสื้อฉีกกระชากจนขาด พออกขาวๆเขาก็แลบลิ้นเลียริมฝีปากของตัวเอง

    “ผิวขาวดีจริงๆ” น้ำเสียงพร่าด้วยอารมณ์ที่กำลังปั่นป่วนพลางใช้มือที่สั่นเทาลูบไล้เนินเนื้อนุ่มไปมาอย่างหยาบคาย คาวาเบะมองเรียวปากสีอ่อนของฟุรุคาวะที่กำลังเม้มแน่นแล้วแสยะยิ้ม “รังเกียจหรือ”

    ถามพร้อมกับค่อยๆโน้มตัวลงและใช้ลิ้นเลียใบหน้าสวยตั้งแต่หน้าผากไล่ไปตามดั้งจมูกและหยุดเหนือริมฝีปากที่กำลังสั่นระริก

    “ไม่ต้องกลัว อีกเดี๋ยวนายจะชอบ”

    จอมวายร้ายทำท่าจะจูบแต่ฟุรุคาวะเบี่ยงหน้าหลบจึงโดนมือหนาบีบคางเอาไว้กดบังคับให้อยู่นิ่งๆก่อนจะกดปากหนาแนบลงไปและพยายามใช้ลิ้นรุกล้ำชอนไชเพื่อลิ้มรสความหวานพอเด็กหนุ่มขัดขืนด้วยการกัดฟันแน่นคาวาเบะจึงเปลี่ยนมือจากลูบไล้เป็นบีบเคล้นอย่างแรงโดยหวังกระตุ้นอารมณ์อีกฝ่ายให้คล้อยตาม

    “อื้อ !” ฟุรุคาวะร้องในลำคอในขณะเดียวกันก็เริ่มดิ้นรนขัดขืนอีกครั้งแต่การกระทำคราวนี้ทำให้คาวาเบะหมดความอดทน มือหนาที่กำลังขยี้เม็ดสีชมพูอย่างเมามันเมื่อครู่ฟาดเปรี้ยงลงบนแก้มหนึ่งฉาด

    “แกจะขัดขืนไปทำไมฟุรุคาวะ” จอมวายร้ายตะคอกและแสยะยิ้ม “ก็ได้ ในเมื่อแกไม่อยากมีความสุข ฉันก็จะมอบความเจ็บปวดให้กับแก”

     ไม่พูดเปล่ายังฟาดซ้ำลงไปอีกสองฉาด พอเห็นอีกฝ่ายสิ้นฤทธิ์คาวาเบะก็เริ่มบรรเลงความโฉดชั่วลงบนเรือนร่างอันขาวผ่องนั้นอีกครั้ง ยังไม่ทันปลดอาภรณ์ท่อนล่างเสียงหนึ่งพลันดังขัดขึ้นมาก่อน

    “กำลังเล่นอะไรกันอยู่มิทราบ”

    ทั้งสามหันไปมองพร้อมกันและอ้าปากค้างเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของทาคุกำลังนั่งส่งยิ้มที่น่ากลัวอยู่บนหน้าต่างของห้องเรียนชั้นสาม!

    “แก!!” คาวาเบะร้องลั่นพร้อมกับลุกพรวดขึ้น ทาคุมองช่วงล่างของอีกฝ่ายแล้วเบ้หน้า

    “ช่วยเก็บไอ้ลูกต่องแต่งของแกก่อนเถอะ เห็นแล้วซวยลูกตาเป็นบ้า”

    คาวาเบะหน้าแดงก่ำจากความโกรธ มือลดลงรูปซิปกางเกงในขณะเดียวกันปากก็พูดไปด้วย

    “แกเป็นใคร”

    “เป็นเด็กเป็นเล็กพูดจาไม่สุภาพเลยนะ” ทาคุแกล้งยั่วและอมยิ้มน้อยๆเมื่อเห็นคนตรงหน้าสั่นเทิ้มไปทั้งตัว

    “เด็กบ้าอะไรของแก พวกฉันอยู่ม.ปลายแล้วนะเว้ย”

    “งั้นเหรอ แต่เมื่อเช้าแกเป็นคนบอกเองไม่ใช่หรือว่ายังเป็นเด็ก” สารถีจอมกวนยังคงป่วนไม่หยุด เขาเหลือบตาไปทางฟุรุคาวะแวบหนึ่งพอเห็นรอยช้ำบนแก้มทั้งสองข้างปากที่มีรอยยิ้มก็เริ่มเหยียดเป็นเส้นตรง

    “ทำไมเล่นกันแรงจัง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ต่างไปจากตอนแรกก่อนกวาดตามองวายร้ายไล่ไปทีละคน “สามคนรุมคนคนเดียวนี่มันไม่แฟร์เลย”

    “หมอนี่มันชอบแบบนั้นนี่หว่า ว่าแต่แกเถอะทำไมถึงเข้ามายุ่งเรื่องของคนอื่น อย่าบอกนะว่ารู้จักกับเจ้านั่น” คาวาเบะถามกร้าวพลางส่งสัญญาณให้ลูกน้องขยับเข้าไปอีกนิดส่วนตัวเองไขว้มือไปข้างหลังหยิบมีดสั้นที่เหน็บไว้ในกางเกงออกมา กลิ่นโลหะผสมคาวเลือดที่โชยไปกระทบจมูกทำให้เส้นประสาททุกเส้นของทาคุเริ่มตื่นตัว

    “เล่นของแข็งกันเลยเหรอ” เขาดักคออย่างรู้ทัน ตาจ้องคาวาเบะเขม็งอย่างพร้อมเอาเรื่อง “ส่วนตัวแล้วฉันไม่รู้จักไอ้เด็กเจ้าปัญหานั่นหรอกแต่คำสั่งคนสำคัญเลยต้องคอยดูแล”

    สารถีหนุ่มกระโดดจากหน้าต่างมายืนอยู่ตรงกลางระหว่างอันธพาลทั้งสามคน “เอาละ ใครจะเป็นคนแรก”

    ไม่พูดเปล่ายังกระดิกนิ้วเรียกพร้อมกับส่งยิ้มยั่ว สมุนของคาวาเบะจึงพุ่งเข้าไปหาพร้อมกัน คนแรกโดนเตะกระเด็นส่วนอีกคนถูกจับและโดนล็อคคอด้วยท่อนแขนกำยำ

    “อ่อนเป็นบ้า” ทาคุพูดอย่างดูถูกก่อนปล่อยร่างที่โดนรัดจนอ่อนปวกเปียกให้ร่วงลงไปกองกับพื้น คาวาเบะมองลูกน้องที่ตอนนี้มีสภาพไม่ต่างจากผักในหม้อซุปพลางคำนวณในใจว่าขืนผลีผลามบุกเข้าไปมีหวังโดนซัดจนสลบเหมือดไปด้วย ครั้นจะหันหลังวิ่งหนีไปดื้อๆก็เสียเหลี่ยมอันธพาลชื่อกระฉ่อน

    คาวาเบะตัดสินใจขว้างมีดใส่ทาคุโดยเล็งเป้าไว้ตรงกลางหน้าผากแต่อีกฝ่ายกลับยกมือข้างหนึ่งขึ้นรับด้วยท่าทางที่ไม่ต่างไปจากนักบาสเกตบอลมืออาชีพ จอมวายร้ายจึงอาศัยจังหวะนั้นโกยอ้าวออกจากห้องปล่อยให้พลขับจอมกวนยืนถือมีดค้างเติ่งไว้แบบนั้น

    “อ้าว” ทาคุร้องพลางโยนมีดลงพื้นและมองลูกสมุนสองคนที่ยังนอนกองอยู่ที่เดิม “อยู่ตรงนี้อย่าไปไหนนะ” เขาสั่งทั้งที่รู้ว่าทั้งคู่คงไม่ตื่นขึ้นมาได้ยินก่อนหันไปทางฟุรุคาวะซึ่งหมดสติไปแล้ว สารถีหนุ่มแตะรอยช้ำบนแก้มอย่างเบามือพลางนึกตำหนิตัวเองที่มาช้าทำให้เด็กหนุ่มต้องเจ็บตัว ยิ่งนึกถึงเจ้าบ้านตอนกลับมาและรู้เรื่องนี้ด้วยแล้วเขาถึงกับระบายลมหายใจออกมาอย่างเซ็งสุดขีด

    “งานนี้โดนเจ้าเคียวยะด่าจนหูชาแหง”

    สองมือสอดเข้าไปใต้ร่างเด็กหนุ่มช้อนเข้ามาในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง สัมผัสแนบชิดกระตุ้นความทรงจำที่ถูกเก็บไว้ในก้นบึ้งของหัวใจให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ไออุ่นกับกลิ่นหอมจากเรือนกายของคนในอ้อมกอดที่กรุ่นมากระทบจมูกทำให้หัวใจของสารถีหนุ่มเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

    “เกิดอะไรขึ้นทำไมเราถึงรู้สึกแปลกๆแบบนี้” ทาคุคิดพลางมองฟุรุคาวะที่กำลังหลับตาพริ้ม ช่างละม้ายคล้ายใครบางคนที่เขาเคยรู้จักเมื่อนานมาแล้ว ทันใดนั้นเองดวงหน้าอันงดงามของสตรีนางหนึ่งก็ปรากฏขึ้นซ้อนทับใบหน้าของเด็กหนุ่มอย่างเลือนราง แม้จะเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้นแต่กลับสร้างความตระหนกต่อสารถีหนุ่มจนถึงกับยืนตกตะลึงเบิกตากว้าง

    “ฟ...ฟูจิน”

    เสียงพูดคุยของคนซึ่งน่าจะเป็นอาจารย์ดังมาจากบันได ทาคุจึงปัดข้อสงสัยออกจากหัวกลับหลังหันและใช้วิธีออกจากห้องด้วยการกระโดดลงทางหน้าต่าง จากนั้นจึงเดินกลับไปขึ้นรถที่เขาขับมาจอดรออยู่ข้างโรงเรียน พอวางเด็กหนุ่มไว้บนเบาะหลังและตัวเองนั่งประจำที่คนขับแล้ว รถหรูก็พุ่งทะยานออกจากที่นั่นกลับไปยังอพาร์เม้นท์ ช่วงที่อยู่ด้วยกันสองต่อสองภายในรถ ทาคุเหลือบตามองฟุรุคาวะผ่านกระจกหลังหลายครั้งตั้งแต่วันแรกที่พบกันแม้จะได้ยินซาคาโมโตะพูดกรอกหูเกือบตลอดเวลาว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือคนรักกลับชาติมาเกิดแต่เขาไม่เคยเชื่อเลยสักครั้ง กระทั่งตอนเช้าที่นั่งรถมาด้วยกันเขาก็ยังไม่เห็นว่าเด็กคนนี้มีส่วนใดที่เหมือนนางแต่พอสัมผัสด้วยมือของตัวเองแล้ว เสียงค้านที่ดังอยู่ในหัวกลับจางหายไป หัวใจที่เคยหนักแน่นก็เริ่มสั่นคลอน แม้กาลเวลาจะผ่านเนิ่นนานมานับพันปีเขาไม่เคยลืมกลิ่นกายกับผิวเนื้อเนียนนุ่มนั่นเลยสักครั้ง โดยเฉพาะพลังวิญญาณที่แม้ตอนนี้จะแผ่ออกจากร่างอย่างอ่อนๆ เขาก็มั่นใจว่าเป็นพลังชนิดเดียวกัน

    พลังวิญญาณของภูตลมที่เขาเคยรักอย่างสุดหัวใจ     

    มือทั้งสองกำพวงมาลัยแน่นจนแทบบดให้ป่นเป็นผง ให้ตายเถอะ! แบบนี้สู้ให้เจ้าซาคาโมโตะคิดผิดยังจะดีเสียกว่า ตาชำเลืองไปยังคนที่นอนอยู่เบาะหลังอีกครั้งก่อนจะถอนลมหายใจออกมาด้วยความกลัดกลุ้ม เขาควรทำยังไงดีกับภูตสาวที่เกิดใหม่ในร่างของผู้ชาย

    “โธ่โว้ย!!!

    สารถีหนุ่มสบถลั่น ความหงุดหงิดกับเรื่องไม่คาดฝันทำให้เขาเผลอตัวเหยียบคันเร่งจนรถพุ่งไปข้างหน้าหวิดชนท้ายรถอีกคัน เสียงแตรทำให้เขาได้สติจึงรีบข่มความรู้สึกหลากหลายที่กำลังวิ่งพล่านให้สงบลง ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องนี้ เขาบอกตัวเองระหว่างเลี้ยวรถเข้าไปในที่จอดของอพาร์ตเม้นท์ สิ่งที่ควรกังวลคือหมอกดำปริศนากับการข้ามเส้นของพวกโอโรจิ คิดพลางลงจากรถเพื่ออุ้มฟุรุคาวะที่ยังไม่ยอมตื่นเดินขึ้นบันไดไปจนถึงห้องล้วงกระเป๋าหยิบกุญแจมาไขพาเด็กหนุ่มไปนอนที่เตียง ตลอดเวลาทาคุพยายามเลี่ยงไม่ยอมมองหน้าแต่ตาเจ้ากรรมกลับเหลือบไปจ้องเข้าจนได้

    สวย

    เขานึกในใจพลางไล่สำรวจตั้งแต่ทรงผม โครงหน้า จมูกและดวงตา ทุกส่วนรับกันอย่างเหมาะเจาะดูงดงามราวกับภาพวาด โดยเฉพาะปากสีอ่อนที่กำลังเผยอน้อยๆช่างเย้ายวนเชิญชวนให้คนมองโน้มตัวลงอย่างเผลอไผล เพียงห่างแค่คืบพลันกระเป๋านักเรียนของฟุรุคาวะก็มีแสงสีเงินสว่างวาบขึ้น จิ้งจอกตัวน้อยกระโดดแผล็วมายืนขวางด้วยท่าทางขึงขัง นั่นเองที่ทำให้ทาคุรู้สึกตัว เขารีบถอยฉากออกพร้อมกับหัวเราะเบาๆ

    “แค่ดูให้แน่ใจว่าเขาปลอดภัยดีหรือเปล่าน่ะ” ชายหนุ่มกล่าวแก้ตัวก่อนหยิบผ้าห่มมาคลุม “เจ้าเองก็คอยดูเขาให้ดีล่ะ”

    สั่งกำชับก่อนออกจากห้อง พอกลับไปนั่งในรถอารมณ์ที่ถูกกดเอาไว้ก็พลุ่งขึ้น ทาคุใช้กำปั้นฟาดพวงมาลัยดังโครม

    นี่มันเรื่องบ้าชัดๆ แค่รู้สึกว่าหมอนั่นเป็นฟูจินเขาก็ขาดสติจนเกือบทำเรื่องน่าบัดสีลงไปซะแล้ว เขาบริภาษตัวเองด้วยความเจ็บใจและคิดเลยไปอีกว่าถ้าซาคาโมโตะรู้เรื่องนี้คงไม่ยอมให้เขาเข้าใกล้ฟุรุคาวะอีกต่อไป  

     ไม่ เข้าไม่ยอมให้เป็นแบบนั้น ต่อให้รักแค่ไหนเขาก็ไม่มีวันทรยศต่อกินกิสึเนะ เมื่อนึกอย่างนี้จิตใต้สำนึกอีกด้านก็แย้งขึ้นมาว่า เขาจะทำใจยอมให้ซาคาโมโตะครอบครองฟูจินไว้เพียงคนเดียวเหมือนในอดีตอย่างนั้นหรือ

    ทาคุนั่งนิ่งหลับตาลงและสูดลมหายใจเข้ากดความดำมืดของจิตใจให้ถอยกลับไปอยู่ในห้วงลึก เขายอมรับว่าความรู้สึกของเขาที่มีต่อฟูจินยังคงเหมือนเดิมไม่มีวันเปลี่ยน แม้ชาตินี้จะเกิดมาในร่างของผู้ชายเขาจะยังคงรักในขณะเดียวกันก็ยังคงยึดมั่นภักดีต่อซาคาโมโตะอย่างไม่มีวันเสื่อมคลาย

    แม้จะถูกสั่งให้ไปตายเขาก็ยินดี

     

    */*/*/*/*/*/*

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×