คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 6 ความทรงจำในความฝัน
บทที่ 6 ความทรงจำในความฝัน
ขณะที่ซาคาโมโตะกำลังจัดการกับเรื่องยุ่งระหว่างกลุ่มฟุรุคาวะเองก็ประสบกับปัญหาหนักเช่นเดียวกันต่างเพียงไม่ใช่การทะเลาะวิวาทหากเป็นความสับสนที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของเขาเอง
ตอนเลี่ยงจากซาคาโมโตะเด็กหนุ่มก็เดินจ้ำอ้าวอย่างไม่เหลียวหลังแต่พอพ้นประตูรั้วโรงเรียนกลับอดชำเลืองตามองกลับไปไม่ได้ครั้นเห็นอีกฝ่ายก้าวขึ้นรถเขาก็ถอนใจออกมาด้วยความโล่งอกแต่ส่วนลึกภายในทรวงด้านซ้ายกลับปวดแปลบด้วยผิดหวังที่อีกฝ่ายไม่ยอมเดินตามเหมือนอย่างเคย
เอ๋ ? ผิดหวังอย่างนั้นหรือ ฟุรุคาวะถามตัวเองด้วยความฉงนพร้อมกับเม้มปากแน่น ทั้งที่เพิ่งรู้จักกันแถมยังโดนหมอนั่นแกล้งตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้าแล้วทำไมเขาต้องรู้สึกอะไรอย่างนั้นด้วย คิ้วขมวดมุ่นครุ่นคิด บางทีการที่เขาเป็นแบบนี้ก็เนื่องมาจากความช่วยเหลือเมื่อเย็นวานซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงเขาควรนึกถึงชายคนนั้นในแง่ของการสำนึกบุญคุณไม่ใช่การถวิลหาบ้าบอชวนขนลุก เด็กหนุ่มสะบัดหัวเพื่อไล่เรื่องของซาคาโมโตะออกจากหัวซึ่งได้ผลเพียงประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นพอเดินไปอีกสองก้าวภาพของยากูซ่าหนุ่มก็วกกลับเข้ามา การมองด้วยแววตาที่ส่อความนัยบางอย่างทำให้ฟุรุคาวะร้อนวูบวาบไปทั้งตัว
หรือหมอนี่เป็นเกย์ ?!
ความเย็นวิ่งไล่ตั้งแต่เส้นผมไปจนจรดปลายเท้า งั้นที่หมอนั่นทำเป็นเข้ามาตีสนิทก็เพื่อเรื่องอย่างว่าสินะจะต่างจากคาวาเบะก็ตรงการแสดงออก คนแรกตั้งใจปลุกปล้ำเขาด้วยกำลังส่วนซาคาโมโตะคอยให้ความช่วยเหลือและมองด้วยความห่วงใยตลอดเวลา นั่นเองที่ทำให้ฟุรุคาวะไม่ได้รู้สึกรังเกียจหรือขยะแขยงเลยแม้แต่น้อย จะมีก็เพียงความประหวั่นเล็กๆในส่วนลึกของจิตใจซึ่งเขาเองก็พยายามหาสาเหตุว่าทำไมจึงรู้สึกอย่างนั้น เด็กหนุ่มจมอยู่กับความคิดของตัวเองโดยไม่รู้ว่าขาทั้งสองพาไปถึงไหนและทำอะไรไปแล้วบ้าง มารู้ตัวอีกทีก็พบว่าเขากำลังยืนอยู่อยู่หน้าห้อง มือข้างหนึ่งถือกระเป๋านักเรียนกับถุงอาหารจากร้านสะดวกซื้อส่วนอีกมือถือกุญแจ
นี่เขาหมกมุ่นอยู่กับซาคาโมโตะจนลืมสนใจเรื่องรอบตัวไปเลยหรือนี่ ฟุรุคาวะคิดและยิ้มให้กับตัวเองอย่างนึกสมเพชก่อนไขกุญแจ พอเข้าห้องเขาก็ทำกิจวัตรเดิมๆคือทำการบ้าน อาบน้ำ กินข้าว อ่านหนังสือเพื่อทบทวนการเรียนจากนั้นจึงเข้านอน ซึ่งก็เป็นเช่นทุกวันคือเขาไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ จึงได้แต่นอนลืมตามองเพดานห้องหูก็คอยฟังสรรพเสียงรอบตัว
ติ๊ก ติ๊ก ติ๊ก
เข็มวินาทีของนาฬิกาบนโต๊ะส่งเสียงเบาๆอย่างสม่ำเสมอขณะที่มันกระดิกไปทีละนิด ถ้าเป็นคนอื่นคงเข้าสู่ห้วงนิทราไปนานแล้วแต่สำหรับฟุรุคาวะ เสียงนี้เหมือนเพื่อนที่กำลังพูดคุยกับเขาในยามราตรี หากไม่มีมันเขาคงจมลงสู่ความฝันอันเลวร้ายที่เฝ้าหลอกหลอนอยู่ทุกคืน
เวลาผ่านไปนานแค่ไหนเด็กหนุ่มไม่สนใจ เขายังคงนอนเบิกตาโพลงจ้องเพดานอยู่ในความมืด ไม่นานมันก็เริ่มเกิดภาพหลอนเป็นสัตว์ประหลาดและภูตร้ายต่างๆนาๆ พวกมันกำลังจ้องตรงมายังเขาและเริ่มยื่นแขนลงมาทีละนิด นิ้วแข็งเกร็งราวกิ่งไม้แห้งทั้งห้าขยับเคลื่อนไหวดุจแมงมุม
“มาหาเราเถอะ” เสียงแผ่วพร่ากระซิบข้างหูขณะที่มือสยองเลื่อนใกล้เข้ามาทีละน้อย “โลกนี้มันไม่สวยงามเลยสักนิด มาอยู่กับพวกเราเถอะฟุรุคาวะ”
เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้คนอื่นรู้สึกยังไง สำหรับเขามันเป็นภาพซ้ำซากน่าเบื่อที่เห็นเป็นประจำทุกค่ำคืน พอปิดไฟทุกดวงปุ๊บมันก็โผล่มาปั๊บ ส่งเสียงร้องเรียกพร้อมกับยื่นมือลงมาหาแต่ไม่เคยถึงตัวเลยสักครั้ง แรกๆเขากลัวจนแทบเสียสติแต่พอนานวันมันก็ชาชินจนกลายเป็นภาพเคลื่อนไหวเหมือนการ์ตูนอนิเมะ รำคาญมากๆเข้าเด็กหนุ่มก็ตัดปัญหาด้วยการปิดตาแต่พอเผลอหลับเขากลับถูกหลอกหลอนด้วยภาพรถยนต์ที่ถูกห้อมล้อมไปด้วยเปลวเพลิงและทนทรมานอยู่กับเสียงกรีดร้องโหยหวนของคนที่ถูกไฟครอกทั้งเป็น เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเห็นสิ่งเหล่านั้นฟุรุคาวะจึงจำต้องมองตัวประหลาดที่โผล่ออกมาจากเพดาน อย่างน้อยมันก็ดีกว่าภาพในฝัน เด็กหนุ่มนึกขณะจ้องมือของผีตัวหนึ่งที่ยืดยาวลงมา เขาไม่เคยกลัวสิ่งเหล่านี้เลยสักนิดเพราะรู้ดีว่าพวกมันเป็นเพียงภาพหลอนที่ไม่มีวันทำอะไรเขาได้
สัมผัสเย็นจัดดุจน้ำแข็งทำให้ฟุรุคาวะสะดุ้งสุดตัวพอชำเลืองมองทางหางตาและใจหายวาบเมื่อเห็นนิ้วสีดำมะเมื่อมกำลังไล้อยู่บนแก้ม ไม่เพียงเท่านั้นพวกที่เหลือยังยืดตัวลงมากดร่างกายของเขาเอาไว้ไม่ยอมให้ขยับ เป็นไปไม่ได้ ฟุรุคาวะคิดอย่างตระหนก เจ้าพวกนี้เป็นแค่ภาพหลอนที่เขาสร้างขึ้นไม่ใช่เหรอ เหมือนความคิดนั้นลอยเข้าหูเจ้าของมือปีศาจ มันยื่นหน้าลงมาจนเกือบชิดและฉีกยิ้มกว้าง
“พวกเรามีจริง” มืออีกข้างกำรอบคอเด็กหนุ่ม “ได้เวลาของแกแล้ว ฟุรุคาวะ ฟูบูกิ”
นิ้วทั้งห้ารัดลำคอแน่นจนหายใจไม่ออก ฟุรุคาวะพยายามขัดขืนดิ้นรนแต่ก็ไม่อาจสู้แรงของพวกปิศาจได้ เขาอ้าปากเพื่อขอความช่วยเหลือแต่หลอดลมถูกรัดจนไม่อาจปล่อยเสียงออกจากลำคอ ก่อนที่ลมหายใจจะถูกปลิดปลิวพลันเกิดเสียงคำรามของสัตว์ดังกึกก้อง มองจากปลายตาก็เห็นแสงประหลาดสีขาวสว่างวาบออกมาจากกระเป๋าที่วางไว้ข้างโต๊ะ มันรวมตัวกันจนเป็นรูปร่างก่อนกระโจนเข้าใส่ปิศาจตัวที่กำลังทำร้ายฟุรุคาวะ มันคลายมือที่บีบคอไว้ออกเพื่อหันไปตอบโต้แต่พอเห็นชัดว่าไฟสีเงินนั้นคืออะไรความดุร้ายก็แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัว
“กินกิซึเนะ” เสียงร้องเต็มไปด้วยความยำเกรงระคนหวาดหวั่นขณะที่พวกมันทั้งหมดเริ่มถดหนี “กินกิซึเนะ!”
ไฟสีเงินพุ่งเข้าใส่ปีศาจตัวที่ทำร้ายฟุรุคาวะ มันส่งเสียงกรี๊ดลั่นด้วยความเจ็บปวดก่อนแตกสลายกลายเป็นอากาศธาตุ เมื่อตัวหนึ่งถูกทำลายพวกที่เหลือต่างก็รีบหนีกันจ้าละหวั่นเพดานที่เคยเนืองแน่นไปด้วยอสุรกายว่างเปล่าในพริบตา พอเป็นอิสระเด็กหนุ่มรีบสูดลมหายใจเข้าพร้อมกับดันตัวเพื่อลุกแต่ร่างกายกลับแข็งขืนไม่ยอมขยับจังหวะเดียวกันนั้นไฟสีเงินก็เลื่อนลอยมาหยุดตรงหน้าทำให้ฟุราคาวะต้องเบิกตาโพลงด้วยความตระหนกเพราะคิดว่ามันจะเข้ามาทำร้ายแต่ผิดคาด ไฟดวงนั้นกลับลดความเจิดจ้าลงจนพอจะดูออกว่ามันคืออะไร แม้เป็นภาพพร่าเลือนเหมือนเงาสะท้อนบนผิวน้ำเด็กหนุ่มก็ยังมองออกว่ามันคือสุนัขจิ้งจอกตัวเล็กๆ
“กินกิซึเนะ” เขาพึมพำและหยุดคำพูดค้างไว้แค่นั้นเมื่อได้ยินเสียงใครคนหนึ่งกล่าวอย่างอ่อนโยน
“ปลอดภัยแล้วนะ” จิ้งจอกตัวน้อยเลื่อนต่ำลงมา ดวงตาสีแดงจัดดุจเหล็กในเตาหลอมแต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นจ้องมองมาอย่างห่วงใย เท้าเล็กๆของมันแตะที่หน้าผากของเด็กหนุ่ม “ข้าให้สัญญาว่าจะไม่มีใครเข้ามาทำร้ายเจ้าได้อีก ดังนั้นจงหลับให้สบาย”
“แต่ฉันไม่อยากหลับ” ฟุรุคาวะแย้งเพราะไม่อยากพบกับฝันร้ายที่ต้องเจออยู่ทุกคืน จิ้งจอกสีเงินโน้มศีรษะสัมผัสเปลือกตาทั้งคู่ด้วยปลายจมูก
“ไม่ต้องกลัว คืนนี้เจ้าจะพบแต่ฝันดี”
สติสัมปชัญญะดับลงพร้อมกับคำพูดสุดท้าย เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนถูกลากให้จมดิ่งลงไปในความมืด มันเป็นความมืดที่แสนอบอุ่นเปรียบประดุจอ้อมกอดของใครบางคนผู้ซึ่งทั้งงามสง่าและแข็งแกร่ง คนที่เขาเฝ้ารอมานาน
ใครกันนะ ?
ฟุรุคาวะตั้งคำถามกับตัวเองพร้อมกับขมวดคิ้วเค้นสมองคิด ทั้งที่คุ้นกับชายคนนั้นเหลือเกินแต่ภาพในความทรงจำกลับพร่าเลือนจนดูไม่ออกว่าเป็นใคร
“ฟูจิน”
ชื่อนี้อีกแล้ว เด็กหนุ่มคิดพลางหมุนศีรษะเพื่อหาคนเรียกแต่รอบกายกลับมีเพียงความมืดกับแสงของคบไฟที่ปักไว้เป็นระยะ แสงวับแวมของมันช่วยทำให้เห็นอะไรขึ้นมาบ้างแม้ไม่ชัดนักแต่ก็ยังดีกว่าอยู่ในความมืด
แต่เดี๋ยว คบไฟอย่างนั้นหรือ !? ฟุรุคาวะฉุกคิดด้วยความประหลาดใจ นับตั้งแต่เกิดเรื่องความฝันของเขาจะวนเวียนอยู่กับภาพอุบัติเหตุ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มีอย่างอื่นแทรกเข้ามาซึ่งเด็กหนุ่มเชื่อแน่ว่าคงแค่ประเดี๋ยวเดียวเท่านั้นเพราะท้ายที่สุดภาพพ่อแม่ท่ามกลางกองไฟก็จะผุดขึ้นมาเหมือนเดิม
“ไม่หรอก”
เสียงเดิมดังขึ้นอีกครั้งแต่ใกล้กว่ามาก ภาพรอบตัวกระจ่างขึ้นมาอีกนิดจนมองเห็นเงาเลือนคล้ายบ้านหรือศาลเจ้าขนาดใหญ่ความอยากรู้ว่าสิ่งที่เห็นคืออะไรกันแน่เขาจึงเดินเข้าไปใกล้อีกนิดแต่ยิ่งก้าวเด็กหนุ่มก็ยิ่งแปลกใจเพราะพื้นที่ควรจะราบเรียบกลับค่อยๆนูนสูงขึ้นจนรู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่บนเนิน ราวกับรู้ความในใจ คบไฟข้างตัวพลันปะทุวาบขึ้นเปล่งแสงสว่างเจิดจ้า ฟุรุคาวะรีบก้มลงสำรวจจึงรู้ว่าตรงที่เขากำลังยืนอยู่ไม่ใช่เนินดินแต่เป็นสะพานไม้สีแดงรูปครึ่งวงกลมที่ทอดตัวโค้งเหนือธารน้ำเล็กๆ
“นี่มันที่ไหนกันแน่” เด็กหนุ่มพึมพำพร้อมกับหมุนตัวไปรอบๆ เสียงน้ำแตกกระจายดังซ่าใต้เท้าทำให้เขาสะดุ้งด้วยความตกใจ พอก้มหน้าลงมองจึงรู้ว่าเจ้าของเสียงคือปลาโค่ยสีทองตัวใหญ่ เขาจึงถอนใจออกมาด้วยความโล่งอกก่อนหัวเราะกับตัวเอง
“เป็นคนตาขาวไปตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ยเรา”
พูดพลางยกมือขึ้นเพื่อเสยผมที่ตกลงมาปรกใบหน้าพอเห็นแขนเสื้อขนาดใหญ่มีริบบิ้นร้อยที่ขอบเท่านั้นดวงตาของเด็กหนุ่มก็เบิกกว้างเขารีบก้มลงมองชุดของตัวเองและต้องพบกับความตระหนก เพราะแทนที่จะเป็นเสื้อกับกางเกงที่สวมก่อนเข้านอนมันกลับเป็นชุดโบราณที่รุ่มร่ามกรุยกราย
“นี่มันอะไรกัน !” อุทานด้วยความงุนงงในขณะเดียวกันก็พยายามนึกว่าเหตุใดเขาจึงอยู่ในชุดนั้น จะบอกว่าเป็นผลพวงของความฝันก็ไม่น่าเป็นไปได้เพราะเขาไม่เคยสนใจเครื่องแต่งกายในยุคโบราณมาก่อนและตลอดหลายปีที่ผ่านมา ภาพเดียวที่ปรากฏในมโนสำนึกคืออุบัติเหตุกับเสียงร้องโหยหวนของพ่อแม่ที่ตกอยู่ในกองเพลิง แล้วสิ่งที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้มันคืออะไร ช่วงกำลังหาที่มาของเสื้อผ้าอยู่นั้นฟุรุคาวะต้องพบกับความตกใจอีกครั้งเมื่อมีลมหายใจอุ่นๆมากระทบกับใบหูพร้อมด้วยเสียงกระซิบ
“มายืนทำอะไรอยู่ตรงนี้”
เขาหมุนตัวหันกลับไปมองและต้องผงะถอยหลังเมื่อพบกับร่างสูงสง่าของผู้ชายคนหนึ่งในเครื่องแต่งกายโบราณเช่นเดียวกัน น่าแปลกตรงในตอนแรกบริเวณใบหน้าของเขามีหมอกจางๆคลุมเอาไว้แต่พอฟุรุคาวะนึกถามในใจหมอกที่ว่าก็คลายออกเผยให้เห็นว่าคนผู้นั้นเป็นใคร
“ซาคาโมโตะ”
หลุดปากอุทานออกมาด้วยคาดไม่ถึงแต่พอตั้งสติได้และพิจารณาอีกทีจึงรู้ว่าคนผู้นี้แค่มีใบหน้าคล้ายกับซาคาโมโตะ เคียวยะมากกว่า เด็กจึงสูดลมหายใจเพื่อรวมความกล้าพร้อมกับกระเถิบเข้าไปอีกนิดพอเห็นอีกฝ่ายยืนนิ่งราวกับรูปปั้นเขาก็ยื่นหน้าไปใกล้ๆ หมอนั่นกับคนคนนี้ดูละม้ายคล้ายกันก็จริงแต่ชายคนนี้ดูเย็นชาน่ากลัวกว่ามาก ความแตกต่างอีกอย่างคือซาคาโมโตะผมสีดำสั้นระคอส่วนคนตรงหน้ามีเส้นผมสีเงินสุกสว่างยาวจรดบั้นเอว ดวงตาสีอำพันเปล่งประกายเรืองรองเปรียบประดุจดวงตาของสัตว์ล่าเนื้อในยามค่ำคืน
“นายเป็นใคร” เด็กหนุ่มถามเสียงสั่นด้วยเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าผู้ชายตรงหน้าเป็นมนุษย์หรือเปล่าแต่อีกฝ่ายกลับเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆก่อนดึงเขาเข้าไปกอด
“ถามอะไรอย่างนั้น” เขาพูดเสียงแผ่ว “เจ้าลืมข้าไปแล้วหรือฟูจิน”
“ฉันชื่อฟุรุคาวะ ฟูบูกิ” เด็กหนุ่มเถียงขณะเดียวกันก็พยายามผลักร่างนั้นออกแต่ไม่เป็นผลเพราะอ้อมแขนแข็งแกร่งนั้นรัดแน่นขึ้น
“เจ้าจำข้าไม่ได้จริงๆ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเศร้าจนคนฟังใจหายก่อนคลายอ้อมกอดแต่ยังไม่ยอมปล่อย มือข้างหนึ่งเลื่อนมาเชยคางของฟุรุคาวะให้เงยหน้าขึ้น “แต่ข้าจะไม่บอกหรอกว่าข้าเป็นใคร” พูดพร้อมกับจุมพิตบนหน้าผากอย่างแผ่วเบาและลากริมฝีปากไปตามสันจมูก
“ข้าจะรอจนกว่าเจ้าจะนึกได้เอง”
เขากดริมฝีปากแนบกับเรียวปากของฟุรุคาวะบดเบียดอย่างโหยหาทว่านุ่มนวล ทีแรกเด็กหนุ่มขัดขืนเพราะรู้สึกรังเกียจกับการกระทำดังกล่าวแต่ความหวานล้ำจากรสสัมผัสทำให้เขาถึงกับมือเท้าอ่อนหัวใจกระตุกเต้นเร็วขึ้นจนแทบหลุดจากทรวง
นี่มันอะไรกัน ทำไมเขาถึงหวั่นไหวไปกับจุมพิตของผู้ชายคนนี้ ?
ดวงตาทั้งคู่พริ้มลงอย่างเคลิบเคลิ้มปล่อยให้อีกฝ่ายรุกล้ำตามใจชอบ ควานร้อนในกายวิ่งพล่านเมื่อมือข้างนั้นเลื่อนไล้ไปตามลำคอเรื่อยลงไปที่อกวนเวียนคลึงเคล้นราวปลุกเร้าอารมณ์ ความเสียวซ่านแปลกๆทำให้ทั้งร่างถึงกับสั่นสะท้าน
“อือออ”
ฟุรุคาวะปล่อยเสียงครางอย่างลืมตัวปลุกเพลิงปรารถนาจนคนได้ยินไม่อาจยั้งใจได้อีกต่อไปเขาละมือจากอกเลื่อนต่ำลงไปเรื่อยๆจนถึงจุดกึ่งกลางของลำตัว พอแตะส่วนสำคัญเท่านั้นเด็กหนุ่มก็สะดุ้งได้สติ เขารวบรวมกำลังทั้งหมดผลักร่างนั้นออกพร้อมกับร้องห้าม
“ไม่!!!!”
เด็กหนุ่มลุกพรวดขึ้นนั่งปัดมือเป็นพัลวัน พอสัมผัสกับความว่างเปล่าเขาก็ค่อยๆลืมตาขึ้นมองและต้องแปลกใจอีกครั้งเมื่อพบว่าเขากำลังอยู่บนเตียงในห้องของตัวเอง
“อะไรกันนี่” หลุดปากด้วยความงุนงงพร้อมกับกวาดตามองไปรอบๆก่อนเหลือบขึ้นมองเพดานอย่างอดไม่ได้ พอไม่เห็นตัวประหลาดอะไรเขาก็ลดสายตาลง
“ความฝันหรอกเหรอ” พึมพำและถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกกระนั้นก็ยังอดหวนนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในความฝันไม่ได้ สัมผัสอันร้อนรุ่มจากอุ้งมือกับริมฝีปากอุ่นๆของชายลึกลับคนนั้นทำให้ฟุรุคาวะรู้สึกผะอืดผะอมอย่างบอกไม่ถูก ที่น่าตกใจก็คือเขาไม่ได้นึกรังเกียจหรือขยะแขยงกับการกระทำอันอุกอาจนั่นเลยสักนิด กลับโหยหามันเสียด้วยซ้ำ
“บ้าหรือเปล่าเรา กับผู้ชายด้วยกันเนี่ยนะ”
โพล่งออกมาอย่างหัวเสียก่อนดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมและล้มตัวลงนอน แต่ก็ยังไม่วายชำเลืองเพดานห้องด้วยความเคยชิน น่าแปลกที่คราวนี้เขาไม่เห็นภาพหลอนของปิศาจหรือภาพการตายอันน่าสยดสยองของพ่อแม่ สมองที่เคยเฝ้าวนเวียนกับภาพเหตุการณ์ในอดีตกลับหวนคำนึงถึงความฝันที่เพิ่งผ่านมาสดๆร้อนๆ เขารู้จักผู้ชายคนนั้นและคุ้นเคยกับสถานที่ลึกลับนั่นมาก่อนโดยเฉพาะสะพานไม้สีแดงนั่น มันช่างมีความผูกพันอย่างประหลาดจนทำให้เขารู้สึกว่าเคยยืนอยู่ตรงนั้นมาแล้วจริงๆ พอนึกแบบนี้อกด้านซ้ายก็เกิดอาการปวดลึกๆ ความรู้สึกหลากหลายประเดประดังเข้ามาทั้งความสุขและความเศร้าสร้างความอาวรณ์ถึงใครคนหนึ่งเจียนแทบขาดใจ
ซาคาโมโตะ เคียวยะ ?
ไม่ ไม่ใช่ อีกเสียงหนึ่งค้าน ทั้งคู่อาจมีใบหน้าละม้ายคล้ายกันแต่ชายคนนั้นมีความองอาจสง่างามกว่ามากและมีความสำคัญต่อเขายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ชื่อของผู้ชายคนนั้นคือ....
จู่ๆสมองของฟุรุคาวะก็เกิดอาการตื้อตันคิดอะไรไม่ออก ทั้งที่เขารู้สึกว่าคุ้นเคยกับชื่อนั้นเป็นอย่างดีแต่ในหัวกลับว่างเปล่าเหมือนไม่เคยมีเรื่องราวของชายคนนี้อยู่ในความทรงจำ
แล้วทำไมเขาถึงรู้สึกคุ้นเคยนักล่ะ ฟุรุคาวะตั้งคำถามกับตัวเองพร้อมกับมุ่นคิ้ว นึกให้ออกสิ !
เด็กหนุ่มพยายามเค้นสมองใช้ความคิดอย่างหนักซึ่งเขาเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดถึงต้องทำแบบนั้น จะบอกว่าเป็นการเรียกร้องจากส่วนหนึ่งของหัวใจก็ไม่เต็มปากรู้แต่ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นคนสำคัญที่จะต้องนึกให้ออก หลายครั้งที่ฟุรุคาวะหงุดหงิดจนเกือบจะล้มเลิกความตั้งใจกลางคันแต่ความโหยหาอ้อนวอนให้กลับไปย้อนนึกจนกว่าจะเจอ เขาจมอยู่ในห้วงแห่งความคิดคำนึงโดยไม่สนใจว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนรู้ตัวอีกทีแสงแดดก็ส่องผ่านหน้าต่างมากระทบใบหน้าแล้ว
“เช้าแล้วเหรอ” เขาบอกตัวเองพลางระบายลมหายใจออกมา “บ้าจริง เราคิดเรื่องไร้สาระจนไม่ได้หลับได้นอนเลยหรือนี่”
เด็กหนุ่มมองเพดานด้วยดวงตาเหม่อลอยขณะเดียวกันก็นึกสังเวชตัวเองที่มัวไปหมกมุ่นอยู่กับใครก็ไม่รู้และคงปล่อยจิตใจให้ล่องลอยไปกับผู้ชายคนนั้นอีกครั้งหากหูไม่ได้ยินเสียงพูดคุยของคนด้านนอกกี่โมงแล้วเนี่ย? เขานึกพลางชำเลืองไปทางนาฬิกาพอรู้ว่าเป็นเวลาอะไรดวงตาก็ลุกโพลง
“แย่แล้ว !!!!”
เด็กหนุ่มลุกพรวดขึ้นเก็บที่นอนอย่างลวกๆก่อนเข้าห้องน้ำ แต่งตัวอย่างเร่งรีบเสร็จแล้วก็คว้ากระเป๋าแต่พอจะเปิดประตูภาพของซาคาโมโตะก็ผุดขึ้นมาในหัว
ถ้าเปิดไปเจอหมอนี่ยืนยิ้มเผล่อยู่หน้าห้องอีกล่ะ เขาจะทำยังไง
มือชะงักตรงลูกบิดและถอยออกมาเล็กน้อยอย่างลังเล พลันอีกเสียงก็ดังขึ้น
เจ้านั่นเป็นพวกยากูซ่า ไม่มีเวลามาเล่นแบบเด็กๆได้ทุกวันหรอก
นั่นสินะ ฟุรุคาวะคิดพลางสูดลมหายใจเข้าก่อนผลักประตูให้เปิดออกและหรี่ตาลงเมื่อลมเย็นของฤดูใบไม้ร่วงไหลพรูกระทบหน้า พอเห็นด้านนอกปราศจากเงาของคนที่กำลังกังวล เด็กหนุ่มก็ถอนใจออกมาด้วยความโล่งอก
หมอนั่นไม่มาจริงๆด้วย คิดด้วยความดีใจแต่รู้สึกแปลกที่มีความผิดหวังแฝงอยู่ลึกๆ เขาสะบัดหน้าแรงๆเพื่อไล่ความคิดดังกล่าวออกก่อนก้าวออกจากที่พักเดินไปตามทางอย่างเร่งร้อน
สายแล้ว เด็กหนุ่มคิดด้วยความกังวลพลางเร่งเท้าให้เร็วขึ้นพอเลี้ยวตรงหัวมุมเขาต้องหยุดกึกเมื่อเจออันธพาลสองคนยืนรออยู่ หนึ่งในนั้นตะปบไหล่ของเขาเอาไว้เพื่อไม่ให้หนีไปไหนส่วนอีกคนส่งยิ้มแยกเขี้ยวราวข่มขวัญแต่นั่นยังน่ากลัวน้อยกว่าคนที่กำลังยืนจังก้าห่างออกไปห้าก้าว ดวงตาที่มองมาอย่างมุ่งร้ายกับสีหน้าที่แสดงออกถึงความกระหายดุจสิงโตกำลังจ้องลูกแกะทำให้หัวใจของฟุรุคาวะร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“คาวาเบะ!!”
*/*/*/*/*
ความคิดเห็น