คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 5 กินกิสึเนะ
บทที่ 5 กินกิซึเนะ
เสียงหัวเราะของนักเรียนที่ชวนกันออกมาเล่นบอลกลางสนามหลังมื้อเที่ยงไม่ได้ทำให้คนที่อยู่บนดาดฟ้าของอาคารเรียนสนใจเลยสักนิดเพราะทากาอิ โอมุริ กำลังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องสำคัญ เขาเดินกลับไปกลับมาอย่างกระวนกระวายพลางดันแว่นตาที่เลื่อนลงมาให้กระชับกับดั้งจมูกและยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู ตอนนี้เพิ่งเที่ยงสิบนาทีเท่านั้นยังอีกนานกว่าจะถึงเวลานัด ครูหนุ่มคิดพลางใช้ปลายนิ้วดันแว่นตาอีกครั้งจากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้มปราศจากเมฆอย่างใช้ความคิด เขาตั้งใจไว้แล้วว่าจะให้ซาคาโมโตะช่วยดูแลฟุรุคาวะแต่จะเริ่มต้นยังไงดี เพราะอีกฝ่ายเป็นลูกของกลุ่มอิทธิพลหากใช้คำพูดผิดหูตัวเขาเองนั่นแหละที่จะซวย
ครูหนุ่มขยี้ผมตัวเองจนยุ่งขณะคิดถึงซาคาโมโตะและฟุรุคาวะ คนแรกเขาอาจรู้สึกกลัวบ้างแต่สำหรับคนหลังแล้วเขาเป็นห่วงมากกว่าเพราะตั้งแต่สูญเสียพ่อแม่ ลูกศิษย์คนนี้ก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากเด็กที่มีนิสัยร่าเริงเข้ากับคนอื่นง่ายๆกลายเป็นคนเก็บตัวไม่สุงสิงกับใคร หนำซ้ำยังตกเป็นเป้าของ คาวาเบะ มุซาชิ หัวโจกตัวร้ายของโรงเรียน เขารู้ว่าฟุรุคาวะถูกคาวาเบะทำร้ายร่างกายหลายครั้งพอเรียกมาถามกลับไม่ยอมพูดอะไร ครูหลายคนเตือนให้เขาเลิกยุ่งกับเด็กพวกนี้และสอนไปตามหน้าที่เท่านั้นแต่ทากาอิไม่ยอมฟัง เขาคิดว่าการเป็นครูไม่ใช่แค่ยืนหน้าห้องถ่ายทอดความรู้ไปวันๆหากต้องคอยดูแลเอาใจใส่นักเรียนทุกคน เขาเคยพยายามตักเตือนคาวาเบะอยู่หลายครั้งแต่ผลที่ได้คือห้องเรียนพังพินาศส่วนตัวเขาโดนตีหัวระหว่างกลับบ้าน ทากาอิจึงตระหนักความเลวทรามของคาวาเบะฝังรากลึกจนยากเกินแก้แต่สำหรับฟุรุคาวะนั้นไม่ใช่ เพื่ออนาคตของเด็กดีๆคนหนึ่งเขาจึงตัดสินใจยอมทำทุกอย่างแม้ต้องคุกเข่าก้มหัวให้กับพวกยากุซ่า ครูหนุ่มระบายลมหายใจยาวก่อนดูนาฬิกาอีกครั้งจังหวะเดียวกันหูก็ได้ยินเสียงประตูเปิด เขาหันขวับไปมองเพราะเกรงว่าจะเป็นเด็กนักเรียนแต่พอเห็นว่าเป็นใครแล้วทากาอิก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก เขาส่งยิ้มให้กับคนที่กำลังก้าวเข้ามาพร้อมกับเอ่ยทัก
“ซาคาโมโตะ”
“ขอโทษที่มาช้า วันนี้โรงอาหารคนเยอะ” อีกฝ่ายออกตัวพลางกวาดมองไปรอบๆเมื่อเห็นว่าบนดาดฟ้ามีเพียงเขากับคนตรงหน้าแล้วจึงเลื่อนสายตาไปยังทากาอิ “มีธุระอะไรถึงเรียกผมขึ้นมาบนนี้”
ทากาอิดันแว่นตามความเคยชินก่อนกล่าวออกมาตามตรง
“ครูจะไม่อ้อมค้อมละนะ ฟุรุคาวะมีปัญหานิดหน่อยเลยอยากให้เธอช่วยดูแล...”
“ทำไมผมต้องทำอย่างนั้นด้วย” ซาคาโมโตะขัดด้วยสีหน้าบูดบึ้งทำเอาใจของทากาอิร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“ครูเห็นเธอมาด้วยกัน”
“ก็แค่เจอกันระหว่างทาง” ชายหนุ่มใช้น้ำเสียงเหมือนเป็นเรื่องไร้สาระก่อนเบนสายตาข้ามกำแพงกั้นลงไปยังชั้นล่าง ทากาอิกลับมองคล้ายไม่เชื่อสิ่งที่เขาพูด
“แต่ครูคิดว่ามันเป็นความตั้งใจของเธอมากกว่า ตอนเข้าห้องเรียนครั้งแรกครูสังเกตเห็นสายตาของเธอพุ่งตรงไปที่ฟุรุคาวะเพียงคนเดียว ตอนเที่ยงก็ขอให้เขาพาไปโรงอาหารช่วงบ่ายเธอก็เอาแต่นั่งจ้องหน้าเขาตลอดแถมยังคอยตามเหมือนเงาตามตัว ทีแรกครูคิดว่าเธอจ้องทำร้ายฟุรุคาวะแต่พอเห็นวิธีการมองแล้วถึงรู้ว่าไม่ใช่”
ซาคาโมโตะจ้องหน้าทากาอิตั้งแต่ได้ยินคำว่าสังเกตเห็นสายตาแล้วแต่ก็ยังสะกดอารมณ์ยืนฟังโดยไม่กล่าวคำตอบโต้ พออีกฝ่ายพูดจบเขาก็โพล่งออกมาด้วยความโกรธ
“คุณจับตาดูผมด้วยหรือ”
“ครูจับตาดูนักเรียนทุกคน” ทากาอิตอบอย่างใจเย็นและยกมือทั้งสองข้างขึ้นในลักษณะเชิงห้ามเมื่อเห็นดวงตาของซาคาโมโตะลุกวาวด้วยประกายโทสะ “ไม่ได้เป็นการจ้องจับผิดแต่เพื่อคอยช่วยเหลือ เมื่อเด็กพ้นจากบ้านผู้ปกครองคนต่อไปคือครู ถ้าเราไม่คอยดูแลเอาใจใส่พวกเขาอาจหลงทางจนเกิดเรื่องร้ายๆตามมา”
“งั้นมันก็เป็นหน้าที่ของคุณจะดึงผมไปเกี่ยวข้องด้วยทำไม”
“เพราะครูแน่ใจว่าเธอสามารถปกป้องฟุรุคาวะได้” ทากาอิตอบพร้อมกับถอนลมหายใจออกมายาวๆ “เด็กคนนั้นเคยเป็นนักเรียนที่ดี น่ารักมีนิสัยร่าเริง แต่พอสูญเสียพ่อแม่ไปในอุบัติเหตุเขาก็เกิดอาการช็อคจนต้องเข้าโรงพยาบาลอยู่หลายอาทิตย์ ตั้งแต่นั้นมาฟุรุคาวะก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากคนช่างพูดช่างคุยกลายเป็นคนเงียบปิดกั้นตัวเองจากโลกภายนอกทำตัวเป็นตุ๊กตา”
ระหว่างพูดทากาอิก็คอยสังเกตสีหน้าของซาคาโมโตะไปด้วย ถึงจะบูดบึ้งและแสดงความเบื่อหน่ายออกมาบ้างแต่ภายในดวงตาสีน้ำตาลเข้มทรงอำนาจเขากลับเห็นความอ่อนโยน เห็นอกเห็นใจทอแสงอยู่จางๆ เขาคิดไม่ผิดซาคาโมโตะ เคียวยะสนใจฟุรุคาวะจริงๆ คำถามคือในแง่ไหน เพื่อน ลูกน้องหรือคนรัก
“หมอนั่นไม่มีญาติพี่น้องเลยเหรอ”
“ครูได้ยินมาว่ามีลุงคนหนึ่งแต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นฟุรุคาวะถึงได้แยกบ้านมาอยู่ตัวคนเดียว”
สีหน้าของซาคาโมโตะฉายความครุ่นคิดออกมาแวบหนึ่ง เขาแสร้งทำเป็นเสยผมที่โดนลมพัดมาปรกหน้าก่อนพูดอย่างไม่ใส่ใจนัก
“ฟังแล้วหมอนี่ท่าจะอาการหนักแบบนี้จับส่งโรงพยาบาลดีกว่า”
“เด็กคนนั้นแค่จมปลักอยู่กับความเสียใจไม่ใช่คนโรคจิต สิ่งที่เขาต้องการคือความรัก ความเอาใจใส่จากใครบางคนและครูคิดว่าคนคนนั้นก็น่าจะเป็นเธอ”
“ผมไม่ใช่คนดีถึงขนาดนั้นหรอกครับ” ซาคาโมโตะเจตนาใช้น้ำเสียงประชดและหันไปทางประตูเมื่อได้ยินเสียงกริ่งเข้าเรียน “เรื่องที่จะพูดมีแค่นี้ใช่ไหม”
เขาถามลอยๆเมื่อไม่ได้ยินคำตอบก็ทำท่าจะเดินแต่ต้องหยุดเมื่อทากาอิพูดเสียงหนัก
“เธอเป็นคนดี”
ดวงตาคมปลาบของซาคาโมโตะมองข้ามไหล่ตัวเองไปที่ครู
“เข้าใจผิดแล้วคุณทากาอิ ผมน่ากลัวกว่าที่คุณเห็นมาก” นัยน์ตาทั้งคู่ลุกโพลงเป็นสีอำพันแวบหนึ่งก่อนเลื่อนกลับไปยังประตู “และผมจะใช้ความน่ากลัวนี้คุ้มครองฟุรุคาวะ”
“ซาคาโมโตะ” ทากาอิเรียกชื่อด้วยความยินดีและโล่งใจที่อีกฝ่ายยอมทำตามคำขอ “ขอบ...”
“ผมต้องเข้าห้องเรียน” ซาคาโมโตะตัดบทดื้อๆก่อนเดินออกลงจากดาดฟ้าปล่อยให้ทากาอิยืนเอ๋ออ้าปากค้างไว้อย่างไม่สนใจ พอเข้าห้องสิ่งแรกที่ทำคือมองไปทางฟุรุคาวะ ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะคอยระวังตัวอยู่แล้วเพราะพอเห็นซาคาโมโตะเขาก็รีบหันหน้าหนีออกไปนอกหน้าต่าง พอครูเข้าสอนเขาก็เบนสายตาไปจ้องกระดานดำตั้งสมาธิอยู่ในท่านั้นจนกระทั่งหมดเวลาเรียน สิ้นเสียงกริ่ง ฟุรุคาวะยัดหนังสือลงกระเป๋าอย่างเร่งรีบ เขากลัวคาวาเบะแต่ยังน้อยนักหากเทียบกับซาคาโมโตะ ไม่ใช่จากเรื่องที่เขาเป็นลูกชายของกลุ่มอิทธิพลหรือลีลาการต่อสู้อันร้ายกาจเมื่อวาน หากเป็นบางอย่างที่ซ้อนเร้นอยู่ภายในร่างซึ่งเด็กหนุ่มเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรและทำไมจึงรู้สึกเช่นนั้น
“เฮ้ !ฟุบิกิ”
เสียงเรียกข้างหูทำให้ฟุรุคาวะสะดุ้งหลุดจากภวังค์พอเห็นว่าใครเป็นคนเรียกเขาก็ปิดกระเป๋าฉับลุกพรวดเดินหนีออกห่างทันที
“จะไปไหนน่ะฟุบุกิ” ซาคาโมโตะยังเรียกไม่หยุดแถมเดินตามหลังมาติดๆ “รอฉันด้วยสิฟุบุกิ”
ฟุรุคาวะพยายามทำเป็นไม่ได้ยินแต่พอโดนเรียกเป็นครั้งที่สามเขาก็หยุดกึกหมุนตัวหันไปมองอีกฝ่ายด้วยหน้าตาบูดบึ้ง
“หยุดเรียกเสียทีได้ไหม ฉันรู้จักนายแค่วันเดียวอย่ามาทำเป็นตีสนิทแบบนี้”
ซาคาโมโตะตีหน้าเซ่อ “ฉันก็ไม่ได้ตีสนิทอะไรนายนี่นา” เขาหยุดและแกล้งทำเป็นเบิกตาโพลง “หรือไม่ชอบให้เรียกฟุบุกิ”
“ฟุรุคาวะ” เด็กหนุ่มแน้นเสียงจนเข้มเหมือนต้องการให้รู้ว่าการถือวิสาสะเรียกชื่อทำให้เขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก “แค่ฟุรุคาวะก็พอ”
พอบอกเสร็จก็หมุนตัวหันหลังกลับเพื่อออกเดินแต่ต้องหยุดอีกครั้งเมื่อเสียงของซาคาโมโตะลอยมาเข้าหู
“ฟูจิน”
หัวใจกระตุกเหมือนโดนไฟช็อตทำให้เต้นแรงขึ้นส่งแรงดันเลือดวิ่งพล่านไปตัวร่างจนเขารู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว คิ้วของฟุรุคาวะมุ่นเข้าหากันเพราะไม่เข้าใจว่าเหตุใดพอได้ยินคำนี้แล้วร่างกายของตัวเองจึงเกิดอาการประหลาดแบบนั้นครั้นจะหันไปถามคนพูดก็ไม่กล้า ใช่ว่ากลัวหากด้วยสาเหตุอื่นซึ่งเขาเองก็บอกไม่ถูกว่าคืออะไร มันเป็นความก้ำกึ่งระหว่างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสกับความโหยหาอาวรณ์อย่างลึกซึ้ง แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนเขาก็ไม่ชอบ
“อย่าตามฉันมานะ !” เด็กหนุ่มสั่งโดยไม่หันไปมองหน้าก่อนเดินหนี ซาคาโมโตะหัวเราะออกมาเบาๆด้วยความขบขันระคนเอ็นดูพร้อมกับก้าวตามแต่ทิ้งระยะห่างพอไม่ให้อีกฝ่ายต้องหงุดหงิด พอพ้นประตูรถยนต์หรูก็แล่นมาจอดเทียบข้าง ชายหนุ่มมุ่นคิ้วอย่างไม่พอใจนัก
“วันนี้ฉันอยากเดิ _” คำพูดชะงักค้างเมื่อเห็นสีหน้าเครียดของคนขับ “มีอะไร”
“ขึ้นรถก่อน” ทาคุพูดอย่างเคร่งขรึม พอผู้เป็นนายนั่งเรียบร้อยและออกรถแล้วเขาก็เริ่มรายงาน
“เกิดเรื่องกับอิบูกิ”
เสียงผ่อนลมหายใจอย่างเบื่อหน่ายดังมาจากเบาะหลังตามด้วยคำถามที่ดูเหมือนตัวคนพูดจะระอากับพฤติกรรมของลูกน้องคนนี้เต็มทน
“คราวนี้อะไรอีกล่ะ แย่งขนมเด็ก เมาอาละวาดหรือก่อเรื่องวิวาทกับกลุ่มอื่น”
“เขาถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส” ทาคุตอบโดยเน้นเสียงทีละคำเพื่อให้รู้ว่ามันเป็นเหตุการณ์รุนแรงต่างจากทุกครั้ง ซาคาโมโตะมองพลขับผ่านกระจกมองหลังด้วยสีหน้านิ่งเฉยปราศจากอารมณ์หากมีความประหลาดใจเต้นไหวอยู่ในดวงตา
“รู้หรือเปล่าว่าเป็นฝีมือของใคร”
“โอโรจิ” ทาคุตอบสั้นๆพร้อมกับดึงของบางอย่างออกมาจากกระเป๋าเสื้อ “ที่รู้เพราะมันทิ้งนี่ไว้ให้ดูต่างหน้า”
ซาคาโมโตะยื่นมือไปรับ มันเป็นผ้าที่ถูกม้วนเป็นก้อนกลมรัดด้วยเชือกไหมสีดำ พอคลี่ออกดวงตาของชายหนุ่มก็ทอแสงลุกวาวเมื่อเห็นตราประทับรูปงูแปดหัวขดอยู่เหนือจันทร์เสี้ยวตั้งอยู่บนฐานที่เป็นอีกาสามขา
“คาราสุเฮบิ” เขาเปรยออกมาพอให้อีกฝ่ายได้ยิน ทาคุผงกศีรษะรับ
“ใช่ และฉันคิดว่าที่มันทำแบบนี้ก็เพื่อส่งสารท้ารบกับนาย”
“เรารบกับพวกมันมานานแล้ว” ซาคาโมโตะพูดพร้อมรวบผ้าชิ้นนั้นไว้ในอุ้งมือ เปลวเพลิงสีฟ้าสดปะทุขึ้นเผามันจนเป็นธุลี กลิ่นไหม้กับควันที่ลอยคลุ้งไปทั้งรถทำให้ทาคุรีบกดปุ่มเลื่อนกระจกลงปากก็บ่นโดยตั้งใจให้อีกฝ่ายได้ยิน
“ทำไมไม่ออกไปเผานอกรถ”
“ก็นายไม่ยอมจอด” คนเป็นนายโต้กลับทันควัน พลขับจอมกวนยักไหล่
“เราอยู่บนทางด่วน”
“งั้นก็ไม่ต้องบ่น เหม็นก็เปิดกระจกซะลมจะได้พัดกลิ่นพวกนี้ออกไป”
“ได้ที่ไหนกันล่ะ” ทาคุบ่นอุบอิบก่อนปิดกระจกเหยียบความเร่งแทนการระบายอารมณ์ วิ่งไปได้สักพักเขาก็เหลือบตาดูกระจกมองหลังและมุ่นคิ้วน้อยๆเมื่อเห็นเจ้านายกำลังนั่งเท้าแขนทอดสายตามองออกไปนอกรถด้วยดวงตาเหม่อลอย อาการแบบนี้ไม่ได้คิดเรื่องที่บอกไปเมื่อครู่แน่ๆ เขานึกอย่างอ่อนใจก่อนเอ่ยปากพูด
“นายต้องจัดการเรื่องนี้นะ ซาคาโมโตะ” เขาละสายตาจากถนนเหลือบขึ้นมองกระจกพอเห็นคนที่กำลังคุยด้วยนั่งเหม่อเหมือนคนใจลอยคิ้วหนาก็มุ่นเข้าหากันอย่างนึกโมโห “ไรโชมารุ !”
“เคยบอกแล้วใช่ไหมว่าอย่าเรียกฉันด้วยชื่อนั้น” เสียงเย็นเยียบตอบกลับมา ดวงตาที่ตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีอำพันทอประกายวาวโรจน์จนทาคุถึงกับขนลุกซู่กระนั้นก็ยังไม่วายเถียง
“ก็นายเล่นนั่งนิ่งไม่พูดไม่จาอะไรเลยนี่หว่า” เขาหมุนพวงมาลัยพารถออกจากทางด่วน “ฉันเข้าใจเรื่องที่นายเป็นห่วงฟุรุคาวะแต่เรายังไม่มีข้อพิสูจน์ว่าเขาคือฟูจิน”
“แต่ฉันแน่ใจ” ซาคาโมโตะพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น ทาคุจึงได้แต่ถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยหน่าย
“ถึงใช่นายก็ไม่ควรหมกมุ่นจนลืมฐานะของตัวเอง”
“ฉันไม่เคยลืม” ชายหนุ่มพูด “ที่ยังไม่อยากลงมือเพราะสัญญาสงบศึกระหว่างกินกิซึเนะกับโอโรจิ ถ้ายังรู้ไม่แน่ชัดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของใครเราก็ทำอะไรไม่ได้”
ทาคุกระแทกลมหายใจ เฮอะ! ออกมาอย่างหงุดหงิด
“ใจเย็นเกินไปหรือเปล่าครับคุณชาย นายรู้ดีไม่ใช่เหรอว่าหลายร้อยปีที่ผ่านมาพวกโอโรจิทำตัวเป็นหมาลอบกัดทำร้ายคนของเรามาโดยตลอด”
“ถ้าเป็นเมื่อก่อนฉันคงพาคนของกินกิซึเนะบุกไปจัดการพวกมันถึงรังไปแล้ว แต่ตอนนี้โลกเปลี่ยนไป มนุษย์เลิกรบราฆ่าฟันเพื่ออำนาจแต่หันมาแย่งชิงความเป็นใหญ่ด้วยวิธีการทางเศรษฐกิจ พวกปีศาจเองก็เหมือนกันหากต้องการอยู่รอดก็ต้องปรับตัวหันมาใช้วิธีเดียวกับพวกมนุษย์ซึ่งฉันคิดว่าผู้นำของโอโรจิเองก็คิดแบบนั้น”
ถึงจะนึกแย้งอยู่ในใจแต่ทาคุกลับนิ่งฟังโดยไม่เถียงหรือกล่าวโต้ออกมาสักคำ เขาบังคับรถให้วิ่งออกจากถนนสายหลักเข้าสู่เส้นทางท้องถิ่น ไปได้สักพักเมื่อถึงทางแยกเขาก็หักพวงมาลัยเลี้ยวอีกครั้งเข้าไปในทางเส้นเล็กๆซึ่งมีโทริอิสีแดงสดตั้งเรียงเป็นระยะ ไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงที่พักอันเป็นคฤหาสน์โบราณหลังใหญ่แวดล้อมด้วยพันธุ์พฤกษ์นานับพรรณ พอก้าวลงจากรถพลขับซึ่งปิดปากเงียบมาตลอดจึงเปรยขึ้น
“โลกเปลี่ยนไปก็จริงแต่วิสัยของปีศาจยังคงเลวทรามเช่นเดิม”
นัยน์ตาสีอำพันเหลือบไปทางทาคุแวบหนึ่งก่อนเลื่อนกลับไปยังบานประตูอันมีตราสัญลักษณ์รูปสุนัขจิ้งจอกสีเงินสว่าง
“นายเองยังเปลี่ยน”
“ฉันไม่เหมือนคนอื่น”
“แต่ฉันไม่คิดอย่างนั้น นายทำได้คนอื่นก็ทำได้เหมือนกัน กินกิซึเนะเป็นข้อพิสูจน์” ซาคาโมโตะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบก่อนเดินหายเข้าไปในคฤหาสน์ ทาคุมองตามอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์นัก
“ที่คนของตระกูลกินกิซึเนะยอมเปลี่ยนวิถีชีวิตไม่ใช่เพื่ออำนาจหรือความอยู่รอด ทุกคนทำเพื่อนายต่างหาก ไรโชมารุ”
*/*/*/*/*/*/*
ความคิดเห็น