คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 4 บอดี้การ์ด
บทที่ 4 บอดี้การ์ด
ฟุรุคาวะพลิกตัวไปมาภายใต้ผ้าห่มผืนบาง ทั้งที่เวลาเลยเที่ยงคืนไปนานโขแต่เด็กหนุ่มกลับไม่อาจข่มตาลงได้ อันที่จริงมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะหลังจากอุบัติเหตุร้ายแรงอันเป็นสาเหตุให้เขาต้องสูญเสียพ่อแม่ชนิดไม่หลงเหลือซาก เด็กหนุ่มจะนอนฝันร้ายทุกคืนและสะดุ้งตื่นพร้อมเสียงกรีดร้องพาลให้คนในบ้านที่รับไปอุปถัมภ์ต้องพลอยตกใจไปด้วย แรกๆลุงกับป้าทำทีเหมือนเข้าใจแต่ก็แค่สามวันเท่านั้น พอย่างเข้าคืนที่สี่เขาก็ถูกมัดปิดปากตรึงไว้กับเตียงและถูกลงโทษด้วยการอดอาหารเช้ารวมทั้งเงินค่าขนม พอโดนแบบนี้ติดต่อกันหลายวันเขาจึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ตนเองหลับ ไม่ว่าจะเป็นการถ่างตาอ่านหนังสือ ดูหนัง ดื่มกาแฟแทนน้ำหรือไม่ก็ย่องออกจากบ้านไปเดินในสวนสาธารณะพอลุงกับป้ารู้ก็จับเขากรอกยานอนหลับมัดไว้กับที่นอน ฤทธิ์ของมันทำให้เด็กหนุ่มหลับเป็นตายทั้งคืนแต่ไม่มีใครรู้เลยว่าลึกลงไปภายใต้จิตสำนึกอันเปราะบาง ฟุรุคาวะยังคงทรมานกับฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างไม่มีวันจบ แต่กระนั้นเด็กหนุ่มก็ไม่เคยปริปากบอกลุงกับป้าเลยสักคำ เพราะแน่ใจว่าครั้งนี้ทั้งสองอาจยุติทุกอย่างด้วยการจับเขาส่งสถานบำบัดอาการคนโรคจิต
ฟุรุคาวะต้องทนเก็บความเจ็บปวดเอาไว้ในใจอยู่หลายปี พอเข้ามัธยมปลายเขาก็ทำข้อตกลงบางอย่างกับลุงจากนั้นก็ขนข้าวของย้ายออกจากบ้านหลังนั้นไปอยู่ที่อพาร์ทเม้นท์ซึ่งห่างกันคนละมุมเมือง หากไม่มีความจำเป็นจริงๆก็ไม่เคยติดต่อไปหาทั้งสองอีกเลย
สำหรับเด็กหนุ่มแล้วไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตามฝันร้ายก็ไม่เคยจบลง ยังดีที่ไม่ต้องตกอยู่ในสภาพกึ่งนักโทษของลุงกับป้า เขาคิดขณะนอนมองเพดานในความมืด นี่ก็เป็นอีกคืนที่เขานอนไม่หลับ หากแต่ด้วยสาเหตุที่ต่างไปจากทุกครั้งซึ่งฟุรุคาวะแน่ใจว่าไม่ใช่จากอาการปวดหนึบบนแก้มอันเป็นผลจากกำปั้นของคาวาเบะ
ใบหน้าหล่อเหลาของเคียวยะ ผุดขึ้นมาในห้วงสำนึกอย่างฉับพลัน หัวใจที่เคยเต้นเรียบเรื่อยพลันกระตุกวาบและเร่งจังหวะถี่ระรัวจนแทบหลุดออกจากอก นี่มันความรู้สึกอะไร เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วคิดด้วยความฉงน จะบอกว่ากลัวก็ไม่น่าใช่เพราะนับตั้งแต่พ่อแม่จากไปเขาก็ตัดความรู้สึกต่างๆแบบมนุษย์ไปจนหมดสิ้น ทุกวันหมดไปกับกิจวัตรเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตื่นเช้ากินข้าวไปโรงเรียน เลิกเรียนก็ตรงกลับบ้านกินข้าวอ่านหนังสือเข้านอน เขาไม่คิดที่จะคบค้าสมาคมกับใคร ต่อให้โดนกลั่นแกล้งรีดไถถูกทำร้ายยังไงก็ไม่เคยสน ใครจะดีจะร้ายหรือบ้าบอยังไงเขาไม่ใส่ใจทั้งนั้น คนอื่นอาจมองชีวิตอย่างมีสีสันแต่สำหรับฟุรุคาวะแล้วทุกสิ่งรอบตัวมีเพียงสีเดียวเท่านั้นคือสีเทาอันหม่นหมอง แต่ตอนนี้โลกของฟุรุคาวะมีอันต้องกลับตาลปัตรเมื่อพบกับนักเรียนใหม่ นับตั้งแต่วินาทีแรกที่สบตากับซาคาโมโตะเด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนกับคนที่พบกับแสงสว่างในปลายทางของอุโมงค์อันมืดมิด หัวใจที่เคยเย็นเยียบยิ่งกว่าน้ำแข็งกลางฤดูหนาวบังเกิดความอบอุ่นขึ้นอย่างประหลาด มันแทบทำให้ฟุรุคาวะโผเข้าไปกอดซาคาโมโตะด้วยแขนทั้งสองข้างแล้วซุกหน้าลงกับอกให้สมความโหยหาอันลึกซึ้งที่ฝังลึกอยู่ในดวงจิตมาช้านาน
นี่เขากำลังคิดเรื่องบ้าอะไร ! เป็นผู้ชายอกสามศอกเหมือนกันแท้ๆทำไมต้องมานั่งใจหวิวกับหมอนั่นด้วย ฟุรุคาวะถามตัวเองอย่างนึกตระหนก คิ้วขมวดมุ่นเข้าหากันส่วนปากเม้มแน่นเพราะไม่เข้าใจกับความรู้สึกที่บังเกิดขึ้น ซาคาโมโตะ เคียวยะ เด็กหนุ่มเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยใจสั่นสะท้านและเบี่ยงความรู้สึกดังกล่าวด้วยการสร้างความไม่ชอบพร้อมกับนึกเปรียบเทียบ นอกจากความสุภาพซึ่งน่าจะเป็นเพียงการปั้นหน้าเสแสร้งแล้วเจ้าบ้านั่นแทบไม่แตกต่างไปจากคาวาเบะเลยสักนิด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการชอบใช้กำลัง เป็นพวกแก็งค์อันธพาลหรือชอบออกคำสั่งกับคนอื่น แล้วทำไมหมอนี่ถึงจะมาทำให้ท่อนไม้ตายซากอย่างเขาต้องหวั่นไหวด้วย
จริงหรือ ? เสียงหนึ่งร้องในหัว แล้วไอ้อาการสั่นไปทั้งตัว หัวใจเต้นแรงอัดแน่นไปด้วยความโหยหาปรารถนาที่จะเห็นหน้าเขาอยู่ตลอดเวลานี่ล่ะ มันคืออะไร
ชายหนุ่มถามตัวเองอีกครั้งพลางใช้มือกดอกด้านซ้ายและสูดลมหายใจเข้าเพื่อข่มจิตใจที่กำลังฟุ้งซ่านแต่ไม่สำเร็จ เมื่อไม่อาจสงบใจลงได้ เขาจึงสลัดผ้าห่มออกลุกขึ้นนั่ง สะบัดศีรษะแรงๆหลายครั้งเพื่อไล่ตัวการของเรื่องออกจากหัว
ซาคาโมโตะ เคียวยะ
ฟุรุคาวะทวนชื่อด้วยความหงุดหงิดก่อนตัดสินใจลุกขึ้นเปิดไฟ เก็บฟูกเดินไปที่โต๊ะหยิบหนังสือออกมากางและเพ่งสมาธิทั้งหมดเพื่ออ่าน แต่การกระทำดังกล่าวไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิดเพราะเวลานี้อักษรทุกตัวบนตำรากลายเป็นใบหน้าหล่อเหลาของซาคาโมโตะไปหมดแล้ว
“บ้าเอ๊ย!”
เด็กหนุ่มโพล่งออกมาด้วยความหงุดหงิดพร้อมกับปิดหนังสือเดินไปต้มน้ำเพื่อชงชา ระหว่างรอน้ำเดือดอยู่นั้นฟุรุคาวะก็อดหวนคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ได้ เขาเคยถูกคาวาเบะทำร้ายมาแล้วหลายครั้งก็จริงแต่ส่วนใหญ่มักเป็นเพียงโดนต่อยหรือถูกรุมเตะเท่านั้นไม่ใช่เรื่องบัดสีแบบนี้
สัมผัสจากมืออันหยาบกร้านขณะลูบไล้บนสะโพกที่ผุดขึ้นมาในความทรงจำทำให้ฟุรุคาวะเบ้หน้าด้วยความขยะแขยง ทั้งที่ตอนอาบน้ำเขาใช้ทั้งน้ำอุ่น สบู่แถมราดด้วยแอลกอฮอล์เพื่อฆ่าความโสโครกก็ยังล้างความรู้สึกแย่ๆนั่นออกไปไม่หมด
ไอ้คนวิปริต !
เด็กหนุ่มนึกด่าอยู่ในใจพลางคิดต่อไปว่าคนอย่างคาวาเบะไม่ยอมรามือแค่นี้แน่ วันนี้เขาอาจได้รับความช่วยเหลือจากซาคาโมโตะแต่ครั้งต่อไปถ้าเขาไม่อยู่ที่นั่นด้วยล่ะ ขนทั่วร่างลุกเกรียวอย่างนึกประหวั่นเพราะคราวนี้หากถูกกลุ่มคาวาเบะเล่นงานอีกครั้งสิ่งที่ได้รับคงไม่ใช่แค่กำปั้นหากเป็นมลทินที่เขาต้องจดจำไปจนวันตาย
มือที่กำลังถือถุงชากำแน่นจนซองแตกปล่อยผงละเอียดสีเขียวร่วงพรูลงพื้น กลิ่นหอมที่โชยขึ้นมาทำให้ฟุรุคาวะได้สติ เด็กหนุ่มสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอดก่อนหันไปหยิบชาถุงใหม่ระหว่างกดน้ำร้อนใส่ถ้วยเขาก็บอกกับตัวเองว่าในเมื่อรู้อย่างนี้แล้วจะต้องไปกลัวทำไม แค่เพิ่มความระมัดระวังให้มากขึ้นกับพยายามเลี่ยงให้ห่างจากคาวาเบะมากที่สุดเท่านี้ก็พอแล้ว
ถ้าหากเขาทำได้นะ
เด็กหนุ่มผ่อนลมหายใจยาวอย่างนึกปลงพลางยกชาขึ้นดื่ม กลิ่นหอมกับความอบอุ่นที่ซาบซ่านอยู่ภายในปากทำให้เขารู้สึกดีขึ้น มันคงจะดีกว่านี้ถ้าเปลี่ยนจากความร้อนของชาเป็นปลายลิ้นอันเร่าร้อนของซาคาโมโตะ
ฟุรุคาวะสำลักน้ำชาพรวดออกมา
“แค่ก แค่ก แค่ก !”
บ้าหรือเปล่า เขาคิดเรื่องน่าสะอิดสะเอียนแบบนี้ได้ยังไงกันเนี่ย เด็กหนุ่มก่นตัวเองด้วยความโมโหก่อนคว้าผ้าขี้ริ้วมาถูพื้นแรงๆเพื่อลบภาพน่าอายออกจากหัวซึ่งดูจะได้ผลบ้างนิดหน่อย พอเหนื่อยเขาก็เหวี่ยงผ้าทิ้งดันตัวเองไปนั่งกอดเข่าตรงมุมห้องจมปลักอยู่กับความทรงจำอันเจ็บปวดอีกครั้งจนแสงอาทิตย์จับขอบฟ้า
“เช้าแล้วเหรอ” ฟุรุคาวะบอกกับตัวเองอย่างเบื่อหน่ายก่อนลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปโรงเรียนเหมือนที่ทำเป็นประจำ แต่วันนี้ต่างจากวันอื่นเพราะพอเปิดประตูห้องเขาก็พบกับซาคาโมโตะที่กำลังยืนยิ้มเผล่อยู่ตรงระเบียง
“ซาคาโมโตะ เคียวยะ !”
หลุดปากอุทานออกไปด้วยนึกไม่ถึงแต่อีกฝ่ายกลับเลิกคิ้วน้อยๆ
“ไม่ต้องเรียกซะเต็มยศขนาดนั้นก็ได้ แค่เคียวยะก็พอ”
“ซาคาโมโตะ !” ฟุรุคาวะเน้นเสียงอย่างจงใจพร้อมกับจ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง “ทำไมนายถึงมาอยู่ตรงนี้”
คำถามของเขาทำให้คิ้วของซาคาโมโตะยกสูงขึ้นอีกนิด “ถามแปลก มารับนายไง”
“เพื่อ ?”
“เมื่อวานนายโดนทำร้าย จากประสบการณ์ของฉันคนอย่างคาวาเบะไม่รามือแค่นี้แน่ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยฉันจึงตกลงใจว่านับแต่นี้จะเป็นบอดี้การ์ดให้กับนาย”
“ไม่จำเป็น”
ฟุรุคาวะตัดบทและเดินหนีลงไปยังชั้นล่างอย่างไม่สนใจแต่พอออกจากอพาร์ทเม้นท์เขาต้องยืนตกตะลึงอ้าปากค้างเมื่อเห็นแมวจำนวนมากกำลังนั่งบ้าง นอนบ้างเต็มทางเท้าไปหมด
“อะไรกันเนี่ย” เขาหลุดปากด้วยความพิศวงพร้อมกับหาทางเลี่ยงแต่ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีแต่ แมว แมว แมว และแมว พอเข้าไปใกล้มันก็แยกเขี้ยวขู่แถมทำท่าจะตะปบ เด็กหนุ่มจึงจำต้องยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่กล้าขยับ
“อ้าว ยังอยู่อีกเหรอ” เสียงซาคาโมโตะดังมาจากด้านหลังพอเหลือบมองก็เห็นรอยยิ้มที่เดาไม่ออกว่าสมเพชหรือเย้ยหยันอยู่บนใบหน้า
“ฉันกำลังจะไป” ฟุรุคาวะตอบเสียงห้วนพร้อมขยับตัวแต่พอยกขาเท่านั้นแมวดำตัวที่อยู่ใกล้ก็ตบผัวะเข้าที่รองเท้า
“เฮ้ย !”
เด็กหนุ่มอุทานยังไม่ทันดึงขากลับแมวบนกำแพงก็กระโดดเข้าใส่ด้วยท่าทางดุร้าย ฟุรุคาวะรีบยกกระเป๋าขึ้นกันแต่ช้ากว่าซาคาโมโตะที่ปราดถึงตัว มือหนึ่งรั้งเด็กหนุ่มไปไว้ในอ้อมแขนส่วนอีกมือคว้าคอแมวเหมียวเอาไว้ ดวงตากลมโตเหลือบมองเจ้าของมืออย่างหวาดๆแต่ตัวมันเองกลับแข็งค้างนิ่งกระทั่งหางก็ไม่กล้ากระดิก
“ง๊าว”
ร้องคล้ายถามว่าจับมันไว้ทำไม ซาคาโมโตะหัวเราะก่อนดึงแมวขึ้นไปกระซิบ
“แกทำนอกเหนือคำสั่ง” ดวงตาสีเข้มแปรเปลี่ยนเป็นสีอำพันแวบหนึ่งก่อนคลายมือออกปล่อยเจ้าเหมียวให้เป็นอิสระจากนั้นจึงก้มลงมองคนในอ้อมกอด “เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“ม...ไม่” ฟุรุคาวะตอบตะกุกตะกักพอนึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในสภาพแบบไหนแก้มทั้งสองก็แดงก่ำ เขารีบบิดตัวเองให้หลุดจากแขนของซาคาโมโตะ “ทำบ้าอะไรของนาย”
“ช่วยไม่ให้นายถูกแมวข่วน” อีกฝ่ายตอบด้วยใบหน้าที่ชวนให้คนฟังรู้สึกทั้งโกรธและอาย เขาไม่ใช่ผู้หญิงหรือเด็กตัวเล็กๆที่ต้องคอยให้คนอื่นมาช่วยแบบนี้
“ฉันดูแลตัวเองได้ !” ฟุรุคาวะกระแทกเสียงหนักและหมุนตัวเพื่อเดินหนีแต่พอเห็นกองทัพแมวที่นอนระเกะระกะอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวแล้วเขาต้องมุ่นคิ้ว “ให้ตายเถอะมาจากไหนกันเยอะแยะ แบบนี้ก็ไปโรงเรียนไม่ได้น่ะสิ”
เขาเจตนาบ่นกับตัวเองแต่ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อซาคาโมโตะโน้มตัวลงมากระซิบข้างหู
“งั้นก็ไปกับฉันสิ”
ลมหายใจอุ่นที่มากระทบกับพวงแก้มทำให้ฟุรุคาวะถึงกับขนลุกซู่ เขารีบถอยออกห่างพร้อมกับจ้องคนตัวโตกว่าอย่างไม่ไว้ใจ
“นายพูดเหมือนมีวิธีเดินผ่านพวกมันไปได้”
“ถ้ามีแล้วนายจะไปกับฉันหรือเปล่า” ซาคาโมโตะแกล้งถามและพอจะเดาคำตอบออกเมื่อเห็นอีกฝ่ายยืนนิ่ง “เลิกคิดเรื่องกลับห้องไปได้เลย เพราะถ้านายขาดเรียนครูอย่างทากาอิต้องตามมาดูแน่ ไม่ชอบให้ใครไปบ้านไม่ใช่เหรอ”
ทิ้งทวนด้วยประโยคที่ฟุรุคาวะเคยพูดไว้ซึ่งได้ผลเพราะคนฟังมุ่นคิ้วอย่างครุ่นคิด
“นายจะทำยังไง”
สำเร็จ ! ซาคาโมโตะร้องด้วยความยินดีอยู่ในใจ เขาส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ให้ก่อนพูดเรียบๆ
“ให้หมาของฉันจัดการ”
คำตอบทำให้ฟุรุคาวะขมวดคิ้วด้วยความฉงนเพราะไม่เห็นสุนัขสักตัวในบริเวณนั้น จะว่าเจ้าหมอนี่พาหมาไปโรงเรียนก็ไม่น่าเป็นไปได้เพราะเมื่อวานตอนนั่งรถมาด้วยกันก็ไม่เห็นมีเลยสักตัว ขณะกำลังคิดพลันมีเสียงปรบมือดัง เผียะ ! ลั่นขึ้นหนึ่งครั้งแมวทั้งฝูงต่างสะดุ้งโหยงหันไปมอง พอเห็นต้นเสียงว่าเป็นอะไรแล้วพวกมันก็พร้อมใจกันเผ่นแผล็วออกจากที่นั่นในชั่วพริบตา
“ใครเป็นหมาของนายกันฟระ” เสียงทุ้มออกแนวกวนประสาทเอ่ยถาม ซาคาโมโตะยิ้มมุมปากก่อนตอบโดยไม่หันไปมองหน้า
“แล้วนายคิดว่าใคร”
เสียงกระแทกลมหายใจดังเฮอะ ! ขณะคนพูดหยุดยืนใกล้ๆ ฟุรุคาวะเหลือบตามองถึงได้รู้ว่าเจ้าของผลงานการไล่แมวคือคนขับรถที่เจอเมื่อวานซึ่งพอเห็นหน้าชัดๆแล้วเด็กหนุ่มจึงรู้ว่าเขาเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาแต่ค่อนไปทางดุ ดวงตาสีน้ำตาลเป็นประกายเจิดจ้า ผมดำเงามันดกหนาซอยสั้นปรกคอ ที่น่าทึ่งคือร่างกายอันใหญ่โต แม้จะอยู่ในเครื่องแบบของพนักงานขับรถแต่สูทสีเข้มก็ไม่อาจปิดบังกล้ามเนื้อที่อัดแน่นนั้นได้ สิ่งที่สร้างความอัศจรรย์ใจอีกอย่างก็คือความสูง ซาคาโมโตะ เคียวยะตัวสูงกว่าทุกคนในชั้นแต่ผู้ชายคนนี้กลับสูงกว่ามาก
ตัวใหญ่เป็นบ้า .... เด็กหนุ่มคิดอย่างหวาดๆดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้ตัวว่าถูกมอง ดวงตาสีน้ำตาลหลุบลงจ้องฟุรุคาวะและอมยิ้มน้อยๆเมื่อคนตัวเล็กกว่ารีบก้มหน้าหลบ
“ขี้อายไม่เคยเปลี่ยน” เขาเปรยออกมาก่อนหันไปทางซาคาโมโตะ “ตัดสินใจหรือยังว่าจะไปไหน”
“หมายความว่ายังไง” คนเป็นนายถามด้วยความสงสัย สารถีจอมกวนเปิดยิ้ม
“โรงเรียนหรือโรงแรม”
น้ำเสียงเหมือนเป็นคำถามธรรมดาทั่วไปแต่ไม่ใช่สำหรับฟุรุคาวะ เขามองทั้งคู่ด้วยใบหน้าร้อนผ่าวขณะที่ซาคาโมโตะยังคงวางตัวเฉยแต่กับคนคุ้นเคยกันมานานอย่างทาคุรู้ดีว่าภายใต้ท่าทางนิ่งสงบกำลังปั่นป่วนไปด้วยกระแสแห่งอารมณ์ ที่เขาอยากรู้คือมันเป็นอารมณ์ที่เกิดจากความรู้สึกใด
“พูดมากไปแล้วทาคุ” เขาพูดเสียงเย็นส่วนมือคว้าไหล่ฟุรุคาวะหมับ “พาพวกเราไปโรงเรียนได้แล้ว”
ทาคุยังคงยิ้มขณะหมุนตัวกลับหลังหันกระนั้นปากก็ยังไม่วายกระเซ้า
“น่าเสียดาย”
ทั้งสามเดินไปขึ้นรถซึ่งจอดอยู่ไม่ไกลและด้วยฝีมือการขับขั้นเทพของทาคุไม่ถึงห้านาทีพวกเขาก็ไปถึงโรงเรียน ~โดยสวัสดิภาพ~ พอลงจากรถทากาอิซึ่งเป็นครูเวรเฝ้าประตูก็เอ่ยทัก
“ซาคาโมโตะ ฟุรุคาวะ วันนี้มาโรงเรียนพร้อมกันเหรอ”
คนแรกทำแค่ส่งยิ้มให้แต่ไม่ตอบส่วนคนหลังพอลงจากรถได้ก็รีบก้มหน้างุดเดินเข้าโรงเรียน ทาคุซึ่งนั่งหน้าเป็นอยู่ในรถจึงทำหน้าที่แทน
“พอดีเจอเจ้าหนูนั่นระหว่างทางเลยรับมาด้วยกันครับ” เขาพูดเหมือนคนที่รู้จักคุ้นเคยกันมานานแต่พอเห็นดวงตาดุของซาคาโมโตะแล้วสารถีจอมป่วนก็หุบปากฉับหดหัวกลับเข้าไปในรถแล้วขับออกไป ทากาอิมองตามด้วยความฉงนเพราะไม่คิดว่าพวกกลุ่มอิทธิพลจะมีน้ำใจแบบนี้แต่เมื่อนึกอีกทีมันคงไม่ใช่เรื่องแปลกหากมองในแง่เป็นการกระทำเพื่อสร้างบุญคุณสำหรับผลประโยชน์ในวันข้างหน้า
“ไม่ใช่อย่างที่คิดหรอกครับ ผมแค่อยากมีเพื่อนคุยบ้างก็เท่านั้น”
อีกครั้งที่ซาคาโมโตะอ่านความคิดของเขาออก ทากาอิมองอย่างไม่ค่อยเชื่อนักแต่ก็ผงกศีรษะ
“ถ้าเป็นอย่างนั้นได้ก็ดีเพราะฟุรุคาวะเป็นเด็กเงียบๆไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่” เขาหยุดเหมือนฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้และรีบเอ่ยเรียก “เดี๋ยว ซาคาโมโตะ”
ชายหนุ่มชะงักเท้าหันหน้าไปมอง “ครับ”
“ครูมีเรื่องอยากให้เธอช่วยหน่อย” ทากาอิหยุดไว้แค่นั้นคล้ายลังเลว่าควรขอความร่วมมือจากเด็กที่มาจากพวกนักเลงหัวไม้ดีหรือไม่แต่พอคิดได้ว่ากลุ่มซาคาโมโตะเป็นผู้มีอิทธิพลก็จริงแต่กลับมีชื่อเสียงในด้านศักดิ์ศรีและรักษาสัจจะ แต่สิ่งที่เขากำลังขออาจโดนมองว่าไม่ใช่เรื่องดี ดังนั้นเขาจึงควรหาสถานที่ที่ดูเป็นส่วนตัวมากกว่านี้ “พักเที่ยงกินข้าวเสร็จช่วยไปพบครูบนดาดฟ้าด้วย”
“บอกตอนนี้ไม่ได้หรือครับ” ซาคาโมโตะแย้ง เขาไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่นก็จริงแต่ก็ไม่เคยปฏิเสธหากมีใครมาขอความช่วยเหลือ เพียงแต่เวลานี้ชายหนุ่มไม่อยากพาตัวเข้าไปวุ่นวายกับหน้าไหนทั้งนั้นเพราะต้องการจะใช้เวลาทั้งหมดกับฟุรุคาวะ ฟุบุกิ เด็กหนุ่มที่เขามั่นใจว่าเป็นคนรักกลับชาติมากเกิดมากกว่าแต่ประโยคต่อมาของทากาอิทำให้ซาคาโมโตะเปลี่ยนใจ
“มันเกี่ยวกับฟุรุคาวะ”
มือที่ล้วงกระเป๋าไว้ข้างหนึ่งถูกดึงออกมาแนบขนานกับลำตัว ชายหนุ่มมองคนตรงหน้าคล้ายหยั่งว่าแท้จริงแล้วมีเจตนาใดกันแน่ มิตรหรือศัตรู ? เพื่อกำจัดข้อสงสัยให้สิ้นซากเขาจึงตกปากรับคำ
“เที่ยงครึ่งผมจะขึ้นไปพบ หวังว่าเป็นเรื่องสำคัญนะครับ”
*/*/*/*/*/*
ความคิดเห็น