ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะวันเหนืออสงไขย ภาคลบล้างคำสาปต้นตระกูล

    ลำดับตอนที่ #9 : เรื่องของฟันดำกับความสุขเล็ก ๆ ระหว่างพี่น้อง(รีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ค. 66


    หลังจากตะวันลงจากเรือนมาเธอก็ได้เห็นสภาพของผีร้าย เด็กหญิงจึงผงะอย่างตกใจ “กระสือ” เด็กหญิงตะโกนเสียงดัง

    จากนั้นเธอจึงเอามือปิดจมูกของตน ก่อนพูดออกมาอีกครั้ง“เหม็นอ่ะ กลิ่นชวนแหวะเกินไปแล้ว” ตะวันแสดงสีหน้ารังเกียจอย่างชัดเจน

    “นังเด็กหัวจุก แกว่าใครเหม็น” เสียงยานคางของผีลากไส้ตวาดออกมาอย่างกรุ่นโกรธ ดวงตาแดงก่ำจ้องมองมาทางตะวันอย่างหมาดร้าย

    รัก ยม ต่างมองหน้ากันไปมาหลังจากได้ยินคำพูดของน้องสาว “ตะวันเจ้าตัวนี้คือผีลากไส้” รักเป็นผู้บอกน้องสาว

    เอาวะผีลากไส้ก็ผีลากไส้ เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตามสินะ เธอคิดอย่างปลง ๆ

    ต่อจากนั้นเด็กหญิงจึงได้เรียกเมล็ดต้นหนามที่เธอได้นำมาจากอาจารย์ปราบผีในโลกของตนออกมา อย่ามองว่ามันคือเมล็ดหนามธรรมดานะเพราะมันไม่ใช่

    ตะวันรีบโยนเมล็ดหนามนั้นขึ้นพร้อมกับท่องคาถาที่แม้แต่รัก ยมก็ไม่เคยได้ยิน หลังจากนั้นเมล็ดหนามทั้งสี่ก็ได้ลอยไปล้อมรอบผีลากไส้แล้วฝังลงดินทันทีจากนั้น

    มันก็ค่อย ๆ เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วโดยที่วิญญาณทั้งสามไม่ทันได้กะพริบตาด้วยซ้ำ มันค่อย ๆ เติบโตขึ้นมีหนามงอกออกมาอย่างน่ากลัวแล้วตอนนี้หนามนั้นก็ได้เกี่ยวถูกลำไส้ของผีลากไส้เข้าให้แล้ว

    จากตอนแรกที่ผีลากไส้จะเยาะเย้ยในการกระทำของตะวัน แต่ทว่าตอนนี้มันกลับเป็นฝ่ายร้องโหยหวนออกมาจากความเจ็บปวดเสียเอง

    มันส่งเสียงร้องโหยหวนตลอดเวลาที่หนามเกี่ยวเอาไส้ของมันขาดออกจากกัน กลิ่นของลำไส้ที่ขาดออกจากกันนั้น

    ได้ทำให้คนบนเรือนถึงกับทนไม่ไหวจนอยากจะอาเจียนเอาของเก่าออกมาเลยทีเดียว “โอ้ย กูยอมแล้ว ปล่อยกู กูเจ็บ” ผีลากไส้ร้องออกมาอย่างคร่ำครวญ

    เนื่องจากตอนนี้ไส้ของมันเริ่มขาดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มันพยายามจะหนีให้หลุดพ้นจากต้นหนามที่เลื้อยเหมือนงูตามมันไปทุกทาง ทว่ามันไม่อาจหนีรอดไปได้

    ด้านตะวันก็บริกรรมคาถาของตนอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเจ้าตัวจะได้กลิ่นเน่าเหม็นสักปานใดเด็กหญิงก็ยังคงอดทน

    “พี่จันทร์ พี่ช่วยเมียด้วยฉันเจ็บเหลือเกิน” เสียงผีลากไส้ได้ใช้ฤทธิ์เดชของมันปลอมเป็นเสียงจิกที่นอนสลบจากการคลอดลูก

    จันทร์เมื่อได้ยินเสียงของเมียรักก็ลุกขึ้นยืน เพื่อจะเดินลงจากเรือน “หาญรีบห้ามมันไว้” หินรีบตะโกนสั่งลูกชายเสียงดัง

    หาญเมื่อได้ยินคำสั่งของพ่อก็รีบเอาตัวกอดร่างของทิดจันทร์ที่มีรูปร่างเล็กกว่าตนทันที

    “ฤทธิ์เยอะนักใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเจอสิ่งนี้ พี่ยมเอาสิ่งนี้ไปราดลงบนหัวของมันเลยจ้ะ” ตะวันบอกกับยมพร้อมกับส่งสิ่งที่อยู่ในขวดให้กับผู้ช่วยของตนที่เขากำลังมองต้นหนามประหลาดด้วยความสนใจ

    ฉ่า! เสียงนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ยมได้เปิดขวดที่น้องสาวให้ เทราดหัวของผีลากไส้ตามคำสั่ง

    “กรี๊ด ๆ กะ..แกทำอะไรฉะ..ฉัน” เสียงร้องแสดงความเจ็บปวดของผีลากไส้ร้องออกมาเพียงไม่นานร่างของมันก็หายไป แม้แต่เถ้าถ่านก็ไม่มีให้เห็น

    “นะ..นี่มัน..เจ้าสิ่งนี้ร้ายกาจเกินไปแล้ว” รัก ยมพูดออกมาพร้อมกันด้วยความตกใจ

    ตะวันยืนชมผลงานชิ้นโบว์แดงของตนอยู่ได้ยกคิ้วข้างหนึ่งส่งมาให้พี่รัก พี่ยม “เป็นยังไงฝีมือหนูเจ๋งหรือเปล่าจ๊ะ” เด็กน้อยตะวันแกล้งทำท่าวางมาดเหมือนนักเลงโตยืนกอดอกส่งให้กับพี่ใหม่ต่างภพทั้งสอง

    “เจ๋งคืออะไรพี่ไม่รู้ แต่พี่สองคนรู้ว่าน้องเก่งมาก” ยมพูดชมน้องสาวที่ตอนนี้ยิ้มกว้างฉีกไปถึงรูหูอย่างดีใจ

    “น้องตะวันยืนแบบนี้มันไม่งาม แม้จะเก่งแต่ต้องพึงระลึกว่าตัวเป็นสตรีใครมาเห็นท่าแบบนี้เขาจักว่าเอาได้” รักกล่าวเตือนน้องอย่างหวังดี

    “เจ้าคะ หนูทราบแล้วแม่หญิงรัก” ตะวันพูดรับคำแต่ก็ยังไม่วายเอ่ยหยอกพี่ออกมา  ซึ่งก็ทำให้ได้รับค้อนจากเด็กที่วัยไม่น่าจะเกินห้าหกปีของยุคนี้อย่างนึกขำในความน่ารักน่าเอ็นดู

    “อุแว้..” เสียงเด็กทารกตัวแดงที่เพิ่งเกิดร้องแผดเสียงดังลั่นเรือน ตะวันจึงมองขึ้นไปบนเรือนด้วยไฟฉายบนหัวที่นำออกมาจากมิติ

    “หนูขึ้นบ้านก่อนนะ” ตะวันบอกกับพี่ชายพี่สาวต่างภพที่มีความน่ารักเหมือนอรุณน้องชายไม่มีผิด

    “ไปเถอะ พวกพี่จะคอยตรวจตรารอบ ๆ บ้านหลังนี้ให้ วันนี้เราฆ่าคู่ของผีมีหางตายลง อีกไม่นานมันจักต้องมาตามหาคนฆ่าคู่ของมันแน่” ยมพูดตอบน้องยืดยาว

    “ผีมีหางมันคือตัวอะไรทำไมหนูไม่เคยได้ยิน” ตะวันถามเสียงเบาคล้ายรำพึงพร้อมเกาหัวจุกจนหลุดลุ่ย

    “ก็ผีที่มีหางที่ก้น ตอนกลางวันเหมือนคนปกติแต่มักจะเก็บซ่อนหาง พอตกกลางคืนมันจะขี่สากและใช้กระด้งเป็นปีก” รักอธิบายให้น้องสาวฟังอย่างตั้งใจ

    “หา! ตะวันเข้าใจแล้วถ้าอย่างนั้นหนูก็รบกวนพี่สองคนด้วย” ตะวันร้องออกมาอย่างตกใจในคราแรก เพราะเธอรู้แล้วว่ามันคือกระหัง 

    แต่ถ้าพูดออกมาก็คงจะเหมือนกับกระสืออีก ดังนั้นจึงต้องกลืนคำพูดลงท้องไป แล้วพูดอีกอย่างกับพี่ตัวน้อยทั้งสอง

    หลังจากนั้นตะวันจึงเดินขึ้นบันได “ตะวันเป็นยังไงบ้างลูกเรียบร้อยดีไหม” หาญถามลูกสาวตัวน้อยด้วยความเป็นห่วง

    “เรียบร้อยจ้ะ มือชั้นตะวันแล้วมันจะรอดไปได้ยังไง” เด็กหญิงแสร้งคุยโวเพื่อให้คนบนเรือนได้ผ่อนคลาย

    “หลานของข้าช่างเก่งกาจ ทว่าเอ็งก็อย่าประมาทนะนังหนูหากเมื่อไหร่เจอเหตุการณ์แบบนี้อีก” หินกล่าวชมหลานสาวสีหน้าเบิกบานก่อนจะเตือนเด็กหญิงออกมา

    “จ้ะ หนูขอเข้าไปหาย่าก่อนนะจ๊ะ” ตะวันรับคำพร้อมกับมองเข้าไปในห้องที่จิกคลอดลูก

    เมื่อเธอเดินเข้ามาก็ได้เห็นว่าน้องน้อยที่เพิ่งเกิดกำลังดูดนมแม่ของตนด้วยท่าทางพึงพอใจหลับตาพริ้มดูน่ารัก

    “ย่าจ๋าน้องน่ารักเนอะ” ตะวันพูดขึ้นหลังจากนั่งพับเพียบอยู่ข้างย่าอย่างเรียบร้อย แต่สายตาจับจ้องไปยังใบหน้าเล็กแดงของน้องไม่วางตา

    “เขาต้องพูดน่าเกลียดน่าชัง คนโบราณเขาว่ากันแบบนี้ถ้าบอกน่ารักเขากลัวผีจะมาเอาเด็กไป” ย่าบอกเรื่องความเชื่อแต่เก่าก่อนออกมาให้หลานสาวฟังด้วยความเอ็นดู

    “จ้ะ หนูจะจำไว้” เด็กหญิงรับคำอย่างเชื่อฟัง

    หลังจากที่จิกให้นมบุตรตัวน้อยเรียบร้อย นิดก็เห็นว่าผู้เป็นหลานสาวอ้าปากหาวออกมา

    “ง่วงแล้วสิท่า” นิดเอ่ยถามหลานตัวน้อยที่ตาเริ่มปรือ

    “จ้ะ” ตะวันรับคำอย่างเชื่องช้า

    “ถ้าอย่างนั้นเราก็กลับบ้านกัน” นิดกล่าวขึ้นพลางขยับกายของตน

    “ฉันขอขอบน้ำใจแม่เฒ่าที่มาช่วยฉันมากจ้ะ และก็ตะวันด้วยที่ช่วยปราบผีลากไส้ให้ หากไม่มีแม่เฒ่ากับหลานป่านนี้ฉันกับลูกคงแย่” จิกกล่าวออกมาด้วยความซาบซึ้งใจที่คนทั้งสองมีให้ตน

    “เอ็งไม่ต้องคิดมาหรอก ผัวเอ็งมันก็เกลอเจ้าหาญพวกเราคนกันเอง” นิดกล่าวเสียงเนิบ

    “ยังงั้นก็เถอะ ถึงอย่างไรฉันก็ต้องขอบน้ำใจอยู่ดี” จิกยกยิ้มกล่าวกับหญิงชราทำให้ตะวันเห็นฟันดำของหล่อน ตะวันที่เห็นฟันของจิกก็ถึงกับผงะ

    ย่ากับจิกที่เห็นอาการของเด็กน้อยทั้งสองคนก็หัวเราะออกมาพร้อมกัน โดยจิกไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองกับท่าทางของตะวันเลย

    “ทำไมอาจิกถึงกินหมากละจ๊ะ” เด็กหญิงถามขึ้นอย่างสงสัยโดยปราศจากความง่วงแล้วในตอนนี้

    “แต่ก่อนตอนที่อาเริ่มเข้าสู่วัยสาวได้ถูกสอนมาว่าจะต้องกินหมาก หากฟันไม่ดำจะถือว่าไม่สวย และปากก็ต้องแดงจากน้ำหมากจึงจะถือว่างาม อาก็เลยเชื่อมั่นกินมาตั้งแต่ตอนนั้น

    เพราะกลัวจะไม่สวยไม่งาม ต่อมาภายหลังจึงได้เลิกกินเนื่องจากได้มีประกาศออกมาว่าห้ามคายหมากตามที่สาธารณะนั่นแหละกว่าจะเลิกได้ก็นานพอดู” จิกเล่าเรื่องราวที่มาของฟันดำให้เด็กหญิงตัวน้อยฟัง

    “แม่ไม่เห็นฟันดำนี่” ตะวันยังคงถามออกมาอย่างสงสัย

    “แม่ของหนูเขาไม่ชอบรสชาติของมัน เขาบอกถ้าฟันจะทำให้เขาไม่งามเขาก็ยอม เพราะรสชาติมันฝาดเฝื่อนเหลือทน” ย่าผู้ที่รู้เรื่องราวดีเป็นคนตอบพร้อมกับยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงครั้งที่ตนลองให้สร้อยกินหมาก

    “ใช่แล้วจ้ะในตอนนั้น มีแต่แม่ของหลานคนเดียวที่ปฏิเสธการกินหมาก” จิกยกยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องในอดีต

    “เอ็งกับจันทร์น่าจะอยู่กันเองได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกข้าก็พากันกลับบ้านก่อนแล้วกัน นี่ก็ดึกเต็มทีห่วงสองคนที่บ้าน” ย่านิดบอกกับจิกที่กำลังวางลูกนอนลงข้างตัว

    “จ้ะแม่เฒ่า ฉันต้องขอขอบน้ำใจแม่เฒ่าอีกครั้งที่มาทำคลอดให้ฉันแม้ฝนตกหนัก” จิกมือไหว้หญิงชราด้วยความซาบซึ้งใจ

    “เอ็งไม่ต้องคิดมากหรอก คนเจ็บป่วย คนคลอดลูกจะให้ข้านิ่งดูดายก็ใช่ที่” นิดพูดพลางขยับกายลุกขึ้นยืนโดยมีตะวันคอยช่วยพยุงก่อนออกจากห้องตะวันก็ยกมือไหว้ลาเจ้าของห้องเรียบร้อย

    หลังจากหญิงชรากับหลานสาวเดินออกมาจากห้อง หินกับหาญก็ลุกขึ้นยืนทันที โดยจันทร์ก็ลุกตามคนทั้งสองด้วย

    “กลับกันเถอะครึ่งคืนแล้ว” นิดพูดขึ้นกับคนในครอบครัว

    “จันทร์ข้ากลับก่อนนะ ถ้าเอ็งมีอะไรให้ช่วยก็ไปที่บ้านแล้วกัน” หาญพูดขึ้นพลางตบไหล่ของเกลอ

    “ข้าเดินไปส่ง” จันทร์พูดออกมา

    “ไม่ต้องหรอกเอ็งอยู่บนเรือนนี่แหละ พวกข้าไปกันเองได้” หินรีบกล่าวปฏิเสธ

    “ถ้าอย่างนั้นฉันขอลาพ่อเฒ่า แม่เฒ่า ทิดหาญตรงนี้เลยแล้วกัน ตะวันอาขอบน้ำใจหลานมากที่ช่วยจัดการผีลากไส้ให้

    นี่เงินจ้ะแม่เฒ่าช่วยรับเอาไว้ด้วยนะจ๊ะ” จันทร์ยกมือไหว้ผู้เฒ่าทั้งสอง กล่าวกับหาญด้วยความตื้นตันใจที่เกลอมีต่อตน รวมถึงหันมากล่าวขอบใจเด็กหญิงตัวน้อยคนเก่งในค่ำคืนนี้ ก่อนที่เขาจะยื่นเงินจำนวนหนึ่งบาทให้หญิงชรา

    “เอ็งเอาเงินเก็บไว้ซื้อข้าวและผ้ามาให้เมียกับลูกเถอะ ข้าไม่เอาหรอก และถ้าเอ็งว่างหลังจากที่นางจิกออกจากอยู่ไฟเอ็งก็ไปช่วยเจ้าหาญมันถางหญ้าถางพงที่บ้านแล้วกัน” นิดพูดออกมาอย่างอาทร

    “แต่” จันทร์ทำท่าอึก ๆ อัก ๆ อย่างเกรงใจ

    “ไม่ต้องแต่แล้ว เอ็งเก็บเงินไว้เถอะ หากว่างก็ไปช่วยที่บ้านก็แค่นั้น อ๋อแล้ววันพรุ่งไปเอาปลีกล้วย บวบ ที่บ้านด้วยนะ” หินพูดตัดบท

    “ของในกระปุกนี้อาจันทร์เอาไปโปรยให้รอบบ้านเลยนะ รับรองผีไม่กล้าเข้าใกล้ ส่วนไฟฉายกระบอกนี้หนูให้ ตอนกลางวันอาเอาไปตากแดดไว้ กลางคืนเวลาใช้งานไฟจะได้สว่างจ้ามากขึ้น มีลูกเล็กเผื่อหยิบจับอะไรจะได้สะดวก” ตะวันได้ส่งเกลือลงอาคมกระปุกกลางกับไฟฉายคาดหน้าผากของตนให้กับจันทร์อย่างไม่หวง

    “ขะ..ขอบใจนะจ๊ะ เงินก็ไม่เอายังให้ของมีค่ากับฉันและครอบครัวอีก ฉันขอให้ทุกคนเจริญ ๆ นะจ๊ะ ที่เมตตาคนยากอย่างฉันสามคน” จันทร์พูดออกมาน้ำตาคลออยู่ตีนบันได ที่เขาได้ลงมาส่งคนทั้งสี่

    ติ้ง! “น้องเมฆเสียงอะไรดัง” ตะวันถามกับน้องเมฆที่ตอนนี้มาอยู่บนตักเธอตั้งแต่ลงเรือมาแล้วด้วยความงุนงง

    “เสียงหักล้างคำสาป เมื่อไหร่ที่ครอบครัวของเราได้รับคำอวยพรและคำขอบคุณที่จริงใจคำสาปจะค่อย ๆ ลดลง” เมฆตอบตะวันด้วยน้ำเสียงพึงใจที่ตะวันเกาท้องเกาคางให้

    “โอ้แล้วครั้งนี้ลดไปเยอะหรือเปล่า” ตะวันถามน้องเมฆออกมาอย่างตื่นเต้นด้วยความหวังดวงตาเป็นประกายเหมือนดวงดาว

    “เฮ้อ! ยังไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์เลยครับพี่ตะวัน” เสียงน้องเมฆแมวระบบอัจฉริยะตอบออกมาด้วยน้ำเสียงหดหู่เปลี่ยนจากอารมณ์เมื่อครู่จากหน้ามือเป็นหลังมือ ทำให้ตะวันพลอยเศร้าไปด้วย

    “เอาน่าแค่นี้ก็นับว่าดีแล้ว ดังนั้นคนในตระกูลของเราจะต้องทำความดีกันต่อไปสู้ ๆ” ตะวันหลังจากนิ่งเงียบไปสักพักจึงพูดปลุกใจตัวเองและแมวน้อยออกมาพร้อมชูมือขึ้น

    “ตะวันนั่งดี ๆ อยู่บนเรือใครเขาทำเหมือนลูกกัน” นิดที่กำลังเคี้ยวหมากอยู่ในปากพูดเตือนเสียงดุ

    “จ้ะ หนูขอโทษ ว่าแต่ทำไมย่ายังเคี้ยวหมากได้อยู่อีกละจ๊ะ ปู่เองก็ด้วย” ตะวันเมื่อรับคำย่าหน้าสลด แต่เมื่อเธอเห็นย่ากับปู่เคี้ยวหมากจึงถามย่าออกมาด้วยความอยากรู้อีกครั้ง “เขาห้ามเพราะน้ำหมากมันทำให้ตัวเราหรือสิ่งของดูสกปรก 

    ก็แค่เรากินแล้วทำให้มันสะอาดก็ได้แล้ว และอีกอย่างปู่กับย่าเคี้ยวหมากกันมาตั้งแต่รุ่น ๆ โตกว่าเอ็งนิดเดียวจะให้เลิกมันยาก” ผู้เป็นย่าเล่าออกมาให้หลานตัวน้อยฟังพร้อมเอาผ้าเช็ดหน้าซับมุมปากที่เลอะน้ำหมากไปด้วย

    “เอาล่ะถึงบ้านแล้ว ทุกคนขึ้นจากเรือกันเถอะ ไม่รู้สร้อยกับอรุณจะเป็นยังไงบ้าง” หินบอกกับทุกคน ส่วนหาญเมื่อขึ้นจากเรือเขาก็หันมามองหน้าลูกสาว

    และสิ่งที่เห็นก็ทำให้เขาตื่นตะลึง เนื่องจากตะวันทำเพียงแค่สะบัดมือครั้งเดียวเรือลำใหญ่ก็หายวับไป

    หลังจากเก็บเรือเข้ามิติเรียบร้อยเด็กหญิงก็รีบก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังเรือนหลังจากล้างเท้าเรียบร้อยเธอก็เดินขึ้นบันไดทันที

    “เหมียว” น้องเมฆส่งเสียงร้องเตือนคนด้านในที่ยังไม่หลับ

    “แม่จ๋า หนู พ่อ ปู่ ย่ากลับมาแล้วจ้าเปิดประตูบ้านให้ด้วย” ตะวันเรียกแม่เมื่อเดินมาถึงชานด้านนอกหน้าประตู

    สร้อยเมื่อได้ยินเสียงลูกสาวและเจ้าแมวน้อยเธอก็กระวีกระวาดเปิดมุงลุกขึ้นเดินมาเปิดประตูด้วยความดีใจ

    “เป็นยังไงบ้างลูกง่วงไหม” สร้อยถามเด็กหญิงตัวน้อยที่อ้าปากหาวออกมาอย่างไม่ปิดบัง

    “ง่วงจ้ะ หนูไปนอนก่อนนะ” ตะวันพูดจบเธอก็คลานเข้ามุงของตน ที่น้องชายนอนกางแขนกางขา พร้อมทำปากขมุบขมิบเหมือนเคี้ยวอะไร

    แต่ตะวันในยามนี้เธอไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นเมื่อเห็นหมอนของตนเธอก็ล้มตัวลงนอน หลับไปอย่างรวดเร็ว

    เอ้กอี๊เอ้กเอ๊ก.. เสียงไก่ขันยามเช้าดังมาจากที่ไกล ๆ ได้ปลุกสองพี่น้องที่นอนเคียงกันให้ตื่นจากการหลับไหล

    “เช้าแล้วเหรอ กำลังหลับสบายเลย” ตะวันพูดขึ้นพร้อมเหยียดแขนของตนออกทั้งสองข้างอ้าปากหาวอย่างลืมตัว

    “ไม่งามจ้ะพี่สาว” อรุณเอียงคอน้อย ๆ เตือนพี่สาวอย่างน่ารัก 

    “จ้า ๆ พี่ทราบแล้วน้องคนเก่ง” ตะวันพูดพร้อมกับดึงแก้มของน้องทั้งสองข้างให้ยืดออก

    “อู้อีอัน” อรุณพูดเสียงอู้อี้

    “พี่ปล่อยแล้ว ก็น้องชายพี่น่ารักน่าแกล้งขนาดนี้พี่จะอดใจไหวได้ยังไง พี่ให้ของปลอบใจ” ตะวันหลังจากปล่อยมือจากแก้มของน้องน้อย เธอก็ยื่นนมกล่องกับขนมปังแสนนุ่มไส้ทะลักให้น้องชายที่จ้องตาแป๋วมองด้วยความสงสัย

    เจ้ากล่องเมื่อวานอรุณกินเป็นแล้ว แต่เจ้าก้อนสีน้ำตาลนี่มันคืออะไรกัน “พี่ตะวัน เจ้าก้อน ๆ นี่มันคืออะไรอย่างนั้นเหรอ” เด็กน้อยถามพี่สาวออกมาด้วยความอยากรู้ สายตาก็มองจ้องก้อนที่ว่ากับหน้าพี่สาวสลับกัน

    “ก้อน ๆ นี่เขาเรียกขนมปัง กินแบบนี้” ตะวันแกะขนมปังออกจากสิ่งห่อหุ้ม พร้อมกัดขนมปังเข้าปากคำโตทำให้ครีมนมสีขาวทะลักออกมาเลอะขอบปากเด็กหญิง

    อึก! เสียงกลืนน้ำลายลงคอของน้องน้อยดังขึ้นเมื่อเขาได้เห็นท่าทางที่พี่สาวกิน และเขาก็ยังได้กลิ่นหอม ๆ ลอยมาเตะจมูกด้วยเบา ๆ

    ดังนั้นเขาจึงไม่รอช้ารีบหยิบขนมปังที่อยู่ในมือทำตามพี่สาวทันที เมื่อกินขนมปังเสร็จสองพี่น้องก็ตบท้ายด้วยนมกล่อง สุขใดในยามนี้ก็ไม่เท่าความสุขจากการกิน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×