ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะวันเหนืออสงไขย ภาคลบล้างคำสาปต้นตระกูล

    ลำดับตอนที่ #5 : กับข้าวแสนอร่อยกับสิ่งที่ตามมาพร้อมปู่ย่า(รีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ค. 66


    ตะวันจึงได้หน้าเหวอไปอีกครั้ง จากนั้นสองพี่น้องก็รีบล้างหน้าโดยที่อรุณก็ไปนำกิ่งข่อยมาให้พี่สาวเพื่อถูฟัน

    และหลังจากจัดการธุระส่วนตัวของพวกตนเรียบร้อย เด็กทั้งสองก็พากันเดินไปยังแคร่ไม้ไผ่หน้าบ้านที่ตอนนี้พ่อแม่ได้นำข้าวปลาออกมาตั้งไว้รอแล้ว

    “ปู่กับย่าไปไหนหรือจ๊ะ” ตะวันถามถึงผู้สูงวัยทั้งสองซึ่งตั้งแต่เธอลืมตาตื่นยังไม่เห็นคนทั้งคู่

    “ปู่กับย่ามีคนมาตามตั้งแต่เช้ามืดแล้วลูก เขาให้ไปดูอาการของเด็กในหมู่บ้าน” หาญบอกกับลูกในขณะที่ตักข้าวสวยใส่จาน

    หลังจากมื้อเช้าของบ้านผ่านพ้นไป พ่อแม่ก็แยกย้ายไปจัดการงานของตัวเองคงเหลือไว้ก็แต่สองพี่น้อง

    “อรุณปกติ พวกเรามักจะทำอะไรกัน” ตะวันถามน้องชายตัวน้อยที่ตัวติดอยู่กับตน

    “พี่สาวมักจะไปหาของป่ากับพ่อ ส่วนข้าก็ไปเล่นกับเกลอขอรับ” เด็กชายตอบโดยไม่ต้องคิด

    “แล้วปกติอรุณมักจะไปเล่นที่ไหนกับเพื่อน” ตะวันถามน้องชายขึ้นมาอีก

    “เล่นน้ำขอรับ แต่ช่วงนี้น้ำเยอะผู้ใหญ่เลยสั่งห้ามดังนั้นก็เลยเล่นแต่ซ่อนแอบหรือไม่ก็ขี่ม้าส่งเมือง” เด็กชายตอบพี่สาวอย่างไม่นึกรำคาญ

    “ถ้าอย่างนั้นวันนี้อรุณไปจับปลากับพี่สาวดีไหม พวกเราจะได้มีมื้อกลางวันมาเพิ่ม” เด็กหญิงกล่าวชวนน้องชาย

    “ลงน้ำไม่ได้ขอรับ อันตราย” เด็กชายแย้งสีหน้าจริงจัง

    “พี่มีวิธีไม่ต้องลงน้ำ น้องพาพี่ไปก็พอ” ตะวันยกยิ้มกล่าวขึ้นทันที

    แม้อรุณจะงงอยู่บ้างว่ามีวิธีไหนที่จับปลาได้โดยไม่ต้องลงน้ำ ทว่าเด็กชายก็ไม่คิดถามเขาคิดว่าเดี๋ยวก็คงจะรู้เอง

    “มาทางนี้ขอรับ หลังเรือนของเรามีลำธารอยู่” เด็กชายตัวน้อยผู้มีความสูงไล่เลี่ยกับผู้เป็นพี่เดินนำโดยมีพี่สาวเดินตามมาติด ๆ 

    “พี่สาวห้ามลงน้ำนะขอรับ” น้องชายเห็นว่าพี่สาวเดินไปยังริมตลิ่งรีบกล่าวห้ามเสียงดัง

    “พี่ไม่ลงน้ำอย่างแน่นอน” ตะวันฉีกยิ้มกว้าง จากนั้นเธอก็นั่งยองลงกับพื้นดินเพื่อขุดหลุมโดยนำไหขนาดกลางที่เรียกออกมาจากมิติฝังลงดินโดยเว้นรอบปากไหเอาไว้ พร้อมกับใส่เหยื่อล่อปลาสูตรพิเศษจากยุคของตนลงไปภายในไห

    “พี่สาว พี่ทำอะไรนะขอรับ” ตะวันมองการกระทำของผู้เป็นพี่ด้วยความไม่เข้าใจ

    “ก็ขุดหลุมดักปลายังไงล่ะ เอาไว้เดี๋ยวค่อยกลับมาดู ตอนนี้พวกเราไปเดินเล่นที่อื่นกันเถอะ” เด็กหญิงกวักน้ำเพื่อล้างมือก่อนที่จะบอกน้องชายที่นั่งยองตามตน

    สองพี่น้องพากันเดินตามลำธารไปเรื่อย ๆ จนไปถึงยังชายป่า “อรุณเราเข้าไปได้ไหม” ตะวันถามน้องชายออกมาก่อน เนื่องจากเธอไม่มีความทรงจำในส่วนนี้

    “ได้ขอรับ แต่อย่าเดินไปไกลเกินป่ากล้วยเด็ดขาดพ่อเคยสั่งห้ามไว้” เด็กชายตัวน้อยตอบพร้อมกับเดินนำ

    ตะวันจึงได้แต่เดินตามผู้เป็นน้องโดยมีแมวดำตัวเล็กตามติดมาอีกหนึ่งตัว “ตะวันเห็ดป่าชนิดนี้กินได้” น้องเมฆส่งเสียงร้องเตือนเด็กหญิง

    “อรุณหยุดก่อน พี่จะเก็บเห็ด” ตะวันรีบส่งเสียงเรียกน้องชายผู้ที่เดินนำหน้าอยู่ไม่ไกล

    “พี่สาวมันกินได้แน่นะขอรับ ข้าไม่เคยเห็นใครกินมาก่อนเลย” อรุณนั่งยองตามพี่สาวมองเจ้าก้อนดำ ๆ ตรงหน้าถามออกมาด้วยความสงสัย

    “กินได้แน่นอน เชื่อพี่สาวสิกลางวันนี้พี่จะทำของอร่อยให้กิน” เด็กหญิงยกยิ้มให้น้องชายผู้ที่กำลังลงมือช่วยตนเก็บเห็ดอย่างตั้งใจ โดยที่ตะวันก็ได้เรียกกระบุงสานขนาดที่ตัวเองสามารถแบกได้ออกมา

    “พี่สาว พี่ช่างวิเศษยิ่งที่สามารถเรียกสิ่งของออกมาได้” อรุณเบิกตากว้างเพราะเขาไม่คิดว่าพี่สาวจะเรียกสิ่งของออกมาจากความว่างเปล่าได้แม้จะสงสัยแต่ก็ยังไม่เคยเห็นกับตา

    “อรุณรู้แล้วต้องเก็บเป็นความลับก่อนรู้ไหม ไม่อย่างนั้น..” ตะวันกล่าวขึ้นสีหน้าจริงจัง

    “พี่ไม่ต้องกลัว ข้าจะปกป้องพี่เองและจะไม่บอกใครด้วย” เด็กน้อยรับคำเสียงหนัก

    “ขอบใจนะน้องรักของพี่” ตะวันฉีกยิ้มกว้างส่งให้ผู้เป็นน้อง

    จากนั้นสองพี่น้องก็พากันเก็บเห็ดที่มีอยู่มากมายจนได้ครึ่งกระบุงสาน “พี่สาวมันเยอะเกินไปหรือเปล่า เราจะกินกันหมดไหม” เด็กชายถามผู้เป็นพี่อย่างกังวล

    “ไม่ต้องห่วงพี่สามารถเก็บไว้โดยที่เห็ดไม่เสียได้ เรารีบกลับไปดูปลากันเถอะ จะได้ทันทำอาหารกลางวัน” ตะวันบอกน้องชายอย่างมั่นใจ

    ซึ่งในตอนนี้ไม่ว่าผู้เป็นพี่จะพูดอะไรอรุณก็เชื่อฟังทุกอย่าง เนื่องจากเขาได้คิดว่าพี่สาวเป็นนางฟ้าตัวน้อยแล้วนั่นเอง

    เมื่อสองพี่น้องได้มาถึงริมลำธารที่ตะวันได้ขุดหลุมดักปลาเอาไว้อรุณก็ส่งเสียงดังออกมาอีกครั้งในสิ่งที่เห็น “พี่สาว ปลาเต็มเลยพี่ช่างเยี่ยมยอดยิ่ง” เด็กชายตัวน้อยมองผู้เป็นพี่ด้วยสายตาเทิดทูน

    “เอาไว้คราวหน้าพี่จะสอนน้องนะว่าต้องทำยังไงให้ปลาเข้ามาในไหแบบนี้” ตะวันยกยิ้มบอกน้องชาย

    “ข้าเชื่อพี่” เด็กชายตัวน้อยตอบรับอย่างเชื่อฟัง

    จากนั้นสองพี่น้องก็พากันเดินกลับเรือนของตน ซึ่งในตอนนี้สร้อยกำลังก่อเตาเพื่อกำลังจะทำกับข้าวอยู่พอดี

    “แม่จ๋าหนูช่วยทำกับข้าวนะจ๊ะ”ตะวันบอกกับแม่ เมื่อเธอกับน้องชายเดินมาถึงเรือนครัว

    “ลูกไปไหนกันมา” สร้อยถามลูกทั้งสองที่บุตรชายอุ้มไหอยู่ในอ้อมกอดและลูกสาวมีกระบุงสานอยู่ด้านหลัง

    “ไปหาปลากับเก็บเห็ดมาจ้ะ” อรุณยิ้มตอบแม่

    “ลูกไปลงน้ำกันมาเหรอ” สร้อยถามลูกทั้งสองอย่างตกใจ

    “ไม่ใช่จ้ะ พี่สาวขุดหลุมดักปลาโดยใช้ไหฝังในดินจากนั้น...” อรุณเล่าเรื่องที่ตนกับผู้เป็นพี่ทำออกมาให้แม่ฟังอย่างละเอียด

    หลังจากผู้เป็นแม่ฟังสิ่งที่บุตรชายเล่าจนจบ ทำให้เธอได้หวนคิดในสิ่งที่สามีเล่าให้ฟังก่อนถามลูกสาวออกมาด้วยความเป็นห่วง“ตะวัน ลูกไม่เป็นอะไรใช่ไหม” สร้อยมองสำรวจบุตรสาวตัวน้อยอย่างละเอียด

    “หนูปกติดีจ้า จะมีก็แต่หนูคันหัวมาก” เด็กหญิงยิ้มกว้างตอบผู้เป็นแม่ตามจริง

    “แม่เผามะกรูดเอาไว้แล้ว รอให้เย็นสักหน่อยแม่จะคั้นน้ำนำมาหมักผมให้ลูกทั้งสองคน” สร้อยกล่าวขึ้นอย่างเบาใจเมื่อเห็นว่าลูกน้อยปกติดีตามที่พูด

    “ปลาที่อยู่ในไหแม่จะให้ทำยังไงจ๊ะ” ตะวันถามถึงปลาที่อัดแน่นกันอยู่ในไหซึ่งน้องชายได้วางลงกับพื้นแล้วด้วยความหนัก

    “แม่จัดการเอง ลูกจะเอามาทำอะไรบ้างล่ะ” สร้อยถามลูกสาวผู้ที่ตั้งใจมาช่วยตน

    “ต้มยำปลา ปลาเผาเกลือจ้ะ แกงเห็ดใส่หน่อไม้ แค่นี้ก็น่าจะพอ” ตะวันตอบแม่ในสิ่งที่ตนกำลังจะทำ

    “ตะวันปลามันคาวนะลูกเอามาต้มมันจะกินได้อย่างนั้นเหรอ ส่วนปลาเผาเกลือคืออะไร แม่ไม่เคยได้ยิน อีกอย่างเกลือมีราคาแพงอยู่นะลูกแม่มีอยู่เพียงแค่นี้เอง” สร้อยถามลูกสีหน้ามึนงงก่อนที่จะเดินไปหยิบไหใบน้อยที่มีเกลืออยู่เพียงเล็กน้อยให้ผู้เป็นบุตรสาวดู

    “หนูมีอะไรจะให้แม่ดูจ้ะ” ตะวันตัดสินใจที่จะเปิดเผยสิ่งที่ตัวเองมีออกมาไม่อย่างนั้นเธอจะทำอะไรลำบาก

    “อะไรเหรอลูก” สร้อยมองหน้าบุตรตัวน้อยแต่แล้วเธอก็ต้องเบิกตากว้างอย่างตกใจที่เห็นว่ามีสิ่งของออกมาท่ามกลางความว่างเปล่า

    “ตะ..ตะวันลูกเป็นใครกันแน่” สร้อยถามลูกน้อยเสียงสั่นจะว่าหวาดกลัวก็ไม่ใช่ จะไม่กลัวก็ไม่เชิง

    “แม่คงรู้เรื่องจากพ่อแล้วว่าหนูได้ไปเจอกับคุณตาในฝันมา เป็นคนผู้นั้นได้มอบสิ่งของพวกนี้มาให้พวกเราจ้ะ ซึ่งของเหล่านี้มีจำกัดดังนั้นในอนาคตพวกเราจะต้องหาเอง” ตะวันไขว้นิ้วไว้ด้านหลัง

    “แค่นี้อะไรกันนี่มันมากมายเลยนะลูกแค่เกลืออย่างเดียวก็ราคาหลายร้อยแล้วกระสอบใหญ่ขนาดนี้ ไหนจะมีข้าวสารสีขาวนี่อีก น้ำตาลทรายก็มี แม่ไม่รู้ว่าหากมีคนอื่นรู้เรื่องจะเป็นยังไง

    ตะวันลูกอย่าให้ใครรู้เรื่องนี้นอกจากคนในครอบครัวของเรานะ แม่กลัวว่าลูกจะเป็นอันตราย” สร้อยกล่าวย้ำกับลูกน้อยใบหน้าเต็มไปด้วยความกังวล

    “จ้ะ” เด็กหญิงรับคำสั้น ๆ อย่างเชื่อฟัง

    “แม่ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ อรุณก็จะช่วยปกป้องพี่สาวด้วย” เด็กชายผมแกละที่นั่งฟังแม่กับพี่สาวสนทนากันกล่าวออกมาบ้างหลังจากนั่งเงียบอยู่นาน

    “ดีมากลูกแม่” สร้อยโอบกอดเจ้าตัวเล็กพร้อมกล่าวชมทำให้เด็กชายใบหน้าเปลี่ยนสีด้วยความอาย

    จากนั้นสองแม่ลูกก็ลงมือช่วยกันทำอาหารโดยมีเด็กชายตัวเล็กคอยเป็นผู้ช่วยจนกระทั่งหาญได้เดินกลับเข้าบ้านมา ก็ได้กลิ่นหอมฟุ้งของอาหารลอยมาตามลม

    “สร้อยน้องทำอะไรกินอย่างนั้นเหรอกลิ่นหอมจนท้องพี่ร้องไปหมดแล้ว” หาญส่งเสียงดังมาก่อนตัว ในขณะเดินมาเรือนครัว

    “ฉันเป็นผู้ช่วยจ้ะพี่หาญ คนทำคือคนนั้น” สร้อยยิ้มหวานตอบสามีพลางบุ้ยหน้าไปยังบุตรสาวตัวน้อยที่กำลังตำน้ำจิ้มเอาไว้กินกับปลาเผาอย่างตั้งใจ

    หาญเดินเข้าไปหาภรรยาก่อนกระซิบถามว่าเรื่องจริงอย่างนั้นหรือ สร้อยจึงตอบพร้อมพยักหน้ายืนยัน

    หลังมื้ออาหารกลางวันผ่านพ้นไปผู้สูงวัยของบ้านก็ยังไม่กลับมา “ทำไมปู่ ย่า ยังไม่กลับอีกละจ๊ะ” ตะวันถามพ่อกับแม่ด้วยความเป็นห่วงคนทั้งคู่

    “ลูกไม่ต้องร้อนใจไป เวลาปู่ย่าไปรักษาคนป่วยก็มักหายไปนานแบบนี้แหละ” หาญตอบลูกสาวที่ตอนนี้บนผมถูกหมักด้วยน้ำมะกรูด

    ตกเย็นของวัน หลังจากวันนี้ที่ตะวันได้สางเหาบนหัวออกเธอก็รู้สึกเบาศีรษะเป็นอย่างมาก

    “แม่จ๋า หนูทำกับข้าวเย็นเองนะจ๊ะ” ตะวันขันอาสาอย่างอารมณ์ดี

    “ตามใจลูกเถอะ แม่ช่วยก่อไฟให้ก็แล้วกัน หนูทำเผื่ออาเสือด้วยนะ วันนี้ตอนเย็นพ่อบอกว่าอาจะมากินข้าวด้วย” สร้อยยิ้มรับกล่าวตามใจผู้เป็นบุตรพร้อมบอกเรื่องที่สามีสั่งเอาไว้

    “ได้จ้ะ” ตะวันรับคำซึ่งในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมได้มีเรื่องเกี่ยวกับอาคนนี้อยู่

    เมื่ออาหารเย็นเสร็จได้ไม่นานเด็กหญิงก็เห็นผู้เป็นพ่อเดินแบกจอบกลับเข้ามาในบ้านพร้อมกับผู้ชายอีกคนดูอายุห่างจากพ่อเล็กน้อย

    “ไหว้อาเสือจ้ะ / ไหว้อาเสือขอรับ” สองพี่น้องยกมือไหว้ชายหนุ่มผู้เป็นอาที่ไม่ค่อยได้เห็นหน้า เนื่องจากตอนนี้อาสะใภ้กำลังท้องทำให้อาหนุ่มมักอยู่แต่ในเรือนเป็นส่วนใหญ่

    “ไหว้พระกันเถอะ ไม่ได้เจอเพียงเท่าไหร่ทั้งสองคนดูโตขึ้นเยอะอยู่หนา” ชายหนุ่มกล่าวกับหลานตัวน้อยทั้งสองอย่างเอ็นดู

    “พี่หาญ เสือไปล้างไม้ล้างมือมากินข้าวกันเถอะ หากมืดกว่านี้จะลำบาก” สร้อยพูดขึ้นเมื่อเดินออกมาจากเรือนครัวโดยมีจานชามอยู่ในมือ

    “แม่จ๋า เดี๋ยวตะวันไปช่วยยก” “อรุณด้วย” สองพี่น้องกล่าวพร้อมกัน

    เมื่อชายหนุ่มทั้งสองเดินมายังแคร่ไม้ไผ่หน้าเรือนก็เห็นว่าได้มีอาหารวางอยู่หลายอย่าง

    “พี่สร้อยกับข้าวมากจังได้แบ่งเก็บเอาไว้บ้างหรือเปล่าครับ” เสือถามพี่สะใภ้ออกมาอย่างเกรงใจ

    “หลานสาวของเสือแบ่งเอาไว้เรียบร้อยแล้วจ้ะ และมีให้เสือหิ้วกลับบ้านไปฝากเมียด้วยนะ” สร้อยบอกชายหนุ่มน้องสามีอย่างเป็นกันเอง

    “ผมเกรงใจพี่ ไม่ต้องแบ่งให้ผมก็ได้ที่บ้านนี้คนตั้งมากไหนจะต้องแบ่งให้พ่อกับแม่อีก” เสือพูดออกมาเสียงดัง

    “จะเกรงใจอะไรกันนักหนาพี่น้องกันแล้วเมียเอ็งก็ยังท้องอยู่ ของพวกนี้หลาน ๆ ก็ไปหามาไม่ได้เสียเงินสักแดง” หาญพูดกับน้องชาย

    เมื่อหาญพูดจบน้องชายก็เข้าใจเจตนาอันดีของพี่จึงไม่เอ่ยสิ่งใดขัดออกมาอีก ดังนั้นทุกคนจึงได้ลงมือกินข้าวทันที

    “เผ็ด แต่อร่อย” เสือพูดขึ้นหลังจากซดน้ำต้มยำปลาลงคอ

    จากนั้นก็ตามมาด้วยแกงคั่วเห็ดใส่ปลาแห้ง ผัดหน่อไม้ใส่ไข่ซึ่งหาญได้แต่มองหน้าภรรยาอย่างแปลกใจระคนสงสัย

    หลังมื้ออาหารเย็นจบลงตะวันก็เริ่มใกล้จะลับขอบฟ้าเต็มที เสือจึงได้ขอตัวกลับ เขาได้นำกับข้าวที่กินวันนี้เอาไปฝากเมียที่บ้าน และยังได้ปลาสดไปอีกสองตัวใหญ่

    “พี่นี่มันมากเกินไป ผมอยู่กับเมียสองคนเอง” เสือพูดออกมาอย่างเกรงใจ

    “เอากลับไปเถอะกับข้าวมันไม่เสียง่ายหรอกเอาไปอุ่นกินตอนเช้าได้ วันพรุ่งก็ชวนกระถินให้มาด้วยกัน 

    หลาน ๆ จะได้พาไปหาเก็บของกินหลังเรือน ปล่อยให้คนท้องคนไส้อยู่บ้านคนเดียวมันอันตราย” หาญบอกกับน้องชายด้วยความหวังดีเนื่องจากตนและน้องต้องไปช่วยกันจัดการงานในแปลงนา

    “ขอรับ ถ้าอย่างนั้นผมกลับบ้านก่อนนะ” เสือรับปากผู้เป็นพี่ก่อนที่จะบอกลาคนทั้งหมด จากนั้นเขาก็รีบเดินจากไป เพราะตอนนี้เริ่มมืดแล้วชายหนุ่มจึงรีบจำอ้าวอย่างรวดเร็ว

    เมื่อเสือออกจากบ้านไปแล้วหาญก็เดินไปปิดประตูรั้วบ้าน ก่อนที่เขาจะเดินตามลูกเมียขึ้นเรือน ที่ตอนนี้ได้จุดตะเกียงที่มีเพียงดวงเดียวรอตนอยู่

    หลังขึ้นเรือนได้สักพักชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงคนเปิดประตูรั้ว “พ่อ แม่” หาญส่งเสียงตะโกนเรียกร่างตะคุ่มสองร่างที่เขาเห็นอยู่ด้านล่างโดยอาศัยแสงตะเกียงที่สว่างไม่มากนักยกดูเพื่อให้แน่ใจ

    “พ่อกับแม่กลับมาแล้ว” เสียงแหบพร่าของพ่อตอบออกมา

    “ร้อน” ตอนนี้ตะวันเริ่มรู้สึกร้อนที่บริเวณหน้าผากของตัวเองเป็นอย่างมาก

    “เหมียว” ตะวันเปิดตาที่สาม น้องเมฆส่งเสียงร้องเตือนเสียงสูง

    “เปิด” ตะวันรีบทำตามทันที และเธอก็รู้สึกว่าสามารถมองเห็นได้ชัดเจนเหมือนเวลากลางวันไม่มีผิด

    แม้จะขึ้นชื่อว่าตาที่สาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตะวันจะมีสามตาหรอกนะ ตะวันก็ยังคงมีสองตาให้เห็นอย่างปกตินี่แหละ เพียงแต่ว่าความรู้สึกมันคมชัดมากขึ้นเท่านั้น

    ตะวันได้กวาดสายตามองไปรอบ ๆ เธอก็ได้มองเห็นวิญญาณชายชราที่นุ่งขาวห่มขาวมวยผมที่เป็นสีดอกเลาขึ้นไว้ตรงกลางศีรษะอย่างเรียบร้อย

    “นังหนูเอ็งเห็นตาอย่างนั้นรึ” วิญญาณชายชราถามออกมาด้วยความสงสัย เพราะแต่ก่อนหลานสาวไม่เคยมองแกอย่างนี้มาก่อนหรือว่าคำทำนายที่ว่าได้เกิดขึ้นแล้ว

    “เห็นจ้ะ ว่าแต่ตาเป็นใคร” ตะวันถามโดยการสื่อสารทางจิต ที่ตอนนี้เธอได้นั่งขัดสมาธิหันหลังให้กับทุกคนบนเรือน

    “ตาเป็นตาของหนู พ่อของสร้อยยังไงล่ะ ตาเป็นห่วงลูกเลยตามมาดูแล ถ้าหนูเห็นตาก็ดีแล้วตอนนี้มีวิญญาณตามหินกับนิดมา หนูก็รีบหาวิธีจัดการเถอะ

    แล้วพรุ่งนี้ก็ให้แม่พาไปที่บ้านตานะ บอกแม่ว่าของที่ตาเคยสั่งไว้เมื่อเห็นแล้วตาจะมาบอกว่ามันคืออะไรแล้วจะต้องทำยังไง

    ตอนนี้ตาจะรีบไปช่วยขวางวิญญาณร้ายไว้ก่อน” หลังจากสิ้นคำของผู้พูดร่างของชายชราก็หายวับไป

    ตอนนี้ตะวันพยายามนึกถึงสิ่งที่ได้เรียนมาก่อนที่จะมาที่แห่งนี้ว่ามีอะไรที่เธอพอสามารถจะทำได้ ในที่สุดเด็กหญิงก็ภาวนาคาถาที่เหมาะกับเวลานี้ออกมา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×