คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : แม้ว่าบ้านจะเก่าแต่ถ้าคนที่อยู่รักกันดีก็อบอุ่น(รีไรท์)
ชายหนุ่มฟังเสียงของบุตรสาวพูดไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งลูกกล่าวถึงเรื่องในป่า “พ่อจ๋า เราเข้าป่าล่าสัตว์ได้ไหมจ๊ะ” เด็กหญิงถามอย่างสงสัย
ทำให้หาญแปลกใจในคำถามของบุตรสาวเป็นอย่างมาก เนื่องจากทุกคนในหมู่บ้านต่างรู้กันดีว่าหากพวกเขายังรักชีวิต ก็อย่าได้เข้าป่าลึกเป็นอันขาด ซึ่งเรื่องนี้แม้แต่เด็กอย่างอรุณก็รู้ แล้วเหตุใดลูกสาวของเขาจึงไม่รู้
หรือว่าเธอก็หลงลืมไปด้วยอย่างนั้นหรือ “ตะวันลูกจำไม่ได้หรือว่าพวกเราในหมู่บ้านไม่มีใครกล้าเข้าป่าลึก” หาญถามขึ้นด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าลูกของตนจะแอบเข้าไปตามลำพัง
‘ซวยแล้วตะวัน’ เด็กหญิงคิดใบหน้าซีดขาว ก่อนจะพยายามระงับสติอารมณ์ให้สงบ แล้วจึงได้ถามบิดาอย่างสงสัย “ทำไมละจ๊ะพ่อ หนูลืมไปแล้ว”
“ก็ในป่ามันมีอันตรายมากทั้งจากสัตว์ป่า และสิ่งลี้ลับที่เรามองไม่เห็น ดังนั้นลูกห้ามแอบเข้าไปอย่างเด็ดขาดเข้าใจไหม” หาญสั่งลูกสาวเสียงเข้ม
“ตะวันเข้าใจแล้วจ้ะ ตะวันจะไม่เข้าไปอย่างเด็ดขาด” เด็กหญิงรับปากอย่างหนักแน่น ทำให้ผู้เป็นพ่อคลายความวิตกลง
“ดีแล้วลูก หากลูกดื้อรั้นเข้าไปพ่อกับแม่คงขาดใจเป็นแน่ เพราะขนาดพรานป่าที่มีชื่อเสียงหลายคนยังไม่กล้าเข้าป่าลึกกันเลย นับประสาอะไรกับชาวบ้านอย่างเรา ๆ” หาญเอ่ยออกมาอีกคำรบ
พร้อมกับคิดถึงเรื่องราวในอดีตที่ตนเคยรู้ ว่าครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว ได้เคยมีชาวบ้านหลายคนรวมกลุ่มกันเพื่อหวังจะไปล่าสัตว์และหาสมุนไพรมาขาย
ในตอนนั้นพวกเขาได้ว่าจ้างพรานเลื่องชื่อให้เป็นผู้นำ แต่สุดท้ายก็ไม่เคยมีใครได้กลับออกมาจากป่าอีกเลย
เหตุการณ์ในครั้งนั้นก็เลยยิ่งเป็นการตอกย้ำให้ชาวบ้านทุกคนต่างพากันหวาดกลัวและไม่มีใครคิดย่างกรายเข้าไปในป่าลึกอีกจนถึงทุกวันนี้
“พ่อจ๋า อย่างนี้หากชาวบ้านหาของป่ารอบนอกหมดแล้ว พวกเขาจะกินอะไรละจ๊ะ” เด็กหญิงส่งเสียงถามบิดาอีกครั้ง
“ก็ทำไร่ ทำนาเท่าที่ทำได้นะสิลูกหรือไม่ก็เข้าไปรับจ้างในตลาด” หาญกล่าวพลางถอนใจอย่างหนักหน่วง
“ทำไร่นา ก็ดีนี่จ้ะ อย่างน้อยก็มีข้าวกิน แล้วพ่อถอนใจทำไมละจ๊ะ” เด็กหญิงเอ่ยถามด้วยติดใจท่าทางอันอ่อนใจของคนเป็นพ่อ
“ก็ที่ดินที่นี่เวลาน้ำมาก ก็มากจนท่วม เวลาแล้งก็แล้งจนดินแห้งนะสิลูกชาวบ้านก็เลยมีที่ดินเพาะปลูกได้อยู่ไม่กี่แห่ง” หาญตอบลูกตามจริงโดยไม่นึกรำคาญ
เนื่องจากตะวันเป็นบุตรสาวที่น่าสงสาร เพราะเธอนั้นเป็นเด็กคลอดก่อนกำหนด ตอนเธอเกิดใหม่ ๆ ตัวเล็กมากเสียงร้องแผ่วเบาจนทำให้ใคร ๆ ต่างก็พากันคิดว่าน่าจะอยู่ได้ไม่นาน
เขากับเมียก็เลยตั้งชื่อลูกสาวว่าตะวัน เพียงเพราะว่าเขาและภรรยาอยากเห็นลูกมีอนาคตสดใสเหมือนกับดวงตะวัน และหวังว่าเด็กน้อยจะลืมตามาดูโลกพร้อมแสงแรกของขอบฟ้าในทุกวัน
การสนทนาระหว่างพ่อกับลูกสาวก็ดำเนินไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งหาญผู้แบกลูกน้อยอยู่บนหลังได้เดินมาจนถึงหน้ารั้วบ้านที่ทำจากไม่ไผ่ในสภาพผุพัง
ตะวันมองเห็นตัวเรือนไม้หลังหนึ่งซึ่งจากความทรงจำของเด็กหญิงทำให้รู้ว่าบ้านที่ใกล้จะพังแหล่มิพังแหล่เป็นบ้านของตน
“ถึงบ้านของเราแล้วลูก” หาญบอกกับลูกสาวก่อนที่เขาจะเดินผ่านประตูรั้วหน้าบ้านเก่าที่เปิดอยู่เข้ามาภายในลานดินหน้าบ้าน
ตะวันมองภาพบ้านไม้ด้านหน้าด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก เมื่อเข้ามาใกล้ตัวเรือนมากขึ้น ‘เอาเถอะอยู่ ๆ ไปเดี๋ยวค่อยทำให้ดีขึ้น’ เด็กหญิงคิดขึ้นพร้อมลอบถอนใจออกมา
เสียงร้องของแมวดำตัวน้อยดังขึ้นทำให้ตะวันหลุดออกจากภวังค์ ก่อนก้มหัวลงมองไปยังพื้นเบื้องล่างพร้อมกับหาญที่มองแมวดำตัวเล็กด้วยความประหลาดใจระคนสงสัย
“มันตามเรามาหรือลูก” หาญถามลูกสาวในขณะที่เขากำลังจะเดินพาลูกไปนั่งบนแคร่ไม้ไผ่ใต้ต้นมะขามใหญ่
“น่าจะใช่จ้ะ” ตะวันแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องแมวตัวเล็ก
ในระหว่างที่หาญกำลังมองแมวดำตัวนั้นอยู่ สร้อยที่เดินออกมาจากครัวก็ส่งเสียงถามสามีอย่างร้อนใจ
“พี่หาญ ลูกเป็นอะไรจ๊ะ” หญิงสาวรูปร่างผอมบางอยู่ในเสื้อแขนยาวสีทึบสวมผ้าซิ่นสีเดียวกันรีบเดินมาหาสามีและบุตรสาวใบหน้าแสดงความเป็นห่วงอย่างชัดเจน
“แม่จ๋า หนูไม่ได้เป็นอะไรมากแค่เท้าบวมเฉย ๆ จ้ะ” ตะวันยกยิ้มตอบแม่ตามตรงโดยเว้นเรื่องที่ถูกงูกัดเอาไว้
เมื่อเธอเห็นหน้าของผู้เป็นแม่ ซึ่งแม่คนนี้ก็มีใบหน้าเหมือนกับแม่ของตนในอนาคตไม่มีผิด
จะผิดกันก็ตรงที่แม่คนนี้ดูมีร่างกายแข็งแรงแม้ว่าจะผอม ดีกว่าแม่คนนั้นที่นอนป่วยอยู่สามวันดีสี่วันไข้ ซึ่งเธอก็ไม่รู้ว่าเป็นผลมาจากคำสาปด้วยหรือเปล่าเด็กหญิงคิดขึ้นอย่างเศร้าใจ
แต่ว่าตอนนี้ในเมื่อเธอได้มาอยู่ที่นี่แล้วเธอจะต้องลบล้างและแก้ไขเรื่องราวในอนาคตให้ได้เพื่อทุกคนในครอบครัวจะได้มีความสุข
สร้อยเมื่อได้ยินที่ลูกสาวพูด จึงได้วางใจลงได้บ้าง จากนั้นเธอจึงได้ก้มมองไปยังข้อเท้าลูกน้อยเพื่อดูให้แน่ใจ
ก่อนที่เจ้าตัวจะกล่าวออกมาเมื่อเห็นว่าลูกสาวไม่ได้เป็นอะไรมากจริง “ถ้าอย่างนั้นพี่พาลูกไปนั่งแคร่รอเถอะจ้ะ เดี๋ยวฉันจะไปยกกับข้าวกับปลาออกมา เพราะถ้าหากมืดมากกว่านี้ เราคงไม่สามารถกินข้าวกันได้แน่” หลังจากกล่าวจบหญิงสาวก็เดินหายเข้าครัวไปอีกครั้ง
ภายในครัวสร้อยก็มองหาบุตรชายตัวน้อยไปด้วย แต่ทว่าก็ไม่เห็นซึ่งเงาของผู้เป็นบุตร ทำให้เธอต้องส่งเสียงตะโกนเรียกหาบุตรชายผู้ที่น่าจะอยู่ห่างจากเรือนครัวไม่ไกล
“อรุณหนูไปตามปู่กับย่ามากินข้าวเร็วเข้า ฟ้าจะมืดแล้ว”
“ขอรับ” เด็กชายตัวเล็กรับคำพร้อมกับที่เขาก็รีบวิ่งขึ้นบันไดเรือนเสียงตึงตัง
ตะวันที่กำลังมองสำรวจรอบบ้านจึงได้เห็นน้องชายของตน ทว่าก็ยังไม่ชัดเจนนักเนื่องจากเจ้าตัวรีบวิ่งขึ้นบันไดเรือนอย่างรวดเร็ว
ทำให้เด็กหญิงมองเห็นเพียงคร่าว ๆ ว่าเด็กชายนั้นตัวเล็กกว่าตนเล็กน้อยไว้ผมแกละไม่ใส่เสื้อ นุ่งโจง ไม่สวมรองเท้าเพียงเท่านั้น
หลังเด็กชายขึ้นไปบนเรือนได้ไม่นาน ก็ได้มีเสียงดังแหบพร่าของชายชราเอ็ดใส่เขา
“เจ้าอรุณปู่เคยสอนเอ็งว่ายังไง เดินขึ้นเรือนให้เดินเบา ๆ ไม่ใช่เอาส้นเท้าลงดังตึงตึงอย่างนี้” ชายชราบ่นหลานชายตัวเล็กอย่างไม่สบอารมณ์ในความดื้อของหลานตัวจ้อย
“หนูขอโทษจ้ะปู่ หนูลืม ต่อไปนี้หนูจะพยายามไม่เดินเสียงดัง”คนตัวเล็กพนมมือกล่าวออกมาน้ำเสียงจ๋อยสนิทพลางก้มหน้างุดเนื่องจากเกรงกลัวผู้เป็นปู่
เมื่อชายชราเห็นว่าหลานชายรู้สำนึกแล้ว เขาจึงได้เปลี่ยนเรื่องออกมา “พ่อกับพี่สาวเอ็งเขากลับมากันแล้วเหรอ”
“ใช่จ้ะ แม่จึงให้ฉันมาตามปู่กับย่าไปกินข้าว ไม่อย่างนั้นหากมืดเกินไปจะมองไม่เห็นเอาได้” เสียงของเด็กชายกลับมาสดใสเหมือนเดิมตอบตามที่ผู้เป็นแม่บอกกับเขามา
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปกันเถอะ พ่อมึงก็อย่าไปว่าหลานมันมากนักเดี๋ยวมันก็ตกใจกลัวแกหรอก” ย่าซึ่งนั่งตำหมากอยู่ข้างปู่พูดขึ้น
หลังจากนั้นคนทั้งสามก็พากันเดินลงจากเรือนซึ่งตอนนี้เจ้าแสบก็ค่อย ๆ เดินตามที่ปู่ต้องการ ซึ่งย่าที่เห็นท่าเดินของมันก็ได้แต่นึกขำในใจ
เมื่อทั้งสามลงมาจนถึงแคร่หน้าบ้าน ก็ได้เห็นกระติ๊บข้าวเหนียวกับแกงผักป่าที่มีแต่ผักอย่างเดียวเท่านั้นอยู่สองชามในชามสังกะสีเก่า ๆ และจานข้างกันได้มีปลาย่างตัวขนาดกลางที่ใช้ใบตองรองอยู่หนึ่งตัว
ตะวันมองอาหารตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่บ่งบอกความรู้สึกไม่ถูก คงมีแต่เสียงในใจเท่านั้นที่อยากจะร่ำไห้ เนื่องจากเธอไม่เคยกินอาหารเช่นนี้มาก่อน
“หิวเหรอลูก ถ้าอย่างนั้นก็กินกันเถอะ วันนี้หลานปู่น่าจะเหนื่อยแย่แล้ว” หินพูดออกมาเมื่อเห็นหลานสาวเอาแต่จ้องมองกับข้าวด้านหน้าตาไม่กะพริบ
ตะวันอยากจะบอกออกไปหรือเกินว่า ปู่จ๋าหนูไม่ได้หิวแต่หนูแค่รู้สึกตกใจที่เห็นกับข้าวต่างหาก
“จ้ะปู่” ตะวันตอบรับเสียงหวานผิดกับความคิดของตน ไม่ใช่ว่าเธอรังเกียจอาหารแบบนี้ แต่เธอคิดว่ามันไม่เพียงพอให้เธอและน้องเติบโตก็แค่นั้น
“อร่อยไหมลูก” นิดถามกับหลานสาวที่ตัวเล็กมากกว่าเด็กวัยเดียวกันอย่างเอาใจใส่
“อร่อยจ้ะย่า” ตะวันตอบย่าตามจริง แม้ว่าอาหารมื้อนี้จะไม่มีเครื่องปรุงอย่างอื่นนอกจากเกลือทว่าความสดจากผัก
และความหวานจากเนื้อปลา อีกทั้งยังความเอาใจใส่ของคนในครอบครัวทำให้เธอรู้สึกว่าอาหารมื้อนี้ก็ไม่เลว
เด็กหญิงจึงเคี้ยวข้าวตุ้ย ๆ อย่างเจริญอาหาร จากนั้นเธอจึงได้หันไปหยิบเนื้อปลาใส่จานสังกะสีให้น้องของตนอย่างหวังดี เพราะเธอกลัวว่าก้างปลาจะติดคอน้องน้อยเอาได้
ซึ่งน้องชายก็ได้แต่ส่งยิ้มให้กับพี่สาว ทั้งที่เจ้าตัวยังเคี้ยวข้าวเหนียวที่ปั้นไว้จนแก้มป่อง ตะวันมองน้องชายด้วยความเอ็นดูและตั้งมั่นในใจว่าน้องชายจะต้องไม่เป็นโจรในอนาคตอย่างแน่นอน
หลังมื้ออาหารจบลง ตะวันกำลังจะช่วยผู้เป็นแม่เก็บจาน ชามเข้าไปในครัวก็ได้ถูกพ่อส่งเสียงห้ามออกมา “ลูกไม่ต้องเก็บ ขาของหนูยังบวมอยู่เดี๋ยวพ่อกับน้องช่วยแม่เอง”
“ขาของหลานไปโดนอะไรมาอย่างนั้นหรือมาให้ปู่ดูที” เสียงแหบพร่าของชายชราถามขึ้นพลางมองไปยังหลานสาวอย่างต้องการคำตอบ
ตะวันจึงต้องจำใจเล่าเรื่องที่ตนโดนงูกัดออกมา ทำให้สร้อยเอามือทาบอกน้ำตาคลอหน่วยกอดลูกสาวอย่างหวาดกลัว
ผู้เป็นน้องชายเองก็กอดพี่สาวแน่นเช่นเดียวกัน เขากลัวว่าจะไม่มีพี่สาวพร้อมทั้งแค้นเคืองงูตัวนั้นเป็นอย่างมากที่กล้ามากัดพี่สาวตน ‘อย่าให้เจอนะเจ้างูบ้า’ เด็กน้อยกัดฟันกรอด
“ปลอดภัยก็ดีแล้วคุณพระคุ้มครอง” ผู้เป็นย่าอุทาน
“แล้วเอ็งไปไหนทำให้หลานสาวข้าถูกงูกัด ดีนะที่นังหนูมันฉลาดรู้จักพกยาข้าติดตัว ไม่อย่างนั้นเอ็งได้เห็นดีกับข้าแน่” ชายชราหันไปกล่าวคาดโทษผู้เป็นลูกชายก่อนกล่าวชมหลานสาวด้วยความภูมิใจ
ตะวันรู้สึกอุ่นวาบในอกที่คนในครอบครัวนี้ต่างรักและเป็นห่วงเธอ เช่นเดียวกับครอบครัวที่จากมา ดังนั้นเด็กหญิงจึงยิ่งตั้งมั่นว่าจะทำให้ครอบครัวนี้กินดีอยู่ดีให้จงได้
ความคิดเห็น