คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #12 : ผีมีหางก็ต้องตีที่กระด้งถูกไหมจ๊ะตา(รีไรท์)
หลังจากที่สามีหนุ่ม ภรรยาสาวช่วยกันเก็บข้าวของที่มีอยู่เพียงน้อยนิดของตนเรียบร้อย คนทั้งคู่ก็กำลังจะก้าวเท้าลงจากเรือน
เพื่อมาสมทบกับหาญด้านล่างที่ได้เก็บข้าวปลาอาหารแห้งในครัวของน้องชาย หาญเก็บของที่อยู่ในโรงครัวจนหมดก็พอดีกับที่เสือสะพายห่อผ้าไว้บนบ่าก้าวลงมาจากเรือนโดยประคองเมียรักเดินมาด้วยกัน
“ไปกันเถอะ ป่านนี้คนที่บ้านของพี่ก็น่าจะเก็บข้าวของหมดแล้ว” พี่ชายกล่าวก่อนที่เขาจะเดินไปหยิบแหที่น้องชายถักไว้ขึ้นสะพายบ่า
คนทั้งสามพากันใช้เวลาไม่มากก็เดินมาถึงบ้านหลังน้อยของหาญที่ตอนนี้คนในบ้านพร้อมกับข้าวของได้มากองรวมกันรอพวกเขาอยู่ได้ครู่ใหญ่แล้ว
“พวกเราไปกันเถอะจ้ะ หากช้ากว่านี้เราจะเจอฝนระหว่างทางได้” เด็กหญิงผมจุกวัยแปดขวบพูดขึ้นพร้อมกับแหงนหน้ามองดูฟ้าที่แม้ว่าจะยังสดใสอยู่ก็ตาม
“พวกเราจะไปยังไงหรือพี่หาญเรือบ้านพี่ก็ลำไม่ใหญ่นักหรือว่าพี่จะเทียวรับเทียวส่งสักสองสามรอบอย่างนั้นเหรอ เรือฉันก็ไม่มีเสียด้วย จะไปไหนก็มายืมพี่ทุกครั้งหรือไม่ก็เสียค่าจ้างเอา” เสือถามพี่ชายด้วยความกังวลปนเปกับความเกรงใจที่คิดว่าตนอาจเป็นตัวถ่วงให้ครอบครัวของพ่อแม่และพี่ชาย
“เรื่องนี้เอ็งไม่ต้องห่วงหรอกใช่ไหมตะวันลูกรัก” หาญบอกกับน้องก่อนจะบ่ายหน้าไปถามลูกสาวที่ยืนยิ้มอย่างมีเลศนัยออกมา
“ตามหนูมาเลยจ้ะ รับรองว่าพวกเราเดินทางคราวเดียวหมด” เด็กหญิงตัวน้อยกล่าวพร้อมหันหลังของตนที่มีห่อผ้าห่อน้อยสะพายอย่างคนอื่น
เมื่อคนทั้งหมดเดินมาถึงท่าน้ำหลังบ้านพวกเขายกเว้นตะวันกับน้องเมฆแมวดำต่างก็อ้าปากตกตะลึงกับสถาพของเรือที่พวกเขาเห็นแม้แต่ปู่กับย่าหรือพ่อที่เคยนั่งเรือลำนี้มาก่อนก็ยังไม่คิดว่าเรือจะมีความใหญ่และสวยงามมากขนาดนี้
“นะ..นี่พี่หาญนี่มันเรือแหวดไม่ใช่หรือฉันเคยเห็นบ้านเศรษฐีโกมลมีอยู่ลำแต่ว่ายังไม่ใหญ่เท่านี้เลย” เสือกล่าวออกมาอย่างตกใจ พร้อมกับคิดว่าเหตุใดบ้านพี่ชายถึงมีเรือลำนี้ได้กันหากพวกโจรขโมยรู้เข้ามีหวังมันคิดว่าบ้านนี้จะต้องมีสิ่งของให้มันปล้นเป็นแน่
“มันอันตรายนะพี่ หากว่าพวกเสือเจ้าถิ่นรู้เข้าพวกพี่จะเดือดร้อนเอาได้หนา” เสืออดเตือนคนเป็นพี่ออกมาไม่ได้ด้วยความกังวล
“เสือเจ้าถิ่นคืออะไรหรือจ๊ะอาเสือ ใช่น้องแมวตัวใหญ่หรือเปล่า” เด็กหญิงผมจุกถามออกมาด้วยความสงสัยทำไมคำมันดูแปลกพิกล
“อาเสือเขาหมายถึงโจรนะลูก หากมันรู้ว่าบ้านเรามีเรือที่แม้กระทั่งบ้านเศรษฐียังสู้ไม่ได้มันก็จะคิดว่าบ้านเรามีเงินมาก ทำให้พวกมันคิดมาปล้นชิง คนพวกนี้มักตั้งตนว่าเป็นเสือเพื่อให้ผู้คนเกรงกลัว” ปู่ชราอธิบายให้หลานสาวตัวน้อยฟัง
“อ๋อเป็นอย่างนี้นี่เอง” ตะวันพยักหน้าหงึกหงักเหมือนเข้าใจ
ในขณะที่ผู้ใหญ่ต่างเป็นกังวลถึงภัยที่อาจจะเกิดขึ้น แต่สำหรับเด็กชายอรุณนั้นตอนนี้ได้ขึ้นไปสำรวจบนเรือด้วยความอยากรู้อยากเห็นนานแล้วก่อนจะโผล่หน้าออกมาจากในเก๋งกลางลำเรือ
“พ่อ แม่ ปู่ ย่า อาเสือ อากระถินมาลงเรือกันเถอะจ้ะ เรือของพี่ตะวันข้างในสวยมากเลยมีที่ให้นั่งให้นอนด้วย” เจ้าตัวเล็กส่งเสียงตะโกนเรียกผู้ใหญ่ของบ้านน้ำเสียงตื่นเต้น
“ทุกคนไปลงเรือเถอะจ้ะหนูมีวิธีไม่ให้เรือของเราเป็นที่สนใจของผู้คนได้ เชื่อหัวตะวันเถอะ” เด็กหญิงกล่าวออกมาอย่างทะเล้นปราศจากความหนักใจ
“หากหลานว่ามีวิธีก็ต้องมี ว่าแต่ตาของหลานได้อยู่ที่นี่ด้วยกันหรือเปล่า” ปู่พูดพลางเอามืออันเหี่ยวย่นของตนประคองแขนคู่ชีวิตให้เดินไปด้วยกันและยังไม่ลืมถามถึงสหายรัก
“ตาไปที่บ้านหลังโน้นแล้วจ้ะ เห็นว่าจะไปให้พี่ ๆ ที่อยู่บ้านหลังนั้นช่วยกันเก็บกวาดบ้านรอพวกเรา” หลานสาวตอบตามจริงแต่ความจริงเช่นนี้ทำให้ผู้มาใหม่สองคนถึงกับขนลุกเกรียวด้วยความกลัว
“เอ็งไม่ต้องกลัวไป พี่รับรองว่าพวกเขาไม่ออกมาหลอกพวกเราหรอกรีบลงเรือกันเถอะ” หาญพูดกับน้องเมื่อเห็นว่าใบหน้าของคนอายุน้อยกว่าตนเริ่มซีดเผือด
ทางด้านกระถินเองก็มีอาการไม่ต่างกันแต่หล่อนเชื่อตามที่พี่ชายของสามีบอก เพราะบ้านหมอผีตาคงหลังนั้นต่างก็เป็นที่กล่าวถึงไปหลายคุ้งน้ำในความเฮี้ยนของผีสางที่ยังวนเวียนอยู่หรืออาจจะเป็นวิญญาณของตาคงเองก็เป็นได้
หลังจากที่ทุกคนในครอบครัวลงไปนั่งในเรือกันหมด ตะวันก็เริ่มสวดคาถาที่ได้ร่ำเรียนมาจากตาคงคือคาถาอำพรางทันทีในระหว่างที่คนตัวเล็กสวดคาถาที่ว่าลมก็พัดกรรโชกอย่างรุนแรงทำให้ใบไม้ปลิวหลุดจากกิ่งก้านลอยละลิ่วตามลม
ท้องฟ้าจากที่สว่างสดใสก็แปรเปลี่ยนเป็นมีเมฆเคลื่อนตัวมาบดบังทำให้แสงแดดอันเจิดจ้าได้หายไปพอตะวันสวดคาถาจบเด็กหญิงก็ลงไปนั่งในเรือเช่นเดียวกัน
ตอนนี้หาญและเสือได้ประจำอยู่ที่หัวเรือกับท้ายเรือเพื่อจะพายเรือลำนี้แต่พวกเขาก็ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถพายได้หรือเปล่าเพราะโดยปกติเรือใหญ่แบบนี้มักจะใช้ฝีพายห้าถึงหกคน
ตะวันที่ตามมาลงเรือทีหลังเห็นว่าพ่อกับอาไม่ได้เข้าไปนั่งในเก๋งก็รู้สึกสงสัยจึงได้ส่งเสียงถามพ่อที่อยู่ด้านหัวเรือ
“พ่อจ๋า ทำไมพ่อกับอาเสือไม่เข้าไปนั่งกันละจ๊ะมาอยู่ข้างนอกทำไมหากฝนตกจะเปียกเอานะ”
“พ่อกับอาก็จะเป็นคนพายเรือนะสิลูกหากพวกเราเข้าไปนั่งกันหมดแล้วใครจะเป็นคนพายเรือกันล่ะ” คนเป็นพ่อชี้แจ้งให้ลูกสาวตัวน้อยฟัง
คราวนี้ตะวันก็ถึงบางอ้อจากนั้นเด็กหญิงก็ได้เรียกหุ่นพยนต์ชายที่มีรูปร่างกำยำออกมาหกคนให้ไปนั่งตามจุดของฝีพาย
“เฮ้ย!” เสือที่อยู่ด้านท้ายเรือผงะหงายหลังเกือบตกจากเรือด้วยความตกใจ โชคดีที่ว่าหุ่นพยนต์ที่นั่งอยู่ด้านข้างกระชากคอเสื้อของเสือเอาไว้ได้ทัน
แคว่ก! เสียงเสื้อของเสือขาดติดมือหุ่นพยนต์ร่างกำยำที่ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยความเฉยชาหาได้สนใจในการกระทำของตนไม่
เสือที่คราวแรกยังตกใจกับการที่จู่ ๆ มีคนปรากฎกายออกมาจากความว่างเปล่าความรู้สึกเหล่านั้นได้หายไปเนื่องจากเหตุการณ์เกือบตกเรือของตนนั้นน่ากลัวกว่ามาก
“ขอบคุณครับพี่ชาย” เสือกล่าวออกมากับหุ่นที่ช่วยตนไว้ด้วยความรู้สึกกระดากที่เขาตกใจจนเกินตัว
ฝ่ายหาญและตะวันรวมทั้งคนในครอบครัวที่อยู่ในเก๋งเมื่อได้ยินเสียงร้องของเสือพวกเขาก็พากันหันหน้ามาทางต้นเสียง
“พี่เสือ เสื้อของพี่” กระถินเมื่อเห็นว่าสามีของตนปลอดภัยดีมีเพียงเสื้อที่ขาดจึงได้ทักขึ้นมา
“อ๋อ เอาไว้กระถินค่อยหาผ้าเก่า ๆ มาปะให้พี่ก็ได้เรื่องแค่นี้ไม่เป็นไรหรอก” เสือกล่าวกับภรรยาอย่างไม่ถือสา
แต่สำหรับตะวันที่ได้ยินถ้อยคำแบบนี้ เธอก็รู้สึกสะท้อนใจในความยากจนของครอบครัวตนหากเป็นยุคอนาคตนะเหรอ ไม่รู้ว่าเธอมีเสื้อผ้าตั้งเท่าไหร่หากขาดแบบนี้ก็มีแต่โยนทิ้งเพียงเท่านั้นแหละ
‘เอาล่ะตะวัน ภารกิจของเธอจะต้องสร้างฐานะให้ครอบครัวให้จงได้ น้องชายจะได้ไม่ต้องกลายเป็นโจรทำให้ผู้คนสาปแช่งจนคำสาปพวกนั้นตามติดมาถึงลูกหลานหลายชั่วอายุคน’ เด็กหญิงผมจุกคิดอย่างหมายมาด
เมื่อมีหุ่นพยนต์มาเป็นฝีพายการเดินทางย้ายไปเรือนหลังใหม่ของคนทั้งครอบครัวก็เริ่มขึ้นและเมื่อเรือที่ตะวันได้พรางตาเอาไว้มาถึงศาลาท่าน้ำของบ้านตาคงแล้วหุ่นฝีพายก็หายไป
คราวนี้คนที่อยู่ในเรือเริ่มจะคุ้นชินจนหายตกใจกันไปนานแล้วเพราะตลอดเวลาที่นั่งอยู่ในเรือ เด็กหญิงตัวน้อยมักจะเรียกของกินออกมาจากความว่างเปล่าให้พวกเขากินจนอิ่ม ซึ่งอาหารการกินเหล่านั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นและไม่เคยกิน
ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีความสงสัยมากสักเพียงใดก็ตามว่าสิ่งของเหล่านั้นมาจากไหนแต่เพื่อไม่ให้ลูกสาว หรือหลานสาวลำบากใจ
ดังนั้นจึงไม่มีใครปริปากถาม สำหรับครอบครัวนั้นรู้อยู่แล้วถึงที่มา แต่ทว่าเสือกับกระถินนั้นยังไม่รู้ ถึงอย่างนั้นสองสามีภรรยาก็ปิดปากเงียบไม่คิดถามออกมา
คงจะมีก็แต่เจ้าเด็กชายตัวเล็กที่ตื่นเต้นกับทุกสิ่งที่พี่สาวของตนนำออกมาเขาจึงได้เสียสละตัวเองโดยการชิมทุกอย่างเพื่อบอกกล่าวว่าสิ่งใดรสชาติเป็นอย่างไรอร่อยหรือไม่อร่อย ทำให้ผู้ใหญ่ได้แต่ขบขันกับข้ออ้างของเด็กชายตัวน้อย
เมื่อทุกคนพากันขึ้นจากเรือและเดินมาถึงตัวบ้านก็ทำให้ยิ่งรู้สึกแปลกใจในความสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยของเรือนไม้หลังงามมุงหลังคาสังกะสีหลังนี้
“ทุกคนรีบขึ้นเรือนกันเถอะจ้ะฝนมาแล้ว” ตะวันยังไม่ทันพูดจบดีฝนเม็ดหนาก็ตกลงมาโดยไม่ให้มนุษย์เบื้องล่างทันได้ตั้งตัว
วิญญาณเจ้าของบ้านที่เห็นน้ำฝนอันสะอาดบริสุทธิ์จึงได้ส่งเสียงเตือนหลานสาวเสียงดัง
“ตะวันพอฝนตกสักพักเอ็งรีบไปรองน้ำเก็บไว้ในโอ่งใหญ่เลยนะ จะได้เอาไว้ใช้สำหรับทำยาสมุนไพร”
“ได้จ้ะตา” เด็กหญิงตอบรับ
หาญและเสือรวมทั้งเจ้าตัวเล็กอรุนเมื่อเห็นว่าที่นี่มีโอ่งน้ำใบเขื่องหลายใบพวกเขาต่างก็กระวีกระวาดหาถังมารองน้ำจากรางน้ำที่ติดอยู่รอบชายคาบ้านเพื่อเติมน้ำลงในโอ่งเก็บเอาไว้กิน
ด้านตะวันเองก็หาถังส่งให้คนทั้งสามแม้ว่าเจ้าตัวเล็กจะยกน้ำที่หนักกว่าเทใส่โอ่งดินใบยักษ์ไม่ไหว แต่เขาก็ยังช่วยส่งถังน้ำจากพี่สาวให้พ่อกับอาได้สองพี่น้องต่างช่วยพ่อและอากันอย่างขะมักเขม้น
“เหตุใดฝนจึงตกหนักแบบนี้ได้ทั้ง ๆ ที่เมื่อชั่วครู่ฟ้ายังสว่างอยู่เลย” เสือกล่าวกับพี่ชายที่ตัวเปียกปอนสภาพไม่ต่างจากตนในขณะที่ส่งถังน้ำให้ผู้เป็นพี่
“เอ็งก็ถามประหลาดแท้เรื่องของธรรมชาติใครจะไปรู้ได้ แต่ว่าการที่เทวดาท่านประทานน้ำมาให้พวกเราก็ดีแล้วจะได้มีน้ำกินได้ตลอดทั้งปี ไม่อยากนั้นหากฝนแล้งขึ้นมาพวกเราจะไปเอาน้ำจากไหนมากินมาใช้” คนเป็นพี่แม้ปากจะพูดแต่ในมือก็ส่งถังน้ำที่เต็มให้คนเป็นน้องเพื่อจะได้เทลงโอ่งใบใหญ่ที่ตั้งเรียงกันอยู่นับสิบ
ชายหนุ่มทั้งสองคนต่างช่วยกันทำงานจนกระทั่งโอ่งใบใหญ่รอบบ้านเต็มไปด้วยน้ำฝนแม้แต่โอ่งที่ตาคงสั่งตะวันด้วยเช่นกัน
หลังจากเสร็จงานเรียบร้อยสองพี่น้องก็ได้พากันขึ้นเรือนเพื่อจะได้ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าอันเปียกโชกของตนออก
ทางด้านตะวันในตอนนี้ก็ได้มาร่ำเรียนวิชาจากตาภายในห้องที่เคยเป็นห้องเดิมของผู้เป็นตาซึ่งห้องนี้เป็นห้องที่ห้ามคนอื่นเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเด็กหญิงโดยเด็ดขาด ส่วนน้องชายก็ผล็อยหลับไปด้วยความอ่อนเพลียอยู่ข้างกายพี่สาวนั่นเอง
เด็กหญิงผมจุกนั่งสมาธิไปได้ไม่เท่าไหร่ก็เริ่มที่จะเคลิ้มหลับจากบรรยากาศที่ชวนนอนจนผู้เป็นตาได้เอานิ้วเคาะไปยังหน้าผากมนของหลานสาว
“ตาจ๋าตะวันเจ็บนะตาเขกหัวหนูทำไมจ๊ะ” เด็กหญิงสะดุ้งโหยงพร้อมเอามือลูบหัวปรอย ๆ เหมือนกับว่าเจ็บมาก
“เอ็งอย่ามากะล่อนกับตานะยัยหนู ตาให้เอ็งฝึกสมาธิไม่ใช่มาหลับหากผีมีหางโผล่มาเอ็งจะสู้มันได้ยังไงข้าว่าไม่เกินวันพรุ่งมันต้องมาหาเอ็งแน่” วิญญาณชายชราที่รู้ทันหลานสาวกล่าว
“จะยากอะไรล่ะจ๊ะตาหากมันโผล่มาจริง หนูจะตีกระด้งของมันให้หักเลยคอยดูสิหากว่าผีมีหางไร้ซึ่งกระด้งแล้วมันจะบินได้ยังไงรับรองตกลงจากฟ้าดังตุ๊บแน่” เด็กหญิงกล่าวตามที่ตนได้อ่านเจอแต่ว่ามันจะเป็นเรื่องง่ายอย่างที่เด็กหญิงกล่าวออกมาจริงนะเหรอ
ภายในห้องของสองสามีภรรยาที่จากบ้านของตนมาตามคำชวนของผู้เป็นพี่พวกเขากำลังนั่งคุยกันเสียงเบาถึงเรื่องของฟ้าฝนที่ตอนนี้มีแต่ลงหนาเม็ดขึ้นโดยไม่มีเบาบาง
“ฉันว่าหากฝนยังตกแบบนี้เห็นทีว่าเรือนของเราคงจะถูกน้ำท่วมแน่เลยพี่ แล้วถ้าน้ำท่วมจริง ๆ พวกเราจะไปทำอะไรกัน จะมาอาศัยพี่หาญอยู่อย่างนี้ไม่ได้หรอกหนาเกรงใจเขา” กระถินพูดกับสามีด้วยความวิตก
“เมียจ๋าไม่ต้องกังวลนะพี่หาญบอกว่าหากที่เวิ้งนั้นน้ำท่วมจริงตะวันจะแบ่งที่ดินให้พวกเราปลูกเรือนแยกออกมา อีกทั้งยังชวนพวกเราทำเกษตรแบบสม ๆ อะไรนี่แหละจ้ะ” ฝ่ายสามีกล่าวตามที่พี่ชายพูดให้ฟังก่อนที่เขาจะเดินเข้ามาในห้อง
“มันจะดีเหรอพี่ ที่ดินเวิ้งนี้เป็นของตาของหล่อนนะพวกเราจะมาชุบมือเปิบได้ยังไงถึงหลานจะยกให้ก็เถอะ” คนเป็นเมียแย้งอย่างไม่คิดโลภของผู้อื่น
“พี่ก็พูดไปแบบนี้แหละแต่ว่าพี่หาญบอกว่าเจ้าตะวันกล่าวว่าที่ทั้งเวิ้งมีตั้งหลายไร่จะหวงไว้ทำไมพอตกตายเหมือนตาคงก็เอาไปไม่ได้ ดังนั้นเมื่อเราเป็นญาติกันก็อยู่ด้วยกันช่วยทำมาหากินกันไปเมื่อไหร่ที่พวกเราสามารถลืมตาอ้าปากได้หากคิดอยากตอบแทนก็ยังไม่สาย” คนเป็นสามีพูดออกมาเหมือนที่ได้คุยกับพี่ชายให้เมียรักฟัง
หลังฟังจบกระถินก็ได้แต่ซาบซึ้งในความกรุณาของครอบครัวพี่ชายสามีที่มักจะนึกถึงน้องชายและน้องสะใภ้อย่างตนตลอดเวลา
การสนทนาของผัวเมียก็ผ่านไปจนกระทั่งถึงเวลาค่ำคืนเวิ้งบ้านเดิมของตะวันก็ได้ถูกน้ำป่าที่ไหลหลากท่วมตามที่เด็กหญิงผมจุกได้กล่าวไว้
ความคิดเห็น