ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะวันเหนืออสงไขย ภาคลบล้างคำสาปต้นตระกูล

    ลำดับตอนที่ #11 : ย้ายเรือนกันเถอะจ้ะ(รีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.ค. 66


    เช้ามืดของวันใหม่ยังไม่ทันที่แสงเงินแสงทองจับขอบฟ้า ด้านหน้าโบสถ์ของวัดเนินคุ้มได้มีร่างของชายคนหนึ่งนั่งยอง ๆ อยู่ที่พื้นหน้าประตูอุโบสถพร้อมพนมมือขึ้นเหนือศีรษะตัวสั่นงันงก

    ปากก็พร่ำถึงสิ่งที่ตนเจอมาด้วยความหวาดกลัวไม่เป็นประสานำพาให้พระลูกวัดที่จะต้องมาเปิดประตูโบสถ์ผงะด้วยความตกใจเนื่องจากเห็นหน้าคนผู้นั้นไม่ชัดเจน

    และถึงแม้ในใจพระรูปนั้นจะรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงก็ตาม ทว่าท่านก็ยังส่งเสียงถามออกไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

    “นั่นใคร มานั่งทำอะไรอยู่หน้าโบสถ์โยมเป็นผีหรือคน” พระบวชใหม่หันซ้ายแลขวาในขณะที่รอฟังคำตอบ แต่ดูเหมือนว่าชายคนนั้นจะไม่ได้ยินคำถามของตน

    พระรูปนี้ยืนรออยู่นานก็ยังไม่ได้รับคำตอบจึงทำให้พระใหม่ยิ่งรู้สึกถึงความกลัวภายในใจมากขึ้น ‘เอาเถอะในเมื่อเรามาบวชเรียนแล้วต้องพยายามข่มใจให้ได้’ พระหนุ่มสูดหายใจเข้าปอดลึกคิดปลอบใจตน จากนั้นท่านก็นำตะเกียงที่ถือมาส่องไปยังร่างที่ครางฮือ ๆ ทันที

    แม้ว่าตอนนี้จะเป็นเวลาเช้าแล้วก็ตามทว่าก็ยังคงเป็นช่วงรุ่งสางที่ยังไร้ซึ่งแสงสว่างจากพระอาทิตย์เบื้องบน

    “เหตุใดท่านถึงมายืนอยู่ตรงนี้” 

    ในขณะที่พระหนุ่มกำลังส่องตะเกียงไปยังร่างที่เห็น ด้วยท่าทางยักแย่ยักยันอยู่นั้นก็ได้มีเสียงห้าวดังขึ้นจากทางด้านหลัง ทำให้เขาสะดุ้งโหยงตะเกียงที่ถือมาร่วงลงไปกับพื้น

    “ท่านเป็นอะไร” พระรุ่นพี่รีบถามพระใหม่อย่างตกใจเมื่อเห็นอาการของพระตรงหน้า

    พระผู้ถูกทักหลังจากได้ยินเสียงของพระรุ่นพี่เขาจึงได้พอมีสติขึ้นมาบ้างก่อนที่พระหนุ่มจะค่อย ๆ หันหน้ามองผู้ที่เรียกตนด้วยใจเต้นระทึก

    เสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกดังออกมาจากพระใหม่ ก่อนที่เขาจะย่อตัวเอามือกุมเข่าไว้ทั้งสองข้างด้วยท่าท่างคล้ายหอบเหนื่อย

    “ว่ายังไงท่านเป็นอะไร เหตุใดจึงได้ตื่นตัวเกินกว่าเหตุเช่นนี้” หลังจากที่พระรุ่นพี่เห็นท่าท่างอันผ่อนคลายของพระใหม่แล้วจึงได้ลองถามออกมาอีกหน

    “คะ..คือกระผมเห็นคนผู้นั้นนั่งอยู่ขอรับ อีกทั้งยังกล่าวไม่ได้ศัพท์ กระผมกะ...ก็เลยกำลังจะส่องไฟเข้าไปดู ท่านก็มาทักขึ้นเสียก่อนกระผมก็เลยตกใจ” พระรูปใหม่กล่าวกระท่อนกระแท่นด้วยความกระดากอายที่ตนเป็นพระทว่ากลับกลัวจนขาดสติ

    “เป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นท่านรออยู่ตรงนี้เถอะ เดี๋ยวกระผมจะเข้าไปดูเอง” พระรุ่นพี่กล่าวอย่างเข้าใจในตัวพระรุ่นน้องจากนั้น พระผู้มาใหม่ก็เดินไปหยิบตะเกียงที่นอนอยู่บนพื้นดินขึ้นมา

    เมื่อแสงจากตะเกียงส่องไปยังคนเบื้องหน้าแล้ว พระรูปนี้ก็ส่งเสียงทักชายคนนั้นออกมา “โยมมิ่ง โยมมานั่งทำไมอยู่ตรงนี้” เสียงเรียกจากพระผู้มีอายุน้อยกว่าชายที่นั่งอยู่ถามออกมาด้วยกระแสเสียงแห่งความอบอุ่น

    แต่ชายวัยกลางคนผิวคล้ำร่างผอมก็หาได้รู้สึกตัวไม่ จนกระทั่งพระรูปนี้เห็นความผิดปกติมากขึ้น ท่านจึงได้นำมือของตนจับบ่าของชายผู้นี้พร้อมถามคำถามเดิมอีกครั้ง

    คราวนี้ชายร่างผอมถึงกับสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกถึงน้ำหนักบนบ่า ทำให้ชายวัยกลางคนผู้นี้หันมามองมือที่ยังคงวางอยู่บนไหล่ก่อนที่จะแหงนหน้าขึ้นมองผู้เป็นเจ้าของมือนั้น

    “ท่านขอรับ ช่วยกระผมด้วย กระผมโดนผีมีหางหลอก มันน่ากลัวมาก” เมื่อชายวัยกลางคนเห็นพระผู้คุ้นเคย เขาก็พรั่งพรูสิ่งที่ตัวเองเพิ่งประสบออกมาทันที

    พระทั้งสองรูปเมื่อได้ยินถ้อยคำอันน่าเหลือเชื่อจากชายผู้นี้ ก็รู้สึกตกใจ โดยเฉพาะพระใหม่ที่กำลังหันซ้ายแลขวาขยับตัวสืบเท้าเข้าไปใกล้พระรุ่นพี่ด้วยสีหน้าซีดขาว

    “โยมใจเย็น ๆ ก่อน ว่าแต่โยมแน่ใจแล้วหรือว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นผีไม่ใช่ว่าโยมนึกคิดไปเอง” พระผู้มีอายุน้อยกว่าชายผู้นั่งกอดขาตนอยู่ถามย้ำ พลางมองหน้าชายผู้นี้และก็ได้เห็นแววตาตื่นตระหนกของคนที่ถูกถามได้อย่างชัดเจน

    “ด้วยความสัตย์จริงเลยขอรับ จะให้กระผมกล่าวคำสาบานต่อหน้าท่านเลยก็ได้” ชายวัยกลางคนกล่าวออกมาสีหน้าขึงขัง

    เมื่อได้ยินและเห็นท่าทางยืนยันหนักแน่นของชายวัยกลางคน พระรูปนี้จึงคิดว่าหากมีผีมีหางปรากฎออกมายังหมู่บ้านแห่งนี้จริงเรื่องนี้เห็นทีว่าจะเป็นเรื่องใหญ่เสียแล้ว

    “เอาล่ะ ไม่ต้องถึงขนาดสาบานหรอก หากเป็นอย่างที่โยมว่ามาอาตมาคิดว่าโยมน่าจะไปหาท่านสมภารให้ท่านรดน้ำมนต์ให้ และเราค่อยมาปรึกษากันถึงเรื่องนี้ดูอีกที” พระผู้มีอายุน้อยกว่าฆราวาสคนนี้กล่าวอย่างตรงไปตรงมา

    “ขอรับ” ชายร่างผอมรับคำพร้อมกับพยายามจะลุกขึ้นยืน แต่ทว่าในขณะที่เขากำลังพยายามจะลุกขึ้นก็ได้ทรุดตัวลงนั่งไปอีกหนเนื่องจากว่าตั้งแต่เมื่อคืนชายผู้นี้นั่งอยู่ในท่าเดิมนานเกินไป

    พระรุ่นน้องที่ยืนอยู่ใกล้จึงได้รีบเดินเข้าไปช่วยพระรุ่นพี่ในการพยุงชายร่างผอมอีกคน

    ทางด้านบ้านของตะวันที่ตอนนี้เป็นเวลาสายมากแล้ว เด็กหญิง

    ตัวเล็กยืนมองสภาพเรือนของตนอยู่สักพักก่อนที่เธอจะตัดสินใจบางอย่าง

    “พ่อ แม่ ปู่ ย่า หนูว่าพวกเราย้ายเรือนกันเถอะจ้ะ” เด็กหญิงผมจุกพูดในสิ่งที่ตนคิด พลางมองใบหน้าผู้ใหญ่ทุกคนว่ามีความเห็นเช่นไรหลังกินมื้อเช้าเสร็จสิ้น

    “มันจะดีหรือลูก เรือนหลังนั้นพ่อยังไม่ได้ทันหาคนไปถางที่ทางเลยนะ” คนเป็นพ่อกล่าวออกมาด้วยความกังวล

    “ดีจ้ะ อย่างน้อยพวกเราจะได้ไม่ต้องมารองน้ำที่หยดมาจากหลังคาอีก” ตะวันกล่าวสีหน้าแน่วแน่ 

    “เอาตามที่ตะวันมันพูดก็ได้นะ แต่ว่าถ้าหากพวกเราย้ายกันไปเวิ้งนี้ก็จะเหลือแต่บ้านเจ้าเสือหลังเดียวนะสิ แม่เป็นห่วงน้องมันนะเมียก็กำลังท้องกำลังไส้” คนเป็นแม่กล่าวออกมาอย่างหนักใจ

    “จะยากอะไรละจ๊ะ เราก็ชวนอาเสือกับอากระถินไปอยู่ด้วยกันก็สิ้นเรื่องที่บ้านตาคงมีที่ดินตั้งหลายไร่ ก็แค่ปลูกบ้านใหม่อีกหลังขึ้นมา พวกเราก็จะได้ช่วยกันทำการเกษตรแบบผสมด้วย” เด็กหญิงผู้มาจากอนาคตรู้ว่าหากเธอไม่หล่อเลี้ยงเด็กลูกของอาของตนเด็กคนนั้นจะได้กลายมาเป็นลูกน้องเบอร์หนึ่งของเสืออรุณปู่ ของปู่ทวดต้นตระกูลของเธอนะสิ ดังนั้นจะต้องตัดไฟตั้งแต่ต้นลม

    “แต่ว่าตาของเอ็งจะไม่ว่าอะไรเหรอยังไงซะที่ดินตรงนั้นก็เป็นของเขานะลูก” ปู่กล่าวออกมาอย่างเกรงใจเพื่อนที่น่าจะนั่งอยู่ด้วยกัน

    “ข้าจะไปว่าพวกเอ็งทำไม ตอนนี้ข้าเหลือแต่วิญญาณเอาทรัพย์สมบัติอะไรไปไม่ได้สักอย่าง และก็เมื่อไหร่ที่หลานสาวตัวน้อยสืบทอดวิชาจากข้าไปทั้งหมด ข้าก็จะต้องไปตามทางของตนเหมือนกัน” ตาคงที่นั่งฟังคนในครอบครัวเกลอเก่าสนทนากันได้เปล่งเสียงออกมา

    ซึ่งทุกคนที่นั่งอยู่ต่างก็ได้ยินเสียงของคงกันหมดทำให้พวกเขาต่างมองหน้ากันไปมา ตะวันจึงได้รีบกล่าวขึ้นอีกครั้ง

    “ทุกคนได้ยินกันแล้วนะจ๊ะว่าตาไม่ว่าอะไร ดังนั้นหนูว่าพ่อรีบไปบอกอาเสือเถอะหากอยู่ที่นี่อีกคืน หนูว่าพวกเราคงจะได้อยู่แต่บนเรือนเพราะน้ำท่วมแน่ ๆ ดีไม่ดีอาจจะได้ลอยคออยู่ในน้ำ” เด็กหญิงผมจุกกล่าวตามที่ตนรู้สึก ซึ่งเจ้าตัวก็ยังไม่ค่อยเข้าใจความสามารถแบบนี้นัก

    “อะไรนะ! ลูกว่าน้ำจะท่วมอย่างนั้นเหรอ แต่ว่าวันนี้พ่อดูยังไงท้องฟ้าก็ไม่มีวี่แววว่าฝนจะตกเลยนะ” หาญแย้งพร้อมแหงนหน้ามองท้องฟ้าที่ยังสดใสไร้ซึ่งการแจ้งเตือนจากเบื้องบนว่าฝนจะมา

    “หนูก็ไม่รู้จ้าแต่ความรู้สึกของหนูบอกมาแบบนี้บางทีอาจจะเป็นน้ำหลากมาจากป่าก็ได้ เนื่องจากลำธารบ้านเราเป็นน้ำที่ไหลมาจากที่นั่น” เด็กหญิงกล่าวโดยไม่รู้ตัวว่าคำพูดของตนกำลังจะเป็นจริง

    “หาญเอ็งก็รีบไปบอกน้องเถอะพ่อเชื่อตะวัน” พ่อผู้ชรากล่าวพร้อมเร่งลูกชายให้ทำตามคำแนะนำของหลานสาวตัวน้อยทันที จิ้งจกทักคนยังหยุดแล้วนี่คนทักจะไม่ทำตามได้ยังไงโดยเฉพาะคนนั้นเป็นตะวัน

    หาญก็ไม่อิดออดอีกต่อไป เพราะขนาดพ่อของตนยังเชื่อแล้วมีเหตุผลใดที่คนเป็นลูกจะไม่เชื่อกัน

    หาญจึงได้ก้าวเท้าของตนออกจากบ้านเพื่อเดินไปยังบ้านของน้องชายที่อยู่ห่างกันไปไม่มากเมื่อมาถึงบ้านของน้อง เขาก็ได้เห็นว่าน้องชายกำลังทักแหอยู่ใต้ต้นไม้หน้าบ้านพอดี

    “เสือ” หาญเรียกน้องชายที่กำลังก้มหน้าทำงานในมืออย่างตั้งใจ ผู้ถูกเรียกจึงได้ละสายตาจากงานมามองผู้มาเยือนที่กำลังเปิดประตูรั้วเก่า ๆ เดินเข้ามา

    “พี่หาญมาหาฉันมีอะไรอย่างนั้นเหรอ” 

    “พี่จะมาบอกให้เอ็งกับเมียรีบเก็บข้าวของเพื่อจะได้ไปอยู่ที่บ้านพ่อตาของพี่ด้วยกัน เพราะตะวันบอกว่าที่บ้านเราน้ำจะท่วมคืนนี้

    เรื่องนี้เอ็งจะไม่เชื่อก็ได้แต่อย่างน้อยคืนนี้ก็ย้ายไปอยู่บ้านหลังนั้นด้วยกันก่อน หากวันพรุ่งน้ำไม่ท่วม แล้วเอ็งไม่อยากอยู่ที่นั่นก็ค่อยย้ายกลับมา” หาญร่ายยาว โดยไม่เปิดโอกาสให้น้องชายที่คลานตามกันมาได้เอ่ยปาก

    “มันจะดีเหรอพี่ หลังนั้นขึ้นชื่อในเรื่องอะไรพี่ก็รู้” คนเป็นน้องกล่าวออกมาท่าทางแสดงความหวาดกลัวทั้งสีหน้าและน้ำเสียง

    “ตอนนี้บ้านหลังนั้นปลอดภัยแล้ว เพราะตาคงเขาได้เอ่ยปากยกให้กับตะวันหลานสาวของเอ็งได้สักพักใหญ่แต่พี่ยังไม่ได้เล่าให้เอ็งฟัง และหากตะวันอนุญาตให้ใครอยู่คนผู้นั้นรับรองว่าอยู่ได้โดยไม่มีปัญหา” คนเป็นพี่กล่าวรับรองเสียงหนัก

    แม้คนเป็นน้องจะสงสัยคำพูดของพี่ชายอยู่บ้าง แต่หากจะให้เขาซักถามอะไรมากกว่านี้ก็เกรงใจ ดังนั้นเขาจึงไม่คิดถามอะไรเพิ่มให้มากความ

    “ก็ได้ฉันจะทำตามที่พี่ว่า แต่ว่าถ้าหากบ้านที่นี่น้ำไม่ท่วมฉันก็จะกลับมาอยู่บ้านเดิมนะ” คนเป็นน้องตอบแบ่งรับแบ่งสู้

    “อืม ตอนนี้เอ็งรีบไปเก็บข้าวของเถอะเดี๋ยวข้าไปช่วย กระถินท้องแก่แล้วอาจทำอะไรไม่สะดวก” คนเป็นพี่กล่าวพร้อมกับช่วยน้องชายเก็บสิ่งของบนแคร่ไม้ไผ่

    “มันไม่มีอะไรมากหรอกพี่ฉันเก็บคนเดียวได้ พี่รอฉันสักพักนะ” คนเป็นน้องเมื่อเห็นว่าพี่ชายช่วยเก็บของตรงนี้ให้แล้วก็ได้พูดขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปทางเรือนของตน

    เมื่อเดินขึ้นเรือนมาได้ เสือก็รีบเดินไปหากระถินที่กำลังนั่งฉีกผ้าเก่าเพื่อมาทำผ้าอ้อมสามีหนุ่มจึงได้เดินเข้าไปเล่าเรื่องที่พี่ชายของตนบอกออกมา

    “เรื่องจริงเหรอพี่” ผู้เป็นเมียถามขึ้นเสียงดัง หากว่าน้ำท่วมจริงครอบครัวของเธอจะไม่ลำบากมากกว่านี้หรอกหรือยิ่งตัวเองท้องแก่ใกล้จะคลอดแบบนี้ด้วย

    เสือที่เห็นความกังวลของเมียสาวเขาจึงได้เอามือหยาบจากการทำงานหนักของตนไปกุมมือเล็กของภรรยาที่หยาบกร้านไม่ต่างกันเพื่อปลอบประโลม

    ภรรยาที่รับรู้ถึงการกระทำของสามีหนุ่ม หญิงสาวก็ค่อย ๆ รู้สึกดีขึ้นก่อนที่ใบหน้าจะขึ้นสีด้วยความอาย

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×