ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะวันเหนืออสงไขย ภาคลบล้างคำสาปต้นตระกูล

    ลำดับตอนที่ #10 : ผีลากไส้เพิ่งผ่านไป ผีมีหางโผล่มาอีก(มันคือตัวอะไร)

    • อัปเดตล่าสุด 24 ก.ค. 66


    ช่วงสายของวันอีกทางฝั่งของคุ้งน้ำทางทิศใต้ห่างจากบ้านของตะวันได้มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งพักที่เถียงนากำลังสนทนากันตามประสาคนบ้านเดียวกัน

    “ทิดปลั่งทำไมพักนี้ข้าไม่เห็นนางหิ่นเมียของเอ็งเลยล่ะ เห็นแต่เอ็งออกมาทำนาอยู่คนเดียวตลอดเลย” เสียงชาวบ้านเนินคุ้มที่อยู่ห่างจากบ้านของตะวันไปหลายคุ้งน้ำ ถามกับชายที่เป็นเพื่อนบ้านของตนด้วยความแปลกใจระคนสงสัยในพฤติกรรมของคนบ้านนี้หลาย ๆ อย่าง

    “มันไม่สบาย ข้าก็เลยให้มันอยู่แต่ในบ้านไม่กล้าให้มันออกมากลัวว่าจะไม่สบายไปกันใหญ่” เสียงแหบแห้งเอ่ยตอบเพื่อนบ้านพร้อมกับหลบสายตาไม่กล้าสู้คนของชายที่ชื่อปลั่ง

    “เอ็งพามันไปหาหมอหรือยัง ข้าได้ยินมาว่าคลองฟากกระโน้นมีหมอฝรั่งผมหยิก ตาฟ้ามาทำการรักษาให้ชาวบ้านโดยเปล่าไม่คิดเงินนะ 

    ยาเขาเป็นยาเม็ดกินง่ายกว่ายาหม้อบ้านเราเยอะ” เสียงชายที่ทำงานอยู่ด้วยกันพูดขึ้นด้วยความหวังดีตามประสาคนบ้านทุ่งเหมือนกัน

    “ขอบใจนะ เดี๋ยวฉันจะลองพามันไป” เสียงแหบแสร้งกล่าวตอบรับ

    หลังจากงานในท้องนาเลิก ทิดปลั่งก็เดินก้มหน้าก้มตากลับบ้านของตนโดยไม่อยู่สนทนากับใครเหมือนอย่างเช่นที่ชาวบ้านส่วนใหญ่มักกระทำ

    เมื่อชายผู้นี้กลับมาถึงเรือนหลังจากเดินขึ้นบันไดมาด้านบน เขาก็เข้าไปในห้องที่มืดทึบโดยไม่มีแสงใดสามารถรอดผ่านเข้ามาได้ท่ามกลางความมืด

    ได้ปรากฎแสงสีแดงน่ากลัวออกมาจากดวงตาของชายเจ้าของบ้าน สายตาของชายผู้นี้มองฝ่าความมืดไปยังร่างที่นอนแน่นิ่งอยู่กลางห้องที่เริ่มขึ้นอืดลำตัวเริ่มบวมมีน้ำเลือดน้ำหนองไหลเยิ้มหยดลงไปตามร่องไม้กระดานจากชั้นบนลงสู่ใต้ถุน

    ร่างที่นอนอยู่นั้นหากมองเข้าไปใกล้ ๆ จะพบว่าร่างนี้เป็นหญิงสาวที่ปราศจากส่วนของศีรษะ กลิ่นเหม็นชวนคลื่นเหียนก็ได้โชยออกมาจากร่างนี้เช่นกัน

    “นางหิ่นข้าคิดถึงเอ็ง ทำไมเอ็งถึงยังไม่กลับมา ร่างของเอ็งยามนี้มีหนอนมากมายได้ไชชอนไปทั่วแล้ว ข้าคงจะไม่สามารถเก็บร่างของเอ็งเอาไว้ได้อีกต่อไป

    ข้าจำเป็นที่จะต้องเอาร่างของเอ็งไปฝัง ข้าหวังว่าเมื่อเอ็งกลับมาคงจะอภัยให้ข้านะ แต่ถ้าอีกสามวันเอ็งไม่กลับมา ข้าจะออกไปตามหาเอ็งเอง” น้ำเสียงแหบพูดกับร่างที่เน่าเฟะอยู่กลางห้องใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้า

    เริ่มแรกเดิมทีพวกเขาสองคนผัวเมียก็เป็นคนปกติเหมือนคนทั่วไป แต่เพราะความโลภเข้าครอบงำ ทำให้คนที่มีคาถาอาคมเช่นเขาได้ถูกอาคมของตนย้อนมาเล่นงาน

    ทำให้เขากับเมียรักต้องกลายมาเป็นครึ่งคนครึ่งผีอยู่เช่นทุกวันนี้ ทิดปลั่งยืนมองร่างของเมียรักพร้อมรำลึกความหลัง

    ยามเมื่อตะวันตกดินท้องฟ้าเบื้องบนถูกทาทับไปด้วยความมืด บ้านเรือนทุกหลังก็เข้าสู่ความเงียบสงบกันทุกหลังคาเรือน สมัยนี้ไฟฟ้ายังคงมีแต่ในเมืองหลวงตามชานเมืองชนบทบ้านนอกอย่าได้หวัง

    ในขณะที่ผู้คนต่างพากันหลับไหลทั้งลมและฝนห่าใหญ่ก็กระหน่ำตกอย่างไม่ลืมหูลืมตา ลมพัดเสียงใบไม้ต้นสูงส่งเสียงดังอู้ ๆ พาให้ผู้คนหวาดกลัวคิดว่าเป็นเสียงร้องของผีห่าซาตานยิ่งตอกย้ำให้ผู้คนต่างเอาผ้าคลุมโปงไม่โผล่หน้าออกมามากกว่าเดิม

    เสียงฝนได้ตกกระทบหลังคาบ้านเรือนดังเปาะแปะ ถ้าบ้านใครเป็นหลังคาสังกระสีก็ดังมากหน่อยแต่ก็ยังถือว่าดีกว่าหลังคามุงจากอย่างบ้านของตะวันในยามนี้

    “อรุณเอาชามมารองน้ำตรงนี้เร็วเข้าน้ำมันหยดใหญ่แล้ว แม่จ๋าทางด้านโน้นก็หยด พ่อหลังคาบ้านเรามันจะไม่ถล่มลงมาแน่นะจ๊ะ ฝนตกหนักมากเลย” ตะวันผู้มาจากโลกอนาคต

    ไม่เคยได้เจอกับเหตุการณ์น้ำฝนหยดใส่หลังคาแบบที่นี่มาก่อนถามพ่อด้วยน้ำเสียงแสดงความหวาดหวั่น

    “ไม่ต้องกลัวไปลูก หลังคาไม่ถล่มหรอกแต่ถ้าลมยังพัดแรงอยู่แบบนี้มันอาจจะปลิวไปตามแรงลมแทน” หาญพูดออกมาให้ลูกสาวฟังติดตลก

    แต่คนที่ฟังอย่างตะวันกลับคิดว่ามันเป็นเรื่องจริง ‘ทำยังไงดีน้องเมฆบ้านของเราจะไม่มีหลังคาไหม’ ตะวันถามกับคู่หูที่มาด้วยกันอย่างหวั่นใจ

    “น้องตะวันไม่ต้องกลัวหรอก พ่อหาญเขาพูดหยอกเล่นเพียงเท่านั้นแหละหากไม่มีพายุหมุนมายังไงหลังคาก็ไม่หลุดไปตามลมหรอกจ้ะ” เสียงรักเอ่ยบอกน้องอย่างปลอบโยน

    ตะวันที่ได้ยินพี่รักพูด แทนที่จะสบายใจกลับรู้สึกหนักใจมากกว่าเดิม เอาจ้ะ โลกใบนี้มีทุกรูปแบบให้ตะวันได้เผชิญจริง ๆ ทั้งคนคลอดลูก ผีลากไส้ รองน้ำฝนที่หยดจากหลังคา

    แล้วยังจะมีพายุหมุนอีก โอ้แม่เจ้ายามนี้เธออยู่ ณ ที่ใดกัน “พี่ตะวันน้ำมันล้นแล้วทำยังไงดีจ๊ะ” เสียงเล็ก ๆ ของอรุณดังขัดความคิดอันฟุ้งซ่านของพี่สาว

    ตะวันได้ทำการเรียกกะละมังใบใหญ่มาก ๆ เท่าที่เธอมีออกมาจากมิติ “โอ้สุดยอดมากพี่สาว” เสียงอรุณกล่าวชมพี่สาวด้วยความทึ่ง

    “จำไว้นะอรุณห้ามบอกใครเรื่องของพี่สาวเด็ดขาดและลูกจะต้องช่วยปกป้องพี่สาวของลูกด้วย” หาญบอกลูกชายตัวน้อยจริงจัง

    “ขอรับ” อรุณตอบรับอย่างชัดถ้อยชัดคำ 

    “ดีมากคนเก่งของพี่มาเอารางวัลไป” ตะวันบอกกับน้องชายตัวน้อยพร้อมกับยื่นนมให้เจ้าตัวน้อยหนึ่งกล่อง

    “ขอบคุณครับ พี่สาวของผมดีที่หนึ่ง” อรุณเด็กชายตัวน้อยพูดขึ้นอย่างน่ารัก

    “ปากลูกชายของเรานี่ช่างหวานปานน้ำผึ้งเข้าไปทุกที” สร้อยพูดหยอกลูกชาย ทำให้คนในบ้านแม้จะกำลังเคร่งเครียดกับเรื่องหลังคารั่วก็ยังคงหัวเราะออกมาได้

    ผิดกับอีกด้านของคุ้งน้ำที่สุนัขทั้งจรและมีเจ้าของต่างส่งเสียงเห่าหอนยามค่ำคืนแข่งกับเสียงฝนและฟ้าที่ส่องแสงวูบ ๆ วาบ ๆ ออกมาเป็นระยะ ๆ ตัดความดำมืดของรัตติกาล

    ได้มีชายคนหนึ่งแบกห่ออะไรบางอย่างที่ถูกห่อเอาไว้อย่างมิดชิดเดินดุ่ม ๆ ไปยังท้ายวัดซึ่งเป็นป่าช้าของหมู่บ้านเนินคุ้มแห่งนี้ 

    เสียงเดินย่ำเท้าดังซวบซาบก้าวเดินไปด้านหน้าโดยไม่มีความกลัวเกรงต่อสิ่งใดหรือต่อร่างที่ปราศจากลมหายใจที่พากันนอนทอดกายลงใต้ดินของสถานที่

    เขามุ่งหน้าเดินผ่านหลุมศพ หลุมแล้วหลุมเล่าจนไปถึงบริเวณใกล้โค้นต้นยางสูงที่ยืนต้นอยู่ใกล้กันสองต้น ท่ามกลางความมืดที่ฟ้าแลบเป็นระยะ ๆ 

    ยามแสงของฟ้าสว่างวาบบริเวณเหนือต้นยาง หากเป็นคนปกติมาเห็นภาพแบบนี้ก็อาจจะรู้สึกหวาดผวาจับไข้เอาได้ด้วยความหวาดกลัว

    เมื่อชายผู้นี้มาถึงยังจุดหมายที่เขาได้หมายตาเอาไว้เขาก็นำสิ่งที่แบกมาตลอดทางวางลงกับพื้น

    หลังจากนั้นชายคนดังกล่าวได้ใช้มือของตนที่ตอนนี้มีปลายแหลมยาวงอกออกมาจากเล็บขุดดินอย่างตั้งใจ

    โดยที่ชายผู้นั้นรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยสักนิด เขาขุดอยู่อย่างนั้นท่ามกลางสายฝนและเสียงฟ้าที่บางครั้งก็ผ่าดังเปรี้ยง! ลงมายังพื้นล่าง

    เขาก็หาได้สะดุ้งสะเทือนไม่ ด้วยความมุ่งมั่นทำกิจของตนให้เสร็จจนเมื่อเขาได้ขนาดหลุมที่ต้องการแล้ว ชายร่างผอมผู้นี้จึงนำสิ่งที่ตนใช้เสื่อห่อหุ้มไว้วางลงไปในหลุม 

    ในระหว่างที่ชายคนนี้วางสิ่งที่ถูกห่อหุ้มลงไปด้านใน เสื่อที่ห่อสิ่งนั้นอยู่ได้แหวกออกจากกันทำให้สิ่งที่ถูกห่อหุ้มนั้นได้เผยโฉมออกมา

    หากมีคนมาเห็น รับรองว่าคนผู้นั้นจะต้องตกใจจนตาค้างอย่างแน่นอน เพราะสิ่งที่อยู่ในเสื่อนั้นเป็นร่างของมนุษย์ที่มีสภาพเน่าเฟะ ที่ยามนี้ได้ส่งกลิ่นเหม็นชวนอาเจียนไปทั่วทั้งป่าช้าและร่างที่วางอยู่นั้นยังเป็นร่างที่ปราศจากส่วนหัวแต่ไม่ใช่จากการถูกตัด

    เพราะหากมองเข้าไปใกล้ยังส่วนที่คอจะพบว่าส่วนของศีรษะของร่างที่เน่าเหม็นนี้เหมือนกับยกหัวออกไปเฉย ๆ 

    ถ้ามีคนใจกล้าเอาตาส่องลงไปตามคอที่ถูกถอดหัวออกก็จะพบว่าช่องท้องในตัวของร่างที่บวมอืดนี้ว่างเปล่าปราศจากซึ่งอวัยวะภายใน

    หลังจากที่ชายคนนี้วางร่างนั้นลงหลุมเรียบร้อย เขาก็รีบฝังกลบร่างที่ปราศจากลมหายใจนั้นทันที

    และเมื่อเขาได้กระทำการทุกอย่างเสร็จสิ้นร่างของชายผอมผู้นี้ก็เดินจากไปท่ามกลางความมืดโดยมีสุนัขที่พบเห็นต่างหอนรับกันเป็นทอด ๆ อย่างโหยหวน

    ซึ่งการกระทำของชายคนนี้ไม่มีใครรู้ใครเห็นหากจะมีก็คงจะเป็นร่างอันไร้ลมหายใจจากเจ้าของหลุมแต่ละแห่งที่เฝ้ามองการกระทำของบุคคลผู้นี้เพียงเท่านั้น

    หลังจากที่ชายคนดังกล่าวหายไปได้ไม่นานก็ได้มีมนุษย์ผู้เป็นสัปเหร่อกับเพื่อนเกลอเดินกอดคอกันฝ่าความมืด ท่ามกลางสายฝนซาเม็ดมาทางที่พักที่อยู่บริเวณหลังวัดแห่งนี้

    “ไอ้หมาบ้าพวกนี้มันจะเห่าหอนอะไรกันหนักหนาวะ คนนะโว้ย ข้าสองคนเป็นคนไม่ใช่ผี พวกมึงเห่าหอนซะจนกูคิดว่าตัวเองเป็นผีไปแล้ว” เสียงอ้อแอ้จากความเมามายของชายหนึ่งในสองที่เดินเซไปส่ายมาพูดขึ้นเสียงดัง

    “เอ็งก็จะไปเอาอะไรกับหมาวะ แถวนี้มันอยู่ใกล้ป่าช้าเอ็งกูรู้ เอิ๊ก” ชายอีกคนที่อ้อแอ้ไม่ต่างกันกล่าวแย้ง

    โดยที่หนึ่งในสองไม่คิดว่าเรื่องในคืนนี้จะเป็นฝันร้ายสำหรับตนและทำให้เขาเลิกดื่มเหล้าไปเลยตลอดชีวิต ฟึบ ฟับ ฟึบ ฟับ 

    “อึ่งเอ็งได้ยินเสียงอะไรไหมวะ ดังเหมือนคนเอาอะไรมาพัดลอยอยู่เหนือหัวของพวกเราเลย” เสียงชายขี้เมาถามเพื่อนด้วยความสงสัย

    “เอ็งอยากรู้ทำไมไม่เงยหน้าขึ้นไปมองวะ แสงจันทร์ก็ยังพอมีอยู่” ชายชื่ออึ่งที่กอดคอเดินกับคนที่ถามตนอยู่พูดตอบอย่างไม่คิดอะไร

    “มองก็ได้วะ” ชายขี้เมาจึงได้ทำตามที่เพื่อนของเจ้าตัวพูด หลังจากที่ชายคนนี้ได้แหงนหน้ามองฟ้า เขาก็แทบจะสิ้นสติของตนในบัดดล

    “มึงเห็นยัง ตัวไรวะ” อึ่งผู้เป็นสัปเหร่อถามเพื่อนหลังจากที่กระดกเหล้าดีกรีแรงที่อยู่ในไหใบเล็กผ่านลำคอ

    “อ้าว มึงนิ่งไร กูถามนานแหละไม่ตอบกูเสียที” เจ้าอึ่งเมื่อยกเหล้าขึ้นดื่มแล้วก็กระตุกคอเสื้อของเพื่อนพูดอย่างคนไม่พอใจ

    “ผะ..ผีมีหาง กูไม่อยู่แล้วกูไปล่ะ” ชายเพื่อนเจ้าอึ่งตะโกนแหกปากเสียงดังลั่นพร้อมเอามือของอึ่งที่กอดคอมันอยู่ออกอย่างรวดเร็ว

    หลังจากนั้นมันก็วิ่งออกไปชนิดที่ไม่สนใจเพื่อนขี้เมาที่กินดื่มอยู่ด้วยกันอีกเลย มันวิ่งตุปัดตุเป๋เนื่องจากดินค่อนข้างลื่นจากน้ำฝนที่เพิ่งจะหยุดได้ไม่นาน

    เจ้าอึ่งก็ได้แต่เอามือเกาหัวตัวเองไม่เข้าใจในสิ่งที่เพื่อนของตนทำ ‘มันแหกปากตะโกนอะไรของมันวะ’ อึ่งคิดด้วยความสงสัย

    เจ้าอึ่งที่มีความแปลกใจอย่างมากจึงได้เงยหน้าของตนมองฟ้าบ้าง แต่เขาก็มองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืดและดวงจันทร์ที่เพิ่งจะโผล่ออกมาหลังฝนหยุดตกเพียงเท่านั้น

    เขายืนมองท้องฟ้าชั่วครู่หนึ่งเมื่อไม่เห็นมีอะไรผิดปกติจึงร้องเพลงตามประสาคนเมาเดินไปทางเดียวกับที่เพื่อนของตนวิ่งไป

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×