ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะวันเหนืออสงไขย ภาคลบล้างคำสาปต้นตระกูล

    ลำดับตอนที่ #8 : ผีลากไส้ ไม่ใช่มันคือผีกระสือ(ตะวันได้กล่าวไว้)(รีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.ค. 66


    โดยที่ตะวันยังไม่รู้คำตอบก็ได้ถูกผู้เป็นแม่เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน

    “ตะวัน หนูเป็นอะไร แม่เห็นนั่งเงียบมาสักพักแล้ว” สร้อยถามพร้อมกับสำรวจใบหน้าของลูกน้อยไปด้วย

    “หนูไม่เป็นอะไรจ้ะ” เด็กหญิงรีบส่ายหัวปฏิเสธ

    ผู้เป็นแม่เมื่อเห็นว่าลูกสาวไม่ได้มีสิ่งผิดปกติ ก็ไม่ได้คิดซักถามสิ่งใดเพิ่ม หลังกินข้าวเสร็จหาญกับเสือ นั่งพักกันอีกชั่วครู่พวกเขาก็พากันไปลงแปลงนาต่อ

    ส่วนกระถินกับสร้อยก็นั่งช่วยกันทำงานเล็ก ๆ น้อยของแต่ละคน เด็กอย่างตะวันกับน้องชายก็พากันไปเดินสำรวจหลังเรือนเพื่อหาของกินได้อื่น ๆ อีก

    ด้านปู่ ย่าก็มีคนมาตามให้ไปดูอาการคนในหมู่บ้านตั้งแต่กินข้าวเสร็จจนกระทั่งถึงเวลาเย็นทั้งสองถึงได้กลับมา

    มื้อเย็นของบ้านก็ยังคงเป็นฝีมือของตะวันตัวน้อยเช่นเคย วันนี้เด็กหญิงได้ผัก กับเห็ดมาเยอะเด็กหญิงจึงให้แม่ตำน้ำพริกกับลวกผัก ส่วนตัวเองก็ไปทำอย่างอื่น

    อาหารมื้อนี้ก็เอร็ดอร่อยกันไปตามสมควรทั้งผีและคน “พ่อหนูอิ่มมากเลยน้องตะวันทำอาหารได้อร่อยมาก” ยมพูดชมน้องสาวคนใหม่เช่นเคย

    และหลังจากทุกคนกินข้าวกันเสร็จแล้ว ตะวันก็มานั่งเรียนวิชากับตาคงต่อโดยมีพี่รักพี่ยมคอยอยู่ด้านข้างเพื่อเป็นกำลังใจ

    “ตะวันวันนี้พอแค่นี้แหละ หนูไปอาบน้ำขึ้นเรือนเถอะดูท่าฝนน่าจะตก” คงบอกกับหลานสาวหลังจากแหงนหน้ามองฟ้า และลมก็พัดรุนแรงขึ้นแตกต่างจากเดิม

    “จ้ะตา” ตะวันทำตามแต่โดยดี

    “ตะวันใกล้มืดแล้วนะ หนูอาบน้ำแล้วหรือยัง” เสียงแม่ร้องถามดังมาจากบนเรือน “กำลังอาบอยู่จ้า ตอนนี้อาบเสร็จแล้วจ้ะแม่” เด็กหญิงส่งเสียงตอบออกมาจากข้างโอ่งใบใหญ่ด้วยตัวอันสั่นเทาจากความหนาวเย็นยามลมพัดมา

    และยังไม่ทันที่ตะวันจะเดินขึ้นเรือน ฝนก็ได้เทลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา พร้อมกับลมที่พัดกิ่งไม้ไหวโยกส่งเสียงกรีดร้องออกมายามมันเสียดสีกัน ดูหวาดหวั่นชวนน่ากลัว

    “ตะวันรีบขึ้นบ้านเร็วเข้าลูกเดี๋ยวจะไม่สบาย” พ่อรีบวิ่งมารับลูกสาวที่ยืนหลบอยู่ข้างโอ่งใบใหญ่ 

    “ใส่หมวกสานเอาไว้ก่อนลูก เดี๋ยวหัวจะเปียกขึ้นหลังพ่อ พ่อจะแบกหนูไปเองทางมันลื่น” หาญพูดกับลูกสาวแข่งกับสายฝนที่กระหน่ำตกลงมาอย่างไม่สนมนุษย์ตัวเล็กอย่างพวกเขา

    หาญได้แบกลูกสาวมาจนถึงบันไดเรือน “ค่อย ๆ เดินขึ้นไปนะลูกระวังลื่น” เขาไม่ลืมกล่าวสำทับออกมาอีกครั้ง

    ตะวันก็พยักหน้ารับอย่างเชื่อฟัง เธอมองไปที่พ่อด้วยความสงสารเพราะตัวของพ่อเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน ไหนจะเท้าที่เลอะดินโคลนอีก

    “พ่อเองก็รีบขึ้นบ้านนะจ๊ะ ฟ้าแรงมากเลยมันอันตราย” ตะวันรีบกล่าวเสียงดังบอกกับพ่อที่กำลังไปรองน้ำฝนใส่โอ่ง

    “รู้แล้ว เสร็จจากตรงนี้พ่อก็ขึ้นบ้านแล้วลูก หนูรีบขึ้นบ้านไปก่อนเถอะไม่ต้องห่วงพ่อ” หาญบอกกับลูกพร้อมกับโบกมือให้ลูกขึ้นบ้านไปโดยเร็ว

    “ตะวันมาเช็ดตัวเปลี่ยนผ้าก่อนลูกเดี๋ยวไม่สบาย” แม่พูดกับลูกพร้อมกับหาผ้ามาเช็ดตัวเช็ดหัวให้ลูกสาว

    “น้องเมฆมาเช็ดตัวเร็ว” เสียงอรุณเอามือกวักเรียกแมวดำตัวเล็กให้เดินเข้ามาหาตัวเองพร้อมกับที่เขาได้เตรียมผ้าแห้งไว้รอแล้ว

    “อรุณหนูใส่เสื้อด้วยอากาศเย็น หากเป็นไข้ต้องกินยาขม ๆ นะ” แม่สร้อยขู่ลูกชายที่ไม่ชอบใส่เสื้อไม่ว่าอากาศจะร้อนหรือหนาวก็ตาม

    “หนูใส่แล้วจ้า” อรุณเมื่อได้ยินคำว่ากินยาขม เขาก็รีบไปหยิบเสื้อมาใส่ทันที น้องเมฆก็ร้อง “เหมียว” ออกมาเป็นการเยาะเย้ยเด็กผู้กลัวการกินยาหม้อ

    ตะเกียงน้ำมันดวงเดียวของบ้านก็โยกไปไหวมาตามแรงลม เพราะต้องแขวนไว้นอกชานรอพ่อที่ยังไม่ขึ้นบ้านมาเสียที

    “ทำไมพ่อยังไม่ขึ้นบ้านมาอีกละจ๊ะ ฝนตกฟ้าร้องลมแรงขนาดนี้แล้ว” ตะวันถามกับแม่ด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ แต่แล้วก็มีเสียงดังขึ้นจากหน้าบ้านก่อนที่แม่จะตอบ

    “พ่อเฒ่า แม่เฒ่าอยู่ไหม” เสียงตะโกนที่ดังมาจากทางหน้าบ้านแข่งกับสายฝนดังขึ้น

    “อ้าวทิดจันทร์มาขึ้นเรือนก่อน” หาญที่ยืนอยู่ตรงตีนบันไดร้องตะโกนบอกคนที่อยู่หน้าประตูรั้วบ้านตน

    ชายที่ชื่อทิดจันทร์ก็เปิดประบ้านเข้ามาตามคำเชิญของหาญ เมื่อเขาได้เดินขึ้นเรือนมาก็ตรงเข้าไปคุยกับปู่ย่าของตะวันทันทีอย่างร้อนใจ

    “พ่อเฒ่าแม่เฒ่าช่วยนางจิกเมียฉันด้วย หล่อนน่าจะเจ็บท้องคลอด ฉันไม่รู้ว่าควรทำยังไง หมอตำแยก็ไม่อยู่” ทิดจันทร์กล่าวออกมาเสียงสั่นด้วยความเป็นห่วงเมียกับลูกที่ยังไม่เกิด

    “ฝนก็ตกเราจะไปกันยังไงดีละพ่อมึง เรือลำเล็กจะทานน้ำได้ไหมก็ไม่รู้”นิดพูดกับสามีอย่างหนักใจ

    เมื่อตะวันได้ยินแบบนี้ก็เศร้าใจกับการสัญจรในยุคนี้เสียเหลือเกิน “พ่อจ๋ามากับหนู” ตะวันตัดสินใจ

    “พ่อจ๋าตะวันจะเรียกเรือออกมา พ่อหาทางแก้ต่างให้หนูด้วยก็แล้วกันนะ” เด็กหญิงตัวน้อยกระซิบข้างหูคนเป็นพ่อ

    “ท่านตาคนนั้นมอบเรือให้หนูด้วยอย่างนั้นเหรอ” หาญย้อนถามลูกสาวให้แน่ใจว่าตนได้ยินไม่ผิด

    “ใช่จ้ะ ท่านตาบอกว่าเอาไว้ใช้หากจำเป็น หนูว่าเวลานี้เหมาะที่สุดแล้ว” ตะวันพยักหน้าตอบ สีหน้าจริงจัง

    “ถ้าลูกเห็นสมควรก็ทำเถอะ เรื่องอื่นเอาไว้ให้พ่อจัดการเอง” หาญรับปากลูกหนักแน่นในใจก็คิดว่า ‘ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเขาพร้อมจะปกป้องลูกน้อยด้วยชีวิต’

    “พ่อไปบอกกับปู่ ย่า ได้เลยจ้ะ หนูจะกางร่มเดินไปรอที่คลองหน้าบ้านเวลานี้คงจะไม่มีใครออกมาด้านนอกหรอก” ตะวันกล่าวออกก่อนที่เธอจะเดินลงจากเรือนไปอย่างรวดเร็ว

    เมื่อหาญพาพ่อ แม่ และทิดจันทร์มายังคลองหน้าบ้านพวกเขาก็เห็นเรือแหวด ๖ แจว ลอยลำอยู่เหนือผืนน้ำจากแสงตะเกียง

    “ทิดหาญมีเงินต่อเรือใหม่แล้วเหรอ เรือลำนี้เข้าท่าดีทีเดียว” ทิดจันทร์พูดขึ้นโดยปราศจากความอิจฉา เนื่องจากคนทั้งสองเป็นเกลอที่เติบโตและร่วมเรียนมาด้วยกัน

    “ไม่ใช่ของข้าหรอก เป็นของพ่อตานะ พอดีวันก่อนข้าไปเรือนทางโน้นมาเห็นเรือลำนี้ก็เลยนำมาซ่อมแซม” หาญโบ้ยไปให้ผู้ที่ตกตายไปนานแล้วทำให้ทิดจันทร์ไม่ติดใจสงสัย

    เนื่องจากพ่อตาของหาญนั้นจัดได้ว่าเป็นผู้มีอันจะกินคนหนึ่ง ทว่าเขาได้ตกตายลงตั้งแต่สร้อยอายุยังน้อย

    ดีที่ว่าหินพ่อของหาญผู้เป็นสหายของคง รับสร้อยมาเลี้ยงดูด้วยความสงสารไม่อย่างนั้นป่านนี้สร้อยจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้เพราะผู้เป็นแม่ก็หนีหายไปตั้งแต่คลอดเธอได้เพียงสามเดือน

    หินกับนิดมองหน้าหาญ ก่อนที่คนทั้งสองจะหันหน้ามองกันและกันโดยที่คนทั้งสองไม่ได้ปริปากกล่าวอะไร

    “ปู่ ย่า ลงเรือเถอะจ้ะ” ตะวันส่งเสียงเรียกสองผู้เฒ่าจากหน้าต่างของเก๋งในตัวเรือ

    หาญจึงได้รีบเดินเข้าไปช่วยพยุงผู้เป็นแม่ โดยมีทิดจันทร์ตามมาช่วยพยุงหินอีกคน “ทิดจันทร์เอ็งไปเรือลำเดียวกับข้า ส่วนเรือของเอ็งเอาไว้ที่นี่แหละ” หาญบอกเกลอ

    “ได้สิ ข้าจะได้ช่วยเอ็งแจวเรือด้วย” ทิดจันทร์รับคำทันที

    “เอ่อ เรื่องนี้เอาไว้เอ็งขึ้นเรือก่อนเถอะเดี๋ยวก็รู้” หาญมีท่าทางอึกอักคล้ายอยากพูดอะไรทว่าเขาก็นิ่งเงียบไป

    เมื่อทุกคนขึ้นเรือกันหมดแล้ว ทิดจันทร์กำลังจะเดินไปยังไม้พาย แต่แล้วก็ได้เกิดสิ่งอันน่าอัศจรรย์ขึ้นเสียก่อน

    “เหวอ!” ทิดจันทร์ร้องขึ้นเสียงหลงด้วยความตกใจ พร้อมก้นกระแทกลงไปกับพื้นเรือทำให้หาญต้องมาช่วยพยุง

    “ผะ..ผี ทิดหาญเอ็งเห็นเหมือนข้าไหม” ทิดจันทร์จับแขนของหาญแน่นกล่าวเสียงสั่นอย่างหวาดกลัว

    “เอ็งไม่ต้องกลัวพวกนั้นเป็นหุ่นพยนต์ ที่ลูกสาวของข้าเรียกออกมาให้ช่วยพายเรือ เอ็งรีบเข้าไปนั่งในเก๋งเถอะ” หาญปลอบเพื่อนดีที่ว่าเกลอคนนี้ไม่ขวัญอ่อนจนสิ้นสติไม่อย่างนั้นคงจะแย่

    “ละ..ลูกสาวเอ็ง เด็กน้อยคนนั้นนะเหรอ” จันทร์เพิ่งจะเห็นตะวันถามหาญออกมา

    “อืม” หาญส่งเสียงตอบในลำคอ

    เมื่อชายหนุ่มทั้งสองเข้ามาในเก๋งของตัวเรือ เด็กหญิงก็กล่าวทักทายจันทร์ออกมา “หนูไหว้จ้ะ และขอขมาที่ทำให้อาตกใจ” ตะวันพนมมือกลางอกกล่าวอย่างลุแก่โทษให้กับจันทร์

    “ไม่เป็นไรหรอก” ทิดจันทร์ส่งยิ้มแห้งตอบหลานสาวที่ได้รู้จากหาญว่าเป็นผู้สืบทอดวิชาจากตาคง

    “เอ็งไม่ต้องกลัวลูกสาวข้าไปหรอก” หาญเอามือตบไหล่เกลอเพื่อปลอบขวัญ

    “อะ..อืม” ทิดจันทร์ตอบรับ

    ทิดจันทร์นั่งอยู่ในเรืออย่างกระวนกระวายใจด้วยความเป็นห่วงเมียที่ป่านนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรบ้าง

    “เอ็งใจเย็นลงหน่อย อีกไม่ไกลก็ถึงเรือนของเอ็งแล้ว” หาญกล่าวปลอบเพื่อนออกมาอีกครั้ง

    “ขะ..ข้าเป็นห่วงมัน ตอนข้าแจวเรือไปบ้านของเอ็งเมียข้ากรีดร้องอย่างเจ็บปวดเหลือเกิน” ทิดจันทร์เล่าความในใจออกมาเสียงเครียดใบหน้าปรากฏความกังวลฉายชัด

    ยังไม่ทันที่หาญจะเอ่ยปลอบ เรือก็ได้มาจอดเทียบท่าน้ำของทิดจันทร์พอดี “ถึงเรือนเอ็งแล้วรีบไปดูเมียเอ็งเถอะ” หาญกล่าว

    ทิดจันทร์พยักหน้ารับคล้ายไม่รู้สึกตัวโดยไม่เสียเวลาคิดว่าเหตุใดระยะทางถึงได้รวดเร็วนัก

    “พ่อ แม่เดินระวังนะ แม่ขึ้นหลังฉันเถอะ ฉันจะแบกแม่ไปเอง” หาญบอกแม่ผู้ชราหลังจากที่ทุกคนขึ้นจากเรือแล้ว

    “ก็ดีเหมือนกัน ไอ้ทิดจันทร์โว้ย เอ็งรีบไปต้มน้ำเตรียมไว้ให้ข้าก่อนเลยนะ” หญิงชราส่งเสียงไล่หลังชายหนุ่มเจ้าของเรือนผู้ที่กำลังเดินลุยโคลนไปยังเรือนด้านหน้า

    “ขอรับแม่เฒ่า” ทิดจันทร์ส่งเสียงตอบกลับโดยไม่เหลียวหลัง

    ส่วนตะวันก็ช่วยพยุงปู่ ซึ่งกว่าคนทั้งสี่จะพากันมาถึงตีนบันไดเรือนก็ค่อนข้างทุลักทุเลทีเดียว

    “พ่อจ๋านี่ไฟฉายใช้แบบนี้ จะได้สะดวกกว่าถือตะเกียง” ตะวันส่งไฟฉายคาดหน้าผากให้ผู้เป็นพ่อท่ามกลางสายตาของผู้เฒ่าทั้งสองที่มองสิ่งที่คาดอยู่บนหัวบุตรชาย

    “ขอบใจลูก ใช้สะดวกดีทีเดียวไม่ต้องถือ” หาญกล่าวขึ้นอย่างชอบใจ

    “นิดเอ็งรีบขึ้นไปดูเมียทิดจันทร์เถอะ ร้องดังขนาดนั้นจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้” ชายชรากล่าวเร่งคู่ชีวิต

    หญิงชราจึงรีบล้างเท้าแล้วก้าวเท้าเดินขึ้นบันไดเรือนไปทันที โดยมีตะวันตามไปติด ๆ

    “หาญเอ็งไปช่วยดูเกลอของเอ็งในครัว ส่วนข้าจะคอยฟังแม่เอ็งอยู่ทางนี้เผื่อว่าเขาต้องการให้ช่วยเหลือ” หินกล่าวกับลูกชาย

    “ขอรับ” หาญจึงได้เดินเลี่ยงไปยังเรือนครัวก็เห็นว่าทิดจันทร์ ต้มน้ำแล้ว

    เสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังประสานกับเสียงฟ้าร้องยามค่ำคืนที่ฝนตกอย่างกระหน่ำ ทำให้ทิดจันทร์ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมากขึ้น

    “ทิดจันทร์เอ็งทำใจดี ๆ ไว้ แม่ข้ากำลังช่วยลูกกับเมียของเอ็งอยู่” หาญกล่าวอย่างเข้าใจความรู้สึกของเกลอเนื่องจากตอนสร้อยคลอดลูกเขาก็มีอาการแบบนี้เช่นเดียวกัน

    นิดกับตะวันที่อยู่ในห้องนอนของเจ้าของเรือน ในยามนี้ใบหน้าของหญิงชราเริ่มมีเหงื่อผุดพรายเต็มหน้าผากเช่นเดียวกับหญิงสาวที่กำลังเจ็บท้องคลอดในตอนนี้

    “เหมียว” ยาในมิติ ลูกแมวตัวน้อยส่งเสียงร้อง ให้ตะวันได้ยินเพียงคนเดียว โดยไม่ปรากฏตัวให้เห็น เพราะว่าถ้าหากมีใครเห็นแมวดำในยามนี้เขาจะคิดว่ามีโชคร้ายมากกว่าดี

    ตะวันก็เรียกเม็ดยาช่วยในการคลอดบุตรออกมา “ย่าหนูจะเอายาให้อาคนนี้กินนะจ๊ะ ยาเม็ดนี้จะทำให้อามีแรงคลอดลูก” ตะวันบอกผู้เป็นย่าให้รับรู้เอาไว้ก่อน

    นิดพยักหน้ารับรู้เนื่องจากเชื่อมั่นในตัวหลานสาวผู้ที่มีแต่ความมหัศจรรย์ หลังจากที่ยาเข้าปากของจิกเธอก็รู้สึกมีเรียวแรงขึ้นมาทันทีผิดกับเมื่อครู่หน้ามือเป็นหลังมือ

    ในระหว่างที่ด้านบนกำลังวุ่นวายกับการทำคลอดอยู่นั้น จู่ ๆ ก็ได้มีเสียงหมาเห่ากรรโชกอย่างดุดันด้วยความน่ากลัวมาจากที่ไกล ๆ พร้อมกับยังส่งร้องอย่างโหยหวนรับกันเป็นทอด ๆ 

    ท่ามกลางลมแรงที่พัดพายอดไม้ไหวเอน ฝนตกกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย ฟ้าแลบแปลบปลาบตัดกับความมืดของราตรีกาลเป็นเส้นสายสว่างวูบ ๆ วาบ ๆ แลดูน่ากลัว

    “โอ้ย ฉันเจ็บ” เสียงร้องของจิกเมียทิดจันทร์ก็ร้องออกมาเป็นระยะ ๆ ให้ได้ยิน

    “ทนหน่อย ถ้าข้าให้เบ่งเอ็งก็เบ่งเลยนะ” เสียงของย่านิดพูดกับคนที่กำลังจะเป็นแม่

    “เด็กมันหัวตกลงมาแล้ว เอ็งอดทนเบ่งอีกที คราวนี้ก็น่าจะออกแล้วล่ะแข็งใจหน่อย” นิดส่งเสียงบอกกับหญิงสาว ตะวันเองก็เอาใจช่วยหญิงคนนี้ด้วยเช่นกัน

    “เบ่ง” เมื่อสิ้นเสียงของนิด จิกก็เบ่งทันที “อุแว้” เสียงร้องของทารกได้ดังลั่นลงมาจากบนเรือน “คลอดแล้ว ลูกของข้าออกมาแล้ว” จันทร์ส่งเสียงร้องตื่นเต้นออกมาด้วยความดีใจ

    เสียงร้องของเด็กน้อยนี้ไม่ได้มีแต่คนเท่านั้นที่ดีใจ เพราะได้มีอมมนุษย์เขี้ยวขาวแสยะยิ้มพร้อมเอาลิ้นยาวน่าเกลียดตวัดเลียรอบริมฝีปากของมันด้วยความดีใจเช่นกัน

    มันได้นำพาหัวที่มีแต่เพียงเครื่องในห้อยเป็นพวงต่องแต่งลอยตามแรงลมมุ่งหน้ามายังบ้านของทิดจันทร์อย่างมายมาดที่หวังจะได้กินอาหารอันโอชะสุดโปรดปราน

    แสงไฟที่มาจากดวงตาของมันส่องประกายวิบวับสีเขียว แข่งกับแสงฟ้าแลบ มันลอยอยู่เหนือยอดต้นไม้น้อยใหญ่ และกำลังลอยเข้ามาใกล้บ้านของทิดจันทร์ขึ้นเรื่อย ๆ อย่างช้า ๆ

    จนมันได้กลิ่นคาวเลือด ที่ลอยมาตามลมมันจึงรีบสูดกลิ่นที่มันคิดว่าช่างเป็นกลิ่นอาหารอันแสนหวานอย่างตะกละตะกลาม

    ‘กลิ่นนี้ต้องมาจากเรือนหลังนี้ไม่ผิดแน่’ อมนุษย์เขี้ยวขาวผมเผ้ายาวกระเซอะกระเซิงคิดอย่างเชื่อมั่น เสียงหมาแถวนั้นก็หอนรับกันขึ้นอย่างโหยหวนอีกครั้ง

    “ตะวันผีลากไส้มันลอยอยู่เหนือหลังคาบ้านทิดจันทร์แล้ว” รัก ยมรีบเตือนน้องสาวคนใหม่ ในคืนนี้ตาคงไม่ได้มาด้วย เพราะเป็นห่วงสร้อยกับอรุณที่อยู่กันสองคนที่บ้าน

    “หา อะไรนะ! ผีลากไส้ ” ตะวันร้องอุทานออกมา โดยเธอลืมไปว่าตอนนี้ไม่ได้อยู่คนเดียว

    นิดผู้ได้ยินคำพูดที่หลุดออกมาจากปากของเด็กหญิงอย่างชัดเจน เปิดปากถามหลานสาวเสียงสั่น

    “ตะวัน ผะ..ผีลากไส้อย่างนั้นเหรอ” นิดรีบเอามือปิดปากด้วยกลัวว่าจะทำให้จิกกับเด็กตัวน้อยตื่น เธอรีบวางสิ่งที่ตัวเองกำลังทำลงทันทีพร้อมหันมองใบหน้าของหลานสาวอย่างขอคำตอบ

    “ย่าไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ เดี๋ยวหนูจัดการเอง” ตะวันพูดปลอบคนเป็นย่าเพื่อให้คลายความกังวล ทั้งที่ตัวเองยังไม่รู้ว่าผีลากไส้คือตัวอะไร

    “พ่อ ปู่ อาจันทร์ขึ้นมาบนเรือนก่อนจ้ะ” ตะวันเรียกชื่อคนทั้งสามให้ขึ้นเรือน

    เพราะเวลานี้ฟ้ามืดแล้ว ตามที่เรียนมาเขาให้เรียกชื่อห้ามพูดว่าทุกคนมิฉะนั้นสิ่งที่เราไม่ประสงค์อาจจะตามขึ้นมาด้วย

    คนทั้งสามที่ได้ยินเสียงเด็กหญิงร้องเรียก พวกเขาก็รีบก้าวเท้าขึ้นบันไดบ้านไปทันที เพราะครั้งแรกที่ขึ้นบันไดมาก็เป็นช่วงที่เอาน้ำร้อนมาให้เพียงเท่านั้น

    “ทุกคนนั่งกันอยู่เฉย ๆ นะจ๊ะไม่ว่าได้ยินเสียงอะไรก็ห้ามพูดหรือขานรับ” ตะวันได้บอกกับทั้งสามคนที่เพิ่งจะขึ้นมาบนเรือนน้ำเสียงจริงจัง

    ทั้งสามได้หันมามองหน้ากันเลิ่กลั่กด้วยความแปลกใจ และได้มองเข้าไปยังห้องที่นิดนั่งอยู่ นิดก็ได้แต่ส่ายหน้าออกมา

    แกว๊ก ๆ เสียงนกกลางคืนส่งเสียงร้องออกมาอย่างน่ากลัว พร้อมกับฟ้าร้องประสานตามติดมาเสียงดัง

    “ฮิ ๆ ข้าหิว” เสียงหัวเราะผสมกับเสียงพูดอันยานคางเย็นยะเยือกดังแหลมยาวผสานกับเสียงฟ้าผ่าดังสนั่น

    ตอนนี้คนทั้งสามได้กอดตัวเองแน่นไม่รู้ว่าเกิดจากความหนาวที่เปียกน้ำฝน หรือเกิดจากความกลัวกันแน่

    “ตะวันมันลอยมาใกล้เราแล้ว” รักพูดออกมา โดยให้ยมเป็นผู้ดูต้นทาง เสียงหมาที่อยู่ใกล้ก็ส่งเสียงร้องรับกันดังระงมไปทั่วทั้งคุ้งน้ำ

    ผู้คนบ้านใกล้เรือนเคียงในเวลานี้ต่างพากันอกสั่นขวัญแขวนเป็นอย่างมาก พวกเขาเหล่านั้นได้แต่กระชับผ้าห่มคลุมร่างของตนแนบแน่นอย่างมิดชิด

    “มึงออกไปจากที่นี่บัดเดี๋ยวนี้” ยมพูดไล่ผีลากไส้เน่าเหม็นด้วยความรังเกียจ

    “กูไม่ไป กูหิว” เจ้าผีร้ายพูดยานคางเสียงเย็นออกมาด้วยความดื้อดึง

    ตะวันเมื่อได้ยินเสียงของพี่ยมเธอก็คิดจะลงบันไดมาจัดการกับเจ้าผีร้ายที่ว่านี้ด้วยตัวเอง

    “ตะวัน ลูกจะไปไหน” หาญถามลูกสาวออกมาเสียงสั่นด้วยความเป็นห่วง

    “หนูจะไปจัดการกับมันจ้ะ” ตะวันพูดออกมาอย่างหนักแน่น

    “สิ่งนี้หนูให้ทุกคนเอาไว้รีบผูกเอาไว้ที่ข้อมือก่อน ย่าจ๋าผูกให้เจ้าตัวเล็กกับอาจิกด้วย ทุกคนจำไว้ว่าห้ามลงจากเรือนเด็ดขาดนะจ๊ะ” ตะวันส่งสายสิญจน์ให้กับทุกคน

    สายสิญจน์นี้ทำมาจากด้ายชนิดพิเศษจากโลกอนาคตรับรองไม่ขาดแม้จะโดนอะไรตัดก็ตาม

    “ให้พ่อไปเป็นเพื่อนดีไหมลูก” หาญแม้จะกลัวแต่ด้วยความเป็นห่วงลูกพูดออกมา

    “ไม่ต้องจ้ะ หนูรับมือได้พ่อเชื่อหนูนะ” ตะวันพูดขึ้นอย่างมั่นใจ

    “เอ็งต้องเชื่อลูก แล้วเอ็งก็ต้องคอยเป็นผู้สนับสนุนที่ดีด้วย เพราะลูกเอ็งรับวิชาจากไอ้คงมาแล้ว” หินพูดกับลูกชายเสียงหนัก

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×