ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตะวันเหนืออสงไขย ภาคลบล้างคำสาปต้นตระกูล

    ลำดับตอนที่ #7 : เรียนวิชาหมอผีจากตาคง(รีไรท์)

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.ค. 66


    หลังจากที่ตะวันรับสิ่งของจากแม่มาแล้ว หาญก็ได้พาลูกสาวและเมียกลับมายังบ้านของตน ซึ่งตะวันก็อยากจะมาปรึกษากับคนในครอบครัวถึงเรื่องที่อยากจะให้ทุกคนย้ายกันไปอยู่ที่บ้านของตาคงและบอกเรื่องเงินที่ตนมีออกไป

    “ย่าจ๋า ปู่จ๋า เราไปอยู่บ้านของตาคงกันดีไหมจ๊ะ” ตะวันเมื่อกลับมาถึงบ้าน เธอจึงเดินเข้าไปหาผู้ใหญ่ทั้งสองคนภายในบ้านแล้วถามออกมาตามใจนึกทันที

    “บ้านหลังนั้นเจ้าคงยกให้หนูแล้วเหรอลูก” ปู่ถามออกมาด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น

    “ใช่จ้ะ ตาคงบอกว่าหนูจะให้ใครไปอยู่ก็ย่อมได้ ส่วนบ้านหลังนี้ก็ให้อาเสือมาคอยดูแลดีไหมจ๊ะ พอมีเงินเราก็ค่อยมาสร้างใหม่ และก็ไป ๆ มา ๆ เอา” ตะวันตอบปู่ พร้อมพูดความเห็นของตนออกมาด้วย

    “เจ้าคงข้าขอบใจนะ” ปู่กับย่าก็พูดออกมาพร้อมกันเนื่องจากเฒ่าชราทั้งสองนั้นก็เริ่มมีความคิดคล้อยตามผู้เป็นหลาน

    “เอ่อ..คือว่า ตะวันยังมีอีกเรื่องที่จะบอกกับทุกคนจ้ะ หากว่าทุกคนรู้ก็อย่าตกใจให้มากนักนะจ๊ะโดยเฉพาะปู่กับย่า” เด็กหญิงนั่งกระมิดกระเมี้ยนกล่าวอ้ำ ๆ อึ้งออกมากับคนภายในครอบครัว

    “เอ็งมีกระไรก็ว่ามาเถอะ” ปู่เห็นท่าทีของหลานสาวจึงได้กล่าวขึ้นสีหน้าแสดงความสงสัย

    “ทุกคนดูนี่นะจ๊ะ” ตะวันไม่ตอบแต่ได้เรียกกล่องไม้ที่บรรจุเงินของยุคนี้ออกมาแทนท่ามกลางความว่างเปล่า

    “แม่แหก!! ตาเถรยายชี ตะวันละ..หลาน” นิดอุทานเสียงดังอ้าปากค้างตาเบิกกว้างเมื่อเห็นการกระทำของผู้เป็นหลานเช่นเดียวกับหิน และหาญ

    “เอ็งเป็นใคร หลานข้าไปไหน” หินตวาดขึ้นเสียงดังสีหน้าถมึงทึงใส่หลานสาวตัวน้อยที่เขาไม่เชื่อว่าคนตรงหน้าคือหลานของตน

    “ปู่จ๋า ใจเย็น ๆ นี่ตะวันหลานปู่เองจะใครละจ๊ะ ในตอนที่ตะวันหลับไปในตอนโดนงูกัดตาที่ตะวันเจอในฝัน ได้เป็นผู้สอนวิชานี้ให้ตะวันเองเขาเรียกว่าวิชาซ่อนสิ่งของอีกทั้งในนั้นยังมีสิ่งของต่าง ๆ มากมายรวมทั้งเงินในหีบไม้นี้ด้วย” เด็กหญิงตัวน้อยกล่าวออกมาอย่างใจเย็นให้ทุกคนในครอบครัวฟัง

    “เอ็งพูดจริงอย่างนั้นเหรอ” หินยังคงถามออกมาอย่างกังขา

    “จริงสิจ๊ะ หากหนูไม่ใช่ตะวันแล้วตาคงจะยกเรือนให้หนูได้ยังไง” ตะวันส่งยิ้มโดยยืมชื่ตาคงออกมากล่าวยืนยัน

    “มันก็จริงนะ ข้าจะเชื่อเองก็ได้” หินกล่าวขึ้นพลางถอนใจ

    ด้านรัก ยม กับตาคงที่เห็นว่าหลานของตนมีสิ่งพิเศษก็รู้สึกตกใจแต่เมื่อคิดดูใหม่ก็นับว่าเป็นเรื่องดีเช่นกัน

    “ตอนนี้ทุกคนหายตกใจกันหรือยังจ๊ะ” ตะวันถามหยังเชิงคนทั้งสามยกเว้นแม่กับน้องชายที่ยังคงอยู่ในสภาพปกติเนื่องจากคนทั้งคู่ได้รู้เรื่องนี้กันอยู่ก่อนแล้ว

    “จะว่าหายก็ไม่เชิง จะว่าไม่หายก็ไม่ใช่ ว่าแต่เอ็งยังมีเรื่องอะไรอีกอย่างนั้นเหรอ อย่าให้คนแก่ตกใจมากนักย่าหัวใจจะวาย” เสียงแหบของย่าเอามือลูกอกของตนกล่าว

    “เรื่องเงินจ้ะ” ตะวันกล่าวในขณะที่มือยังคงจับอยู่บนกล่องไม้

    “เงินอะไรเหรอลูก” หาญสอบถามลูกสีหน้าแสดงความสงสัย

    ตะวันเปิดกล่องไม้ออกให้ทุกคนเห็น ทำให้ปู่ ย่า ที่เห็นเงินมากมายได้ตกใจขึ้นอีกครั้ง

    “ตะวัน หลานไปเอาเงินมากมายมาจากไหน หลานไม่ได้ไปลักขโมยของใครมาใช่ไหม” หินถามหลานสีหน้าแตกตื่นมองซ้าย ขวาอย่างหวาดระแวง

    “ปู่จ๋า ตะวันเพิ่งบอกไปไม่ใช่หรือจ๊ะว่า ตาในฝันให้หนูมา” เด็กหญิงกล่าวออกมาอีกครั้งสีหน้ายิ้มแหย ‘เกิดมาเธอยังไม่เคยหยิบฉวยของใครมาก่อนเลยนะปู่จะพูดแบบนี้ไม่ได้’ ตะวันกล่าวประท้วงในใจ

    “ปู่ขอโทษลูก ปู่ไม่ได้ยินที่หลานบอกในตอนแรก” ชายชรากล่าวสีหน้าแสดงความรู้สึกผิดกับหลานตัวน้อย

    “ไม่เป็นไรจ้า หนูเข้าใจ เงินจำนวนนี้พวกเราจะเอาไปทำอะไรดี ทุกคนมีความเห็นว่ายังไงคะ” ตะวันกวาดสายตามองหน้าของทุกคนในครอบครัวอย่างขอความคิดเห็น

    “มันเป็นเงินที่ท่านผู้นั้นให้ลูกมา ลูกก็เอาเก็บไว้เถอะ จะเอามาให้พวกเราทำไม” หาญบอกกับลูกสาวตัวน้อยอย่างไม่ลังเลโดยปราศจากความโลภ

    “จริงอย่างพี่พ่อของหลานบอกนั่นแหละ หลานเอาเก็บไว้เถอะ” ผู้เป็นปู่กล่าวอย่างเห็นด้วยกับบุตรชาย

    “ใช่ แม่/ย่าก็เห็นด้วยกับคำกล่าวของพ่อหลาน” หญิงต่างวัยอีกสองต่างก็พูดขึ้นเป็นเสียงเดียวกัน

    ส่วนเด็กชายผมแกละนั้นเขายังคงเป็นเด็กและไม่รู้มูลค่าของเงินที่พี่สาวมีดังนั้นผู้ใหญ่พูดอะไรกันเขาก็ได้แต่ฟังเพียงอย่างเดียว

    ตะวันรู้สึกชื่นชมนิสัยใจคอของคนในครอบครัวเป็นอย่างมาก ดังนั้นเด็กหญิงจึงได้กล่าวแย้งออกมา “ไม่ดีหรอกจ้ะ เงินจำนวนนี้ตะวันคิดว่าพวกเราควรจะนำมาลงทุนให้เกิดประโยชน์เพื่อกิจการในครอบครัว” เด็กหญิงกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

    “หลานคิดจะทำอะไรล่ะ” ปู่ถามหลานสาวตัวน้อยเมื่อเห็นว่าความคิดของหลานนั้นค่อนข้างน่าสนใจ

    “แม่ถนัดทำขนม ก็ทำขนมขายดีไหมจ๊ะ ส่วนปู่กับย่า เป็นหมอเราเปิดโรงหมอที่หน้าเรือนของตาคงกันดีไหม” ตะวันพูดขึ้นหลังจากไตร่ตรองดีแล้ว

    “ฉันว่าความคิดของตะวันดีทีเดียวนะพ่อ เพราะพ่อกับแม่อายุก็มากแล้วอยู่กับเรือนดีกว่า” หาญกล่าวขึ้นคล้อยตามความคิดบุตรสาว

    “แล้วแม่ละจ๊ะ มีความเห็นว่ายังไง” ตะวันหันหน้าไปถามคนเป็นแม่ที่นั่งเงียบอยู่ข้างตัว

    “แม่ตามใจลูกจ้ะ ลูกแม่ว่ายังไงแม่ก็ว่าตามนั้นเพราะโดยปกติแม่ก็ไม่มีอะไรให้ทำมากนักหรอก” สร้อยยกยิ้มตอบลูกเสียงอ่อน

    “ถ้าอย่างนั้นเป็นอันว่าตกลงตามนี้ ส่วนพ่อจ๋าก็สามารถทำห้องน้ำให้หนูได้แล้ว ว่าแต่ตอนนี้ทุกคนจะเองเงินไว้ติดตัวกันไหมจ๊ะหรือจะรอย้ายที่อยู่ก่อน” ตะวันเอ่ยถามคนในครอบครัวหลังจากสรุปได้แล้วว่าจะสร้างอาชีพอะไร

    “ไม่เอาหรอกเอ็งเก็บไว้กับตัวนะดีแล้ว อย่าให้ใครรู้เชียวว่าบ้านเรามีเงินข้ากลัวโดนปล้น” หินส่ายหัวปฏิเสธก่อนจะกล่าวออกมาเชิงติดตลก

    “มีโจรด้วยหรือจ๊ะ” เด็กหญิงเบิกตาโต ถามออกไปทันที

    “ก็มีนะสิ บ้านไหนมีเงินได้ที่ไหน เอาละเรื่องเงินห้ามพูดถึงแล้วนะเอาไว้ไปอยู่ที่เรือนนั้นก่อนค่อยว่ากัน หากใครถามก็อ้างชื่อไอ้คงออกไป ว่ามันมาเข้าฝันให้โชคลาภก็แล้วกัน” หินโบ้ยไปให้กับวิญญาณเกลอเก่าที่นั่งรับรู้ในเหตุการณ์ด้วย

    “ได้ไหมจ๊ะตา” ตะวันหันหน้าไปทางวิญญาณตาคง

    “ได้สิ” ตาคงกล่าวออกมาเสียงดังทำให้หินถึงกับสะดุ้ง

    หลังจากตะวันจัดการเรื่องเงินเรียบร้อยเด็กหญิงก็เดินลงมาจากเรือนของตนเพื่อมายังต้นหมากขามใหญ่

    “เอ็งเปิดของที่อยู่ในห่อดูได้แล้วนังหนู” เสียงคงกล่าวกับหลานสาวโดยไม่บอกกล่าวทำให้ตะวันตกใจเกือบทำสิ่งที่อยู่ในมือร่วง

    “ระวัง หน่อยสิในนี้เป็นของขลังเชียวนะ” ตาคงส่งเสียงเอ็ดหลาน

    “ก็หนูตกใจนี่จ้ะ ตาจ๋า คราวหน้าคราวหลังจะพูดหรือจะมา ตาช่วยส่งสัญญาณเตือนมาก่อนได้ไหม” ตะวันส่งเสียงประท้วง

    “ไม่ได้หรอก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเอ็งจะต้องหมั่นนั่งสมาธิเพื่อให้พลังจิตเข้มแข็งไม่อย่างนั้นหากไปเจอผีร้ายขึ้นมาเอ็งลำบากแน่” คงกล่าวข่มขู่หลานตัวน้อยออกมา

    “ที่นี่มีผีเยอะเลยหรือจ๊ะ” ตะวันถามขึ้นอย่างขยาด

    “ก็พอดูทีเดียวเอาล่ะ เอ็งเปิดห่อนั่นสักทีเถอะ ข้าจะได้บอกว่าอะไรเป็นอะไร” คงตัดบทเนื่องจากกลัวว่าหลานจะเกิดอาการกลัวขึ้นเสียก่อน

    ตะวันจึงได้หุบปากของตนลง จากนั้นเด็กหญิงจึงได้แกะห่อที่อยู่ในมือของตนออก “ตานี่มันของเด็กเล่นหรือจ๊ะ มีแต่ของชิ้นเล็กชิ้นน้อย” ตะวันถามกับตาคง

    เมื่อเธอหินมีดอาคมเล็กเท่าฝ่ามืออรุณ แผ่นอะไรบางอย่างแข็ง ๆ มีอักษรแปลก ๆ อีกทังยังมีน้องควายอยู่สองตัวมีอักษรสีทองอยู่ข้างลำตัว มีสายมงคล มีขัน มีดาบคู่ มีเหรียญ มีหอยด้วย แต่ทุกอย่างมีขนาดเล็กเท่าฝ่ามือเด็กอย่างอรุณหมดเลย

    “เอ็งก็ต้องเรียนสิ่งที่อยู่ในตำราก่อนซิ ของที่เอ็งเห็นเหล่านี้สามารถขยายได้เข้าใจไหม แต่การใช้งานคือเอ็งจะต้องเก่งเสียก่อนไม่อย่างนั้นมันอาจจะย้อนมาทำร้ายตัวเองได้” คงพูดกับหลานออกมายืดยาว

    “อ๋อ มันเป็นอย่างนี้นี่เอง” ตะวันพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

    ดังนั้นการเรียนของตะวันในบทเรียนแรกก็เริ่มขึ้น มันก็คล้ายกับการเรียนที่ตะวันเคยเรียนอยู่ในยุคอนาคตแต่วิชาแตกต่างกัน

    “วิญญาณนี่มีหลากหลายรูปแบบจังเลยนะจ๊ะตา” ตอนนี้ตะวันได้เรียนมาถึงวิญญาณแต่ละประเภทแล้ว เธอจึงได้ถามกับวิญญาณผู้เป็นตาอย่างสงสัย

    “ก็ใช่นะสิทีนี่เอ็งก็ตั้งใจเรียนได้แล้ว” ตาคงย้ำกับหลานสาวออกมาอีกรอบ

    “ตาหนูหิว” เสียงตะวันพูดออกมาอย่างแผ่วเบาด้วยความอายที่เสียงท้องของเธอร้องขึ้นเสียงดัง

    “จะว่าไปตาเองก็หิวเหมือนกัน ถ้าอย่างนั้นวันนี้พอแค่นี้แหละเอ็งไปทำกับข้าวได้แล้วเอาแซ่บ ๆ นะ” เสียงตาคงสั่งหลานด้วยความอยากกินอาหารรสจัด

    “ได้เลยจ้ะ เดี๋ยวตะวันจัดให้” เด็กหญิงยกยิ้มกล่าวอย่างมั่นใจ

    “เอ็งพูดกระไรตาฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง เอาล่ะเอ็งรีบไปทำกับข้าวเถอะอย่าลืมเซ่นไหว้ตากับเจ้าสองตนนี้ด้วยล่ะ

    ว่าแต่เอ็งมารู้จักกับทั้งคู่ก่อน ตาลืมแนะนำให้รู้จักกันไปเลย เด็กผู้ชายชื่อยม เด็กผู้หญิงชื่อรัก เอ็งต้องเรียกเขาว่าพี่เข้าใจไหม” คงรีบกล่าวออกมาเมื่อนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้แนะนำวิญญาณเด็กผมจุกออกมาให้หลานได้รู้จัก

    “ไหว้จ้ะ หนูชื่อตะวันนะจ๊ะยินดีที่ได้รู้จักพี่ทั้งสอง” เด็กหญิงตัวน้อยยกมือพนมไปยังวิญญาณเด็กน้อยทั้งสองตน

    “จ้ะ น้องตะวัน ยินดีที่ได้รู้จักคืออะไรอย่างนั้นหรือ” รักถามขึ้นอย่างสงสัยในคำแปลกที่ตนได้ยิน

    “แปลว่าดีใจที่ได้รู้จักกันยังไงละจ๊ะ” ตะวันอธิบาย

    “พุทโธ! ก็แล้วใยน้องไม่พูดว่าดีใจที่ได้รู้จักตั้งแต่ที่แรกไอ้พี่รึก็งง” ยมตบเข่าของตนกล่าวออกมาบ้าง

    “แหะ ก็หนูเคยชินแบบนี้นี่น่า เอาเป็นว่าต่อไปหากพี่ไม่รู้อะไร พี่ก็ถามตะวันได้เลยตะวันพร้อมตอบ” เด็กหญิงส่งยิ้มแห้ง ๆ ออกมาให้วิญญาณทั้งสามก่อนจะกล่าวในสิ่งที่พวกเขางงอีกครั้ง

    “เอ็งรีบไปทำกับข้าวเถอะ ยิ่งพูดข้ายิ่งไม่เข้าใจ” คงส่ายหน้าไปมาพลางคิดว่า ‘สงสัยเขาจะตายมานานเลยไม่ทันกับคำพูดของเด็กในวัยนี้’

    “โอเคจ้ะ ตารอหน่อยนะ” เด็กหญิงกล่าวขึ้นอย่างลืมตัวพร้อมกับวิ่งไปหาน้องชายเพื่อจะชวนกันไปหาวัตถุดิบในการทำอาหาร

    “พ่อ อะเคคือสิ่งใด” ยมเกาหัวด้วยความไม่เข้าใจ

    “ไม่ใช่อะเค โอเก ไม่ใช่หรือ” รักแย้ง

    “ไม่ใช่ทั้งคู่นั่นแหละ ตะวันพูดว่าโอเคต่างหากเล่า ข้าเองก็ไม่รู้ว่าแปลว่าอะไรเหมือนกัน แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นภาษาของพวกตาฟ้า” คงกล่าวกับวิญญาณเด็กทั้งสอง

    “โอ้! น้องสาวเก่งกาจถึงกับพูดภาษาพวกตาฟ้าได้ด้วย” ยมกล่าวชมโดยมีรักพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

    ทางตะวันเมื่อเจอตัวน้องชาย เด็กหญิงก็ได้กล่าวชวนคนตัวเล็กกว่าทันที

    “อรุณไปหลังเรือนกันเมื่อวานพี่เห็นลูกมะละกอ วันนี้พี่จะเอามาตำส้มให้กิน”

    “พี่สาวบ้านเราไม่มีส้มนะ อีกอย่างหากเอามันมาตำก็เละไม่น่ากินนะสิ” เด็กชายตัวน้อยกล่าวแย้งสีหน้าแสดงความมึนงง

    “ฮ่า ๆ ใครบอกว่าตำส้มคือเอาส้มมาตำกันล่ะ ว่าแต่ที่นี่ไม่มีส้มตำอย่างนั้นเหรอ” ตะวันหัวเราะน้องชายก่อนถามออกมาอย่างสงสัย

    “ไม่มีหรอก ข้าก็เพิ่งจะได้ยินมาจากพี่นี่แหละจ้ะ” เด็กชายส่ายหน้ากล่าวให้ผู้เป็นพี่ฟัง

    “ถ้าอย่างนั้นหากเราทำขายก็น่าจะดีทีเดียว แต่ไม่รู้ว่ามะละกอจะหายากไหม” เด็กหญิงกล่าวพึมพำในขณะเดินคู่ไปกับน้องชาย

    สองพี่น้องเดินมาถึงต้นมะละกอที่มีอยู่หลายต้นมีทั้งลูกดิบและลูกสุกตะวันจึงได้เก็บลูกสุกเอาไว้ในมิติก่อนโดยมีแมวดำตัวเล็กคอยเป็นผู้ช่วย

    ต่อจากนั้นเธอก็มาเก็บลูกดิบ ลูกไหนที่อยู่สูงก็อาศัยความสามารถของแมวดำตัวเล็กตามเคย ทำให้สองพี่น้องเก็บมะละกอจนแทบหมดต้นซึ่งเหลือไว้แต่ลูกที่ยังไม่โตเต็มที่

    “พี่สาวสิ่งนี้กินได้เฉพาะผลสีเหลืองไม่ใช่หรือขอรับ เหตุใดพี่ถึงได้เก็บผลดิบมันด้วยเล่า” เด็กชายตัวน้อยถามขึ้นอย่างสงสัย

    “ใครว่าล่ะ ผลดิบนี่แหละพี่จะนำมาของอร่อยรสแซ่บให้กิน” 

    ดังนั้นอาหารมื้อกลางวันของบ้านจึงเต็มไปด้วยเสียงซี๊ดซ๊าดจากความเผ็ดของส้มตำฝีมือของเด็กหญิงตะวัน

    แม้แต่อรุณเองก็ลิ้มลองไปหลายคำก่อนที่เจ้าตัวจะยอมแพ้หันมาซดต้มจืดหน่อไม้เพื่อแก้ความเผ็ด

    “อากระถินอย่ากินเผ็ดมากนะจ๊ะ มันไม่ค่อยดีกับคนท้อง” ตะวันเปิดปากบอกอาสาวที่วันนี้ได้มากินข้าวด้วยกัน เนื่องจากอาเสือยังคงมาช่วยพ่อทำนา

    “จ้ะ” ผู้เป็นอาสาวยิ้มรับคำเตือน

    “พ่อจ๋า ฝีมือน้องตะวันดีมากเลย แม้เจ้าสิ่งนี้จะเผ็ดไปสักหน่อยแต่อร่อยยิ่งนัก” รักกล่าวชมด้วยรอยยิ้มกว้าง

    “เอ็งติดใจฝีมือปลายจวักของน้องแล้วนะสิ” คงกล่าวหยอกเด็กหัวจุกตัวเล็ก

    “ใช่จ้ะ หากน้องตะวันโตขึ้นสงสัยหัวกระไดบ้านไม่แห้งแน่” ยมเป็นผู้ตอบออกมาแทนรัก

    “เรื่องนั้นยังอีกตั้งหลายปีตอนนี้หลานข้ายังเด็ก ยังไม่ต้องรีบ” คงกล่าวกับวิญญาณเด็กทั้งสองอย่างหวงหลานสาวคนเก่ง

    หลังจากกินข้าวเสร็จตะวันจึงได้เอ่ยถามแม่ในเรื่องที่ตนสงสัย

    “แม่จ๋า หากว่าพวกเราไปอยู่เรือนตาคงแล้ว พ่อจะต้องกลับมาทำนาที่เรือนนี้ไหม หนูเห็นว่าเรือนตาคงแม้เรือนจะกว้างแต่พื้นที่ดินเล็กกว่าที่นี่ตั้งเยอะ” สีหน้าของเด็กหญิงเริ่มลังเลพลางคิดว่าหรือจะไม่ย้ายเรือนดี

    พลู๊ด! เสียงพ่นน้ำออกมาจากปากของตาคง “นังหนูใครบอกที่บ้านข้าเล็กเอ็งนี่จะดูถูกหมอผีเลื่องชื่ออย่างข้ามากเกินไปแล้ว

    ที่ดินหลังบ้าน หลังแนวต้นไม้รก ๆ นะ มันเป็นของข้าทั้งหมดจนสุดขอบชายป่าเลยนะโว้ย มีเป็นห้าสิบไร่ ถ้าเอ็งอยากได้มากกว่านี้เอ็งก็ไปหาซื้อเพิ่มหรือไม่ก็ไปหักร้างถางพงเอาเอง” ตาคงอดพูดอวดที่ดินของตนออกมาไม่ได้

    เด็กหญิงหันขวับไปทางต้นเสียงทันควัน “ถ้าอย่างนั้นทำไมตาปล่อยให้แม่ลำบากละจ๊ะ” ตะวันถามในสิ่งที่สงสัยออกมาอีกคำรบโดยการสื่อสารทางความคิดกับผู้เป็นตา

    “ข้าไม่ได้ปล่อยให้ลำบากเสียหน่อยก็แม่เอ็งและคนบ้านนี้มันขี้กลัว คิดแต่ว่าบ้านข้ามีผีก็เลยไม่ยอมไปอยู่กันเองจะโทษข้าไม่ได้” ตาคงรีบอธิบายออกมาให้หลานสาวรู้

    “แล้วมีจริงไหมละจ๊ะนอกจากพี่รักพี่ยมแล้ว” ตะวันถามต่อไปอีก

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    ดูอีบุ๊ก

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×