คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บ้านหมอผีตาคง(รีไรท์)
ทางด้านของหาญตอนนี้เขาก็กำลังจะก้าวเท้าลงจากเรือนพร้อมกับส่งเสียงถามพ่อแม่ผู้ชราไปด้วย
“พ่อ แม่กินข้าวมาหรือยัง”
แต่ยังไม่ทันได้รับคำตอบจากปากชราของคนทั้งสอง เขาก็ได้ยินร้องแปลก ๆ ดังขึ้นเสียก่อน
“โอ้ย กลัวแล้วไปแล้ว”เสียงที่เขามั่นใจว่าไม่ใช่เสียงพ่อแม่แน่ ๆ ดังมาจากด้านล่าง จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงบทสวดดังขึ้น และก็ค่อย ๆ ดังขึ้นเรื่อย ๆ จากในเรือนทำให้ชายหนุ่มรีบเดินย้อนกลับเข้าไปภายในตัวเรือนอย่างสงสัย
หาญได้ยกตะเกียงขึ้นดูตามเสียงที่ได้ยินด้วยใบหน้าแตกตื่น เมื่อเขาเห็นว่าผู้ที่กำลังท่องบทสวดแปลก ๆ นั้นเป็นลูกสาวของตนชายหนุ่มก็รู้สึกตกใจ
ทว่าเขาก็พยายามตั้งสติก่อนจะส่ายตะเกียงไปหาเมียและบุตรชายด้วยความเป็นห่วง
ก็มองเห็นว่าทั้งสองคนนั่งกอดกันอยู่ห่างจากลูกสาวเล็กน้อย โดยมีเจ้าเมฆนั่งขวางอยู่ระหว่างคนทั้งสองกับบุตรสาวไว้เหมือนกับไม่ให้คนทั้งคู่เข้าไปรบกวนตะวัน
เสียงจากด้านล่างเมื่อได้ยินบทสวดดังมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งร้องด้วยความเจ็บปวดมากขึ้น จนในที่สุดเสียงนั้นก็หยุดลงพร้อมกับที่ตะวันก็จบบทสวดลงเช่นกัน
หาญได้แต่ยืนละล้าละลังอยู่กับที่ เพราะไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดีห่วงพ่อแม่ก็ห่วง ลูกเมียที่อยู่บนเรือนเขาก็ห่วง ยิ่งได้เห็นสิ่งที่ลูกสาวทำเขายิ่งรู้สึกว้าวุ่นใจมากขึ้น
และความรู้สึกอันว้าวุ่นในจิตใจของเขาก็ได้หายไปเมื่อได้ยินเสียงเรียกของพ่อที่คุ้นเคยเขาจึงรีบก้าวลงจากเรือนทันที
“หาญช่วยพ่อกับแม่ที” หินร้องเรียกลูกชายด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนล้า
หาญจึงรีบนำตะเกียงที่มีดวงเดียวใช้ส่องทางลงไปหาพ่อกับแม่เมื่อเขาเห็นบุพการีทั้งสองซึ่งดูเหนื่อยอ่อน เขาก็รีบไปช่วยพยุงแล้วก็ได้พากันเดินขึ้นเรือนอย่างทุลักทุเลทั้งสามคน
เมื่อทุกคนขึ้นมานั่งบนเรือนพร้อมหน้าพร้อมตากันแล้ว หาญจึงได้นำตะเกียงแขวนไว้บนที่สูงเพื่อจะได้อาศัยแสงไฟจากมุมสูงมองคนที่บ้านได้มากขึ้น
“ตะวันหนูบอกพ่อทีว่ามันเกิดอะไรขึ้น” หาญถามลูกสาวออกมาด้วยความสงสัยพร้อมกับใบหน้าที่ยังคงมีความตื่นกลัวให้เห็นอยู่
“หนูสามารถมองเห็นผีได้จ้ะ ตั้งแต่ที่หนูฟื้นขึ้นมาแล้ว และหนูก็ได้เรียนรู้คาถาบทสวดมาด้วย” ตะวันพูดจริงครึ่งเท็จครึ่งเพื่อให้พ่อและทุกคนคิดว่าเป็นคุณตาที่ตะวันอุปโลกน์ได้เป็นคนสอน
“หนูหมายความว่าผีตามปู่กับย่ามาอย่างนั้นใช่ไหม” หินถามหลานสาวออกมาเสียงสั่น
“ใช่จ้ะ แต่ก่อนที่หนูจะท่องบทสวดได้มีคุณตาไปช่วยยับยั้งไม่ให้มันขึ้นเรือน เพราะถ้ามันขึ้นมาได้ก็เท่ากับมันจะได้ครองร่างปู่กับย่าอย่างสมบูรณ์” ตะวันได้กล่าวออกมาท่ามกลางความตกใจของทุกคนอีกครั้ง
“ตะวัน ตาที่ว่านุ่งขาวห่มขาวมวยผมสูงใช่ไหมลูก” สร้อยถามลูกสาวพร้อมกับน้ำตาคลอหน่วยด้วยความคิดถึง
“ใช่จ้ะ ตาบอกว่าเป็นตาของหนูและพรุ่งนี้ก็ให้แม่พาหนูไปยังบ้านของตาที่ตาได้เคยสั่งแม่ไว้” ตะวันตอบแม่พร้อมบอกเรื่องที่ตาได้บอกกับเธอไว้ทุกอย่าง
สร้อยและทุกคนที่นั่งกันอยู่ท่ามกลางแสงสลัวจากตะเกียงดวงเดียว เมื่อได้ยินสิ่งที่ลูกและหลานพูดพวกเขาก็แสดงสีหน้าหวาดหวั่นออกมา
“สร้อย นี่ไม่ใช่ว่าเจ้าตะวันเป็นผู้ถูกเลือกหรอกเหรอ” ปู่ถามสร้อยด้วยเสียงแหบ พร้อมระลึกถึงความหลังระหว่างความเป็นเพื่อนกับคงพ่อของสร้อย
“ตะวันตอนนี้หนูยังเห็นตาอยู่ไหม” สร้อยถามลูกสาวเสียงสั่นเครือมีน้ำตาไหลเต็มดวงหน้า หาญเมื่อเห็นเมียเป็นแบบนี้เขาก็เข้ามาโอบกอดสร้อยเอาไว้ด้วยความสงสาร
“เห็นจ้ะ ตาบอกว่าจะต้องสอนหนูให้หมดก่อนเมื่อหมดห่วงแล้วแกก็จะไปตามทาง” ตะวันที่ยังมองเห็นตานั่งทำหน้าเศร้ามองไปที่แม่และปู่เธอก็พูดทั้งหมดที่คุยกับตาออกมา
“พ่อจ๋า พ่อไม่ต้องเป็นห่วงนะพรุ่งนี้ฉันจะพาลูกไปที่บ้านของเราเอง แล้วฉันก็จะทำบุญไปให้พ่อบ่อย ๆ ด้วย พ่ออยากกินอะไรก็บอกหลานนะ ฉันจะทำใส่บาตรไปให้” สร้อยพูดพร้อมกับร้องไห้จนไหล่ไหวสะท้าน
“คงกูขอบใจมึงมากนะ ที่มาช่วยกูกับเมีย มึงไม่ต้องเป็นห่วงสร้อยนะกูก็รักมันเหมือนลูก สิ่งที่มึงจะสอนหลานกูก็เห็นดีด้วย” หินพูดลอย ๆ เพราะเขาคิดว่าเกลอตนคงอยู่แถวนี้และได้ยินอย่างแน่นอน
“ตาเขารับรู้แล้วจ้ะ พรุ่งนี้แม่ก็ทำกับข้าวที่เรากินวันนี้ใส่บาตรแล้วกันตาแกบอกว่าเห็นแล้วน้ำลายแตก” ตะวันก็ยังทำหน้าที่ผู้ส่งสารที่พูดออกมาทั้งหมดตามเดิม
“ฮ่า ๆ เจ้าคงไอ้ผีตะกละ ว่าแต่กับข้าววันนี้เป็นอะไรอย่างนั้นเหรอ ว่าแล้วพ่อกับแม่ก็ชักหิวยังไม่ได้กินข้าวเลย” หินหัวเราะเพื่อน พร้อมกับถามถึงข้าวเย็นวันนี้
“เดี๋ยวฉันกับสร้อยไปยกมาให้กินจ้ะ ลูก ๆ ก็ไปนอนได้แล้ว วันพรุ่งจะได้ตื่นมาใส่บาตร” หาญบอกพ่อแล้วก็หันไปบอกลูกของตนต่อ
“จ้ะพ่อ” สองพี่น้องรับปากออกมาพร้อมกัน แล้วก็มุดมุ้งเข้าไปนอนเพราะตอนนี้บ้านทั้งหลังได้ตกอยู่ในความมืดอีกครั้งเนื่องจากไม่มีตะเกียง
เช้ามืดของวันใหม่ เสียงไก่ขันที่ดังมาจากอีกฝั่งคลองได้ปลุกผู้คนให้ตื่นจากการหลับไหลตลอดทั้งคืน
ตะวันเองก็ได้ลืมตาตื่นขึ้นแล้วเช่นกัน เธอมองไปทางน้องชายที่นอนก้นโด่งเอาหน้าฝังหมอนเธอก็อดที่จะหัวเราะออกมาเสียงดังไม่ได้
“พี่ตะวันหัวเราะอะไร” เด็กชายปรือตามองพี่ด้วยความสงสัยพลางถามขึ้นน้ำเสียงงัวเงีย
“พี่ก็หัวเราะท่านอนของอรุณนั่นแหละ นอนดี ๆ ไม่เป็นหรือไง ทำไมต้องเอาก้นขึ้นมาแบบนั้นกัน” ตะวันบอกน้องพร้อมกับเอานิ้วชี้ไปที่ก้นของเจ้าตัวเล็ก
“ก็มันสบายนี่ หนูตื่นเลยก็ได้ แล้วพี่เมฆตื่นหรือยัง” อรุณพูดพร้อมถามถึงสัตว์เล็กตัวน้อยที่เขาไม่เห็นตัว
แต่ยังไม่ทันจะรู้คำตอบ เขาก็ได้ยินเสียงคล้ายกับใครขูดกับอะไรบางอย่างดังขึ้น “พี่เสียงอะไรนะ” เด็กชายถามผู้เป็นพี่อย่างตกใจ
“เสียงน้องเมฆลับเล็บนะ” ตะวันตอบข้อสงสัยของน้องชาย
หลังจากอรุณได้ยินคำตอบ เด็กชายก็มีสีหน้าแสดงความสงสัยออกมาเพียงเล็กน้อยพร้อมกับคิดว่าสงสัยคงเป็นธรรมชาติของแมวจากนั้นเขาก็หันไปจัดการกับที่นอนของตน
“พวกเราลงไปล้างหน้าล้างตากันเถอะจะได้ไปช่วยแม่ทำกับข้าวใส่บาตร” ตะวันบอกกับน้องที่กำลังพับผ้าห่มของตน
“ขอรับ” อรุณตอบรับ
ทั้งสองพี่น้องก็ได้พากันก้าวลงจากเรือน เมื่อเดินเข้าไปในเรือนครัวหลังบ้านก็มองเห็นว่าแม่กำลังทำอาหารที่เหมือนกับเมื่อวาน
ตะวันเมื่อเห็นแบบนี้เธอก็เลยเดินไปช่วย ทั้งสองคนช่วยกันอยู่ไม่นานก็ได้อาหารหน้าตาหน้าทานกลิ่นหอมชวนกิน
“พวกเราเดินไปใส่บาตรกันลูก เรือของพระน่าจะเข้ามาใกล้บ้านของเราแล้ว” สร้อยกล่าวชวนบุตรทั้งสองคนที่ในมือได้มีถาดใส่ห่อข้าวในใบตอง ต้มยำอยู่ในปิ่นโตที่อรุณเป็นผู้ถือ
“แม่จ๋าพระท่านไม่ได้เดินบิณฑบาตหน้าบ้านเราเหรอจ้ะ” ตะวันถามออกมาอย่างสงสัย
“หนูลืมเหรอลูกว่าบ้านเรามีแค่บ้านอาเสือเท่านั้นที่อยู่กันฝั่งนี้ หากจะไปหมู่บ้านหรือตลาดที่อยู่ในเมืองจะต้องพายเรือออกไป”สร้อยบอกลูกอย่างงุนงง
ตะวันมีสีหน้าเหลอหลาหลังจากฟังคำตอบของแม่ ‘ตะวันคนเดิมจ๋าทำไมเรื่องแบบนี้ในความทรงจำของเธอถึงไม่มีกัน’ ตะวันกล่าวคร่ำครวญในใจ
“ถ้าอย่างนั้นเราก็ไปกันเถอะจ้ะ เดี๋ยวจะไม่ทัน” ตะวันจึงได้กล่าวเลี่ยงไป พร้อมกับที่เธอก็ได้เข้าไปช่วยแม่ยกถาดใส่ข้าว กับปลาที่ถูกห่อใบตองเอาไว้
ส่วนน้องชายก็ถือปิ่นโตที่บรรจุต้มยำปลาตามมา สามแม่ลูกเดินออกมาจากครัวก็เจอกับปู่ยาที่มีดอกไม้สดอยู่ในมือกันคนละกำ
ครั้นแล้วพวกเขาทั้งห้าคนก็พากันเดินออกจากบ้านไปทางศาลาริมคลองซึ่งฝั่งตรงข้ามคลองที่ตะวันเห็นก็มีคนมารอใส่บาตรเหมือนกับบ้านของตนเช่นเดียวกัน
“แม่ พ่อไปไหนละจ๊ะถึงไม่มาใส่บาตรกับพวกเรา” ตะวันถามแม่ออกมาอย่างสงสัย เพราะตั้งแต่เธอกับน้องตื่นนอนและไปช่วยแม่อยู่ในครัวจนเสร็จก็ยังไม่เห็นผู้เป็นพ่อ
“พ่อไปเตรียมเรืออยู่นะลูก หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จแม่กับพ่อก็จะพาลูกไปที่บ้านเดิมของแม่” สร้อยตอบลูกสาวพร้อมกับคอยมองพระไปด้วย
“นิมนต์ขอรับท่านสมภาร” เสียงแหบพร่าของปู่กล่าว ตะวันกับแม่จึงได้หยุดการสนทนา
“เดินทางมาไกลเลยนะโยม ไม่ว่าจะเจออะไรก็ขอให้ตั้งมั่นอยู่ในสติให้ดี ทำทุกอย่างด้วยความถูกต้องความดีจะคุ้มครอง” ท่านสมภารกล่าวขึ้นพลางมองมาทางตะวัน
หลังจากที่ทุกคนในบ้านยกเว้นพ่อได้ใส่บาตรและรับศีลรับพรจากท่านแล้ว ตะวันที่ได้ยินคำกล่าวของพระผู้ชราเด็กหญิงรู้สึกมึนงงอยู่บ้างที่ท่านพูดเหมือนว่ารู้อะไรบางอย่าง
เมื่อท่านพูดจบเด็กวัดก็พายเรือจากไปเพื่อไปยังเรือนหลังอื่นต่อ ยังไม่ทันที่ปู่จะเอ่ยถามถึงถ้อยคำที่พระท่านว่ากับหลานให้หายสงสัย
“พ่อมึงท่านสมภารท่านกล่าวกับใครกัน” นิดได้เอ่ยถามกับคู่ทุกข์ของตนที่อยู่กันมาหลายปีอย่างสงสัยขึ้นเสียก่อน
“ท่านคงจะมองเห็นในสิ่งที่เราไม่เห็นกระมั้ง แม่มึงอย่าคิดให้มากนัก ท่านก็บอกแล้วความดีจะคุ้มครองเราก็ทำแต่ความดีก็พอ” ชายชราตอบแบบขอไปที
โดยสายตายังไม่ละไปจากร่างของผู้เป็นหลานสาวด้วยความติดใจสงสัยในคำกล่าวของพระผู้ชรา
และเมื่อคนทั้งห้ากลับมาถึงเรือนก็เห็นว่าหาญได้จัดเตรียมกับข้าวกับปลาวางอยู่บนแคร่เรียบร้อยแล้ว
“พ่อจ๋า เรืออยู่ไหนหรือจ้ะ” ตะวันถามพ่อทันทีที่เจอหน้า เพราะเธออยากเห็นเรือที่อยู่ในยุคนี้ว่าเป็นแบบไหน
“ไปกินข้าวกันก่อนเถอะ เอ็งทำอย่างกับไม่เคยนั่งเรือไปได้” ย่าบอกกับหลานสาวที่มีความร่าเริงมากขึ้นผิดไปจากเดิม
“จ้ะย่า” ตะวันขานรับออกมาอย่างหงอย ๆ ซึ่งทำให้ทุกคนหัวเราะให้กับท่าทางของเด็กหญิง
“พ่อนี่เรือบ้านเราหรือจ๊ะ” ตะวันถามเมื่อเธอมองเห็นเรือแจวลำไม่เล็กไม่ใหญ่จอดนิ่งอยู่ริมลำธาร
“ก็ใช่นะสิลูก ทำอย่างกับไม่เคยเห็นไปได้” พ่อพูดพร้อมกับยิ้มขำท่าทางของลูกสาว
“มันจะนั่งได้และพาเราไปได้จริง ๆ ใช่ไหมจ๊ะ” ตะวันยังคงถามออกมาอย่างหวั่นใจ
“ได้แน่นอน ลูกกับแม่ขึ้นเรือเถอะพ่อจะไปแก้เชือกที่ผูกเอาไว้ก่อน” หาญยืนยัน
“ขึ้นเรือกันเถอะลูก” สร้อยกล่าวเร่งตะวันที่ยังคงยืนงงอยู่ริมตลิ่งข้างเรือ
‘น้องเมฆมันจะปลอดภัยแน่ใช่ไหม’ ตะวันที่ตอนนี้ได้อุ้มแมวน้อยแนบอกถามกับเมฆผ่านทางความคิด
“เหมียว” ตะวันขึ้นไปเถอะไม่ลองไม่รู้ถ้าไม่ปลอดภัยตัวช่วยในมิติก็มี อีกอย่างตัวก็ว่ายน้ำเก่งยังจะต้องกลัวอีกเหรอ
เจ้าแมวน้อยที่อยู่ในอ้อมแขนร้องตอบออกมาสั้น ๆ แต่สื่อสารกับเธอออกมายืดยาว
“อรุณไม่ไปกับเราหรือจ๊ะ” ตะวันถามแม่ที่นั่งอยู่ด้วยกัน
“แม่ให้น้องอยู่เป็นเพื่อนปู่ย่า” สร้อยยกยิ้มตอบบุตรสาวตัวน้อยช่างสงสัย
“นั่งกันให้ดีนะแม่ลูกพ่อจะพายเรือแล้ว” พ่อพูดขึ้นหลังจากนั่งลงเรียบร้อยพร้อมมีไม้พายอยู่ในมือ
ตอนนี้ตะวันไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอีกต่อไป แต่กลับเป็นความสนใจขึ้นมาแทนเพราะพอพ่อพายเรือออกมาจนพ้นปากลำธารหลังบ้านเรือลำน้อยก็ได้เข้าสู่คลองใหญ่
พ่อพายเรือไปทางตรงข้ามกับศาลาที่พวกเธอได้พากันไปใส่บาตรเมื่อเช้า สองข้างทางที่เรือลำน้อยผ่านตะวันก็กวาดตามองสำรวจทางโน้นทางนี้ด้วยความตื่นเต้น
อากาศในยามนี้ยังไม่ร้อนมากนัก แต่เธอก็มองเห็นเด็กตัวเล็กบ้าง ตัวเท่าเธอบ้างพากันกระโดดลงคลองกันตูมตาม จนน้ำแผ่กระจายเป็นวงกว้าง
และก็ตามมาด้วยเสียงหัวเราะสนุกสนานของเด็กเหล่านั้น อากาศยามเช้าช่างเป็นอะไรที่สดชื่นและบริสุทธิ์มากกว่าที่ ที่เธอจากมาอย่างมากมาย
ตอนนี้ตะวันเริ่มมีความรู้สึกชอบยุคนี้มากขึ้นแม้ว่าความสะดวกสบายอย่างอนาคตจะอยู่ห่างไกลก็ตาม
พ่อเริ่มพายเรือออกห่างจากบ้านเรือนของผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆในตอนนี้สองข้างคลองได้แปรเปลี่ยนเป็นต้นไม้สูง ต้นหญ้ารกแทนเสียแล้วอีกทั้งบรรยากาศก็ชวนเงียบเหงาวังเวง
ผิดกับบรรยากาศที่เพิ่งผ่านมาลิบลับอย่างกับไม่ใช่โลกเดียวกัน พ่อพายเรือเข้าไปใกล้ศาลาท่าน้ำหลังหนึ่งที่มีความเก่าอยู่มากทีเดียว
“วันไหนเราคงต้องมาซ่อมแซมบ้างแล้วล่ะพี่หาญ” สร้อยพูดกับสามีเมื่อเห็นสภาพศาลาท่าน้ำบ้านเดิม
“ที่นี่บ้านตาเหรอจ๊ะ” ตะวันถามออกมาอย่างสงสัยใคร่รู้
“ใช้แล้วละนังหนูอีกหน่อยบ้านหลังนี้จะเป็นของเอ็ง ตายกให้” คงตอบหลานสาวขึ้นมา ก่อนที่พ่อแม่ของเจ้าตัวจะตอบออกมาเสียอีก
“บ้านหลังนี้อีกหน่อยจะเป็นของตะวันนะลูก เพราะตาเคยบอกแม่ไว้ว่าเมื่อไหร่ที่แม่มีลูกสาว และเด็กคนนั้นเป็นผู้สืบทอดต่อจากแกให้ยกบ้านและที่ดินให้กับคนนั้น” สร้อยพูดกับลูกด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“แม่ไม่สามารถเรียนวิชาของตาได้หรือจ๊ะ” ตะวันถามออกมาด้วยความแปลกใจ
“ไม่ได้จ้ะ ตาบอกว่าแม่ไม่มีพรสวรรค์” สร้อยพูดออกมาอย่างไม่ได้นึกเสียดายอะไร
“ก็แม่ของเอ็งใจอ่อนเกินไป ตกใจง่ายเกินไปจะมาเรียนวิชาปราบผีที่ต้องเห็นผีได้ยังไงกัน” คงบอกกับหลานสาวเสียงเบาเหมือนกลัวว่าแม่จะได้ยิน
ตะวันก็ยิ้มให้กับท่าทางของแก ‘นี่แกคิดว่าแม่จะได้ยินคำพูดแกอีกเหรอสงสัยแกจะลืมว่าตัวเองตายไปแล้ว’ เด็กหญิงนึกในใจ
“แม่ไม่กลัวว่าจะมีขโมยหรือจ๊ะ บ้านตาหลังใหญ่และแข็งแรงกว่าบ้านเราเสียอีก” ตะวันถามขึ้นเมื่อมองดูสภาพบ้านไม้ขัดเงายกพื้นสูง หลังคาสังกะสีด้านหน้า
“รักนั่นใครกันใช้สร้อยหรือเปล่า” เสียงเล็กของเด็กน้อยถามกับเพื่อนคู่หูที่อยู่ด้วยกันมาตลอด
“รักว่าใช่นะ” เสียงเด็กหญิงบอกเพื่อนที่เป็นเหมือนพี่น้องของตน
“พ่อ” รักยมส่งเสียงเรียกคงเสียงดัง ซึ่งตะวันที่ยืนอยู่ด้านข้างคงก็ได้ยินเสียงเด็กเล็ก ๆ เรียกตาของตนอย่างชัดเจน เธอจึงได้หันไปมองตามเสียงนั้น
“เด็ก ๆ คิดถึงพ่อกันใช่ไหม พ่อขอโทษนะที่ต้องให้เฝ้าอยู่ที่นี่ ทว่าตอนนี้พวกเอ็งจะไปไหนก็ได้แล้ว เพราะวิชาของพ่อกำลังมีผู้สืบทอด” คงพูดกับเด็กที่มีใบหน้ากลมหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดู
“ใช่เด็กคนที่มองมาทางพวกเราหรือเปล่าพ่อ” ยมเอานิ้วชี้ของตนไปทางตะวันพร้อมกับถามคงออกมา
“ใช่แล้วล่ะ เดี๋ยวพ่อจะแนะนำให้รู้จักพวกเราไปทางนั้นกัน” คงพูดชวนเด็กน้อยหน้าตาน่ารักทั้งสอง
“ตะวันขึ้นไปกับแม่เถอะ แม่จะได้เอาของที่ตาบอกไว้ให้กับหนู” สร้อยบอกลูกสาวเมื่อเธอเห็นว่าตะวันเหมือนหันไปมองอะไรบางอย่าง
“จ้ะแม่” ตะวันขานรับ และเธอกับแม่ก็เดินขึ้นบันไดบ้านที่แม้ว่าจะเก่าแต่เนื่องจากเป็นไม้เนื้อแข็งจึงยังไม่ผุไปมากเท่าไหร่นักตามกาลเวลา
โดยที่วิญญาณของคงและเด็กน้อยชายหญิงเดินตามหลังตะวันขึ้นไปติด ๆ
ส่วนหาญตอนนี้เขาก็ได้เดินสำรวจรอบ ๆ บ้านว่าควรจะตัดหญ้าตัดต้นไม้ตรงไหนออกบ้างเพื่อจะไม่ให้บ้านหลังนี้ดูรกเกินไป
สร้อยเมื่อเดินขึ้นมาจนถึงชานเรือนด้านนอกแล้วเธอก็ได้เปิดประตูบ้านเข้าไป เสียงเปิดประตูที่ไม่ได้เปิดมานานส่งเสียงชวนโหยหวนออกมา
ตอนนี้ตะวันเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไม แม่ถึงไม่กลัวว่าจะมีขโมยก็ใครมันจะกล้ามาขโมยของบ้านหมอผีกันล่ะจริงไหม
ที่เธอรู้ก็เพราะป้ายไม้ที่ติดอยู่เหนือประตูยังไงล่ะ “นังหนูตาเป็นจอมขมังเวทย์ไสยขาวนะ ไม่เคยทำเรื่องชั่ว” คงรีบกล่าวกับหลานเพราะกลัวเจ้าหลานคนนี้จะคิดอะไรเลอะเทอะ
“หนูก็ยังไม่ได้ว่าอะไรตาเลยนะจ๊ะ ตาจะรีบร้อนตัวทำไมกัน” ตะวันพูดกับตาคงออกมาอย่างยียวน
“บ๊ะ! เจ้าเด็กนี่ข้าไม่ได้ร้อนตัวโว้ย ข้าแค่กลัวเอ็งคิดเลอะเทอะ”วิญญาณตาคงรีบพูดสวนกลับหลานสาว
รักและยมที่เห็นท่าทางพ่อที่เลี้ยงพวกตนมาเป็นแบบนี้พวกเขาก็หัวเราะน้อย ๆ ออกมาด้วยความชอบใจ พร้อมคิดว่าเขาทั้งคู่จะไม่เหงาอีกต่อไปแล้ว
เมื่อประตูบ้านเปิดตะวันก็ได้เห็นโต๊ะหมู่บูชาพระ และก็พระพุทธรูปสีทองส่องสว่างออกมาดูแล้วให้ความสบายใจเป็นอย่างมาก
สร้อยได้ไปยกพระพุทธรูปขึ้น และใต้ฐานที่เคยวางพระพุทธรูปก็ปรากฎช่องสี่เหลี่ยมจัตุรัสให้ได้เห็น
สร้อยได้ล้วงมือไปเข้าไปหยิบของในช่องนั้นออกมาซึ่งเป็นเพียงห่อผ้าห่อหนึ่ง แล้วสร้อยก็ยกพระวางไว้ดังเดิม
“ตะวันเอาไปดูเองนะลูก นี่แหละของที่ตาสั่งความเอาไว้กับแม่” สร้อยได้นำของที่เธอจับอยู่ส่งให้ลูกสาว
“ส่วนบ้านหลังนี้ก็ปิดเอาไว้ก่อนไว้หนูโตกว่านี้ค่อยว่ากันแต่ช่วงนี้เมื่อหมดหน้านาแม่จะให้พ่อมาช่วยปรับปรุงไปเรื่อย ๆ” สร้อยพูดออกมาอย่างเศร้า ๆ ที่ได้เห็นสภาพบ้านที่เติบโตมา
“แม่จ๋าบ้านตาดูดีกว่าบ้านเราอีก ทำไมเราถึงไม่ย้ายมาอยู่ที่นี่กันละจ๊ะ” ตะวันถามในสิ่งที่ตนสงสัย
“เรื่องนี้มันก็เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าใครจะเป็นเจ้าของนั่นแหละลูก บ้านหลังนี้ตั้งแต่ตาของหนูตายก็ไม่มีใครสามารถอยู่ได้เลยแม้แต่แม่เองก็ยังมีความกลัว” สร้อยบอกลูกออกมาตามตรง
“นังหนูเอาไว้ให้เอ็งเรียนตามตำราครบแล้วเอ็งก็จะเข้าใจเอง บ้านหลังนี้ตอนนี้เอ็งเป็นเจ้าของแล้วจะพากันย้ายมาอยู่ก็ย่อมได้รับรองไม่มีเรื่องน่ากลัวอย่างแน่นอน” คงพูดออกมาเพื่อไขข้อสงสัยของหลานสาว ที่มองแกอย่างงง ๆ
ความคิดเห็น