คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : สุขอนามัยที่ดีควรเริ่มจากการมีห้องน้ำ(รีไรท์)
แต่ในขณะที่เด็กหญิงกำลังคิดถึงเรื่องความเป็นอยู่ของครอบครัวอยู่นั้นเจ้าตัวก็เกิดอาการคันหัวขึ้นมาอีกครั้ง ‘พรุ่งนี้รอให้เช้าก่อนเถอะ เธอจะต้องจัดการให้แม่โกนหัวของเธอให้ได้
รวมถึงน้องชายตัวน้อยด้วยที่น่าจะมีเหาเหมือนกับตน’ เด็กหญิงคิดขึ้นอย่างโมโหสิ่งมีชีวิตตัวเล็กที่ทำให้เธอเกาหัวอยู่ในตอนนี้
“ตะวันเอ็งคันเหาอีกแล้วละสิ พรุ่งนี้ให้แม่เอ็งไปเก็บมะกรูดมาย่างกับไฟบีบเอาน้ำของมันมาใส่ผมเลยนะ นี่ขนาดผมมีเพียงหยิบมือยังจะมีเหาอีกหลานข้า” นิดกล่าวขึ้นพลางส่ายหัวให้หลานสาวก่อนที่เธอจะนำหมากที่ตำไว้เข้าปาก
เด็กหญิงได้แต่ส่งยิ้มแหยให้คนเป็นย่า ก่อนจะพยักหน้าหงึก ๆ ราวกับลูกเจี๊ยบจิกข้าวสาร
เสียงร้องของแมวดำได้ดังขึ้นอีกครั้งท่ามกลางความเงียบ ครานี้ได้ทำให้คนในครอบครัวของตะวันทั้งหมดมองไปยังต้นเสียงด้วยความสงสัยที่เห็นแมวดำตัวน้อยดวงตาสีทับทิมจ้องพวกเขาอยู่
“แมว” อรุนรีบลุกขึ้นจากแคร่ หลังจากที่เดินกลับมาจากครัวพร้อมพ่อแม่และนั่งลงได้ไม่นาน
เด็กชายรีบเดินเข้าไปอุ้มน้องเมฆทันทีอย่างเบามือ ด้วยเขากลัวว่าจะทำให้เจ้าตัวเล็กเจ็บ
“มันมาจากไหนกันละนี่” เสียงแหบของปู่เปรยขึ้นอย่างสงสัย
“ฉันก็ไม่รู้จ้ะ ตอนกลับมาถึงบ้านก็เห็นว่ามันเดินตามมาด้วย” หาญตอบพ่อตามจริง
“ตะวันขอเลี้ยงมันไว้ได้ไหมจ๊ะ” เด็กหญิงกล่าวขออนุญาตคนในครอบครัวเสียงละห้อยแววตาร้องขอ
“หลานคิดว่าจะหาอาหารให้มันกินได้ไหมละลูก แค่ลำพังครอบครัวเราก็ลำบากจะแย่ แต่ถ้าไม่เลี้ยงย่าก็กลัวว่ามันจะอดตายอีก เฮ้อ! เอายังไงดีละพ่อมึง” หญิงชรากล่าวเสียงเนือย พลางถอนใจอย่างนึกสังเวชก่อนบ่ายหน้าไปถามคู่ชีวิตที่นั่งข้างกัน
“เลี้ยงมันเอาไว้เถอะ นึกว่าเอาบุญ มันคงกินไม่เท่าไหร่หรอก ตัวเล็กนิดเดียว อีกอย่างมันคงจะไปหาจับนกหนูกินเองได้นั่นแหละ แต่เจ้าดำมาอยู่ด้วยกันห้ามซนนะ” ปู่กล่าวเนิบช้ายืดยาว พลางสบตาสีสวยของแมวตัวน้อยที่ดูเหมือนว่าจะเข้าใจในสิ่งที่ตนกล่าว “ขอบคุณจ้ะ ปู่ ย่า” เด็กหญิงพนมขึ้นกล่าวกับผู้สูงวัยอย่างดีใจ ในขณะที่เจ้าตัวกำลังยิ้มกว้างอยู่นั้น
ใบหน้าก็ได้เกิดบิดเบี้ยวขึ้นจากอาการปวดท้องที่จู่โจมอย่างกะทันหัน “ตะวันลูกเป็นอะไร” สร้อยถามลูกสาวด้วยความเป็นห่วง
“แม่จ๋า ห้องน้ำอยู่ไหนจ๊ะ หนูปวดท้องถ่าย” เด็กหญิงเอามือกุมท้องเอ่ยถามแม่ใบหน้าแดงเรื่อด้วยความอาย
“บ้านเราไม่มีห้องน้ำหรอกลูก หากลูกปวดหนักต้องวิ่งเข้าป่าไปขุดหลุมแล้วเอาดินกลบ เรื่องนี้ลูกก็ลืมด้วยอย่างนั้นเหรอ” หาญบอกกับลูกน้อยสีหน้าของคนเป็นพ่อเริ่มย่ำแย่
ซึ่งคำพูดของเขานั้นได้ทำให้ตะวันตกใจเป็นอย่างมาก พร้อมกับคิดว่า ‘ห้องน้ำก็ไม่มี ตายแน่เธอตายแน่’
ทว่าคนในครอบครัวต่างมองใบหน้าของเขาสลับกับเด็กหญิงด้วยความงุนงงไม่เข้าใจความหมายว่าสิ่งที่หาญพูดนั้นหมายถึงอะไร
“ถ้าอย่างนั้น ตะวันไปก่อนนะจ๊ะ” เด็กหญิงตัวเล็กที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเองทนไม่ไหวแล้วพูดขึ้น ก่อนที่เจ้าตัวจะลงจากแคร่ไม้ไผ่แล้ววิ่งหายไปทางป่าด้านหลังที่เห็นอย่างรวดเร็ว
โดยมีแมวดำตัวเล็กผู้ที่หลุดจากการโอบกอดของอรุณ วิ่งตามไปติด ๆ ท่ามกลางสายตาของคนในครอบครัว
“หาญเอ็งเล่ามาว่าเกิดอะไรขึ้นกับหลานข้า” ชายชราถามผู้เป็นบุตรน้ำเสียงแหบต่ำพลางเพ่งสายตามัวจับจ้องไปยังใบหน้าคนเป็นลูกอย่างกดดัน
หาญแม้ไม่อยากเล่า ทว่าเขาก็คงไม่สามารถปกปิดความจริงเอาไว้ได้ ถึงอย่างไรเขาเชื่อว่าคนในครอบครัวย่อมสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของบุตรสาวตัวน้อยในสักวัน
ดังนั้นชายหนุ่มจึงได้เปิดปากเล่าเรื่องของตะวัน ออกมาตามที่ผู้เป็นบุตรสาวตัวน้อยเล่าให้ตนฟัง
“พี่หาญ ไม่ใช่ว่าลูกของเรา” สร้อยพูดออกมาได้เพียงแค่นั้น เธอก็รู้สึกว่าเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกอยู่ที่คอก่อนที่หญิงสาวจะหลั่งน้ำตาออกมาอีกรอบ
“หลานข้า โชคดีแค่ไหนที่เขาคืนมาให้” ผู้เป็นย่าเอามือทาบอกยกผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตากล่าวเสียงสั่น
“อรุณ ต่อไปนี้เอ็งคอยดูแลพี่สาวให้ดีนะอย่าให้พี่เอ็งไปไหนตามลำพังเผื่อว่าพี่เอ็งลืมเรื่องนู้นเรื่องนี้” ผู้เป็นปู่กำชับหลานชาย
หลังจากกล่าวกับหลานชายจบเมื่อเห็นว่าหลานตัวน้อยพยักหน้าแม้จะไม่ค่อยเข้าใจมากนักว่าทำไมต้องตามพี่สาวก็ตาม
จากนั้นชายชราจึงได้บ่ายหน้ามาสนทนากับลูกชายต่อ “แล้วเอ็งเข้าใจที่ตะวันพูดมากน้อยแค่ไหน”
“ไม่ค่อยเข้าใจหรอกพ่อ ฉันฟังแล้วก็เออออตามน้ำไป ด้วยกลัวว่าลูกจะเสียใจจึงไม่ได้เอ่ยขัด” หาญสารภาพความจริง
ด้านตะวันที่ตอนนี้ได้อยู่ในห้องน้ำที่น้องเมฆนำออกมาจากมิติ ทำให้เธอคิดว่าอันดับสองรองจากเรื่องเหาบนหัวก็คงจะต้องเป็นการสร้างห้องน้ำนี่แหละ
เมื่อเด็กหญิงจัดการธุระของตนเรียบร้อยเธอก็เดินกลับมาหาคนในครอบครัวที่ตอนนี้ได้จุดตะเกียงให้ความสว่างขึ้นแล้ว
“เรื่องของตะวันก็ค่อย ๆ ดูกันไปหลานเดินมานู่นแล้ว ยุงก็เริ่มเยอะรีบพากันขึ้นเรือนเถอะ” หินกล่าวออกมาพร้อมกับที่เขาก็เริ่มขยับตัว
สร้อยพยายามระงับอารมณ์ของตน หลังจากเอามือปาดน้ำตา เพื่อไม่ให้ลูกสาวเห็น โชคดีที่ตอนนี้มีแสงสว่างจากตะเกียงเพียงดวงเดียวและแสงสลัวจากดวงจันทร์เพียงเท่านั้น
“พ่อจ๋า ตะวันว่าบ้านเราควรจะมีห้องน้ำ” เด็กหญิงไม่ได้รับรู้ความผิดปกติกล่าวขึ้นเสียงใส
“ห้องน้ำมีแต่บ้านคนมีเงินถึงสร้างได้สิลูก ราคามันไม่ถูกเลย” หาญกล่าวขึ้นอย่างหนักใจที่จำต้องปฏิเสธบุตรสาว
“การสร้างห้องน้ำต้องใช้เงินเยอะเลยหรือจ๊ะ” ตะวันเอ่ยถามอย่างใคร่รู้เนื่องจากเธอไม่รู้ค่าเงินของยุคนี้
“เราพูดไปเดินไปกันดีไหมลูก ยุงเริ่มมาแล้วหากหนูเกิดป่วยไข้ขึ้นมาจะแย่เอา” สร้อยเดินมาขนาบข้างกายบุตรสาวกล่าวเสียงอ่อน
“ดีจ้ะ แม่จ๋าพรุ่งนี้แม่ช่วยเอามะกรูดมา....ให้หนูกับน้องด้วยได้ไหมจ๊ะ” ตะวันหันหน้าไปตอบรับกับแม่ก่อนที่เธอจะพูดในเรื่องที่ย่าบอกออกมาไม่อย่างนั้นเธอคงจะได้โกนหัวแน่นอน
“ได้สิลูก” สร้อยตอบรับอย่างยินดี แม้ในใจจะยังคงทุกข์ในเรื่องที่ได้ยินมาจากสามีก็ตาม
“ขอบคุณจ้ะ แม่ของหนูดีที่สุด” ตะวันกล่าวประจบมารดาพร้อมเอาแขนเรียวเล็กกอดเอวผู้เป็นแม่แน่น
“พี่สาว หนูกอดด้วย” เด็กชายตัวเล็กส่งเสียงประท้วง
หาญมองภาพสามคนแม่ลูกด้วยความอิ่มเอมใจ ก่อนคิดอย่างเศร้าหมอง ‘หากว่าเขาสามารถหาเงินได้มากกว่านี้ก็คงดี ลูกของเขาคงจะได้มีเสื้อผ้าใหม่ใส่ ได้กินจนอิ่มไม่ผอมแห้งอย่างตอนนี้’
“พ่อมากอดกัน” ตะวันกวักมือเรียกพ่อที่ยืนท่ามกลางแสงจันทร์ห่างออกไปไม่ไกล
ทำให้หาญเดินเข้ามาหาลูกน้อยและภรรยาก่อนที่ชายหนุ่มจะกอดคนทั้งสามตามที่ลูกสาวต้องการ
หลังจากขึ้นเรือนมาได้ สี่คนพ่อแม่ลูกก็เข้ามานั่งอยู่ในมุ้งใหญ่หลังเดียวกัน โดยมีแสงจากตะเกียงส่องให้เห็นกันพอรำไร ตะวันจึงได้เอ่ยถามในเรื่องที่ค้างคาใจอีกครั้ง
“พ่อจ๋า ยังไม่ตอบหนูเลยว่าสร้างห้องน้ำต้องใช้เงินเท่าไหร่”
“หลานอยากได้ห้องน้ำหรือ” ชายชราผู้ยังไม่หลับเอ่ยถามหลานสาว
“จ้ะปู่ ตะวันก็เลยถามพ่อว่าเราต้องมีเงินมากขนาดไหนถึงจะสามารถสร้างห้องน้ำได้” เด็กหญิงตอบผู้เป็นปู่ตามตรง
“หากห้องเล็กหน่อยราคาก็อยู่ยี่สิบบาท ราคานี้เป็นราคาเริ่มต้นแล้วลูกแพงพอตัวทีเดียว” ชายชราตอบเสียงเนิบ
“หะ! ปู่พูดจริงหรือจ๊ะ” ตะวันแทบไม่อยากเชื่อหูในสิ่งที่ได้ยินซึ่งทำให้ผู้ใหญ่ภายในบ้านรวมถึงน้องชายตัวน้อยต่างก็คิดเหมือนกันว่ามันแพงมากเลยใช่ไหมล่ะ
“มันแพงมากเลยใช่ไหมลูกเงินยี่สิบบาท สำหรับชาวบ้านธรรมดานี่สามารถกินอยู่ได้ทั้งปีเลยทีเดียว” หาญกล่าวขึ้นสีหน้าเต็มไปด้วยความเศร้า
“พ่อจ๋า แม่จ๋า ปู่ ย่า ตอนนี้บ้านเรามีเงินอยู่เท่าไหร่หรือจ๊ะ” ตะวันเรียกผู้ใหญ่ในบ้านก่อนถามออกมาอย่างระมัดระวังกลัวว่าคำถามของตนจะทำให้ผู้ใหญ่ในบ้านสะเทือนใจ
“ห้าบาทลูก เงินจำนวนนี้ย่าเก็บมาตั้งสามเดือนเพื่อจะเอาไว้ให้อรุณกับตะวันไปโรงเรียนช่วงกลางปีหน้า” นิดกล่าวขึ้นโดยไม่ปิดบัง
หลังจากรู้จำนวนเงินภายในบ้าน เด็กหญิงจึงได้ถามออกมาอีกครั้งด้วยความอยากรู้ “บ้านของเราทำงานอะไรกันหรือจ๊ะ”
“แม่ก็รับจ้างทำสวนทั่วไปนั่นแหละลูก แต่หากว่ามีคนมาจ้างแม่ให้ทำขนมหวานแม่ก็ทำ
แต่แม่ไม่สามารถทำขายได้ตลอดก็เพราะราคาน้ำตาลมันแพงอีกอย่างเราต้องเดินทางเข้าไปถึงตลาดซึ่งอยู่ห่างจากบ้านเราพอสมควร ส่วนพ่อก็ไปรับจ้างหาบน้ำเข้าบ้านคนบ้าง ถ้าว่างก็ปลูกผักปลูกข้าว
ทางปู่กับย่าก็ไปรักษาคนตามที่ชาวบ้านจะเรียก แต่ก็ได้เงินไม่มากนักหรอก เนื่องจากแต่ละครอบครัวต่างก็ยากจนเหมือน ๆ กัน” สร้อยเป็นผู้ตอบบุตรสาว
เด็กหญิงนิ่งไปหลังจากได้ยินคำตอบของมารดา ซึ่งเธอกำลังคิดว่าจะบอกเรื่องเงินที่ตนมีดีหรือไม่ ซึ่งเงินที่เธอได้มานี้ผู้เป็นปู่ในยุคอนาคตไปแลกมาด้วยจำนวนเงินสูงลิ่วในยุคของเธอ
ในตอนนั้นปู่ได้เรียกเธอเข้าไปหาภายในห้องทำงานและได้มอบหีบไม้พร้อมกับกล่าวออกมาด้วยความเป็นห่วง
“ตะวันปู่หาเงินมาได้เพียงเท่านี้ หลานเอาไว้เป็นเงินเริ่มต้นนะ ในกล่องนี้มีเงินอยู่ราวหนึ่งแสนบาท ซึ่งในยุคนั้นถือได้ว่าเป็นเงินจำนวนมากทีเดียว หลานจงดูแลตัวเองให้ดี หากสิ่งใดคิดว่าทำไม่ได้ก็อย่าเอาตัวเข้าไปเสี่ยงเป็นเด็ดขาด”
เสียงแมวดำตัวเล็กร้องเรียกเด็กหญิงพลางเอาลิ้นเลียที่มือน้อยของคู่หูให้รู้สึกตัว
“บอกไปเถอะ ไม่อย่างนั้นตะวันจะทำอะไรก็ลำบาก” แมวสีดำผู้เข้าใจว่าเด็กหญิงกำลังคิดเรื่องอะไรพูดออกมา
“ตะวันก็คิดอย่างนั้นแหละ” เด็กหญิงเอามือลูบขนนุ่มสีดำก่อนตอบออกไปอย่างเห็นด้วย
“พี่ตะวัน พี่คุยกับแมวน้อยรู้เรื่องด้วยหรือขอรับ” อรุณถามพี่สาวตาโต
“เจ้านี่มีชื่อว่าเมฆ” ตะวันยิ้มให้น้องชายอย่างเอ็นดู
“เมฆหรือขอรับ เพราะทีเดียว” เด็กชายยิ้มกว้างกล่าวชมชื่อของแมวตัวเล็กที่จ้องมาทางตนเขม็งท่ามกลางแสงสลัวจากแสงตะเกียง
“แม่ว่าลูกนอนกันเถอะดึกมากแล้ว” สร้อยเอ่ยปากกับลูกน้อยทั้งสองผู้ไม่มีทีท่าว่าจะหลับ
“จ้ะแม่” สองพี่น้องรับคำอย่างเชื่อฟัง
ยามเช้าวันใหม่ เสียงไก่ขันดังมาจากที่ไกล ๆ ปลุกให้เด็กน้อยสองคนและแมวน้อยหนึ่งตัวได้ตื่นขึ้นจากนิทรา
ตะวันได้ลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับบิดขี้เกียจออกมาอย่างเมื่อยขบ เนื่องจากเธอยังไม่ชินกับที่นอน และที่นอนหลับได้สนิทก็น่าจะเป็นเพราะความอ่อนล้าที่ไม่เคยได้ประสบพบเจอมาก่อน
“พี่สาวไม่งาม” น้องชายกล่าวติงพี่สาวออกมาด้วยสีหน้าคล้ายผู้ใหญ่ซึ่งมันไม่ได้น่ากลัวเลยสักนิด
“จ้า ๆ แต่ว่าพี่งามไหม” ตะวันถามหยอกน้องชายตัวเล็กอย่างอารมณ์ดี
“งามขอรับ” เด็กน้อยพูดเอาใจพร้อมกับส่งยิ้มกว้างที่มีฟันด้านหน้าหลออยู่หนึ่งซี่ออกมา
ตะวันหัวเราะน้อย ๆ ให้กับความน่ารักของน้องซึ่งรู้หรือยังก็ไม่รู้ว่าความงามเป็นแบบไหน
“อะพี่สาวให้รีบกินเร็วเข้า” ตะวันนำนมกล่องออกมาจากมิติส่งให้น้องชาย
“พี่สาวกินยังไงจ๊ะ หนูกินไม่เป็น แล้วพี่ไปเอามาจากไหน”อรุณถามพี่สาวด้วยความสงสัยที่จู่ ๆ ผู้เป็นพี่ก็ส่งกล่องหน้าตาประหลาดออกมาให้กับตน
“มาพี่จะสอน แล้วต้องเก็บเป็นความลับไว้ก่อนนะ เอาไว้พี่จะบอกกับทุกคนเอง อรุณต้องเงียบเพียงอย่างเดียวเท่านั้นเพราะหากคนอื่นรู้พี่จะไม่ได้อยู่กับทุกคนอีก” ตะวันกล่าวกับน้องชายให้ดูน่ากลัวเข้าไว้
“จ้ะพี่ตะวันไม่ต้องกลัวนะ หนูจะไม่บอกใครและหนูก็จะปกป้องพี่ด้วย” อรุณรับปากเสียงหนักกิริยามุ่งมั่นเหมือนเป็นคำปฏิญาณต่อพี่สาว
“เด็กดีของพี่” ตะวันกอดน้องชายแน่นอย่างซาบซึ้งใจ ซึ่งน้องชายของเธอในภพนี้ช่างมีใบหน้าละม้ายคล้ายคลึงน้องชายฝาแฝดของเธอยิ่ง
“พี่สาวน้องโตแล้ว หญิงชายห้ามใกล้กันมันไม่งาม” อรุณแม้จะรู้สึกอบอุ่นทว่าเขาก็เขินอายจึงได้ส่งเสียงห้ามออกไป
“ไม่เป็นไรเราเป็นพี่น้องกัน พี่สาวกอดได้ มากินเจ้านี่กันเถอะ พี่จะสอน เอาหลอดข้างกล่องออกมาแบบนี้นะ แล้วก็เจาะลงไปตรงนี้จากนั้น อรุณก็เอาหลอดใส่ปากแล้วก็ดูดขึ้นมาเลยไหนลองทำดู”ตะวันยกยิ้มให้ผู้เป็นน้องชายที่บอกว่าตนโตแล้ว ก่อนที่เธอจะสาธิตการเจาะกล่องนมให้ผู้เป็นน้องดู
“อร่อยมาก ๆ เลยพี่ตะวัน” เด็กชายพูดขึ้นเสียงดัง แต่แล้วเหมือนกับว่าเจ้าตัวจะรู้สึกตัวว่าตนเสียงดัง
เด็กชายจึงได้รีบเอามือปิดปากด้วยความตกใจพร้อมกับกรอกตามองซ้ายขวาเพื่อดูว่ามีใครมาเห็นหรือได้ยินหรือเปล่า
ซึ่งท่าทางแบบนี้ก็ได้ทำให้ตะวันหัวเราะออกมาให้กับความน่ารักของน้องน้อย พร้อมกับที่เธอก็เริ่มคิดถึงน้องชายฝาแฝดขึ้นมาแล้วเหมือนกัน ‘รอพี่ทำภารกิจให้เสร็จก่อนนะน้องรักค่อยเจอกัน’ เด็กหญิงคิด
“พี่ตะวันเป็นอะไร” อรุณถามพี่สาวออกมาเมื่อเห็นว่าอยู่ ๆ พี่สาวก็เงียบเสียงไปเฉย ๆ
“พี่ไม่ได้เป็นอะไรหรอก พวกเราลงไปข้างล่างกันเถอะ อรุณกินนมหมดหรือยังถ้าหมดแล้วส่งกล่องมาให้พี่” เด็กหญิงปฏิเสธก่อนถามน้องชาย
เมื่อสองพี่น้องลงมาจากบนเรือนก็ได้เห็นควันไฟขาวลอยอ้อยอิ่งอยู่ด้านหลังของตัวบ้าน
ซึ่งเมื่อเธอกับน้องชายเดินเข้ามาใกล้เรือนครัวสองพี่น้องก็ได้ยินเสียงสับไม้ และได้กลิ่นหอมของข้าวที่ลอยมาตามลม
เธอกับน้องจึงได้พากันเดินมาตามเสียงที่ได้ยิน ก็ได้เห็นภาพพ่อยืนสับไม้อยู่เพื่อให้ได้ท่อนขนาดเท่าที่ต้องการ ส่วนแม่ก็อยู่ที่เตาด้านข้างกำลังเผาเปลือกหน่อไม้อยู่
“พ่อจ๋า แม่จ๋า” ตะวันส่งเสียงเรียกบุพการีทั้งสองคนเสียงหวาน ทำให้แม่กับพ่อหันมาส่งยิ้มให้ลูกน้อยทั้งสอง
ก่อนที่สร้อยจะถามลูกน้อยออกไปอย่างอ่อนโยน “ลูกหิวกันหรือยัง” สองพี่น้องพากันส่ายหน้า
“แล้วลูกไปล้างหน้าล้างตาบ้วนปากกันหรือยัง” หาญถามลูกออกมาบ้าง
“ยังจ้ะ” เด็กทั้งคู่ตอบพร้อมกัน
“ถ้าอย่างนั้นก็ไปล้างหน้ากันก่อน รออีกไม่นานกับข้าวก็พร้อมแล้วจะได้มากินข้าวกัน” หาญบอกลูกทั้งสองคนที่ยังยืนนิ่งอยู่
“จ้ะ” เด็กทั้งคู่ขานรับจากนั้น ตะวันก็เดินไปกับน้องชายยังโอ่งน้ำใหญ่ข้างเรือน
“อรุณ เราไม่มีแปรงสีฟันเหรอ แล้วสบู่ล่ะ” ตะวันมองซ้ายขวาก็เห็นเพียงกระบวยตักน้ำที่ทำจากกะลานอกนั้นไม่มีอะไรอีกเลย
“แปรงสีฟัน สาบู่คือสิ่งใดจ๊ะ” เด็กชายย้อนถามโดยออกเสียงสบู่ไม่ชัดเจนอย่างมึนงง
“แปรงสีฟันก็คือสิ่งที่เอาไว้ถูฟัน ส่วนสบู่เอาไว้ล้างหน้า ถูตัวเวลาอาบน้ำไม่ใช่สาบู่” ตะวันอธิบายให้ผู้เป็นน้องฟัง
“ถ้าถูฟันเราใช้กิ่งข่อยจ้ะ ส่วนสิ่งที่นำมาถูตัวก็เป็นหมากขามเปียกหรือไม่ก็ขมิ้นตามแต่จะหาได้พี่สาวลืมเหรอ” เด็กชายตอบผู้เป็นพี่พร้อมมองด้วยแววตาเห็นใจ
ความคิดเห็น