ลำดับตอนที่ #15
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : 'นับหนึ่ง'
ผมลืมตาตื่นขึ้นในเช้าวันถัดมา พยายามกระพริบตาเพื่อสู้แสงอาทิตย์ที่กำลังเปลี่ยนสีท้องฟ้า ผนังห้องโทนสีดำที่ไม่คุ้นตาทำให้ผมต้องกรอกสายตาไปจนทั่วก่อนจะมาหยุดอยู่กับคนคนนึงที่นอนกอดผมไว้ไม่ห่างกาย ดวงตาคมที่มักฉายแววความขี้เล่นและจริงจังถูกบดบังด้วยเปลือกตา ลมหายใจสม่ำเสมอแสดงให้รู้ว่าคนที่กอดผมอยู่ยังคงอยู่ในภวังค์หลับใหล
ผมค่อยๆยกแขนแกร่งให้ออกห่างตัวก่อนจะเขยิบตัวออกห่างและวางมันลงกับผืนเตียง จงแดครางอื้อในลำคอเมื่อโดนรบกวน ละเมอใช้มือปัดป่ายไปทั่วเตียงผมเลยหยิบหมอนข้างมาวางแทนที่ตัวเอง คนหลับอยู่คว้าหมอนข้างเข้ากอดเต็มแรงก่อนจะยอมนอนนิ่งๆเหมือนเดิม ผมยิ้มให้กับใบหน้าของอีกคนที่ไม่ต่างอะไรจากเด็กเล็กที่กำลังฝันหวาน ลูบกลุ่มผมนั่นก่อนจะค่อยๆเดินออกไปเงียบๆ
ผมกวาดสายตามองพร้อมกับจดจำทุกสิ่งที่อยู่ในห้องนี้ ทุกอย่างภายในห้องแม้แต่ผนังเครื่องใช้ส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในโทนสีดำซึ่งต่างจากห้องผมที่มันจะอยู่โทนสีขาว และทั้งสองสีไม่มีวันที่จะผสมร่วมกันออกมาเป็นสีที่สวยงาม ผมมอง..มองเผื่อไว้ว่าวันเวลาต่อไปอาจไม่มีสิทธิ์มาที่แห่งนี้อีกแล้ว จดจำทุกสิ่งทุกอย่างก่อนจะเดินหายไปจากห้องเงียบๆ
ผมกลับมาที่คอนโดของตัวเองก่อนจะมองชุดที่สวมใส่อยู่พลันความทรงจำของเมื่อคืนก็หลั่งไหลเข้ามาเหมือนภาพยนต์ที่เพิ่งดูมาหมาดๆ เขาขอ...ขอให้เขาได้อยู่เคียงข้างผม รอยยิ้มมันผุดออกมาทั้งๆที่ผมไม่ได้ตั้งใจให้มันออกมา ผมยอมรับว่ารู้สึกดีการกระทำของเด็กคนนี้แต่ใครจะไปรู้อนาคตสักวัน..สักวันเขาอาจเดินหายไปเหมือนรักครั้งก่อนของผม ใครคนนั้นก็เคยขอโอกาสจากผมแบบนี้ มันทำให้ผมกลัว..กลัวว่าถ้ารักใครอีกครั้งมันจะทำให้ทรมาณ ซึ่งผมไม่ชอบเอาซะเลย
โดยเฉพาะกับจงแด ตั้งแต่ที่จงแดขอให้เขาได้ดูแลผม ผมก็รู้ได้เลยว่าเด็กนี่ไม่ควรจะมาเสียเวลาเสียอนาคตกับคนอย่างผม เด็กนี่ควรได้มีสิ่งที่เพอร์เฟกไม่ใช่จุดด่างแบบผม ผมสาบานว่าผมจะไม่มีวันรักจงแดผมไม่อยากให้ใครต้องมาเจ็บปวดกับสิ่งที่เรียกว่าความรัก แต่หากเด็กนั่นยังดึงดันมันก็เป็นเรื่องของเขา เพราะผมพอ..พอแล้วกับความรัก ผมไม่สามารถบังคับความคิดใครได้ ไม่เคยได้เลยจริงๆสักครั้ง
ผมสะบัดหัวไล่ความคิดก่อนจะมองไปที่นาฬิกาบนผนังห้องก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไปชำระล้างร่างกายและปล่อยความคิดที่มันรกสมองให้ไหลไปกับสายน้ำเย็น เข็มนาฬิกาบอกเวลามันยังเช้าอยู่พอสมควรผมตัดสินเดินไปข้างล่างของคอนโดเพื่อนั่งรถเมล์ไปทำงานแทนที่ขับรถไป ที่ไม่เอาไปเพราะกลัวว่าจะนึกถึงใครบางคนที่ชอบอาสาขับรถให้ผม ไปทำงานเช้าเพราะไม่อยากออกมาจากตึกแล้วบังเอิญเจอบางคนแบบคืนนั้นที่ร้านกาแฟ
ผมเดินมาจนเจอป้ายรถเมล์ยืนรอรถได้ซักพักรถก็มา ผมก้าวขึ้นรถอย่างไม่รีบร้อนเลือกนั่งที่ริมหน้าต่างเหม่อมองภาพที่เร็วแปลเปลี่ยนเมื่อรถเคลื่อนตัวออก ผมอยากให้ความทรงจำของผมเป็นเหมือนกับการขับรถจัง รวดเร็วและจำอะไรไม่ได้ รถเมล์จอดเมื่อถึงที่หมายที่ผมจะลง ผมเดินไปบริษัทอย่างไม่เร่งรีบ บรรยากาศยามเช้าที่มีเพียงคนไม่กี่คนที่อยู่ในบริษัท ผมยิ้มทักทายไปให้กับคนที่มาทำงานแต่เช้าก่อนจะเดินไปหยุดหน้าลิฟต์
อีกแล้ว ความทรงจำเกี่ยวกับเด็กนั่นมาอีกแล้ว ผมสะบัดหัวไล่ความคิดก่อนจะเข้าไปในตัวลิฟต์เมื่อประตูเปิด เดินออกจากลิฟต์เมื่อมันถึงชั้นที่หมายของผม ผมเดินไปตามทางเดินอย่างเอื่อยเฉื่อยจนมาถึงห้องทำงานของตัวเอง เดินไปพร้อมกับทิ้งตัวลงกับเก้าอี้ทันที อีกไม่นานจงแดก็จะมาถ้าเด็กนั่นมาผมจะทำหน้ายังไงดีนะ ยังจะหยอกหรือคุยเล่นกับจงแดได้เหมือนเดิมหรือเปล่า คิดแล้วก็ได้แต่ปวดหัวผมหลับลงพร้อมกับนวดหว่างคิ้วให้ตัวเองก่อนจะได้ยินเสียงตึงตังหน้าห้องทำงานจนต้องลืมตาดู
บานประตูถูกผลักเข้ามาอย่างแรงก่อนจะปรากฏร่างของคนที่ทำให้นึกถึงตั้งแต่ลืมตา จงแดที่หิ้วหมวกกันน็อคใบใหญ่พร้อมกับเสื้อหนังสีดำที่มันดูหมิ่นเหมจนเห็นเสื้อยืดสีดำข้างในเพราะรีบใส่ มันรับกับกางเกงยีนส์สียีนส์ที่ขาดเข่าอย่างเท่ ทุกอย่างที่อยู่บนร่างกายจงแดมันดูดีจนลืมหายใจ คิ้วหนาขมวดเข้าหากันก่อนที่จงแดจะเดินเข้ามาตบโต๊ะผมเสียงดัง
"ทำไมจะมาทำงานแล้วไม่ปลุกผม!"
ผมหดคอลงก่อนจะกรอกตาไปมา หน้าตาจงแดตอนนี้ดูโกธรจัดจนผมไม่แน่ใจว่าผมทำอะไรผิดและมันร้ายแรงมากแค่ไหน ดวงตาคมยังคงจ้องมองผมไม่เลิกจนผมต้องปรับสีหน้าให้เครียดบ้าง ผมตบโต๊ะเสียงดังก่อนจะจ้องตอบและเอ่ยเสียงดังเหมือนทุกครั้ง "ทำไม! นายเป็นพ่อฉันหรือไงแล้วฉันมาทำงานมันผิดตรงไหนไม่ทราบ!"
"ผิดตรงที่แอบหนีผมมาไงล่ะ!"
จงแดยืนใบหน้าโกธรมาใกล้จนเป็นผมเองที่ต้องหดหน้าหนี ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่น ใช้มือผลักหน้าคมให้ออกไปไกลๆก่อนจะกอดอกและทำเป็นไม่สนใจอีกคน จงแดละใบหน้าออกไปก่อนจะเดินไปทิ้งตัวนั่งที่โต๊ะทำงานตัวเอง วางหมวกกันน็อคใบใหญ่กับโต๊ะเสียงดังอย่างตั้งใจประชด จงแดถอดเสื้อหนังพาดไว้พนักพิงเก้าอี้ แต่สายตายังคงมองผมไม่หยุดจนผมอึดอัด
"ย๊าห์! จะมองฉันให้มันได้อะไรห๊ะงานการไม่มีทำหรอไง?!"
"มองคนทำผิดครับ และวันนี้ก็ไม่มีงานอย่างที่พี่ว่าจริงๆด้วยสิ"
"ชิ!" ผมสะบัดหน้าหนีจงแดก่อนจะแกล้งทำเป็นหยิบนู่นหยิบนี่มาแก้เก้อเมื่อคิดได้ว่าวันนี้ผมไม่มีงานถ่ายแบบอะไร จู่ๆจงแดก็ลุกขึ้นมาจากโต๊ะตัวเองทิ้งตัวกับเก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานผมก่อนจะเท้าแขนมองผม ผมรู้สึกว่าเช้านี้จะโดนจ้องเยอะไปแล้วนะ "วันนี้พี่ไม่ได้เอารถมาทำงานหรอ?"
"แล้วจะทำไม?!"
"...ถึงว่าไม่เห็นรถที่ลานจอดรถพอไปคอนโดพี่ พี่ยามก็บอกว่าพี่ออกมาแต่เช้าแล้ว นี่ถามจริงพี่หนีผมป่าวเนี่ย ตื่นก็ไม่บอกมีการเอาหมอนข้างมาให้กอดแทนมาทำงานก็ไม่โทรบอกกันสักนิดแถมยังหนีมาอีกนี่พี่.."
"โอ๊ย! พอๆ" ผมรีบยกมือปิดปากห้ามเด็กนี่ที่ชักจะพูดมากเกินไปแล้ว มาก็มีแต่บ่นๆผมยังไม่หยุดเลย จงแดดึงมือผมออกจากปากตัวเองก่อนจะมองเค้นให้ผมตอบคำถามทั้งหมดที่โดนถาม ผมเบะปากพร้อมถอนหายใจสุดท้ายก็ยอมแพ้กับสายตาคมที่จ้องเอาๆ ถ้าผมเป็นกับจงแดเป็นปลากัดนะรับประกันเลยว่าลูกดกแน่มองขนาดนี้
"ก็...ป่าวหนีซักหน่อย"
"ถ้าพูดความจริงก็หันมามองผมสิครับ" ยิ่งจงแดพูดเหมือนจับผิดผมก็ยิ่งดื้อดึงใส่ เสสายตามองไปรอบห้อง มองทุกอย่างยกเว้นคนตรงหน้า จงแดยื่นหน้าเข้ามาใกล้ขึ้นพร้อมกับมือกร้านที่จับแก้มผมและดันให้หันมามองสบตากัน "มองตาผมสิครับ"
จนแล้วจนรอดผมก็ต้องหันมาสบตากับจงแด มองจากันนิ่งราวหนึ่งนาทีและเป็นผมเสียเองที่ละสายตาหนีก่อน จงแดปล่อยมือจากหน้าผมก่อนจะเท้าโต๊ะและทำหน้าตามีเลศนัย "ไปขี่รถเล่นกันมั้ยครับ?"
ผมเดินตามคนที่ออกปากชวนว่าให้ไปเที่ยวเล่นกันดีกว่าวันนี้ จงแดเดินไปหยุดอยู่หน้ามอเตอร์ไซค์บิ๊กไบท์คันใหญ่สีดำด้านที่โคตรจะเท่และไม่น่าเชื่อว่าคนที่เป็นเจ้าของจะคือเด็กน่อมแน้มอย่างจงแด ขายาวพาดคร่อมตัวรถก่อนจะส่งหมวกกันน็อคใบใหญ่ที่ถือติดมาให้ผม ผมรับมาไว้ก่อนจะทำหน้างงใส่จงแดจนคนที่ส่งมาให้ต้องแย่งไว้กับมือและใส่ให้ผม
"ปลอดภัยไว้ก่อนจะครับ"
จงแดจับหมวกกันน็อคแล้วโยกไปมา มือแกร่งตบที่เบาะข้างหลังตัวเองเป็นเชิงให้ผมขึ้นพร้อมดึงแขนผมให้ผมเข้าใกล้รถมากขึ้น จนผมต้องตัดสินใจพาดขาคร่อมตัวรถและนั่งลงกับเบาะที่เหลืออันน้อยนิด ผมเกาะไหล่จงแดเพื่อหาที่นั่งให้มันสบายขึ้นมือแกร่งจับซ้อนเข้าที่มือผมและเอามันมากอดเอวตัวเองไว้ก่อนที่รถมอเตอร์ไซค์คันใหญ่จะถูกสตาร์ทเครื่องและออกแล่นไปตามท้องถนนด้วยความเร็ว
ผมรีบกอดเอวคนตรงหน้าให้แน่นเพราะความเร็วของรถที่ไม่มีท่าทีจะช้าลงเลย บรรยากาศรอบข้างเริ่มเปลี่ยนจากตึกตะกรานตาเป็นต้นไม้ใหญ่และภูเขา อดแปลกใจไม่ได้ที่เราขี่รถกันข้ามจังหวัดด้วยเวลาเพียงไม่นานเท่าไร ผมกวาดสายตามองทิวทัศน์ข้างทางผ่านกระจกสีดำรับรู้ได้ถึงความสดชื่นของบรรยากาศชนบท จงแดชะลอความเร็วลงเมื่อเข้าใกล้เขตชุมชน นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมมาต่างจังหวัดโดยมอเตอร์ไซค์ มันให้ความรู้สึกแปลกใหม่และดูใกล้ชิดกับทิวทัศน์มากกว่านั่งรถยนต์
มอเตอร์ไซค์คันใหญ่หยุดอยู่ตรงบริเวณที่ดูเหมือนจะเป็นอ่างเก็บน้ำของหมู่บ้านเล็กๆที่ไม่ไกลจากโซลมากนัก ทันทีที่รถถูกจอดผมรีบถอดหมวกกันน็อคส่งให้จงแดและวิ่งไปดูทิวทัศน์ของอ่างเก็บน้ำ นึกเสียดายที่ไม่ได้หยิบเอากล้องมาด้วย
'แชะ'
ผมหันไปตามเสียงชัดเตอร์ก่อนจะเจอเข้ากับจงแดที่ยืนถือโทรศัพท์และถ่ายรูป ผมรีบเดินไปหมายจะคว้าเอาโทรศัพท์มาดูรูปแต่ก็พลาดเพราะจงแดไวกว่า จงแดทำเป็นดูรูปในโทรศัพท์และหัวเราะออกมา เดาว่าหน้าตาผมมันคงเหลอหลาน่าเกียดมากแน่ๆ ผมยืนมือไปแย่งโทรศัพท์ของจงแดอีกครั้งแต่ก็พลาดเหมือนเคย
"ไปยืนริมอ่างเก็บน้ำดีกว่าครับวิวสวยนะเดี๋ยวผมถ่ายรูปให้"
"ไม่เอาหรอก แค่กล้องโทรศัพท์จะไปสวยอะไร" ผมย่นคิ้วใส่จงแดแต่ก็ยอมเดินเคียงข้างอีกคนไปยังริมอ่างเก็บน้ำ วิวตรงหน้ามันสวยมันอย่างที่จงแดบอกจริงๆ แสงแดดอ่อนๆกับผิวน้ำสีฟ้าใสโอบล้อมด้วยธรรมาชาติสีเขียวขจีที่ดูเข้ากับสีของท้องฟ้าและผืนน้ำ อากาศก็สดชื่นสายลมอ่อนๆพัดพากลิ่นหอมของดอกไม้ตามทางมาให้ได้กลิ่น มันสดชื่นจนผมต้องหลับตาและยิ้มออกมากับความรู้สึกดีสุดๆ
'แชะ'
ผมลืมตามองคนข้างๆที่ยังมีหลักฐานคามือ จงแดยิ้มเจือนๆและลดโทรศัพท์ลงเมื่อผมส่งสายดุให้ ผมส่ายหน้าอย่างเอือมระอาก่อนจะละความสนใจจากเด็กนี่และกลับมาสนใจบรรยากาศที่สุดแสนจะเฟอร์เฟก ไม่คิดเลยว่าจงแดจะรู้จักสถานที่สวยๆแบบนี้ด้วย โทรศัพท์ไอโฟนหกถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมผมพร้อมกับโชว์รูปของผมที่กำลังหลับตารับสายลม "ดูสิครับสวยจะตายผมว่ากล้องอะไรมันก็สวยทั้งนั้นแหละถ้าเราถ่ายมันด้วยใจ มาถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันครับ"
จงแดว่าพร้อมเปลี่ยนโหมดกล้องมาเป็นกล้องหน้าและหันหลังกลับก่อนจะเขยิบเข้ามาใกล้ผมและยกโทรศัพท์ขึ้น ผมหันแค่หน้ากลับมามองก่อนจะยิ้ม นิ้วแกร่งกดชัตเตอร์ก่อนจะเอารูปถ่ายมาดู มันเป็นภาพที่ผมเองต้องยอมรับว่าสวยพอดู ทิวทัศน์ของธรรมชาติและคนสองคนที่ยืนสลับหน้าหลังอยู่แนบชิดและยิ้มให้กับกล้อง มันคงจะดีมากถ้าเราเป็นแฟนกันจริงๆนี่สิแต่นี่ไม่มันกลับทำให้ผมชวนขนลุกในความเรียลของรูป
ผมและจงแดเดินดูรอบอ่างเก็บน้ำไปเรื่อยๆพลัดกันถ่ายรูปให้กันและกันและก็มีรูปคู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นจงแดเสียมากกว่าที่ถ่ายให้ผมทั้งที่ผมตั้งใจและเผลอ เดินเล่นกันจนเหนื่อยก็ตัดสินใจเดินกลับมานั่งใต้ต้นไม้ใหญ่ริมอ่างเก็บน้ำแถวที่จอดรถไว้ แสงแดดกระทบกับผืนน้ำจนเกิดเป็นประกายมันสวยเสียจนผมละสายตาไม่ได้ รู้สึกผ่อนคลายไปในตัวอย่างบอกไม่ถูก
"ไม่คิดว่าเด็กกะโปโลอย่างนายจะรู้จักที่สวยๆแบบนี้นะเนี่ย" จงแดยิ้มให้กับคำพูดผมก่อนจะส่ายหน้าเล็กน้อย "ป่าวหรอกผมไม่ได้รู้จักอะไรขนาดนั้น ที่นี่มันเป็นบ้านเกิดของแม่ผมน่ะตอนเด็กๆผมมาเที่ยวที่นี่บ่อยและพ่อก็ชอบพามาถ่ายรูปที่อ่างเก็บน้ำทุกครั้งที่มา"
รอยยิ้มอบอุ่นส่งผ่านไปยังภาพตรงหน้า จงแดดูรู้สึกมีความสุขที่ได้นึกถึงเรื่องของตนเองสมัยก่อน ผมพยักหน้าเข้าใจก่อนจะมองภาพตรงหน้าเหมือนเดิม แต่จู่ๆจงแดก็ถามขึ้นมาทำลายความเงียบ "วันนี้พี่ความสุขหรือเปล่าครับ?"
"มีสิ"
"งั้นเรามานับหนึ่งพร้อมกันนะครับ" ผมหันไปมองคนนั่งข้างๆที่มองผมอยู่ก่อนแล้วทเลิกคิ้วให้กับประโยคของจงแดเมื่อก่อนหน้านี้ รอยยิ้มยังคงประดับอยู่บนใบหน้าคมก่อนที่ริมฝีปากกระจับจะเอ่ยให้ชัดเจนกว่าเดิม "แม่ผมบอกว่าถ้าเราอยู่กับใครแล้วมีความสุขครบร้อยครั้ง มันแสดงว่าเราอยากจะใช้ชีวิตกับคนๆนั้นตลอดไป"
"ไม่เอาหรอก อย่างนั้นนายก็ขี้โกงได้สิ"
"ผมจะไปขี้โกงอะไรล่ะครับ มันก็ต้องนับไปพร้อมกันสิ เราต้องตกลงเห็นพร้อมกันว่าครั้งนี้เรามีความสุขและนับมันไปด้วยกันถ้าพี่ไม่มีความสุขผมก็จะไม่นับมัน"
ผมหันไปมองจงแด แววตาคมเปลี่ยนจากขี้เล่นเป็นจริงจังจนผมอดหวั่นไม่ได้ ถ้าเด็กนี่มันทำแล้วมีความสุขก็ควรปล่อยไปเพราะผมเองมีความรู้สึกว่ามันจะไม่ถึงหนึ่งร้อย เอาง่ายๆว่ามันคงไม่มีครั้งที่สองแน่ๆ ผมยอมพยักหน้ารับคำพูดของจงแดก่อนจะได้รับรอยยิ้มกว้างกลับมา จงแดทิ้งหัวซบไหล่ผมพร้อมกับถูอย่างอ้อนแบบที่ชอบทำ
"นายคงเคยทำแบบนี้กับแฟนเก่าสินะ"
"ครับ?"
"ก็ที่นับเลขไง"
"แน่นอนครับ ผมทำกับแฟนเก่าทุกคนแต่ทุกคนก็ไม่เคยนับถึงร้อยพร้อมกับผม เอาจริงๆแค่สิบกว่าๆก็ขอเลิกหมดแล้ว"
"พวกเขาคงคิดว่านายบ้าน่ะสิ" ผมหัวเราะให้กับคำพูดของจงแด คนที่ซบไหล่ผมอยู่ก็หัวเราะออกมาเหมือนกัน แต่ผมรู้สึกว่าเสียงหัวเราะนั่นมันดูฝืนๆยังไงไม่รู้ ผมเงียบจงแดเองก็เงียบปล่อยให้สายลมพัดปลายยอดไม้จนเกิดเสียง ฟังเสียงนกน้อยใหญ่ที่ขยันส่งเสียงร้อง เงียบจนได้ยินเสียงรอบตัวดังไปหมด "นั่นสินะครับ"
จู่ๆจงแดก็เอ่ยออกมาพร้อมกับยกหัวขึ้น ผมมองคนข้างๆที่จู่ๆก็ลุกขึ้นและหันมาส่งมือให้ผมจับ ผมจับมือของจงแดไว้ก่อนจะโดนคนที่ให้จับมือดึงลุกขึ้น จงแดเดินไปคร่อมมอเตอร์ไซค์ของตนก่อนจะส่งหมวกกันน็อคให้ผมและเอ่ยไขข้อสงสัย "รีบกลับดีกว่าครับ ฝนเริ่มไล่มาแล้ว"
ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนจากสีฟ้าสดเป็นครึ้มตามที่จงแดบอก สวมหมวกกันน็อคและรีบคร่อมมอเตอร์ไซค์ทันทีเพราะถ้าช้าอาจเจอฝนกลางทางได้ จงแดสตาร์ทเครื่องก่อนจะออกตัวไป สายลมเริ่มเย็นยะเยือกเพราะสภาพอากาศที่เปลี่ยนไป สุดท้ายแล้วสายฝนเม็ดใหญ่ก็เทลงมาสู่พื้นดินและมันก็หนักเสียจนพวกผมไม่สามารถไปต่อได้ จงแดเลือกจอดรถใกล้ๆกับป้ายรถเมล์ของหมู่บ้าน รีบจับมือผมและพาวิ่งไปหลบฝนในป้ายรถเมล์
ผมกอดตัวเองและถูแขนที่เริ่มเย็นจากอากาศและเม็ดฝนที่กระทบโดนตัว พยายามมองท้องฟ้าว่าเมื่อไรฝนจะหยุดแต่ดูจากสีที่ดำสนิทแล้วคงจะอีกนาน ความอบอุ่นที่คลุมไหล่ผมไว้ทำให้ผมต้องหันไปมอง จงแดถอดเสื้อแจ็คเก็ตหนังของตัวเองมาคลุมไหล่ให้ผมบรรเทาความหนาว ผมกระชับเสื้อก่อนจะยิ้มขอบคุณจงแด แต่มือหนาก็ดึงแจ็คเก็ตให้สูงขึ้นจากคลุมไหล่เป็นคลุมหัวแทน
"เพิ่งหายป่วยเองนะครับขืนป่วยอีกผมต้องแย่แน่"
"ทำไม เป็นห่วงหรอ?"
"ป่าวครับ มันลำบากผมที่ต้องค่อยมาเฝ้าไข้พี่ต่างหาก พี่น่ะเวลาป่วยโคตรดื้ออออเลย!"
"ย๊าห์!! ชิ!" ผมสะบัดหน้าหนีจงแดที่หัวเราะเสียงดังก่อนเขยิบตัวให้ยืนห่าง จงแดเอื้อมมือมาจับแขนผมและดึงตัวผมให้เข้าไปใกล้ก่อนจะพาดแขนกับไหล่ผมและกระชับให้แน่นขึ้นพร้อมถ้อยคำที่แสนละมุลที่ทำให้บรรยากาศรอบข้างดูอบอุ่นเอ่ยขึ้น "แต่ผมเต็มใจนะ"
------------------------------
ฮรึกกลับมาแล้วค่ากว่าอะไรจะลงตัวก็อยากจริงๆนา
อย่าลืมฟิคเรื่องนี้ไปนะคะเราจะขยันอัพมากกว่านี้นะ
จุ๊บๆ
ปล.มีตเฉินหมินเมื่อวานสนุกนะคะเราเองก็ไปมาเฉิมหมินชิปเปอร์ทุกคนน่ารักมากๆเลย
#ficaction
@Cminor2199
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น