ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Photograph memory (จบแล้ว)

    ลำดับตอนที่ #6 : Photograph memory -6-

    • อัปเดตล่าสุด 2 พ.ย. 57



    Photograph memory -6-
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     
     






     
     
     
     
     
     'เรื่องราวของคิม มินซอก'
     
     
     
     ท้องฟ้าสีดำสนิทในฤดูหนาวปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่มีเพียงแสงไฟสวัลจากข้างทางที่ยังส่องสว่างให้เห็นทางอยู่บ้าง หิมะโปรบปรายลงมาอย่างขาดสายราวกับสายฝนค่ำคืนที่หนาวเหน็บผู้คนต่างพากันเข้าสู่ห้วงนิทรา......แต่ไม่ใช่กับ'คิม มินซอก'
     
     
     เท้าสองเท้าก้าวไปข้างหน้าอย่างยากเย็นหิมะที่แสนจะเย็นเกาะไปทั่วตามขาของผมแต่ถึงอย่างนั้นผมก็ต้องเดินต่อไป ถ้าไม่ติดว่ามีงานที่ต้องเอากลับไปทำผมคงไม่แบกสังขารออกมาเจอกับความหนาวขนาดนี้หรอก
     
     อยู่จนโดนอาจาร์ยบรรณาลักษ์ในห้องสมุดของมหาลัยไล่ออกมา ชีวิตมันดีอย่างนี้นี่เอง ผมเดินตามทางของมหาลัยไปเรื่อยๆในใจหวั่นเกรงว่าจะเจอกับสิ่งใดบ้าง ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าหยิบเอาหูฟังออกมาหมายจะเสียบกับโทรศัพท์เพื่อฟังเพลง
     
     ตุ้บๆ
     
     ผมรีบหันหลังกลับไปมองทันทีที่ได้ยินเสียงคล้ายคนกำลังมีเรื่อง ไม่รอช้าผมรีบก้าวขาไปทางเสียงทันทีเสียงใกล้มากขึ้นเมื่อผมมาหยุดอยู่บริเวณสวนข้างๆมหาลัยบรรยากาศชวนลุกจังแฮะตรงนี้
     
     ผมเดินผ่านพุ่มไม้ตรงไปยังบริเวณริมสระน้ำแต่ยังไม่ทันที่จะก้าวออกไปสายตาก็พลันเหลือบมองไปเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังรุมคนๆหนึ่งที่นอนนิ่งไม่ไหวติงอยู่วงล้อมนั้น
     
     ทำยังไงดีล่ะมินซอกคิดสิๆ หวาเขาคนนั้นจะตายไหมน่ะนอนไม่ขยับเลย ยังไม่ทันที่ผมจะคิดหาวิธีช่วยกลุ่มคนใหญ่ๆก็สลายตัวผมเตรียมจะเดินไปช่วยเขาเพราะกลัวว่าไม่มีแรงจะขยับตัวก็ต้องหยุดความคิดนั้นไปทันทีเมื่อคนที่นอนแน่นิ่งจู่ๆก็ยันตัวลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล
     
     "ไอ้ห่าเอ้ยทำได้แค่นี้แหละวะอย่าให้ถึงวันของกูนะ!"
     
     เขาคนนั้นโวยวายทันทีที่ลุกขึ้นมาได้ร่างนั้นดูแทบจะไม่ได้ไหนจะคราบเลือดที่เกาะตามใบหน้ารอยฟกช้ำและเสื้อผ้าที่ดูไม่ได้นี่เขาบ้าหรือเปล่าทำไมไม่ตอบโต้
     
     "ไงล่ะแก ปลอดภัยแล้วนะ"
     
     คนคนนั้นว่าพร้อมย่อตัวลงก่อนที่จะมีลูกหมาบีเกิ้ลตัวเล็กออกมาจากเสื้อกันหนาวของเขา คนนั้นลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะคว้าเอาโทรศัทพ์ที่แฝดเสียงอยู่ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมารับ
     
     "เออว่าไง กูไม่ตายง่ายๆหรอก หึคนอย่างท่านจงแดซะเปล่า เออๆมีเคลีย์แน่นอนแค่นี้แหละ"
     
     คนคนนั้นวางสายโทรศัทพ์แล้วก้มมองเจ้าลูกหมาตัวเล็กที่วิ่งสาระวนรอบๆตัวเขาไปมาก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าทำให้แสงไฟจากเสาไฟที่อยู้ใกล้ๆสาดแสงส่องลงบนใบหน้าของเขาพอดี
     
     รอยฟกช้ำปรากฏบนใบหน้านั่นให้เห็นเด่นชัดมากยิ่งขึ้น เขายกยิ้มมุมปากก่อนจะอุ้มเจ้าลูกหมานั่นขึ้นมา
     
     "ฉันเลี้ยงแกไม่ได้หรอกนะ ฉันรับผิดชอบไม่ได้อีกอย่าง..หอฉันไม่ให้แกอยู่หรอกนะฉันอุ้มแกไว้ตลอดก็ดีแค่ไหนแล้ว รู้ไหมฉันแค้นใจมากนะแต่มีแกอยู่เลยไม่ทำ"
     
     เจ้าลูกหมานั่นเห่าใส่หน้าเขาแล้วเลียอย่างหยอกล้อ นี่อย่าบอกนะว่าเขาปกป้องเจ้าลูกหมานั่นตอนโดนซ้อมน่ะคนบ้าอะไรยอมโดนซ้อมเพื่อปกป้องหมา ไม่นานนักเสียงกริ่งรถจักรยานก็มาหลุดอยู่ตรงหน้าเขาพร้อมกับลุงยามที่ดูแลมหาลัย
     
     "นี่เอ็งอีกแล้วเหรอไอ้หนู?"
     
     เขายกยิ้มตอบพร้อมกับทำท่าเก๊กหล่อแล้วตอบลุงยามไป "ใช่แล้วลุงเฉินๆคนหล่อเอง" ลุงยามทำหน้าเอือมระอาใส่เขาแล้วถามถึงบาดแผลบนใบหน้าและตามตัว
     
     "นี่เอ็งไปฟัดกับแม่ของหมามาหรือไงเยินเชียว"
     
     เขาส่ายหน้าปฏิเสธพร้อมกับส่งลูกหมานั่นให้ลุงยาม "ไม่หรอกกัดกับหมามันไม่หล่อสักนิด ลุงมาก็ดีแล้วฝากไอ้ตัวนี้ดัวยนะ"
     
     ลุงยามรับลูกหมามาอย่างงงแต่ก็ไม่ทันเอ่ยอะไรคนคนนั้นก็ไปซะก่อนแล้ว ผมเลยอาศัยตอนที่เขาเดินจากไปแล้วเดินเข้าไปหาลุงยามแทน
     
     "เอ่อ....คือ"
     
     ลุงยามหันมาตามเสียงของผมก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นสูง "คือผมเป็นเจ้าของหมานั่นน่ะครับ" ลุงยามพยักหน้าเข้าใจแล้วส่งมันมาให้ผม
     
     "ดูแลมันดีๆล่ะดีนะที่เจ้าเฉินมันเจอ หนูคงตามหาอยู่ล่ะสิ?"
     
     ผมพยักหน้ารับคำของลุงยามเพื่อให้สิ่งที่ลุงแกพูดออกมาเป็นเรื่องจริง ถ้าผมเป็นเจ้าของมันจริงๆผมคงปลื้มใจมากเลยล่ะที่เห็นว่าเขาพยายามปกป้องมันแค่ไหน ลุงยามขอตัวกลับไปตรวจเวรต่อตรงนี้เหลือแค่ผมแล้วเจ้าลูกหมาผมจ้องมองมันพร้อมกับภาพของใครบางคนก็ลอยขึ้นมาด้วย
     
     "งั้นฉันเรียกแกว่าเฉินแล้วกันนะ"



     
    .
    .
    .



     
     
     "เฮ้ซิ่วหมินนนนนนนน~"
     
     เสียงเรียกอันเป็นเอกลักษณ์ของเพื่อนหน้าสวยที่ไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าใคร ผมแสร้งทำเป็นไม่สนใจแล้วก้มหน้าทำงานต่อจนโดนเพื่อนตัวดีตีเข้าให้
     
     "กล้าเมินฉันเหรอซิ่วหมิน"
     
     ลู่หานว่าพร้อมนั่งลงตรงข้ามกับผมด้วยใบหน้าที่อิดโรย เจ้าตัวยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆหวังให้ผมสนใจแต่ผมกลับทำเป็นไม่สนใจต่อ ลู่หานไปละความพยายามเรียกร้องความสนใจของผมต่อไปจนผมเริ่มรำคาญ
     
     "มีอะไรก็พูดว่ามาสิ"
     
     "คืองี้นะเมื่อคืนใครไม่รู้เอาหมามาเลี้ยงเสียงดังมากจนฉันนอนไม่หลับเลยล่ะตาคล้ำเลยดูสิ"
     
     ผมเหลือบมองหน้าของลู่หานครู่เดียวแล้วก้มทำงานต่อ "ถ้าฉันรู้นะว่าใครเอาเข้ามาเลี้ยงล่ะก็น่าดูถึงหอเราจะอนุญาตก็เหอะแต่ไม่เกรงใจมั่งเลยคอยดูฉันจะ..."
     
     "ฉันเอามาเลี้ยงเอง"
     
     ลู่หานหันมามองผมพร้อมทำตาโตใส่ก่อนจะหลังมือมาอังหน้าผากของผมแล้วจับข้อมือทำเป็นวัดชีพจรหัวใจทั้งที่เจ้าตัวทำเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้
     
     "เลิกเล่นซะ"
     
     ผมชักมือตัวเองกลับมาเหมือนเดิม ลู่หานส่งสายตาสงสัยมามองสำรวจผมยังกับผมไปทำความผิดร้ายแรงมาก
     
     "ไหนบอกจะไม่เลี้ยง"
     
     "ก็ฉันอยากเลี้ยงแล้วจะทำไม"
     
     "โอ๊ะ ใจครับคุณซิ่วหมินผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่นายบอกไม่ชอบเลี้ยงไม่ใช่เหรอที่อยู่หอนี้เพราะมันใหญ่"
     
     "ฉันเลี้ยงหมานะไม่ใช่คนจ้ออยู่ได้"
     
     ลู่หานยู่หน้าลงแล้วก้มมองโต๊ะ ผมส่ายหัวอย่างเอือมระอาแล้วทำงานต่อไปทิ้งเวลาไม่นานลู่หานก็เงยขึ้นแล้วถามผมอีกรอบ 
     
     "หมานั่นชื่ออะไรอ่ะ?"
     
     ผมถอนหายใจออกมาทันทีถ้าจะอยากรู้อะไรขนาดนี้เอาไปเลี้ยงเลยไหม "เฉิน"
     
     "ลู่เก่อนายลืมกระเป๋าตังค์น่ะ"
     
     เสียงปริศนาเอ่ยขึ้นพร้อมกับที่ผมเอ่ยพอดีผมและลู่หานหันไปสนใจผู้มาเยือนใหม่ ลู่หานยิ้มรับพร้อมกับลุกไปหาคนนั้น
     
     "ขอบใจนะเลย์"
     
     เพื่อนของลู่หานยิ้มรับก่อนที่เสียงโทรศัพท์ของเขาจะดังขึ้น คนที่ชื่อเลย์ล้วงลงไปในกระเป๋ากางเกงพร้อมกดรับด้วยอารมณ์ขุ่นเล็กน้อย
     
     "อะไรของแกเฉิน เออๆเดี๋ยวไปแค่นี้แหละ"
     
     บอกลากับลู่หานไม่กี่ประโยคเขาก็เดินจากไป ลู่หานเดินมานั่งลงที่เดิมฝากตรงข้ามผมเงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะเจอสายตาของผมที่จ้องอยู่เจ้าตัวอุทานออกมาเบาๆ
     
     "ฉันไม่ได้นอกใจเซฮุนนะ"
     
     ผมยักไหล่อย่างไม่แยแส หันหน้าไปมองทางที่คนแปลกหน้าเดินจากไปในหัวคิดอยู่ชื่อคนๆเดียว 'เฉิน' โลกมันกลมไปหรือเปล่าแต่คนเราชื่อซ้ำกันมันก็มีนี่
     
     "เหม่ออะไรอ่ะ?"
     
     ผมหันกลับมาทางลู่หานอีกครั้ง เพื่อนหน้าสวยของผมจ้องมองเอียงคออย่างสงสัย ผมเม้มริมฝีปากเข้าหากันแน่นก่อนเอ่ยถาม
     
     "คนเมื่อกี๊ใครอ่ะ?"
     
     ลู่หานเอียงคอทำตาโตมองผมก่อนจะพ่นลมหายใจแล้วระบายยิ้มออกมา "เลย์ไง ไม่รู้จักเหรอฉันก็เคยพูดถึงบ่อยๆ"
     
     ผมพยักหน้ารับอย่างเข้าใจถึงชื่อมันจะคุ้นแต่ไม่เคยเห็นหน้านี่หว่า "ถามทำไมอ่ะ" ลู่หานถามย้ำแล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม
     
     "ก็ถามไม่ได้ไง"
     
     เจ้าเพื่อนตัวดีพยักหน้าเข้าใจอย่างล้อเลียนพรางส่งสายตาและรอยยิ้มที่มีเลศนัยมาให้ผม
     
     "อย่าสนใจเลย์เลยมันไม่สนใจโลกหรอก..แต่เพื่อนเลย์ก็ใช้ได้อยู่นะเสียดายเป็นแฟนแบคฮยอนไปแล้วคนหนึ่ง"
     
     "แล้วมาบอกทำไมไม่ทราบ"
     
     ผมทำหน้าเอือมระอาใส่ลู่หาน เจ้าตัวพยักหน้าอย่างกวนอวัยวะเบื้องล่างที่ใช้เดิน "ก็บอกให้รู้เพื่อนายอยากเจอเดือนนิเทศน์"
     
     ผมแสร้งตีหน้าไม่สนใจก้มหน้าลงทำงานที่ค้างต่อไป แต่ก็ได้รู้เพิ่มว่าคนคนนั้นเรียนอยู่คณะนิเทศน์



     
    .
    .



     
     
     'คณะสื่อสารมวลชน' ป้ายคณะตั้งเด่นหลาอยู่ตรงหน้าผมนี่ผมถ่อจากคณะของตัวเองมาที่นี่ทำไมกัน มันไม่ได้ใกล้กันสักนิดผมจำได้แค่ว่าทั้งวันในหัวผมมีแต่เรื่องของคนนั้นพอมารู้สึกตัวอีกทีขาของผมก็พาร่างของตัวเองมาหยุดที่คณะนี้เสียแล้ว
     
     "ต้องบ้าไปแล้วแน่ๆมินซอก"
     
     ถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายเตรียมหมุนตัวเดินกลับไปยังคณะของตัวเองแต่พลันได้ยินเสียงที่คุ้นเคยขึ้นซะก่อน เสียงนั่นใกล้เข้ามาเรื่อยๆผมไม่รู้จะทำยังไงเลยได้แต่วิ่งไปข้างๆป้ายคณะทำเนียนยืนโทรศัพท์แล้วหันหลังให้
     
     "เลิกกวนตีนกูสักทีชานยอล"
     
     นั่นเสียงเขาไม่มีผิดแน่ๆสงสัยจะมากลับเพื่อนของเขาอย่างที่ลู่หานบอกเพราะเสียงที่ฟังแล้วไม่มาน่าจะมาคนเดียว
     
     "เออเดี๋ยวกลับเลยพวกมึงไปเหอะ"
     
     "แน่นะกูไปนะ"
     
     "อย่าไปฟัดกับหมาแลัวไม่บอกพวกกูนะมึง"
     
     ได้ยินเสียงเอ่ยล่ำลากันอยู่สักพักจนเงียบไป ผมค่อยหันหน้ายังปลายเพราะนึกว่าเขาคงไปแล้วแน่ๆ ไร้วี่แววไปแล้วจริงๆด้วยผมถอนหายใจพรางเก็บโทรศัพท์ของตัวเองลงในกระเป๋ากางเกง ผมบ้าไปแล้วจริงๆ
     
     ผมเดินไปตามทางเรื่อยๆก้าวเท้าลงจากฟุตบาตข้ามถนนในทันทีแต่เพราะอาการเบลอหรือเหตุใดไม่ทราบทำให้ผมไม่ทันเห็นรถยนต์ที่แล่นเข้ามาอย่างรวดเร็ว
     
     "เฮ้ย!"
     
     เหมือนสมองเบลอขาทั้งสองข้างไม่ยอมขยับตามที่สั่งผมหลับตาลงเตรียมรับแรงกระแทกที่จะทำให้เจ็บในไม่ช้า ร่างทั้งรู้สึกเหมือนลอยอยู่ในอากาศที่หรือเวลาโดนรถชนแล้วมันเป็นแบบนี้แต่ผมไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด
     
     ค่อยๆลืมตาขึ้นมาช้าๆหวังจะได้พบเจอเทวดาไม่ก็ยมทูตรออยู่แต่ไม่เลยสิ่งที่ผมกับเป็นใบหน้าคมคายอยู่ใกล้เพียงลมหายใจคั่นเขาค่อยๆคลายอ้อมกอดปล่อยให้ผมได้เป็นอิสระ
     
     "ไม่เป็นไรใช่ไหมน้อง?"
     
     ผมขมวดคิ้วแต่ก็พยักหน้ารับ เขาคนนั้นระบายยิ้มอย่างโล่งอกมาให้ก่อนจะพยุงทั้งตัวผมและเขาให้ลุกขึ้นใช้มือปัดไปมาตามร่างกายของตัวเอง
     
     "ที่หลังข้ามถนนระวังด้วยสิ"
     
     มือหนาวางลงบนศีษระของผมขยี้ด้วยความเอ็นดูก่อนจะหันหลังเตรียมเดินจากไป
     
    "เดี๋ยว!"
     
     เขาหันมาแทบจะทันทีที่ผมเอ่ยรั้งไว้ บ้าหรือเปล่ามินซอกไปรั้งเขาทำไมกัน เขาเลิกคิ้วสูงเป็นเชิงถามว่ามีอะไรผมเม้นริมฝีปากเข้าหากันแน่นก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถาม
     
     "พี่...ชื่ออะไรเหรอครับ?"
     
     เขาระบายยิ้มออกมาใช้มือเสยผมของตัวเองก่อนจะตอบ "จงแด" ทิ้งคำพูดไว้เพียงสั้นๆแล้วเดินจากไป ผมได้แต่ยืนอยู่ที่เดิมกับอาการแปลกๆของตัวเองยกมือขึ้นมาทาบหน้าอกข้างซ้ายที่ก้อนเนื้อข้างในกำลังเต้นรัว
     
     ไม่ใช่ไม่รู้ว่าอาการแบบนี้คืออะไรแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเกิดขึ้นกับคนคนนี้......ทำไมกันนะ?














    --------------------------------------------------

     มาแล้วกลับพาสของน้องมินซอกไม่รู้จะมีใครรออ่านกันไหม 555
    จะทยอยอัพเรื่อยๆแน่นอนฮ้าป สนุกไม่สนุกอยากให้แก้ไขอะไรบอกได้นะ
    อีกไม่นานก็จบแล้วแน่ๆเพราะคิดไม่ออกแล้ว 55555





     
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×