คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Parrot : ชีวิตของผมก็เหมือนกับนกแก้ว 100%
หลังจากบาสหญิงแข่งจบและผลออกมาก็คือ หอ A ชนะ คนในหอก็ออกแนวเฮฮาปาร์ตี้ทันที สงสัยคงได้ฉลองอีกรอบ ของกิน ของกิน ของกิน!!!!!!!!! ทว่าเมื่ออยู่ในหอประชุมประจำหอ เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อชาเย็นวิ่งขึ้นไปบนเวทีและคว้าไมค์มาพูด
“ก่อนที่ผมจะแสดงความยินดีกับชัยชนะของ หอ A ขอให้ทุกคนปรบมือให้กับลมหนาวที่ทำแต้มได้เยอะที่สุดในวันนี้ด้วยครับ” ชาเย็นผายมือไปยังลมหนาวที่กำลังนั่งกินน้ำแข็งไสที่ซื้อมาระหว่างทาง เธอทำหน้าตกใจเล็กน้อยก่อนจะก้มหัวขอบคุณอย่างอายๆ ต่อจากนั้นชาเย็นก็เริ่มพูดต่อ นี่! พูดเร็วๆ แล้วรีบสั่งอาหารมากินได้มั้ย คนมันหิว สงสารกันหน่อยสิ! ซูปเปอร์แฮนด์ซัมหงุดหงิดแล้วนะ - -^
“คือเนื่องจากงานปาร์ตี้คราวที่แล้ว ทางหอได้ใช้งบในการกินเลี้ยงไปเยอะพอสมควร เพราะฉะนั้นการเลี้ยงฉลองคราวนี้คงจะมีแต่เครื่องดื่มและเสียงดนตรีเพียงอย่างเดียว แต่ถึงจะมีแค่นี้พวกเราก็สนุกกันได้ใช่มั้ยครับ!!”
“ใช่!!!!!!!!!!!!!!!” เสียงของคนในหอประชุมตอบพร้อมกับเป็นเสียงเดียว ยกเว้นผมกับแตแตที่ยืนหน้าบึ้งอยู่ พวกเราทั้งสองคนหันหน้ามามองและพูดพร้อมกัน
“ไม่!!!!!” หลังจากนั้นผมก็ยืนบ่นกับแตแตไปตามประสาคนมีวันแพ็คกับคนขาตัน ทว่าขณะที่กำลังเมาท์คนนู่นคนนี้อย่างเมามัน ชาเย็นก็เดินมาทางผมพอดี
“นี่ออกไปนอกงานกัน ฉันหนวกหูเสียงดนตรีเต็มทนแล้ว ไปกันเถอะแตแต” ชาเย็นเดินเข้าไปจูงมือแตแตและจูงออกไปนอกงานล่ะ แล้วผมล่ะ จูงผมบ้างสิชาเย็น T[]T เฮ้ย! ล้อเล่นนะ ไม่ขำเหรอ T..T
“ถ้าอย่างนั้นเราไปกันเถอะลมหนาว” ผมคว้าข้อมือเธออย่างลืมตัวและออกแรงดึง ทว่าเธอกลับสะบัดมันออกและจ้องผมด้วยแววตาสุดเย็นชาแต่สีหน้ากลับขึ้นสี หรือว่าจะเป็นไข้ โอ้ว ไม่นะ! ถ้าเธอไม่สบายใครจะทำกับข้าวให้ผมกิน!
“เธอเป็นไข้เหรอลมหนาว ไหนดูสิว่าตัวร้อนมั้ย” ผมแตะหน้าผากและแก้มเพื่อตรวจดูว่าตัวร้อนมั้ย แต่เธอกลับปัดมันออกแล้วเดินปั้นปึ่งออกไป เวร! นี่ผมทำอะไรผิดเนี่ย!
“ลมหนาว รอด้วยยยยย” ผมรีบวิ่งตามเธอออกไป ทว่าขณะที่กำลังวิ่งอย่างไม่ลืมหูลืมตานั้น จมูกของผมก็กระแทกเข้าไปที่หัวลมหนาวอย่างจัง อ๊า ~ จะหยุดก็ไม่บอก แล้วแบบนี้ดั้งจะหักมั้ยเนี่ย ผมลูบจมูกตัวเองปอยๆ ก่อนจะเสหน้ามองไปยังทิศทางที่ลมหนาวหยุดยืนมองก็พบกับร่างของชายหนุ่มหญิงสาว 4 คน เจ้าของตำนานรัก 4 เศร้าอันเลื่องลือ (ผมแอบคิดไปเอง -..-)
“ฉันบอกแล้วไงว่าแตแตไม่กินของที่แกซื้อมาหรอก ไอ้พายุ!” ผมที่กำลังคิดอะไรเรื่อยเปื่อยก็ถึงกับสะดุ้งกับเสียงดังก้องกังวานของชาเย็นที่ตะคอกใส่พายุ โดยที่แตแตได้แต่ทำหน้าเบื่อๆ ส่วนกวากวาก็มองไปยังพายุด้วยแววตาไม่พอใจเหมือนที่ชอบทำทุกครั้งเวลาเผชิญหน้ากับชาเย็นและแตแต
“แกเป็นสมองของแตแตเหรอถึงได้ตอบแทนเธอแบบนี้ เจ้าตัวยังไม่พูดสักคำเลยว่าจะกิน หรือไม่กิน ฉันซื้อของชอบมาให้กินน่ะ ที่นี่มันไม่ค่อยมีนมรสกล้วยให้กิน อ่ะ ฉันซื้อมาให้” พายุยื่นนมรสกล้วยขวดเบอเร่อไปให้แตแต เธอรับมันเอาไว้และพยักหน้าขอบคุณพายุ ท่ามกลางสายตาแห่งความไม่พอใจของชาเย็นกับกวากวา และดูเหมือนว่าคนที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้เช่นกวากวาจะแผดเสียงดังลั่นออกมา
“พี่พายุ! กวากวาทนมานานแล้วนะคะ นี่มันอะไร! เอานมรสกล้วยไปให้พี่แตแตทำไม กวากวาก็ชอบกินเหมือนกันแล้วทำไมพี่ไม่ซื้อให้กวากวา ทำไมคะ ทำไม!!!!!!!!!!!”
“
” พายุยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบคำถามของกวากวา ดังนั้นเธอจังคว้านมขวดนั้นมาจากแตแตเสียเอง ทว่าพายุกลับกระชากมันออกไปจากมือและจ้องมองกวากวาด้วยแววตาไม่พอใจ
“ฉันให้แตแตไม่ใช่เธอ...กวากวา”
“พี่พายุทำแบบนี้กับกวากวาอีกแล้วนะคะ พี่พายุลืมคำพูดของกวาวาไปแล้วเหรอคะ พี่พายุอยากให้มันซ้ำรอยเดิมอีกใช่มั้ย!!!!!!!!!!!!” รอยเดิม? รอยเดิมอะไรอ่ะ ผมหันหน้าไปมองลมหนาวด้วยความสงสัยเผื่อเธอจะรู้เรื่องบ้าง แต่มันกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะเธอก็ทำหน้าสงสัยไม่แพ้ผมเช่นกัน
“รอยเดิม รอยเดิมอะไรเหรอพายุ” แตแตที่นิ่งเงียบสักพักพูดขึ้นมา มือของเธอกำขวดนมแน่น สีหน้าของเธอเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งไม่ต่างกับชาเย็นที่กำหมัดแน่นจนผมสังเกตเห็นเส้นเลือดที่ปูดขึ้นมา บรรยากาศรอบๆ เริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ ไอ้ 4 คนนี้ถ้ามาอยู่ด้วยกันแล้วโคตรทำลายบรรยากาศรื่นเริงเลย!
“ก็เรื่องวันนะ... อุ๊บ -x-! อิดอากอวาอวาอำไออี่อายุ(ปิดปากกวากวาทำไมพี่พายุ)” พายุปิดปากกวากวาแล้วค่อยๆ ลากเธอออกไป โดยทิ้งให้พวกผมยืนงงเป็นไก่ตาแตก ความสงสัยในใจมันก็ยังค้างคา อ้ากก T[]T ปล่อยให้อยากแล้วจากไป!
และหลังจากที่พายุกับกวากวาเดินออกไปไกลแล้ว ผมกับลมหนาวก็เดินเข้าไปหาแตแตและชักชวนให้กลับขึ้นหอ ทว่าชาเย็นกลับคว้าขวดนมรสกล้วยขึ้นมาชูใส่หน้าแตแตและพูดกับเธอว่า
“เชื่อฉันแตแต ไม่ต้องกินของที่ไอ้พายุให้เธอหรอก ไม่ต้องไปกินของที่ไอ้ผู้ชายเลวๆ คนนั้นให้เธอ ถ้าเธออยากกินเดี๋ยวฉันซื้อให้ใหม่ เอาเป็นว่านมขวดนี้ฉันจะเอาไปทิ้งนะ” ชาเย็นหันหลังกลับและเตรียมจะเดินเอาขวดนมไปทิ้ง แต่แตแตกลับกระชากมือของชาเย็นข้างที่ถือขวดนมเอาไว้แล้วหยิบขวดนมนั้นกลับมาพร้อมกับตะคอกใส่ชาเย็นด้วยเสียงอันดัง
“นายเป็นสมองของฉันหรือไงถึงมาห้ามนู่นห้ามนี่! ฉันจะกินนมขวดนี้แล้วจะทำไม! นายจะทำอะไรฉัน!” แตแตใช้มือข้างที่ไม่ได้ถือขวดนมพลักไหล่ชาเย็นอย่างหาเรื่องจนตัวมันเซมาโดนผม
“ก็ไม่ทำไมหรอก แต่การกระทำของเธอในวันนี้มันทำให้ฉันรู้ว่าสิ่งที่เธอบอกทุกครั้งที่ฉันถาม มันไม่ใช่เรื่องจริง เธอบอกว่าลืมไอ้เลวนั้นแล้วก็ไม่ใช่เรื่องจริง ขอบใจนะที่ทำให้ฉันรู้ว่าเธอยังไม่เคยลืมมันเลย ขนาดมันเลวกับเธอขนาดนี้แล้วเธอก็ยังไม่ลืม ขอบใจนะที่ทำให้ฉันรู้ว่าผู้หญิงอย่างแตแตไม่เคยลืมผู้ชายอย่างพายุเลย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ไม่ว่าฉันจะยืนข้างเธอมากกว่าเขาเพียงใด คำตอบตลอด 4 ปีที่เรารู้จักกันมันก็คงเหมือนเดิม” ชาเย็นเดินเลี่ยงไปอีกทางโดยมีผมและลมหนาวมองตามไปด้วยความสงสารชาเย็นจับใจ ผมเข้าใจความรู้สึกของชาเย็นดี ความรู้สึกแบบนี้ผมประสบกับมันมาตลอด 9 ปีที่ผ่านมา ความรู้สึกนี้มันทำให้ผมเข้าใจคำว่า ‘ผู้หญิงมักชอบคนเลว’
“เธอจะวิ่งตามมันไปหรือเปล่าแตแต ถ้าเธอไม่ได้รู้สึกอะไรกับมันก็อย่าตามมันไปเลย อย่าให้ความหวังมันด้วยเสียงฝีเท้าเธอเลย ฉันขอ” ลมหนาวพูดขึ้นมาเมื่อเห็นว่าแตแตรู้สึกเสียใจในสิ่งที่ตัวเองพูดและกำลังจะวิ่งตามชาเย็นไป อืมม ผมก็คิดไม่ต่างจากลมหนาวหรอกนะ ยิ่งตามชาเย็นก็จะยิ่งมีความหวัง และถ้าสุดท้ายไม่เป็นดังหวัง ชาเย็นก็จะเจ็บหนักกว่าใคร
“ฉันเห็นด้วยกับลมหนาวนะ กลับห้องตัวเองไปเถอะ เดี๋ยวสักพักชาเย็นก็คงขึ้นตามไป” พอผมพูดจบ ลมหนาวก็เดินเข้ามาจูงมือแตแตเดินออกไป ส่วนผมก็เดินตามหลังพวกเธอไป ระหว่างทางผมก็อดที่จะคิดถึงเรื่องราวของชาเย็นไม่ได้ ยิ่งคิดมันก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกว่า
ทำไมมันเหมือนกับผมจัง...
หลังจากไปส่งแตแตที่ห้องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมกับลมหนาวก็เดินกลับห้องพร้อมกับพาบรรยากาศตึงเครียดจากแตแตมาด้วย ระหว่างทาง ลมหนาวไม่พูดกับผมสักคำ T^T เธอเป็นอะไรไปไยจึงเฉยชา...แล้วข้าวเย็นนี้ฉันจะกินอะไร~ กลับมาคุยกันเถอะคนดี แบบว่าหิวข้าว T[]T
ปัง!!!
แค่ไม่คุยด้วยยังไม่พอ พอมาถึงห้อง ลมหนาวก็ปิดประตูใส่หน้าผมอย่างจัง! อ้ากกก ตกลงตัวเองทำอะไรผิดเนี่ย สงสัยเธอคงโกรธที่ผมตะโกนโหวกเหวกโวยวายในสนามบาสแหงๆ ก็แบบว่าเชียร์เขาก็ต้องมีเสียงดังกันบ้าง ทำไมไม่เข้าใจวัยรุ่นกันบ้างนะ! เฮ้อ~ ยิ่งคิดยิ่งเครียด ผมเดินหัวเสียและทึ้งผมตัวเองอย่างหาทางออกไม่เจอ ก่อนจะเดินมาทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาและเปิดทีวีดูอย่างใจลอยพร้อมกับหันไปมองประตูห้องลมหนาวบ่อยๆ พลางคิดว่าบางทีเธออาจจะเปิดออกมาพร้อมกับพูดด้วยคำพูดเดิมๆ ที่พูดอยู่ทุกวันว่า
‘แฮนด์ซัม วันนี้ฉันจะทำอาหารให้คนอ้วนอย่างนายกินก็แล้วกัน’
แต่มันก็ไม่เป็นเช่นนั้น TT ประตูหน้าห้องลมหนาวยังคงปิดสนิทเหมือนเดิม ทำไงดี! ทำไงดี! ถ้าลมหนาวไม่หายโกรธแล้วมื้อเย็นจะกินอะไร! อ้ากกกกก ผมจิกหัวตัวเองอย่างคิดไม่ออก หิวก็หิว ง้อก็อยากง้อลมหนาว ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรให้โกรธ T..T ทำไงดีๆ.... อ๊า~ หรือว่าจะเป็นวิธีนี้ เอาก็เอา! ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
ผมลุกขึ้นยืนและวิ่งเข้าไปในห้องของตัวเองพร้อมกับกระโจนลงเตียงแล้วเอื้อมมือไปหยิบตุ๊กตาเคโระที่แสนจะน่ารักและผมก็เชื่อว่าผู้หญิงทุกคนต้องชอบ เอาวะเป็นไงเป็นกัน! หลังจากหยิบตุ๊กตามาแล้วผมก็เดินหน้าห้องลมหนาว เคาะประตู 2-3 ที ก่อนจะค่อยๆ เปิดประตูและโผล่หน้าเข้าไปในห้องซึ่งตอนนี้ลมหนาวกำลังจัดหนังสือเข้าตู้อยู่ เธอหันมามองผมด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะพูดขึ้นมาว่า
“นายมาทำไม - -+” เธอส่งสายตาเย็นชามาให้จนขาผมสั่นอย่างห้ามไม่อยู่ นานมาแล้วสินะสายตาที่น่ากลัวแบบนี้ T[]T ไม่ได้ เราต้องสู้! ดังนั้นผมจึงค่อยๆ เขยิบไปหาเธอและยื่นตุ๊กตาเคโระไปตรงหน้าเธอ
“ปี๊ลมหนาวโกรธอะไรปี๊แฮนด์ซั่มเหรองับ ถึงไม่ยอมคุยด้วยเยย รู้มั้ยปี๊แฮนด์ซัมเขาคิดมากเยยนะ” ผมดัดเสียงให้เล็กลงกว่าเดิมและเอาตุ๊กตามาบังหน้าตัวเองและขบับแขนตุ๊กตาไปมา ลมหนาวหันมามองเล็กน้อยและส่ายหน้าอย่างระอา ก่อนจะบีบคอตุ๊กตาเคโระและจ้องหน้าผมอย่างเอาเรื่อง อ้ากก น่ากลัว T[]T
“ถ้านายไม่เอาไอ้ตุ๊กตาเคโระบ้าๆ นี้ออกไปจากห้องฉันล่ะก็...ฉันจะเล่นงานนาย!”
“ฉันไม่เชื่อหรอก ผู้หญิงมันจะต้องคู่กับของน่ารักๆ” ผมยังคงชูตุ๊กตาเคโระไปมาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะกลัวเธอแม้แต่น้อย(มั้ง)
“ฉันบอกให้เอาออกไป!” ลมหนาวตะคอกใส่ผมจนผมสะดุ้ง แต่ไม่ได้ ลูกผู้ชายต้องมีจุดยืน! ดังนั้นผมจึงปฏิเสธลมหนาวไปถึงแม้ว่าจะกลัวๆ อยู่ก็ตาม
“ไม่!”
“ก็ได้ ฉันเตือนนายแล้วนะ” ทันทีที่ผมพูดจบ เธอก็หยิบเคโระของผมขว้างออกไปนอกหน้าต่าง พระเจ้า! นี่มันชั้น 10 นะครับ!!
“ฉันเตือนนายแล้วนะ แฮนด์ซัม
.” ยังมีหน้ามาแสยะยิ้มอีก ยัยลมหนาวบ้า T3T
“เธอมันใจร้าย!” ผมรีบวิ่งออกไปหาตุ๊กตาเคโระตัวนั้นทันที ทำไงดี T..T ตัวนั้นเลิฟลี่ให้มาเสียด้วย ต้องรีบไปหา ต้องรีบไปหา!!!
[Special Payu Talk*]
ผมค่อยๆ ลากตัวกวากวาออกมาจากวงสนทนา ก่อนที่ความลับจะหลุดออกมาจากปากของเธอ ผมลากเธอเดินมาไกลแค่ไหนก็ไม่รู้ เพราะเมื่อรู้ตัวอีกทีผมกับกวากวาก็มาหยุดอยู่หลังหอ D หอที่ขึ้นชื่อว่าวังเวงและน่ากลัวสุดๆ ช่างเถอะ! อย่างน้อยก็คงไม่มีคนเดินมาแถวนี้ ผมสะบัดมือกวากวาออกและจ้องหน้าเธออย่างเอาเรื่อง และผมลัพธ์มันก็เป็นเหมือนทุกครั้ง นั่นก็คือ เธอไม่เคยแสดงท่าทีหวาดกลัวเลย มิหนำซ้ำกับยิ้มแย้มราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“พี่พายุจะพากวากวามาคุยกัน 2 คนก็ไม่เห็นต้องพามาทีหน้ากลัวแบบนี้เลย พี่พายุก็รู้ว่ากวากวากลัวผี”
“เหรอ พี่ไม่รู้ว่ากวากวากลัวผี แต่ถึงรู้พี่ก็ไม่สนใจหรอก เพราะสิ่งที่พี่ทำทุกวันคือ เมื่ออยู่หน้าฉาก พี่ต้องแสดงว่าเป็นแฟนที่ดีตามที่กวากวาต้องการ แต่เมื่ออยู่หลังฉาก พี่ก็ควรจะเป็นตัวของตัวเอง หลังฉากพี่ไม่จำเป็นต้องแสดงว่าปลาบปลื้มอะไรกวากวาเพราะใจจริงพี่ก็ไม่เคยคิดเช่นนั้น”
“พี่พายุพูดแบบนี้กวากวาเสียใจแย่เลย กวากวารู้ค่ะว่าพี่กำลังทำให้กวากวาร่าเริง^^”
“ไม่เคยคิดและไม่คิดจะทำ ที่ฉันพาเธอมานี่ก็เพื่อจะบอกว่าถ้าหากเธอหลุดเรื่องวันนั้นอีกล่ะก็ ฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่”
“คิกคิก ^-^ พี่พายุจะทำอะไรกวากวาเหรอคะ คนอย่างพี่พายุน่ะเหรอคะจะกล้าทำอะไรกวากวา พี่พายุอย่าลืมสัญญาที่ให้ไว้กับกวากวาสิคะ เพราะถ้าพี่พายุลืม กวากวาจะทำให้พี่พายุจำได้เอง” กวากวายิ้มเย็นอย่างเชือดเฉือนจนทำให้ผมรู้สึกหวั่นกับคำพูดของเธอ ผมควรจะยอมเธออย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ อย่างนั้นเหรอ ผมควรจะทนอีกครึ่งปีหรือเปล่า อีกแค่ครึ่งปีก็จะครบกำหนดที่เธอสัญญากับผม แล้วถ้ามันครบ...จะมีอะไรมายืนยันว่าเธอจะทำตามสัญญา มันถึงเวลาแล้วหรือยังที่ผมจะหยุดเป็นเงาเพื่อปกป้องแตแตและออกมาเป็นแสงที่ปกป้องเธอได้ตลอดเวลา
“นิ่งแบบนี้แสดงว่าจำไม่ได้สิคะ งั้นกวากวาทวนให้ใหม่นะ วันที่พี่แตแตแขนหัก วันที่พี่แตแตโดนกระถางต้นไม้หล่นใส่หัว วันที่พี่แตแต...”
“พอแล้ว ฉันบอกให้พอไง!!!”
ภาพวันเวลาอันเลวร้ายในอดีตไหลเวียนเข้ามาในหัวผมอีกครั้ง ใบหน้าที่เจ็บปวดและเศร้าสร้อยของแตแตมันทำให้ผมเจ็บ ภาพในอดีตที่ผมได้แต่เฝ้าดูโดยไม่สามารถยื่นมือเข้าไปช่วยได้เลยมันทำให้ผมเสียใจจนมาถึงทุกวันนี้ ผมอยากบอกรักเธอก็ทำไม่ได้ สภาพของผู้ชายที่ชื่อพายุ ถ้าเปรียบกับสัตว์ มันก็คงเหมือนนกแก้วที่ถูกขังไว้ในกรง ทุกการกระทำถูกผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าผมตีกรอบเอาไว้ และถึงแม้จะบอกรักแตแตเป็นร้อยเป็นพันครั้งก็ได้แต่เก็บไว้ในใจ เพราะถึงกู่ร้องออกไปก็คงไม่มีใครฟัง มันก็เหมือนกับเสียงนกแก้วที่ถึงแม้จะเพราะแค่ไหนก็ไม่มีใครหยุดฟัง...
ผมยืนนิ่งและมองกวากวาด้วยสายตาว่างเปล่า สมองของผมขาวโพลนและเริ่มไม่ประมวลผล เป็นอย่างนี้ทุกครั้งเมื่อนึกถึงความทรงจำวันวาน ใบหน้าผมเริ่มเรียบตึงและจากแววตาวาวโรจน์ก็เปลี่ยนเป็นนิ่งสงบและไร้ความรู้สึก ไม่จำเป็นต้องปั้นแต่งเมื่ออยู่ต่อหน้าเธอ ไม่จำเป็นจริงๆ
“กวากวาพอก็ได้ค่ะ ถ้าทางพี่พายุจะเข้าใจเรื่องทั้งหมดแล้ว เอาเป็นว่าขึ้นห้องดีกว่านะคะ” กวากวาเดินเข้ามาจูงมือผม ทว่าอยู่ดีๆ ความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัว ความสงสัยที่ผมไม่เคยได้ถามออกไป ความสงสัยเกี่ยวกับเงื่อนไขที่เธอคนนี้สร้างขึ้น
“ทำไมต้อง 2 ปีกวากวา ทำไมต้อง 2ปี” เธอชะงักกับคำพูดของผมเล็กน้อย สีหน้าปรับเปลี่ยนเป็นซึมเศร้า ก่อนที่จะยิ้มให้ผมแบบฝืนๆ และบอกกับผมว่า
“เมื่อถึงเวลาพี่พายุจะเข้าใจเองล่ะคะ ตอนนี้กวากวาไม่มีความจำเป็นต้องบอก” กวากวายิ้มให้ผมอีกครั้ง ก่อนที่จะจูงมือผมเดินออกจากหอ D ไป ระหว่างทางกลับหอ คำพูดของเธอสร้างความสับสนให้ผมอีกครั้ง ทำไมเธอถึงบอกผมไม่ได้และทำไมใบหน้าของเธอต้องเศร้าสร้อยแทนที่จะเป็นใบหน้าที่ที่เคยทำอยู่ทุกวัน ทำไมกันนะ ทำไม...
ตอนนี้ทั้งผมและกวากวาก็มาถึงห้องเป็นที่เรียบร้อยแล้วและผมก็กำลังนอนดูทีวี ส่วนกวากวาก็กำลังทำความสะอาดห้องครัวเพื่อเตรียมทำกับข้าว
“พี่พายุจะกินอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ” กวากวาตะโกนถามผมจากฝั่งห้องครัว เธอมักจะถามผมอย่างนี้เป็นประจำ ซึ่งผมก็เข้าใจดีว่าเธอทำไปเพราะอะไร แต่ถึงเธอจะทำดีกับผมขนาดไหนก็ไม่สามารถเข้ามาแทนที่แตแตได้อยู่ดี ยิ่งรวมกับความเลวร้ายที่เธอก่อมันก็ยิ่งแทนไม่ได้ มันไม่สามารถลบล้างแล้วเปลี่ยนเป็นความรักได้เลย
“อะไรก็ได้” ผมตอบกวากวาไปพร้อมกับนั่งเปิดไล่ช่องทีวีไปเรื่อยๆ ทว่าขณะที่ผมกำลังหยุดดูละครก่อนข่าวอยู่นั้น เสียงกริ่งหน้าห้องก็ดังขึ้น ผมจึงละสายตาจากทีวีและลุกจากโซฟาไปเปิดประตูด้วยอาการเซ็งๆ พอบานประตูค่อยๆ เปิด เผยให้เห็นร่างของคนที่อยู่หน้าห้อง หัวใจของผมก็กระตุกวูบ ลมหายใจเริ่มติดขัด ทำไมเธอถึงมาอยู่หน้าห้องของผมได้ เพียงแค่ได้เห็นหน้าเธอ คำพูดนับร้อยนับพันมันจุกอยู่ในคอแต่ก็ไม่สามารถพูดออกไปได้ พอเอี้ยวหลังไปก็พบว่ากวากวากำลังจ้องผมอยู่ โอเค...ละครหน้าฉากคงต้องเริ่มแล้วสินะ
“เธอมาทำอะไรที่นี่”
[End Payu Talk*]
ความคิดเห็น