คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #24 : If : ถ้าฉันบอกตัวเองว่าเจ็บฉันกลัวว่ามันจะเจ็บจริงๆ 65%
[Special : LomNhow Talk*]
มนุษย์ที่มีความรัก คือสิ่งมีชีวิตที่ขาดการยับยั้งชั่งใจ ขาดความระมัดระวังในคำพูดของตัวเอง พวกเขามักจะแสดงออกกับคนที่ตัวเองรักว่ารู้สึกอย่างไรผ่านทางสีหน้า การกระทำและคำพูด บางคนอาจแสดงออกอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่บางคนก็เลือกที่จะแสดงเป็นบางอย่างจนบางครั้งการกระทำของพวกเขาก็ดูโง่เง่าสิ้นดี
และฉันก็เป็นหนึ่งในมนุษย์ที่มีความรักอันแสนโง่เง่า...
“หึ” ฉันแสยะยิ้มให้กับความโง่เง่าของตัวเอง เมื่อกี้ฉันทำอะไรลงไป จับชายเสื้อของคนที่ไม่รักแล้วอ้อนวอนให้มารักกันอย่างนั้นเหรอ ทำไมมันน่าสมเพชแบบนี้ ศักดิ์ศรีที่มันเคยค้ำคอหายไปไหนหมด ตอนเลิกกับบลิ้งค์ถึงแม้ว่าจะเจ็บขนาดไหนแต่คำๆ นี้ก็ไม่หายไป แต่กับเขาคนนี้ทำไมฉันถึงได้ทำตัวเหมือนไม่มีศักดิ์ศรีเลย
ความรู้สึกตอนนี้มันเหมือนชาไปทุกๆ ส่วน สองขาถูกตรึงแน่นติดกับพื้นห้องจนไม่สามารถก้าวขาออกไปไหนได้ ไม่คิดว่าสุดท้ายจะได้ลิ้มรสความรู้สึกนี้อีกครั้ง ทั้งๆ ที่เฝ้าบอกตัวเองว่าให้ทำใจแต่เอาเข้าจริงก็ทำไม่ได้เลย
รู้สึกอยากจะโทษโชคชะตาที่นำพาเหตุการณ์ที่บีบคั้นความรู้สึกจนทำให้ต้องพูดคำๆ นั้นออกมาก่อนเวลาอันควร บางทีถ้าพูดคำๆ นี้ช้าลงไปอีกนิด จิตใจของเขาคงพร้อมที่จะรับคนอย่างฉันเข้ามา
ครืดด ครืดด
โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงด้านหลังสั่นอยู่สักพัก ก่อนที่จะตัดสินใจรับมันขึ้นมาดูว่าใครเป็นคนโทรเข้ามา หน้าจอเผยให้เห็นชื่อของคนที่จากกันเมื่อครู่ ชั่งใจอยู่นานว่าจะรับดีมั้ยแต่ยังไม่ทันที่จะได้ตัดสินใจสายก็ตัดไปซะก่อน แต่สักพักชื่อเดิมก็โทรเข้ามาใหม่อีกครั้ง ฉันพยายามระงับความรู้สึกที่เกิดขึ้นก่อนหน้าและกดรับสาย
“อืม โทรมามีอะไรหรือเปล่าบลิ้งค์”
[นอนหรือยัง]
“ใกล้แล้วแหละ มีอะไรอีกหรือเปล่าฉันง่วงเต็มทีแล้ว”
[ฉันรู้ว่าเธอยังไม่ง่วงเพราะนี่ไม่ใช่เวลานอนของเธอ ลมหนาว เธอกำลังมีปัญหาอะไรที่ไม่สบายใจอยู่ใช่มั้ย]
ฉันสะอึกกับคำถามของผู้ชายคนนี้นิดๆ นี่เขายังจำเวลานอนของฉันได้อีกอยู่เหรอ เขาจะจำเรื่องราวของฉันไปทำไมกันในเมื่อเรื่องของเรามันจบไปแล้ว
“ไม่มีอะไรหรอก วันนี้ฉันเหนื่อย” ฉันตอบเขาด้วยน้ำเสียงที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ตนเองได้อีกแล้วพอรู้ว่าเขายังคงเป็นห่วงฉัน
[โกหกไม่เนียนอีกแล้วนะ ถ้าอย่างนั้นมาเจอกันหน่อยได้มั้ย สวนสาธารณะแถวๆ โรงเรียนเธอเป็นไง]
“อืม อีก 5 นาทีเจอกันนะ” ฉันตัดสินใจไปตามนั้นบลิ้งค์เนื่องจากตอนนี้ฉันรู้สึกแย่ บางทีการได้คุยกับใครสักคนอาจทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้น ดังนั้นฉันจึงเข้าไปในห้องและคว้าผ้าพันคอผืนหนามา 2 ผืน คืนนี้อากาศค่อนข้างหนาวเอาไปพันคอให้อุ่นหน่อยก็คงดี เนื่องจากค่ำคืนนี้ฉันคงต้องอยู่กับเขาไปอีกนาน
“รอนานมั้ย” ฉันกึ่งวิ่งกึ่งเดินมาที่สวนสาธารณะแถวๆ โรงเรียนและเห็นว่าบลิ้งค์นั่งอยู่ที่ม้านั่งใต้ต้นไม่ต้นใหญ่อยู่ก่อนแล้ว เขาสวมสเวตเตอร์ตัวบางๆ สีน้ำตาลอ่อนและกำลังถูแขนตัวเองไปมา ฉันยืนมองเขาสักพักก่อนจะยื่นพาพันคอผืนหนาไปให้ เขารับมันเอาไว้และคลุมและตัวอย่างเร่งรีบ
“ขอบใจนะลมหนาว นั่งสิ”
“อืม ว่าแต่อากาศหนาวแบบนี้ยังจะออกมาคุยกับฉันอีกเหรอ”
“อืม ก็เพราะว่าฉันรู้ว่าเธอไม่สบายใจอยู่น่ะสิ...เขาทำให้เธอเจ็บเหรอ” ฉันสะอึกกับคำถามเขาเล็กน้อย ก่อนที่จะถามคำถามที่อยู่ลึกๆ ในใจออกไป
“ก่อนที่ฉันจะตอบนาย นายตอบฉันได้มั้ยบลิ้งค์ว่านายกลับมาทำไม ในเมื่อนายเป็นคนจากไป นายเป็นคนพูดจาเฉือดเชือนใจฉัน แล้วตอนนี้ทำไมนายต้องมาทำดีกับฉัน นายทำแบบนี้เพื่ออะไรกันแน่บลิ้งค์”
“หึ ถ้าฉันบอกว่าการที่ฉันเลิกกับเธอวันนั้นมันเหมือนกับการที่เธอบอกรักแฮนด์ซัมวันนี้ล่ะ เธอจะว่าไง”
“นายหมายความว่าไง”
“ในตอนนั้นฉันยังเด็กและโง่เขลา เพียงแค่คำพูดของเพื่อนตัวเองที่เป่าหูทุกวันว่าการคบกับเธอมันทำให้สังคมเพื่อนของฉันรังเกียจ การคบกับเธอมันทำให้คนอื่นมองฉันในแง่ไม่ดีและตัวฉันก็ดูแย่ไปด้วย ฉันโดนเป่าหูอย่างนี้เป็นประจำ จนฉันคิดว่าถ้าเลิกกับเธอ ฉันจะได้มีชีวิตใหม่ ฉันจะเป็นที่ยอมรับในสังคม...” เขาหยุดพูดเพียงแค่นั้น ฉันลอบมองใบหน้าเขาก็พบว่าสีหน้าเขาเหมือนมีก้อนอะไรมาจุกอยู่ในคอ แววตาสั่นไหวมันช่างดูโศกเศร้า เขานั่งทำใจอยู่สักครู่และตัดสินใจพูดต่อในสิ่งที่ค้างไว้
“สุดท้ายฉันก็เลยบอกเลิกเธอ ฉันคิดแต่เพียงว่าพูดอย่างไรก็ได้ให้เธอเจ็บช้ำน้ำใจที่สุดเพราะเพื่อนของฉันนั่งอยู่ที่อีกมุมห้อง และถ้ามันได้ยิน ฉันจะดูดีขึ้นมา แต่เธอรู้มั้ยว่าหลังจากเลิกกับเธอ ฉันก็ได้มีชีวิตใหม่จริงๆ นะ ชีวิตที่ไม่มีใครจริงใจกับฉันสักคน เธอรู้มั้ยว่าฉันทำใจอยู่นานกว่าจะกล้าบากหน้ามาพบเธอ ทั้งๆ ที่รู้ว่าการมาของฉันมันจะทำให้เธอลำบากใจและอาจได้รับคำด่าทอต่างๆ นานา แต่ยังไงฉันก็จะมาเพราะฉันอยากแก้ไขอดีตของตัวเอง”
ฉันฟังสิ่งที่บลิ้งค์พูดจบด้วยความรู้สึกแปลกใจ นึกไม่ถึงเลยว่าคนที่สดใส ร่าเริงและเป็นมิตรอย่างเขาจะทำในสิ่งแบบนี้ ทำไมสังคมของเขามันถึงได้น่ากลัวแบบนี้นะ
ถ้าการมาของเขาคือการแก้ไขอดีต นั่นหมายความว่าเขาตั้งใจจะกลับมาดูแลฉันอย่างนั้นเหรอ แต่เหตุการณ์ของฉันเท่าที่เขารู้มันน่าจะพิสูจน์ได้แล้วว่าไม่มีทาง คนอย่างลมหนาวถ้าลองตัดแล้วจะไม่มีวันกลับมาต่อเด็ดขาด เรื่องนี้เขาน่าจะรู้ไม่ใช่เหรอ
“แต่นายก็รู้นิสัยฉันดีไม่ใช่เหรอบลิ้งค์ว่ามันไม่มีทาง” เขายิ้มบางๆ เมื่อได้ฟังคำตอบฉัน ก่อนจะพูดออกมาด้วยสีหน้าที่รู้ความจริงอยู่เต็มอก
“รู้ แต่ก็ดีกว่าการไม่ทำอะไรเลย อีกอย่างถึงแม้ว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แต่ฉันก็ยังเป็นเพื่อนเธอได้ เป็นคนแบกรับความทุกข์เธอได้ และฉันก็รู้ว่าตอนนี้เธอเจ็บเพราะเขา ลมหนาวถ้าเธอเจ็บ เธอก็ร้องออกมาเถอะ อย่าฝืนยิ้มอยู่เลย”
“ใครบอกนายว่าฉันเจ็บ ใครบอกนายว่าฉันเจ็บ เปล่าสักหน่อย ฮ่าๆ นายดูผิดไปนะบลิ้งค์ ฮ่าๆ” ฉันหัวเราะกลบเกลื่อนคนที่อยู่ข้างๆ เพื่อปกปิดความรู้สึกตนเอง แต่ทำไปทำมา ฉันรู้สึกว่าลำคอแห้งผากและขอบตาร้อนผ่าวยังไงชอบกล ความรู้สึกนี้มันเหมือนกับว่าฉันอยากจะ...ร้องไห้
“อย่าฝืนหัวเราะเลยลมหนาว เฮ้อ~ ฉันอยากมีกระจกสักใบแล้วส่องหน้าเธอตอนนี้ให้ดูจังว่าการที่เธอหัวเราะอยู่มันเหมือนกับร้องไห้เลยนะ เจ็บก็บอกว่าเจ็บสิ อย่าแสร้งว่าไม่เป็นไรเลย เธอเป็นมนุษย์นะลมหนาว ร้องไห้ได้ เจ็บได้ เธอไม่ใช่หุ่นยนต์ที่ต้องแสร้งทำอารมณ์ตามคำสั่งจิตใจอีกด้านของตัวเอง”
แหมะ แหมะ
หยดน้ำตาร้อนๆ หยดลงบนหลังมือฉัน ทีละหยด ทีละหยด สุดท้ายน้ำตาทีละหยดก็กลายเป็นสาย...ฉันได้ร้องไห้อย่างเต็มทีเสียแล้ว
เวลาผ่านไปสักพัก ฉันก็หยุดร้องไห้และปาดน้ำตาของตัวเองก่อนจะหันไปถามบลิ้งค์ที่นั่งมองฉันโดยไม่พูดอะไรเลย เพราะเขารู้ดีว่าเวลาฉันเสียใจและร้องไห้ สิ่งที่ต้องทำคืออยู่เฉยๆ และทุกอย่างจะดีเอง
“นายรู้มั้ยว่าทำไมฉันถึงต้องทำเหมือนว่าตัวเองไม่เจ็บ ทำไมฉันถึงต้องทำเหมือนตัวเองไม่ได้ร้องไห้”
“...”
“เพราะฉันกลัว กลัวว่าถ้าฉันบอกตัวเองว่าเจ็บมันจะเจ็บขึ้นมาจริงๆ กลัวว่าถ้าฉันบอกตัวเองว่าอยากร้องไห้ น้ำตามันจะไหลไม่หยุด ดังนั้นฉันถึงต้องบอกตัวเองไงว่าฉันไม่เป็นไร ฉันไม่เจ็บและฉันจะไม่ร้องไห้”
“อย่างนั้นเหรอ” เขาพูดเพียงแค่นั้นก่อนจะแหงนหน้ามองฟ้าและไม่พูดอะไรอีกเลยจนเราแยกทางกันกลับที่พักของตัวเอง
จิ๊บ จิ๊บ~
เสียงนกร้องที่ส่งเสียงดังอยู่ภายนอกได้ปลุกผมที่กำลังนอนฟุบโต๊ะเขียนหนังสือให้ตื่นขึ้นมาจากการหลับ ผมไม่รู้ตัวเลยว่าหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่และนานเท่าไหร่แล้ว แต่สิ่งที่ยังคงแจ่มชัดอยู่ในใจคือภาพและคำพูดสุดท้ายที่พูดออกไป ในเมื่อตัดสินใจไปแล้วก็ไม่ควรคิดถึงมันอีก...แต่ทำไมมันถึงลบภาพนั้นออกจากใจไปไม่ได้เลยนะ
ก๊อกๆ
เสียงประตูห้องดังขึ้น ผมเด้งตัวจากเก้าอี้แล้วรีบวิ่งไปเปิดประตูทันที
“อ้าว นายเองเหรอชาเย็น เอ๊ะ แตแต พายุ กวากวาก็มาด้วย แหม มากันครบเซ็ตเชียว ออกไปคุยกันข้างนอกมั้ย” ผมกำลังจะเดินออกไปนอกห้องเพราะคิดว่าห้องนี้คงคับแคบเกินไปหากจะคุยกัน 5 คน ทว่าชาเย็นกลับล็อคคอผมและเหวี่ยงให้นั่งกับเก้าอี้ ก่อนที่มันจะยืนกอดอกและส่งสายตาคาดคั้นมาให้ ผมหันไปมอง 3 คนที่เหลือก็พบว่าทั้งหมดทำท่าเหมือนกับชาเย็นเป๊ะ
“นายทำอะไรเพื่อนฉันน่ะ ไอ้อ้วน!!!” เสียงแตแตแผดเสียงดังลั่นห้องจนพายุต้องเดินไปปิดประตูห้องที่เปิดคาไว้เพื่อไม่ให้เสียงดังลอดออกไปข้างนอก
“อย่าใช้อารมณ์สิแตแต ยิ่งเธอทำแบบนี้ใครเขาจะอยากตอบ” พายุพูดด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“ก็คนมันโมโหนิ่ เพื่อนฉันทั้งคนนะ!”
“ญาติฉันทั้งคนเหมือนกัน ว่าแต่นายทะเลาะอะไรกับลมหนาว ทำไมเธอถึงมานอนกับแตแต”
“เมื่อคืนลมหนาวออกไปข้างนอกเหรอ” ผมถามพายุด้วยความประหลาดใจ นี่ผมอยู่กับตัวเองมากเสียจนไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูเลยเหรอเนี่ย
“อืม ลมหนาวออกไปหาบลิ้งค์น่ะ”
“อะไรนะ! บลิ้งค์อย่างนั้นเหรอ!!!!” ผมตะโกนออกมาอย่างลืมตัว ทุกคนต่างทำสีหน้าอึ้งกันเป็นแถบ ดูเหมือนผมจะรู้ตัวว่าตัวเองใส่อารมณ์มากจนเกินไป ดังนั้นผมจึงทำสีหน้าให้กลับมาเป็นอย่างเดิมโดยเร็ว
ว่าแต่ทำไมต้องรู้สึกโมโหเมื่อรู้ว่าลมหนาวออกไปกับบลิ้งค์ด้วยนะ หรือว่า...ไม่มั้ง ก็ตัดสินใจไปแล้วนิ่
“ทำไมพี่แฮนด์ซัมต้องโมโหด้วยล่ะคะ แค่นี้ตอบตัวเองไม่ได้เชียวเหรอ ทั้งๆ ที่เรื่องอื่นออกจะฉลาดแท้ๆ” กวากวาไม่พูดเปล่า เธอกอดอกและยืนมองผมพร้อมกับส่ายหน้าอย่างหน่ายๆ ก่อนจะเปิดประตูและเดินออกไปนอกห้อง
“ฉันก็คิดเหมือนกับกวากวานะ นายน่ะโคตรโง่เลยกับเรื่องตัวเองน่ะ” แตแตก็เป็นอีกคนที่ทำเหมือนกับกวากวาและเดินออกจากห้องไปเช่นกัน
“ฉันขอตัวนะ” พายุพูดด้วยสีหน้านิ่งๆ เหมือนเดิมและเดินออกไปจากห้องอีกเช่นกัน
เออ! ออกไปให้หมดเลยนะ มาด่าแล้วก็ออกไปให้หมดเลย!
ทว่าคนที่ยังไม่ได้ออกไปจากห้องนี้คือชาเย็น ที่กำลังยืนกอดอกและพิงพนัง เขามองมาที่ผมพลางหรี่ตาเหมือนจะสำรวจอะไรสักอย่าง เอ๊ะ? หรือว่าจะมองทะลุเข้าไปในจิตใจผมกันแน่นะ
“แฮนด์ซัม นายเคยได้ยินเรื่องกฏของแรงดึงดูดมั้ย” ผมงงเล็กน้อยกับคำถามของมัน แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจตอบมันไป
“เคยสิ ฉันก็เรียนวิทยาศาสตร์มานะ”
“ถ้าอย่างนั้นนายก็น่าจะได้ยินเรื่องของแรงดึงดูด”
“อืม ว่าแต่ทำไมอยู่ดีๆ นายถึงได้พูดเรื่องนี้ออกมาล่ะ”
“เฮ้อ~ นายนี่มันโง่เหมือนที่กวากวาพูดไว้จริงๆ ด้วย นายไม่รู้เลยจริงๆ เหรอว่าทำไมนายถึงได้มีท่าทางแปลกๆ กับลมหนาว และไม่รู้จริงๆ เหรอว่าทำไมฉันถึงได้ยกเรื่องแรงดึงดูดออกมาพูด เหอะ เก่งแต่เรื่องของคนอื่นจริงๆ ด้วย นายน่ะ”
“เออ ด่ากันเข้าไป มาเพื่อด่าเลยใช่มั้ยเนี่ย! อยากพูดอะไรก็พูดมา พิรี้พิไรอยู่ได้ เหนื่อยที่จะรอฟังแล้วนะ!”
“จำที่นายเคยบอกกับพวกเราวันทำความสะอาดหอได้มั้ย นายบอกว่านายคิดว่าคนที่ต่างกันไม่มีทางรักกันได้และสิ่งที่นายคิดว่าดีแล้วนั้นมันกลับย้อนมาทำร้ายตัวนายแล้วก็คนที่นายรัก นายเชื่อแต่ความคิดเก่าๆ ตัดสินเหตุการณ์วันนี้”
ความคิดเห็น