มังกร - มังกร นิยาย มังกร : Dek-D.com - Writer

    มังกร

    วิวัฒนาการมังกร

    ผู้เข้าชมรวม

    765

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    765

    ความคิดเห็น


    2

    คนติดตาม


    0
    หมวด :  แฟนตาซี
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  8 เม.ย. 55 / 18:02 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น
    มังกร เกิดขึ้น และ วิวัฒนาการ นะGhost Trio - Gastly Loading
    +❥ Free theme mouse.naru
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

      ว่า กันในเชิงชีววิทยาก่อน มันเป็นเรื่องยากลำบากที่จะหาทฤษฎีที่จะ อธิบายว่ามังกรบินได้ยังไง ทำไมมันพ่นไฟได้ หรือตามความเชื่อที่ว่า เลือดของมังกรใครที่ได้อาบหรือกินเข้าไปแล้วจะส่งผลพิเศษตามมาอีกร้อยแปด


      เราลองมาใช้สมมุติฐานทางชีววิทยาอย่างง่ายๆกัน...


      มังกร มันเป็นสิ่งมีชีวิตดังนั้นมันจะต้องมีวัฒนาการ...แต่..มังกรจะต้องมี วิวัฒนาการอย่างไรจึงจะทำให้มันมีขนาดใหญ่โต บินได้ และพ่นไฟออกมาตามเทพนิยาย ความลับของมันน่าจะอยู่ที่คุณสมบัติสามประการต่อไปนี้คือ ขนาดของมัน การพ่นไฟของมัน และท้ายสุด เลือดอันมีคุณสมบัติพิเศษ ของมังกรนั่นเอง 

      เรา มาถกประเด็นแรกกันก่อน เรามาลองคิดดูว่า ตามเทพนิยายมังกรแต่ละตัวล้วนมีขนาดมหึมาด้วยกันแทบทั้งสิ้น แล้วเจ้าสัตว์มหึมานี้มันบินขึ้นได้อย่างไรโดยที่น้ำหนักตัวมหาศาลของมันไม่ เป็นอุปสรรคเลยแม้แต่น้อย?

      ถ้าเราเปรียบเทียบกับสัตว์ปีกชนิดอื่นๆบนโลกนี้ (อย่าลืมทฤษฎีที่ว่า มังกรเป็นสัตว์ชนิดหนึ่ง ไม่ใช่เทพมังกรหรือปีศาจมังกรอย่างในนิทาน) ซึ่งข้อมูลที่ได้มามันก็บอกอะไรเราหลายๆอย่างทีเดียว เป็นต้นว่า ในทุกๆหนึ่งตารางเซนติเมตรของปีกของห่านแคนาดามันสามารถยกน้ำหนักตัวมันเอง ได้สองกรัม 





      ทำนองเดียวกันกับปีกนกนางแอ่นซึ่งยกได้ 
      132 กรัม นอกจากพวกนกแล้วความรู้ทางชีววิทยายังบอกเราอีกว่าแมลงภู่ยกได้ 1,125 กรัม ในกรณีของนกแก้วข้อแตกต่างก็คือ ลักษณะพิเศษของขนปีกซึ่งอากาศไหลผ่านจากปีกส่วนบนลงสู่ส่วนล่าง ทำให้เกิดความแตกต่างของความดันอากาศขึ้น โอ... ตามทฤษฎีการสร้างเครื่องบินเลยนะเนี่ยคุณนกแก้ว หึหึ..
      แต่ มันก็คงจะทะแม่งๆ ถ้ามังกรดันมีปีกที่มีขนเหมือนนก งั้นเราก็มาเปรียบเทียบกับแมลงภู่ดู หากว่าปีกของมังกรมีประสิทธิภาพเฉกเช่นปีกแมลงภู่แล้ว มันจะต้องใช้พื้นที่ปีก 
      720 ตารางเมตร เพื่อที่จะยกน้ำหนักตัวขนาดเก้าพันกิโลกรัมให้ทะยานขึ้นบนอากาศ ซึ่งปีกลักษณะนี้จะต้องมีความยาวจากปลายด้านหนึ่งถึงอีกด้านหนึ่งราว 150 เมตร แน่ล่ะว่านอกจากสัตว์ประหลาดในเรื่องอุลตร้าแมนแล้วไม่มีสัตว์ชนิดใดจะเป็นได้ขนาดนี้ ดังนั้นตัดประเด็นนี้ทิ้งไปได้เลยครับ 

      แต่ว่ามังกรมันดันบินได้อะดิ แถมไม่ได้เพียงแค่ถลาไปเหมือนเทอราโนดอน(ไดโนเสาร์ที่มีปีกเป็นพังผืด น่าจะเคยเห็นกันใน หรือ ด้วยอิทธิพลแบบคลื่นอัลเบอร์ทอส มังกรบินได้จริงๆอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว จากตำนานต่างๆ มังกรสามารถบินข้ามมหาสมุทรได้ภายในเวลาไม่กี่วัน
      เอาล่ะครับ ตำนานนั้นอาจเชื่อได้บ้างไม่ได้บ้างเพราะความเก่าที่เล่าสืบทอดกันมา อาจทำให้รายละเอียดผิดเพี้ยนไปบ้าง เราลองมาคิดกันอย่างมีเหตุและผลดู



      เอาเป็นว่าลองลดขนาดปีกของมังกรลงมาเหลือยาวราวสัก 6 เมตร ซึ่งหมายความว่าจากปลายปีกอีกด้านถึงด้านจะยาว 12 เมตร (ก็ยังคงตัวมหึมาอยู่) ตามหลักกลศาสตร์มันก็ยังคงบินไม่ขึ้นนั่นแหละ เพราะพื้นที่ของปีกหรือแรงยกที่จะทำได้ จะเพิ่มในลักษณะของกำลังสองในขณะที่มวลเพิ่มในลักษณะของกำลังสาม ขนาดยิ่งเล็กลงโอกาสที่จะบินได้ก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น ถึงแม้ว่าเราจะสมมุติให้มังกรมีปีกที่มีประสิทธิภาพที่สุดในบรรดาสัตว์ที่ เรารู้จักกัน ปีกของมันก็ยังจะทรงพลังจนเหลือเชื่ออยู่ดี เอ๊ะ แบบนี้ก็เหลือทางเดียวอะดิ ที่มังกรจะบินขึ้นสู่ท้องฟ้าได้โดยไม่อาศัยพลังปีก


      ทางเดียวที่ว่านั้นก็คือ มังกรมีน้ำหนักหรือมวลที่น้อยมากๆ
      เป็น ไปได้ไหมว่าเราคลำทางมาผิด และตั้งสมมติฐานผิดๆเกี่ยวกับมังกร เราไม่ควรที่จะถามว่าทำไมสัตว์ที่มีขนาดมหึมาอย่างมังกรจึงบินได้ แต่เราควรที่จะถามว่าทำไมสัตว์ที่มีความจำเป็นตามธรรมชาติที่จะต้องบินอย่าง มังกรนั้น จึงได้วิวัฒนาการจนมีขนาดใหญ่โตเกินความจำเป็นเช่นนี้ การสืบพันธุ์และการร่วงหล่นของมังกรก็เป็นประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจและควรจะ เก็บมาขบคิดกัน


      เป็น ไปได้ไหมว่ามังกรไม่จำเป็นต้องมีปีกตลอดเวลา มันอาจจะมีปีกเฉพาะช่วงเวลาที่ต้องบินออกมาหาคู่เหมือนกับแมลงบางชนิด เช่นแมลงเม่า ปลวก เป็นต้น และสิ่งหนึ่งที่จะเอามาเปรียบเทียบได้กับมังกรและจะช่วยคลี่คลายปัญหาของการ บินของมังกรได้เป็นอย่างดี สิ่งนั้นคือเรือเหาะของเยอรมันในสมัยสงครามโลกนั่นเอง ภาพของฮินเดนเบอร์กตอนระเบิดกลางอากาศ ก๊าซและเชื้อเพลิงลุกไหม้ส่งผลให้โครงเรือแทบกลายเป็นจุลนั้นได้จุดประกาย อะไรให้กับ ท่านไหม.. ใช่แล้ว!!
      1.มังกรบินได้เพราะลำตัวของมันกลวงและเต็มไปด้วยก๊าซที่เบากว่าอากาศ 

      2.มังกรจำเป็นต้องมีขนาดใหญ่ เพราะจะได้เก็บก๊าซได้ปริมาณมากพอที่จะยกตัวมันให้3.ลอยขึ้นสู่อากาศ และสุดท้าย มังกรจำเป็นต้องพ่นไฟ เพราะเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้สำหรับอำนวยความสะดวกในการบินที่แปลกประหลาดของมัน 


      ที นี้ปัญหาของ "ปีกมังกร" ที่ผมและท่านถกกันก็คงหมดไปได้ เรารู้แล้วว่ามังกรไม่ได้ใช้ปีกในการพยุงร่างอันมหึมาของมันขึ้นสู่บนอากาศ หากแต่ใช้เพื่อบังคับทิศทางและใช้เป็นเกราะเพื่อป้องกันตนเอง และถ้ามองมังกรอย่างเผินเวลาอยู่บนพื้นเราก็อาจไม่เห็นปีกของมัน ทำนองเดียวกับสัตว์จำพวกแมลงเต่าทองเวลาหุบปีกนั่นเอง


      แล้วไฟของมังกรล่ะ? มี ปัญหาเหลือเกินว่าทำไมมังกรจึงมักพ่นไฟเป็นเปลวอยู่ในช่วงสั้นๆของจมูกมัน เท่านั้น เอง ทำไมจึงไม่พ่นออกมาเป็นเปลวเพลิงเหมือนก็อดซิลล่า คำตอบก็อยู่ที่พฤติกรรมของพวกมังกรล่ะครับ อย่างที่ขาเกมส์ RPG รู้ กันว่ามังกรมักจะอยู่ในถ้ำ มันจึงจำเป็นต้องมีการควบคุมปริมาณอากาศจากกระบวนการทางชีววิทยาของมัน แน่ล่ะว่าขีดจำกัดในการควบคุมย่อมต้องมีแน่นอน และผู้ใดที่เรียนเคมีกับชีววิทยากันมาแล้วก็คงจะตอบได้ดีว่า ….
      กระบวนการดังกล่าวของเจ้ามังกรนั้นก็คือกระบวนการสันดาปก๊าซ"ฮโดรเยนกับออกซิเยนนั่นเองครับ





      เอ... แล้วไฮโดรเยนพวกนี้มันมาจากไหนกันนะ ไม่เห็นยากครับ กลไกทางธรรมชาติมากมายมักสร้างที่ไปที่มาที่พวกเราคาดไม่ถึงกันอยู่เสมอๆ ลองนึกตัวอย่างของปลาไหลไฟฟ้าที่มีเซลที่สามารถประจุไฟฟ้าได้ปริมาณมหาศาล เจ้ามังกรก็อาจมีอวัยวะบางชนิดที่สามารถแยกไฮโดรเยนออกจากสารอาหารหรือน้ำ ด้วยวิธีทางชีวเคมี และทำให้มันรวมกับออกซิเยนในตอนมันหายใจก็เป็นได้ ไม่ว่ากระบวนการดังกล่าวจะเป็นยังงก็ตาม(ก็ไม่รู้นี่นา...) 

      มันทำให้มังกรหายใจเป็นเปลวเพลิงได้เพราะมันจำเป็นต้องทำแบบนั้น เปลวเพลิงใช้ประโยชน์ได้มากมาย เช่นใช้พ่นเป็นอาวุธ ใช้ดึงดูดเพศตรงข้ามทำนองเดียวกับแพนหางของนกยูง แถมยังช่วยในการบินซึ่งผมจะขออธิบายในตอนหลัง ว่ากันง่ายๆก็คือตราบใดที่ตัวมังกรยังมีไฮโดรเยนมากพอ มันก็สามารถอยู่ในถ้ำ และพ่นไฟได้อย่างสนุกสนานสบายมาก และคงเป็นเพราะในถ้ำนั้นมืดมังกรก็เลยต้องพ่นลมหายใจเป็นไฟเพื่อส่องสว่าง ด้วยล่ะมั้ง 

      ก็อย่างที่กล่าวไว้ในตำนานนั่นล่ะครับ พวกวีรบุรุษต่างๆมักจะเข้าไปในถ้ำที่มีเปลวและควันไฟพวยพุ่งออกมา เจออาการนี้เมื่อไหร่ก็อนุมานได้เลยว่า ในนั้นต้องมีมังกรอาศัยอยู่ภายในอย่างแน่นอน ไฟคือสัญลักษณ์ที่แท้จริงของมังกรครับ เพราะไม่ว่าชีวิตจะวิวัฒนาการไปในรูปแบบใด ธรรมชาติก็มีเหตุผลมารองรับการวิวัฒน์นั้นๆเสมอ


      การ ที่มังกรสามารถบินได้นั้นเพราะมันสามารถทำตัวให้เบากว่าอากาศได้ ดังนั้นมันจึงต้องการที่ว่างขนาดใหญ่มากจนเกือบจะเท่าตัวมันทั้งหมด เพื่อที่จะบรรจุก๊าซที่เบากว่าอากาศเอาไว้ ซึ่งจะทำให้เกิดแรงพยุงตัวแบบเรือเหาะ ว่ากันถึงก๊าซที่เบากว่าอากาศนักเรียนเคมีอาจจะตอบได้ว่า….

      ฮีเลียม น่าจะเหมาะที่สุด ทว่าในความเป็นจริงนะครับ ฮีเลียมมีปริมาณตามธรรมชาติน้อยมาก แถมแทบจะไม่มีบทบาทใดๆต่อสิ่งมีชีวิตเลย ไฮโดรเยนจึงนับว่าเหมาะที่สุดซึ่งนอกจากจะมีปริมาณตามธรรมชาติมากแล้ว มันยังเบาและลุกไหม้อย่างรุนแรงได้เมื่อรวมกับออกซิเยน สารประกอบบางรูปของมันมีอยู่ทั่วไปในระบบย่อยอาหารของสัตว์แม้แต่มนุษย์ ร้องอ๋อกันแล้วล่ะสิครับ กรดไฮโดรคลอริกนั่นเอง

      ปฏิกิริยา ชีวเคมีนี้จะต้องมีขั้นตอนอันสลับซับซ้อนมากมาย ตลอดจนสารประกอบอีกหลายอย่างที่จะนำมาสู่กระบวนการสันดาปของมังกร นี่ล่ะมั้งครับที่ทำให้ลมหายใจของมังกรมีกลิ่นเหม็นและฉุนเฉียว นอกจากความสลับซับซ้อนดังกล่าว อีกสิ่งหนึ่งที่เราสามารถอนุมานเกี่ยวกับมังกรได้ก็คือ โครงสร้างส่วนใหญ่ของร่างกายมันจะต้องมีห้องมากมายสำหรับเก็บก๊าซไฮโดรเยน นั่นล่ะครับคือจุดอ่อนตามธรรมชาติของสัตว์ยักษ์เหล่านี้ ลองคิดกันง่ายๆหากมันโดนดาบหรือไม่จิ้มฉึกทะลุเข้าช่องท้องสู่ห้องเหล่านี้ สิ่งที่ตามมาก็คือกรดไฮโดรคลอริกจะทะลักออกมาทำปฏิกิริยากับทุกสิ่งที่ สัมผัสกับมัน ไม่ว่าจะเป็นดาบ มือที่จับดาบ หรือแม้แต่ผิวหนังของมังกรเองก็ตาม โดนเข้าอย่างนี้ต่อให้เป็นโคตรมังกรก็สิ้นฤทธิ์ครับ มันจะบินไม่ได้พ่นไฟก็ไม่ได้ มีอากาศเหมือนลูกโป่งหรือบอลลูนที่ถูกเจาะทะลุ 

      โครงสร้างที่เบาบางของมันจะยุบสลายโดยสิ้นเชิง คงนึกภาพออกนะครับว่าเมื่อมังกรตาย(ไม่ว่าจะแก่ตายหรือโดนดาบเอ็กซ์คาร์ลิ เบอร์จิ้มตายก็ตาม) มันจะสลายตัวไปในเวลาไม่นานนักซึ่งค้านกันเอามากๆกับรูปร่างของมัน นี่เองจึงเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเราจึงไม่พบกระดูก เศษซาก หรือว่าฟอสซิลของมังกรเลย

      เชื่อ ได้เลยว่ามังกรต้องวิวัฒนาการมาจากสัตว์ประเภทไดโนเสาร์เพราะรูปร่างหน้าตา มันก็บอก อยู่แล้ว เชื่อว่าในตัวมังกรจะต้องมีเยื่อเมือกตามธรรมชาติไว้

      คอย ป้องกันกรดไฮโดรคลอริก เพื่อไม่ให้กัดกร่อนเนื้อเยื่ออื่นๆและกรดจะถูกหลั่งออกมาจากต่อมในตัวมัน เพื่อใช้ในกระบวนการชีวเคมีของมังกร ช่องว่าง

      ต่างๆ ในตัวมังกรจะถูกกั้นด้วยเยื่อและอวัยวะที่มีหน้าที่เหมือนลิ้นเปิดปิดโดย อาศัยแรงดึงของเนื้อเยื่อ และจะทำให้การส่งผ่านก๊าซเป็นไปอย่างสมดุลย์ตลอดทั้งร่างของมังกร เนื้อเยื่อเหล่านี้จะมีหน้าที่สำคัญอื่นๆอีกกล่าวคือ ในสภาวะปกติความดันต่างๆจะอยู่ในภาวะที่ปกติพอควรที่จะทำให้มังกรเดินต้วม เตี้ยมไปมา บนพื้นดินได้ ไม่ลอยไปมาเหมือนลูกโป่ง เมื่อมังกรต้องการจะบิน เนื้อเยื่อของมันจะขยายตัวทำให้ปริมาตรของตัวช่องเก็บก๊าซเพิ่มขึ้นในขณะที่ มวลของก๊าซคงเดิม สิ่งที่ตามมาก็คือความดันลดลง (ลืมกันไปหมดหรือยังนะ PV = nRT , เมื่อ V เพิ่ม P ก็ย่อมลดลงเป็นธรรมดา)

      พูด ถึงการเพิ่มปริมาตรในช่องอากาศของมังกร หนึ่งขอร้องอย่าให้ทุกคนนึกถึงมังกรพองลมในลักษณะของปลาปักเป้า แบบนั้นมันดูน่าเกลียดมากสำหรับสัตว์ที่สง่างามอย่างมังกร (ถึงแม้ว่าตำราโบราณของจีนจะกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงขนาดของมังกรในลักษณะนี้ ก็เหอะ) เพราะการหดตัวของเนื้อเยื่อโดยการควบคุมกล้ามเนื้อ ก็ทำให้กล้ามเนื้อหดตัวเข้าสู่บริเวณครีบของมัน เห็นจากภาพทั่วๆไปไหมครับ ไม่ว่าจะมังกรหรืออะไรก็ตามพอมันบินแล้วครีบหลังมันจะตั้งต่างกันกับตอนอยู่ บนดิน แถมครีบนี้ยังสามารถป้องกันตัวได้อีก นับว่าสารพัดประโยชน์ดีเหมือนกัน

      เรา ก็สามารถแก้ปัญหาเรื่องการบินของมังกรได้อย่างสมบูรณ์แบบ เพราะถ้ามังกรต้องใช้ปีกในการพยุงตัวเพื่อบินจริงๆ มันก็ต้องมีกล้ามเนื้อที่มีพลังมหาศาลเกินกว่าธรรมชาติจะประทานให้ได้ แต่ด้วยวิธีการลอยตัวนี้มังกรจะสามารถบินได้อย่างไม่ยากเย็นนัก ปัญหาเรื่องการบินที่จะตามมาอีกร้อยแปดพันเก้าก็เป็นอันพับทิ้งไปได้เลย 

      ทีนี้กลับมาว่าเรื่องของซากมังกรที่เราไม่เคยค้นพบกันใหม่ดีกว่า แม้ว่าจะด้วยกลไกทางชีววิทยาของมังกรจะทำให้เราไม่มีวันพบฟอสซิลของมันได้ เลย ในทำนองเดียวกับที่นักชีววิทยาไม่เคยพบซากบรรพบุรุษของนก ว่าลักษณะที่พวกมันเริ่มหัดบินนั้นมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่และเป็นลักษณะอย่าง ไร แต่ด้วยขั้นตอนเดียวกัน เราสามารถอนุมานถึงการวิวัฒนาการทางการบินของมังกรได้ตามลำดับขั้นตอนที่ ชัดเจนตามสมควร ดังนี้...


      เริ่มจากขนาดของมันก่อน

      เรา ทราบกันดีว่าพวกไดโนเสาร์ส่วนใหญ่จะมีขนาดที่ใหญ่โตมาก แต่สัตว์ในตระกูลนี้กลับวิวัฒนาการจนมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆเพื่อความอยู่รอด เพราะสัตว์ตัวเล็กย่อมคล่องแคล่วและต้องการปริมาณอาหารน้อยกว่าตัวใหญ่ ไดโนเสาร์รุ่นหลังๆจึงมีขนาดเล็กลง ในขณะที่พวกตัวใหญ่ๆเริ่มพากันล้มหายตายจากไปตามกฏของธรรมชาติ สำหรับตระกูลตัวใหญ่ที่จะดันทุรังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้โดยไม่ลดขนาด ก็มีอยู่วิธีเดียวคือลดน้ำหนักตัวลงเพื่อเพิ่มความคล่องแคล่วและสงวนพลังงาน 

      ในการเคลื่อนไหว เอาล่ะครับ เจ้ามังกรก็คงวิวัฒน์ตัวเองออกมาในทางเลือกที่สองนี้แถมยังมีโรงงานผลิตก ก๊าซไฮโดรเยนในตัวเองอีก เป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์และกินเวลานานเอามากๆ ถึงแม้จะพิลึกและยาก นักวิทยาศาสตร์ก็ยังบอกว่า มันง่ายกว่าที่มนุษย์สมัยดึกดำบรรพ์จะวิวัฒน์มาเป็นโฮโมเซเปียนส์อย่างรวด เร็ว ในแบบที่เกิดขึ้นบนโลกของเรานี้เป็นไหนๆ 

      ใน ช่วงวิวัฒนาการนี้ บรรพบุรุษของมังกรก็ลดลงและสูญพันธุ์ไปในที่สุด เหลือเพียงผลพวงของความเปลี่ยนแปลงเพือการอยู่รอดนั่นก็คือ...มังกร มันได้ละทิ้งเครื่องประดับอันฟุ่มเฟือยเช่น หนอก เขา ต่างๆไปหมด แม้แต่กระดูกก็ยังวิวัฒน์ให้เป็นลักษณะกลวง พวกเกร็ดหนังหนาๆตามตัวที่เคยเป็นเหมือนเกราะบัดนี้ก็ได้หนักอึ้งเกินความจำ เป็น พวกมันคงทิ้งส่วนนั้นไปอย่างไม่เสียดายเหลือไว้เฉพาะเขาที่เอาไว้ป้องกัน ส่วนหัวเท่านั้น เราสามารถทึกทักเอาได้อย่างสบายมากว่ามังกรใช้วิธีการเคลื่อนที่ด้วยการ กระโดดเหมือนจิงโจ้แทนที่จะเดิน (ไม่แปลกเลยครับ เมื่อเทียบกับการเคลื่อนที่ของพวกไดโนเสาร์กินเนื้ออย่างเวโลซี แรพเตอร์) ด้วยการทำรูปร่างให้เบาและการกระโดดก็ทำให้มังกรรุ่นหลังสามารถกระโดดได้สูง ขึ้น - น้ำหนักเบาลง จนกลายเป็นแทบจะบินได้ในลูกหลานของมังกรช่วงหลัง 

      มังกร ไม่มีปีกในหลายๆชาติเช่นจีนหรือนอร์สนั้นบินได้ แท้ที่จริงมันอาจไม่ได้บินแต่กำลังกระโดดอยู่ เพียงแต่กระโดดสูงเสียจนคนเราคิดว่ามันกำลังบินอยู่ 

      และเราก็ได้ข้อสรุปว่าพวกมันเป็นบรรพบุรุษของมังกรรุ่นที่มีปีก เอ๊ะ... แล้วทีนี้ปีกของมังกรจะมาจากไหนล่ะ? ง่ายๆ ครับ พอกระโดดได้สูงขึ้นไกลขึ้นก็ต้องเริ่มหาอะไรมาช่วยบังคับทิศทางในการเคลื่อน ไหว ธรรมชาติจึงสร้างปีกมังกรขึ้นมาช่วยในการควบคุมทิศทาง เรื่องของเรื่องก็เลยกลายเป็นแรกๆมังกรเคลื่อนที่ด้วยการกระโดด พอกระโดดเก่งเข้าก็เลยมีปีกเพื่อช่วยร่อนไปมาในอากาศเหมือเทอร์ราโนดอนหรือ บรรพบุรุษของนก และพอร่อนเก็บ Level เข้ามากๆก็เลยกลายเป็นบินได้ด้วยเองซะเลย สบายเขาล่ะ 

      ด้วย ข้อจำกัดทั้งหลายทั้งปวง มังกรจึงไม่น่าเป็นสัตว์ที่แข็งแกร่งโดดเด่นอะไรขึ้นมาได้(ยกเว้นรูปร่าง ซึ่งคงจะน่าเกรงขามอยู่เอาการ) แต่ก็น่ายกย่องพวกมังกรอยู่ ที่มันสามารถวิวัฒนาการผ่านวิกฤตมาได้เหมือนกับบรรพบุรุษของพวกนก ด้วยขนาดที่ใหญ่โตเกินไป มังกรจึงจำเป็นต้องอยู่ในถ้ำแทนที่จะอยู่ในป่าหรือที่ราบซึ่งเหยื่อและศัตรู สามารถมองเห็นได้ง่าย มังกรคงซุ่มอยู่ในถ้ำหรือรอยแกยของหินผา คอยเวลาออกมาร่อนมากระโดดจับเหยื่อกิน ที่น่าสงสารก็คือ...

      แม้ พวกมันจะวิวัฒน์ผ่านวิกฤตเอาตัวรอดมาได้ แต่ด้วยข้อจำกัดที่พวกมันีพวกมันก็คงดำรงเผ่าพันธุ์กันอยู่ได้ไม่นานหรอก ครับ ไดโนเสาร์แห่งยุคกลางที่เอาตัวรอดและสืบเชื้อสายมาหลายล้านปีเหล่านี้ ท้ายที่สุดก็พากันลดจำนวนลงไปตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะเหลืออยู่ไม่กี่ตัวที่ยังรอดรอเวลามาให้วีรบุรุษเอา ดาบมาเสียบพุงเล่น จนกลายเป็นตำนานเล่าขานกันมาถึงปัจจุบัน 

      ...และ นี่คือความเป็นมาของมังกรภายใต้สมมติฐานที่เป็นไปได้ครับ อ้างอิงข้อมูลจากทั้งเทพนิยายและตำราวิทยาศาสตร์ ปัจจุบันคงไม่มีมังกรเหลืออยู่บนโลกนี้อีกแล้วนอกจากในภาพยนตร์หรือวิดีโอ เกมส์ ซึ่งอย่างหลังนี่ดูจะมีออกมาท้าทายวีรบุรุษเกมเมอร์เป็นพิเศษ...

      " และ แล้วมังกรก็กลับกลายร่างขนาดมหึมา จากปากของมันเปลวไฟจะพวยพุ่ง ลมหายใจที่เหม็นเหลือก็รวยรินออกมา กลุ่มควันก็คละคลุ้งไปทั่วทั้งอาณาบริเวณ ณ ยามที่มันสืบเชื้อสาย มังกรก็ร่วมรวมกันเป็นหมู่เหล่า มันกางปีก... ลอยขึ้นสู่อากาศ และด้วยบัญชาจากพระผู้เป็นเจ้า มังกรบางตัวที่มีน้ำหนักมากเกินไปแล้วร่วงหล่นสู่ลำแม่น้ำ อันเป็นสายธาราจากสรวงสวรรค์ ในที่นั้นมันจะสูญสลายไป มังกรที่เหลือจะอยู่ร่วมกันจนพ้นฤดู เมื่อมังกรตนใดร่วงลง ….มังกรตนอื่นจะรออยู่เจ็ดวันแล้วจึงลงไปเพื่อที่จะพบกับซากขนาดมหึมาที่เหลือแต่โครงกระดูก เพื่อเก็บไปเป็นศิราภรณ์แห่งมันต่อไป..." 


















      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×