ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : last drop chapter 3
chapter 3
โชคชะตา.. คำๆนี้เขาเองก็ไม่เคยมองเห็นมันตัวตนของมันได้สักครั้งตั้งแต่จำความได้ แต่เวลานี้ เขากลับรับรู้ได้ทันทีว่ามันคือโชคชะตา ...แต่ในขณะเดียวกันนั้น โชคชะตาก็กำลังเล่นตลกกับเขาอยู่เป็นแน่...
เขากำลังจะลืมแล้ว กำลังตัดใจแล้ว เขาขายหนังสือที่เก็บไว้รอคนอ่านมาหนึ่งปีเต็มไปแล้ว มีคนมาซื้อมันไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้าที่เขาจะมาหยุดยืนอยู่ตรงนี้ เขาไม่ใช่เจ้าของมันอีกต่อไปแล้ว เขากำลังจะเดินออกไปจากที่เดิมๆ แต่อยู่ๆก็เหมือนกับว่าประตูบานนั้นถูกล๊อกไว้เสียแน่น เปิดไม่ออก มันไม่ยอมให้เขาก้าวออกไป....
บางทีประตูบานนั้นอาจจะเป็นคิมยองอุนคนที่สาบสูญไปจากชีวิตเขาเมื่อหนึ่งปีก่อน
...แล้วนายจะมาให้ฉันเห็นหน้าทำไมตอนนี้...
...คิมยองอุน นายกลับมาตอนนี้ทำไม...
“ อา.. ชั้นควรจะทักนายด้วยคำว่าอะไรดีล่ะ... ” จองซูโพล่งขึ้นท่ามกลางความเงียบ เขาถามแบบนี้ใช่ว่าเขาประชด.. แต่เค้าคิดแบบนั้นจริงๆ...
“ จะ จองซู..” เสียงทุ้มต่ำนั้นฟังดูกล้ากลัวที่จะเอ่ยชื่อเขา
“ หืม?...”
“ ................. ” ในขณะที่เขารอฟัง คิมยองอุนกลับเพียงแค่ปั้นยิ้มเก้อๆให้เขา
“ ทำไม อยากจะบอกอะไรฉันเหรอ...”
“ เอ่อ... ฉัน... เอ่ออ จองซู สบายดีมั้ย ”
...จองซู สบายดีมั้ย งั้นเหรอ... ฟังดูตลกดีจัง แล้วเขาควรหัวเราะไหมนะ
“ เฮ้อ.. ฉันเหรอ ฉันสบายดี ” เขาตอบแค่นั้นเพื่อเว้นว่างให้อีกคนพูดอะไรมากกว่านั้น
“ ................... ” แต่คิมยองอุนก็มีให้เขาแค่คำถามว่าสบายดีไหม
“ นายมาเพื่อถามฉันแค่นี้? ...โอเค ฉันสบายดีทุกอย่าง ฉันไปนะ... ” สิ่งที่อยากทำมากที่สุดในตอนนี้คือการเบี่ยงหน้าให้พ้นสายตาทื่อๆที่จ้องมองมาตรงๆ ไม่มีอ้อมกอดจากคนตรงหน้า และเราก็ไม่ได้โผเข้ากอดกันเหมือนในหนังเรื่องไหน ...เขาไม่รู้จะพูดอะไรจริงๆ ทำไมทุกอย่างมันช่างง่ายดาย มันก็ง่ายพอๆกับตอนที่คิมยองอุนนึกจะไป แต่ทำไมหนึ่งปีที่ผ่านไปของเขาถึงไม่ง่ายดายแบบนี้บ้าง...
อารมณ์ของเขารวนจนไม่สนใจว่าจะเปียกฝนหรือไม่ จองซูก้าวออกมาจากตำแหน่งที่เคยยืนโดยที่ร่มสีขาวคันนั้นยังถูกปล่อยให้อยู่ตรงที่ตกอยู่ เขาไม่อยากจะเก็บไว้หรอก ทิ้งไว้ตรงนั้นก็ถือกับว่าเขาได้คืนมันให้คิมยองอุนไปเสียดีกว่า เขาเดินห่างออกมา ...และแม้ว่าอีกก้าวหนึ่งก็จะครบสิบก้าวแล้ว เขาก็ยังไม่ได้ยินเสียงของคิมยองอุน... อีกก้าวเดียวเท่านั้น หากพ้นจากก้าวนี้ไปแล้วล่ะก็...
“ จองซู.. ฉัน...”
อีกครั้งแล้วที่คิมยองอุนรั้งเขาไว้ที่วินาทีสุดท้าย แล้วจองซูก็ใจง่ายพอที่จะหันกลับไปรอฟังคำอธิบายจากคนที่รั้งเขาด้วยถ้อยคำเก้ๆกังๆอีกครั้ง
“..................” แต่เจ้าของดวงตาสีดำเข้มกลับไม่เอื้อนเอ่ยอะไรมากไปกว่านั้นอีก
เมื่อมีเพียงความเงียบที่ถูกส่งมาสบสายตา ของซูหายใจเข้าลึกๆก่อนจะหลุบสายตาต่ำลง เขามองอะไรไม่เห็นแล้วนอกจากปลายเท้าของตัวเอง เขาไม่อยากมองหน้าคิมยองอุนเพราะเขากลัว... เขาอาจเกรี้ยวกราดใส่คนตรงหน้า หรือไม่เขาก็อาจแพ้ภัยจนต้องเสียใจพร่ำเพรื่ออีกครั้ง
“ ยองอุน... นายอยากบอกอะไรฉันกันแน่ เห็นไหมว่าฉันเปียกไปทั้งตัวแล้ว จะต้องให้ฉันรอนายไปถึงเมื่อไหร่ อีกสองนาที อีกกี่ชั่วโมง จนกว่าฝนจะหยุด หรือว่าจะต้องให้ฉันรอจนกว่านายจะพอใจเหรอ ”
“ หรือนายจะต้องให้ฉันถาม ฉันถามนายก็ได้.. หนึ่งปีน่ะฉันมีอะไรอยากจะถามนายเต็มไปหมด ” ครานี้ปาร์คจองซูเลือกที่จะสบตาตรงๆกับคิมยองอุนอีกครั้ง
“ นายไปไหนมาเหรอ คิมยองอุน ”
“ นายเองก็สบายดีใช่ไหม ที่ผ่านมานายอยู่ยังไงเหรอ กินอะไรแบบไหน นายนอนหลับสบายดีรึเปล่า ”
“ นายจะยังรักฉันอยู่ไหมนะ หรือว่าลืมกันไปตั้งแต่วันที่ทิ้งฉันไว้คนเดียววันนั้นแล้ว ”
“ นายจะรู้ไหม ว่าฉันรู้สึกยังไง ทุกครั้งที่ตื่นมาก็ต้องรับรู้ทุกครั้งว่าฉันอยู่คนเดียว ”
“ แล้วก็นะ.. นายมาทำอะไรที่นี่งั้นเหรอ คิมยองอุน ”
...คำถามประชดประชันพวกนี่มันงี่เง่าสิ้นดี เขารู้... แต่มันคงจะบ่งบอกได้ดีที่สุดว่าเขารู้สึกอย่างไร และเขาก็ถามออกไปแล้ว น้ำตาช่างสำออยของเขาก็ตั้งท่าจะไหลอีกแล้วเหมือนกัน โชคดีเหลือเกินที่ฝนตกอยู่ตอนนี้ อย่างมันจะได้ไม่ฟ้องความอ่อนแอจนออกนอกหน้า
“ จองซู...”
“ ไหนล่ะ คำตอบของนาย เอาสิ ว่ามาสิ แก้ตัวก็ได้ โกหกก็ได้ ฉันเชื่อนายทั้งนั้น... ”
“ ฉันขอโทษ... ”
คำๆนั้นหลุดออกมาจากริมฝีปากหยักที่เผยออ้าออกเพียงเล็กน้อย
...ขอโทษงั้นหรือ สำหรับเรื่องอะไรกันล่ะ...
สายตาของคิมยองอุนกำลังจ้องมองอะไร มันหลุบลงเพื่อไล่จ้องมองใบหน้าหากแต่ไม่ได้สบตากับเขา หรือคิมยองอุนกำลังมองหาหยดน้ำตาบนใบหน้าของเขากันแน่
ปลายมือหยาบค่อยๆเคลื่อนเข้าใกล้ และแตะลงบนเนื้อแก้มของคนตัวเล็กกว่าอย่างแผ่วเบา ไล้เรื่อยผ่านไปยังหู ก่อนที่นิ้วโป้งนั้นจะปาดผ่านที่ใต้ดวงตาสีน้ำตาลอย่างเชื่องช้า เหมือนจะรู้อยู่ในทีว่าปาร์คจองซูกำลังอยู่ในห้วงอารมณ์อ่อนแอ และในวินาทีถัดมา ร่างทั้งร่างของจองซูก็จมหายไปในอ้อมแขนของคิมยองอุน
... อ้อมแขนของยองอุนคราวนี้กอดเขาทื่อๆ มือทั้งสองข้างก็ไม่ลูบหลังลูบไหล่ให้เขาคลายใจเหมือนอย่างเคย แต่กระนั้น จองซูก็ยอมใจอ่อนฝังใบหน้าชื้นๆลงกับช่วงไหล่หนาๆของคิมยองอุน...
“ปล่อยฉันไว้แบบนั้น ทิ้งฉันไว้คนเดียวได้ยังไง นายทำได้ยังไง... นายหายไปไหนมา ยองอุน..”
“ ฉันขอโทษ..”
คำตอบไม่ตรงกับคำถามยังคงเป็นสิ่งเดียวที่คิมยองอุนมอบให้
“ ฉันได้ยินแล้ว คำขอโทษนั่น แต่ฉันอยากให้นายบอก ว่านายหายไปอยู่ที่ไหนมา ” แต่จองซูก็ยังต้องการรู้ อย่างน้อยเพียงแค่คำตอบของคิมยองอุนมันอาจทำให้ช่องว่างหนึ่งปี่ที่เกิดขึ้นมาขยับเข้าใกล้กันได้บ้าง
“ ขอเวลาฉันอีกนิดนะ แล้วฉันจะบอก... ทุกอย่างที่นายอยากรู้ แค่ตอนนี้ให้ฉันมีโอกาสได้ดูแลนายได้มั้ย..”
และคิมยองอุนก็ยังคงยืนยันในคำตอบที่ว่างเปล่าเหมือนเดิม
“ เรา... เรากลับไปเป็นเหมือนเดิมนะ ” ยิ่งฟังคำขอของยองอุน จองซูก็ยิ่งถอยห่างออกมา
...คำถามของเขาไม่มีความสำคัญพอที่จะตอบหรืออย่างไร ยองอุนได้ยินที่เขาพูดไหม หรือที่เขาบอกไปตั้งแต่ต้นนั้นยองอุนไม่ได้ใส่ใจที่จะฟัง...
“ โอกาสอะไรล่ะ นายอยากได้อะไร ไม่เห็นต้องขอโอกาสอะไรนั่นเลย ก็แค่นายบอกมาเท่านั้นเอง มันไม่ได้ยากอะไรเลยนะยองอุน ”
“ ฉันจะบอกนาย แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ได้โปรด จองซู..”
“ ถึงตอนนี้แล้ว ฉันก็ยังต้องรออีกเหรอ ยองอุนนา.. นายรู้ ฉันไม่ใช่คนเอาแต่ใจ แต่... นายคิดว่าหัวใจของฉันจะใหญ่คับฟ้าได้เลยงั้นเหรอ ชั้นก็แค่คนธรรมดา มันมีขอบเขตที่ฉันก็ไม่เคยไปถึง มันมีบางอย่างที่ฉันก็ทำให้ไม่ได้ ”
“ ก็แค่บอกมา.. อะไรก็ได้ ฉันก็จะทำใจรับให้ได้ มันก็แค่ให้ฉันได้รู้ มันยากมากเลยเหรอยองอุน ”
“ จองซู... ฉัน.. ”
“ นายขอมากไปแล้ว.. ฉันจะทำแบบนั้นได้ยังไง ทำเหมือนมันไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น นายคิดว่ามันง่ายหรือไง ” จองซูแข่งเสียงกับสายฝนจนรู้สึกเหมือนมีอะไรขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอ คิ้วเรียวขมวดเข้าหากันขณะที่จ้องมองกับนัยน์ตาสีดำสนิท
... มันเหมือนกับว่าคิมยองอุนกำลังขอให้เขาคิดเสียว่าหนึ่งปีที่ผ่านมามันก็แค่ฝันร้ายที่จบลงเพียงข้ามคืน...
“ ขอโทษ... ฉันขอโทษ แต่อย่าเพิ่งให้ฉันต้องบอกอะไรนายตอนนี้เลยนะ จองซู...”
คิมยองอุนก้าวเท้าเข้าไปเพื่อลดระยะระหว่างสองคนให้สั้นลง ทว่าปาร์คจองซูกลับถอยห่างออกไปในระยะที่เท่ากัน
“ พอเถอะ นายไม่ต้องขอโทษแล้วล่ะ.... ฉันเข้าใจดีว่านายมีคงมีเหตุผลที่บอกอะไรฉันไม่ได้ แต่ฉันเองก็ทำเป็นไม่รู้อะไรแล้วกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้เหมือนกัน ...นายเข้าใจฉันใช่ไหม ” เจ้าของน้ำเสียงอ่อนล้าถอนใจเบาๆก่อนจะส่งรอยยิ้มเจือจางให้คนตัวโตที่ยืนอยู่ห่างออกไป
“ กลับไปเถอะ... ทำอย่างที่นายสบายใจ ฉันก็จะทำเท่าที่ฉันทำได้ ”
“ เราเดินมาไกล จนไม่ได้อยู่ในสภาวะเดียวกันอีกแล้วล่ะ ยองอุน.. ”
เขาเดินจากมาแล้ว ตรงหน้าเขาไม่มีคิมยองอุนอีกเพราะเขาหันหลังให้กับมือหนาที่พยามจะเอื้อมมารั้งเขาเอาไว้ จองซูเชื่อว่าวันนี้เขาจะเป็นคนโดดเดี่ยวเดียวดายที่ทะนงตัวยิ่งกว่าใคร เขาเหงายิ่งกว่าเหงาแต่ทางเลือกของเขาคือการปล่อยให้เส้นทางเดินของยองอุนกับเขายังคงเป็นเส้นขนาน เขาเองที่ไม่ยอมทำให้มันบรรจบกันในวันนี้ แต่ก็เป็นเขาเองเช่นกันที่เสียใจยิ่งกว่าใคร
...จะอะไรนักหนากันนะจองซู ทั้งที่เดินคนเดียว อยู่คนเดียว นอนคนเดียวมาได้เป็นปี วันนี้ก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป ถนนหนทางที่เดินผ่าน ต้นไม้ใบหญ้าก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไป พระจันทร์ก็ดวงเดิม ดวงดาวก็ดวงเดิม แล้วจะเรียกร้องอะไรให้วุ่นวายไปทำไมกันเล่า...
เสียงประตูปิดลงช้าๆไม่นำทางไปสู่เสียงที่เกิดขึ้นจากการกระทำสิ่งอื่น แม้กระทั่งเสียงคลิกเบาๆของสวิตช์ไฟ เพราะคนที่ลากสังขารมาจนถึงห้องพักได้นั้นไม่ได้ขยับกายให้ไปได้ไกลกว่าหลังประตูบานนั้นเลย แผ่นหลังบางเอนพิงลงกับประตูเหล็กสีขาวทำให้รู้สึกได้ถึงความเย็นชื้นของโลหะ ก่อนที่เจ้าของแผ่นหลังบางจะทรุดตัวลงนั่งกับพื้นโดยมีที่พึ่งพิงเพียงหนึ่งเดียวคือประตูไร้ชีวิตบานนั้น
แผ่นหลังเขาเย็นไปหมด แต่กลับรู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตาอีกแล้ว ปาร์คจองซูผู้ทะนงตนจึงทำได้เพียงซบหน้าลงกับหัวเข่าตัวเอง ก่อนจะปล่อยความอ่อนแอให้ออกมาทำตัวเพ่นพ่านได้แต่เพียงในเขตวงแขนที่โอบรอบตัวเองเอาไว้เท่านั้น
... เขาอยากอยู่คนเดียวหรือ ไม่เลย เขาเกลียดการอยู่คนเดียวที่สุด เขาเก่งนักหรือ ไม่เลย ก็แค่คนอ่อนแอที่หยิ่งไม่เข้าท่า...
...ทำไมล่ะ ทำไมมันไม่ง่ายเลย ไม่เหมือนเรื่องที่เขาเคยอ่านซักนิด ไม่เห็นเหมือนที่คิดไว้ อะไรๆมันกลับตาลปัตรไปเสียหมด ทั้งที่ยองอุนกลับมายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว แต่เขายังต้องนั่งกอดตัวเองอยู่แบบนี้ และก็น่าขำที่มันเป็นทางที่เขาเลือกเอง ปาร์คจองซูเป็นคนเดินห่างจากคิมยองอุนออกมาเอง
...แต่เขาก็ทำไม่ได้จริงๆ เขายอมให้ไม่ได้ เขามองข้ามไม่ได้ เพราะเขามีก็หัวใจ ยองอุนมีเหตุจำเป็น เขาเองก็มีเหตุผลเป็นเงื่อนไขของความรู้สึกเหมือนกัน...
“ นายจะให้ฉันทำยังไง ฉันสับสนไปหมดแล้ว เพราะนายคนเดียว... ”
..............................................................................................................
“ นี่ คยูฮยอน..” น้ำเสียงกระตุ้นความสนใจของทงเฮดังมาจากหน้าร้าน แต่มันไม่ได้ทำให้คยูฮยอนที่รู้จักนิสัยตื่นตูมของทงเฮดียิ่งกว่าอะไรให้ความสนใจมากเท่าไรนัก
“ คยูฮยอน... คะ-ยู-ฮยอนนนนน ” ความนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหวทำให้ทงเฮร้อนใจจนต้องลากเสียงยาวรีบถลาเข้ามาที่หลังร้าน
“ เอ๊ อะไรของนายนะทงเฮ อยู่เงียบๆซักนาทีสองนาทีจะไม่ได้เลยเหรอ ”
“ ไม่ได้! เพราะถ้าชั้นเงียบแล้วเกิดอะไรขึ้นที่นี่ละก็นายจะหาว่าชั้นไม่เตือน ”
“ อะไรของนาย พูดอย่างกับว่าจะเกิดอะไรขึ้นงั้นแหละ ”
“ ไปดูที่หน้าร้านสิ ใครก็ไม่รู้ ชั้นเห็นว่าเขายืนอยู่หน้าร้านเรานานแล้วนะ ”
“ แล้วยังไงล่ะ ไม่เห็นจะแปลก ถนนตั้งกว้าง เขาจะยืนตรงไหนมันก็เรื่องของเขาไม่ใช่หรือไง ”
“ ก็เขาไม่ได้ยืนอย่างเดียวนี่นา นี่.. ฉันเห็นเขามองมาในร้านเราตั้งหลายทีนะ นายให้ฉันเฝ้าหน้าร้านคนเดียวแบบนี้ ถ้าเกิดเขาเข้ามาปล้นจะทำยังไงล่ะ ” ทงเฮร่ายยาวเสียจนคยูฮยอนต้องรีบก้าวขาให้ยาวกว่าเพื่อให้หูตัวเองออกห่างจากเสียงฉอดๆนั่น
“ โอเคๆๆ หยุดตื่นเต้นซะอีทงเฮ ฉันจะออกไปดูเดี๋ยวนี้แหละ ” คนขายาวหันมาทำหน้ายุ่งใส่ทงเฮก่อนจะเดินดุ่ยไปดูที่หน้าร้าน เขามองผ่านกระจกใสที่หน้าร้านไปก็ไม่เห็นมีใครอย่างที่ทงเฮว่า มีเพียงแผ่นหลังไวๆที่เดินผ่านร้านเขาไป แต่เพื่อความแน่ใจคยูฮยอนจึงเปิดประตูออกไปชะโงกหน้าดูให้แน่ใจอีกครั้ง ...ในช่วงสายๆของวันธรรมดาแบบนี้เขาแทบไม่เห็นใคร แต่โครงร่างของคนที่เขาเห็นเพียงแผ่นหลังที่กำลังเดินห่างออกไปนี่กลับคุ้นตาเขาเหลือเกิน...
“ เอ่อ... ” คยูฮยอนลองเปล่งเสียงออกไป แล้วมันก็ได้ผลเมื่อใครคนนั้นหยุดฝีเท้าไว้ก่อนจะหันมามองที่เขา
“ พี่ยองอุน ” เขาเรียกชื่อออกไป เมื่อเห็นหน้าค่าตาของเจ้าของแผ่นหลังนั้น การปรากฏตัวของพี่ชายตัวโตที่หายหน้าไปนานทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย
“ อ่า.. นาย ”
...อ่า นาย.. แค่นี้น่ะเหรอ คำทักทายหลังจากที่ไม่ได้เจอกันแรมปีทำให้เขายิ่งประหลาดใจ ...พี่ชายตัวโตไม่เดินมาโอบไหล่เขาอย่างพี่น้องที่คุ้นหน้ากันเหมือนเมื่อก่อน แถมยังไม่เรียกเขาว่าไอ้โย่งเหมือนเคย...
“ ไม่เจอกันนานเลยนะพี่ สบายดีเหรอ มาหาพี่จองซูเหรอครับ ” คยูฮยอนหลบเลี่ยงความสงสัยของตัวเองก่อนจะถามไถ่ไปตามเรื่อง
“ เอ่อ จองซู ไม่มาเหรอ ”
“ ครับพี่ วันนี้พี่จองซูไม่สบายน่ะครับ เลยไม่ได้มา เข้าไปนั่งข้างในก่อนมั้ยพี่ ” คนชวนเอ่ยพลางเปิดประตูให้กว้างขึ้น
“ ไม่เป็นไร ถ้างั้นพี่แวะไปดูจองซูหน่อยดีกว่า ขอบใจนะ ” ทว่าพี่ชายตัวโตกลับเอ่ยขอตัว
“ อ่าครับ ถ้างั้นก็ไว้เจอกันนะครับพี่ ” คยูฮยอนได้แต่พยักหน้าหงึกหงักก่อนจะหันหลังกลับเข้ามาในร้าน แต่แล้วก็ต้องขมวดคิ้วฉับเมื่อหันมาเห็นว่าอีทงเฮยืนถือไม้ม๊อบอยู่ข้างหลัง
“ ทำอะไร...” คยูฮยอนถามเสียงเอือม
“ สรุปว่าใครอ่ะ ใช่คนร้ายรึเปล่า ”
“ อี ทง เฮ... หยุดบ้าได้แล้ว ถ้าเป็นคนร้ายน่ะฉันจะยืนคุยด้วยตั้งนานสองนานหรือไง ขยับเซลล์สมองซะบ้างสิ ” คำพูดแสบๆคันของคยูฮยอนคราวนี้ไม่ทำให้ทงเฮโวยวาย ก็แค่เพียงปล่อยมือข้างหนึ่งจากไม้ม๊อบมาเกาหัวแกรกๆ
“ เออว่ะ จริงด้วย.. แล้วนายคุยกับใครเหรอ ” ทงเฮส่งเสียงแล้วพาตัวเองตามหลังคนขายาวเข้ามาติด
“ พี่ยองอุน ”
“ พี่ยองอุน.. ชื่อคุ้นๆแฮะ ”
“ ก็คนที่นายเคยเจอเมื่อปีก่อนนั่นไง ”
“ ปีก่อน ปีก่อน เอ...ใช่คนที่ตัวโตเหมือนหมีรึเปล่า ” หน้าตาอีทงเฮตลกพิลึกเมื่อเหลือกตาขึ้นเหมือนจะพยามมองหาความจำเกี่ยวกับ พี่ยองอุน ในหัวสมอง
“ พูดแบบนั้นก็ไม่ผิดหรอกแต่มันเสียมารยาทนะทงเฮ..”
“ อ่ะ โทษที แต่เอ๊ะ.. พี่ยองอุน ที่มากับพี่จองซูน่ะเหรอ ”
“ ใช่ นั่นแหละ ” คยูฮยอนรับคำก่อนจะถอนใจแล้วทำหน้ายุ่ง
“ แล้วนายเป็นอะไร จะถอนหายใจทำไมบ่อยๆ เดี๋ยวก็แก่เร็วหรอก ”
“ ไม่มีอะไรหรอก ชั้นแค่รู้สึกว่ามันยังไงๆชอบกล ”
“ อะไรยังไง? ”
“ อา.. อีทงเฮ ชั้นบอกนายไปนายจะรู้เหรอ.. ไปทำงานของนายได้แล้ว ” คยูฮยอนตีหน้าบึ้งก่อนจะออกปากไล่ให้ตัววุ่นวายกลับไปอยู่ในตำแหน่งของตัวเองเสีย ซึ่งทงเฮที่ทำได้แค่กระฟัดกระเฟียดก็ต้องยอมกลับไปประจำที่แต่โดยดี
คยูฮยอนย่อตัวลงนั่งคุดคู้อยู่หน้าลังใส่หนังสือใบใหญ่ แต่กลับไม่ได้ขยับมือทำงานแม้แต่น้อย เขาไม่รู้ว่าพี่ชายตัวโตกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ อันที่จริงเขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมอยู่ๆพี่ยองอุนก็หายหน้าหายตาไปเป็นปีทั้งที่ปกติจะต้องแวะเวียนมาที่ร้านบ่อยๆ ถามพี่จองซูก็ไม่เห็นจะตอบว่าอะไร แถมเจอกันคราวนี้เขาก็ยังรู้สึกแปลกๆเสียอีก เหมือนบางสิ่งบางอย่างจะกระตุ้นการรับรู้ของคนเซนส์ดีอย่างโจคยูฮยอนเข้าอีกแล้ว
“ คิดมากไปแล้วมั้ง คงไม่มีอะไรหรอก ” คยูฮยอนบ่นกับตัวเองเบาๆ เขาส่ายหน้าน้อยๆเพื่อข่มอารมณ์ช่างสงสัยของตัวเองก่อนจะหันมาสนใจงานที่รอท่าอยู่ตรงหน้า
“ คยูฮยอนนนนนนนนน ” แต่ยังไม่ทันที่จะได้เริ่มงาน เสียงโหวกเหวกเรียกชื่อเขาก็ทำให้คยูฮยอนเริ่มจะเปลี่ยนเป็นรู้สึกเอือมระอามากกว่ารู้สึกเคลือบแคลงสงสัยเสียแล้ว
“ เออออ!!! ออกไปเดี๋ยวนี้แหละ! วุ่นวายจริงวะ ”
.........................................................................................................
ตู้เครนเก่าสีเหลืองอ่อนวางตัวหลบอยู่ในพื้นที่สวนเล็กๆทางด้านหลังของบ้านเช่าหลังใหญ่ ไม้พุ่มทั้งสูงทั้งเตี้ยบดบังจนบ้านลังหลังเล็กที่สามารถอาศัยอยู่ได้เพียงคนหรือสองคนนั้นแทบจะกลืนหายไปในพื้นที่ไม่กว้างมาก
ภายในห้องเล็กๆสว่างไปด้วยแสงที่ลอดผ่านม่านผ้าใบเข้ามาตามช่องว่าง ปาร์คจองซูลืมตาขึ้นตามเวลาที่นาฬิกาในร่างกายเขาเคยชิน แต่วันนี้ เพียงแค่ลืมตาขึ้นยังรู้สึกว่ามันยากกว่าปกติมากนักเมื่อการจ้องมองภาพเพดานห้องที่คุ้นเคยทำให้สมองของเขารู้สึกหนักและก็เบลอไปหมด
เขารู้สึกปวดไปหมดทั้งตัว ปวดจนไม่อยากจะขยับไปไหน อุณหภูมิในร่างกายก็เหมือนจะปะทุออกมา ขอบตาเขาร้อนผ่าว ลมหายใจก็ร้อน สงสัยว่าเขาจะโดนฝนเล่นงานเข้าซะแล้ว แถมบ้านลังหลังเล็กๆที่เป็นตู้เครนเก่านี่ก็ไม่ได้กันความเย็นชื้นได้เท่าไรนัก
“ อา.. ต้องกินข้าว แล้วก็กินยา ” เสียงฝืดๆของปาร์คจองซูเรียงลำดับให้ตัวเองฟังเมื่อตอนนี้สมองของเขามันโคลงเคลงเกินกว่าจะจับความคิดไว้ได้ทัน การอยู่คนเดียวสอนให้เขารู้จักดูแลตัวเองได้ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าควรทำอะไรเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงดี แม้ว่าเขายังไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรให้หัวใจนั้นเข้มแข็งเหมือนร่างกาย
ร่างเล็กพาตัวเองเดินออกจากห้องไปเพื่อทำตามที่เรียงลำดับไว้ แต่เมื่อมาถึงตู้เย็นปาร์คจองซูก็ต้องถอนใจเมื่อเขาไม่เจออะไรที่พอจะเป็นข้าวเช้าได้เลย พวกบะหมี่สำเร็จรูปในชั้นก็ดูจะหนักหนาเกินไปสำหรับวันที่ป่วยแบบนี้
“ เฮ้อ.. ” เขาถอนใจเมื่อคิดว่าคงจะต้องออกไปหาซื้ออะไรข้างนอก เพราะเพียงแค่เดินอยู่ในบ้านหลังเล็กๆเพียงเท่านี้ ข้อต่อในร่างกายของเขาก็ฟ้องทันทีว่ามันไม่ไหวแล้ว ขยับเขยื้อนไปทางไหนก็ติดขัดไปซะหมด
...แต่จะทำอย่างไรได้ ก็เขาอยู่คนเดียวนี่ ก็ต้องดูแลตัวเอง...
จองซูล้างหน้าล้างตาแล้วหาแจ็คเกตง่ายๆหนึ่งตัวสวมคลุมเสื้อยืดที่ใส่นอน มือเรียวเล็กเอื้อมไปบิดลูกบิดประตูที่รู้สึกว่ามันจะหนักกว่าทุกวันแล้วตั้งใจจะแทรกตัวผ่านช่องว่างเล็กๆนั่นออกไป แต่จู่ๆเขาก็รู้สึกว่า ช่องว่างนั้นเปิดกว้างขึ้นทั้งที่เขาเองไม่ได้ออกแรงดึงแม้แต่น้อย
... ปลายรองเท้าที่หันตรงมาหาเขาทำให้ปาร์คจองซูต้องเหลือบขึ้นมองว่าคนที่มาช่วยเขาผลักประตูนั้นเป็นใคร เมื่อมองเห็นใบหน้าได้ถนัดตา เขาก็รู้ว่าคนใจดีก็คือคนๆเดียวกับคนใจร้ายนั่นเอง....
เขาอยากจะรีบปิดประตูซะเดี๋ยวนี้ แต่เรี่ยวแรงที่ไม่เอื้ออำนวยทำให้เขาไม่สามารถปิดประตูหนีหน้าคนใจร้ายไปได้
“ มาทำอะไรที่นี่...”
“ น้องที่ร้านบอกว่านายไม่สบาย ”
...น้องที่ร้าน... คิมยองอุนหมายถึงคยูฮยอนน่ะหรือ
“ ใช่ เห็นแล้วใช่ไหมฉันไม่สบายอย่างที่คยูฮยอนบอกก็ถูกต้องแล้ว เอาล่ะ ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ช่วยหลบด้วย ฉันจะออกไปข้างนอก ” จองซูว่าพลางเบียดตัวออกไปทางช่องว่างที่ยองอุนเว้นระยะเอาไว้ แต่ทว่ามือข้างหนึ่งของคิมยองอุนกลับยึดข้อมือของเขาไว้ได้ทัน
“ จะไปไหนเหรอ นายป่วยอยู่นี่ ”
“ อา.. ไม่เป็นไรหรอก ชั้นแค่ป่วยเอง ยังไม่ตายเสียหน่อย ” จองซูพูดยิ้มๆ แต่ในใจเขาก็อดสมเพชตัวเองไม่ได้ที่กลายเป็นคนช่างประชดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
“ จองซู..”
“ ปล่อยสิ ฉันจะออกไปซื้อข้าว กินข้าวแล้วฉันก็จะกินยา หรือนายอยากให้ฉันป่วยตาย ” ดวงตาสีน้ำตาลที่หม่นแสงลงเพราะร่างกายอ่อนแอก้มลงมองที่ข้อมือของตัวเอง แต่คนที่จับยึดมันไว้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยมันแต่อย่างไร
“ นี่! ปล่อยนะ ยองอุน ฉันจะออกไปข้างนอกนายฟังไม่รู้เรื่องเหรอ ” เขาเค้นเสียงโวยวายอู้อี้เมื่ออีกคนไม่ฟังเขาแถมยังลากเขากลับเข้ามาข้างในอีกครั้ง
“ เดี๋ยวฉันไปเอง นายรออยู่ที่นี่แหละ ข้างนอกน่ะอากาศชื้นมากนะ ”
“ ก็บอกว่าไม่ต้องไง ”
“ ให้ฉันทำให้นะ..”
“ ฉันทำเองได้ ” มือบางพยามบิดออกให้พ้นจากการเกาะกุม
“ ฉันรู้ว่าปาร์คจองซูทำเองได้.. แต่ฉันอยากช่วย ให้ฉันทำไม่ได้เหรอ..”
“ ไม่ได้หรอก เพราะฉันไม่ต้องการ ”
“ ปาร์คจองซูน่ะ... เวลาที่โกรธหรือโมโหแล้วล่ะก็ จะต้องทำตัวเก่งกาจแบบนี้ทุกครั้งไป ใช่ไหม...”
คำพูดของคิมยองอุนที่โพล่งขึ้นทำเอาปาร์คจองซูต้องหยุดดิ้นรนไปเสียดื้อๆ เมื่อคนหนึ่งนิ่ง แรงที่ข้อมือนั้นก็คลายออก ปาร์คจองซูเลยได้โอกาสถอดมันออกจากมือหนาช้าๆ แต่กลับไม่ได้วิ่งหนีไปอย่างที่ใจคิดในคราวแรก ร่างบางหันหลังให้คนตัวโตที่ยืนกั้นเขาเอาไว้ เป็นครั้งแรกที่คำพูดของยองอุนทำให้เขาหมดแรง ตอนนี้เขาไม่มีกะใจอยากจะออกไปไหนแล้ว ไม่อยากจะมองหน้าของคนตัวโตนี่ด้วย ...เขาไม่รู้จะปั้นหน้าแบบไหนอีกแล้ว...
“ ก็ฉันต้องดูแลตัวเอง ไม่มีใครมาคอยดูแลตั้งนานแล้ว ฉันชินแล้ว เหลืออยู่คนเดียวฉันก็ต้องอยู่ได้ ”
“ ก็นายไม่ใช่หรือไงที่ทำให้มันเป็นแบบนี้...” จองซูพูดเสียงเบา เหมือนกับว่าคำพูดนี้ยองอุนจะได้ยินหรือไม่ก็ช่าง
... เขารู้แก่ใจว่าเขาไม่ได้เข้มแข็งตลอดเวลา เขามีช่วงเวลาที่อยากพึ่งพิงใครซักคน แต่เมื่อไม่มีใคร เขาก็พึ่งได้แต่ตัวเองไม่ใช่หรือ แล้วมันผิดนักหรือไง ที่เขาจะเป็นคนอ่อนแอที่ต้องทำตัวเก่งกาจแบบนี้...
“ ฉันขอโทษ... ” คิมยองอุนพูดคำนี้อีกแล้ว... จองซูได้แต่ส่ายหน้าช้าๆทั้งที่ยังไม่ยอมกันไปเผชิญหน้ากับคนพูด คิมยองอุนเลยเป็นฝ่ายขยับเขาไปหาแทนก่อนจะสวมกอดแผ่นหลังบางนั้นไว้เบาๆ ...กอดหลวมๆนี่เป็นเพราะความรู้สึกผิดของนายหรือ ยองอุน...
“ ฉันรู้ ฉันผิดเองทุกอย่าง... นายเข้มแข็งมาก ฉันดีใจที่นายดูแลตัวเองได้ดีขนาดนี้ แต่ตอนนี้ ตอนที่นายกำลังไม่สบาย ให้ฉันช่วยได้ไหม ”
...แย่จริง แค่คำพูดใจดีของยองอุน ก็ทำให้จองซูรู้สึกหายใจไม่ออกเสียแล้ว กลืนอะไรไม่ลง แถมยังรู้สึกอุ่นๆที่ขอบตา แต่หวังว่ายองอุนจะไม่รู้หรอก ก็เขาหันหลังให้ยองอุนอยู่นี่ เขาจะพยายามเก็บเสียงสะอื้นเอาไว้ให้ได้มากที่สุดก็แล้วกัน...
“ กลับไปนอนพักก่อนนะ ” อ้อมแขนนั้นคลายออกจากรอบตัวเขาแล้ว มืออุ่นขยี้ผมเขาเบาๆก่อนจะผละออกไป
“ เดี๋ยวนายก็หายไปอีก... นายอาจจะไม่กลับมาก็ได้ ” เขายังไม่กล้าหันกลับไปมอง แต่ก็เอ่ยแบบนั้นเมื่อรู้ว่ายองอุนกำลังจะเปิดประตูออกไป
“ ใครจะไปรู้กับนาย เดี๋ยวนายก็ไป พอฉันทิ้งโลกที่เคยมีนายอยู่ไปแล้ว นายก็กลับมา บ้าบออะไรกันนักหนา ”
คิมยองอุนไม่โต้ตอบเขา มีเพียงเสียงประตูที่ปิดลงดังแว่วมาและเลือนหายไปนานแล้ว ทว่าจองซูก็ยังไม่ยอมขยับไปไหน ร่างบางคู้ตัวลงนั่งกอดตัวเองแล้วซบหน้าลงกับหัวเข่าเหมือนที่ชอบทำบ่อยๆ
...นั่นไง คิดจะไปก็ไป ไม่บอกอะไรกันสักคำ...
แต่ยังไม่ทันที่จะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้น ร่างบางก็ขืนตัวเอาไว้แทบไม่ทันเมื่อมีวงแขนอุ่นๆโอบเข้ามาจากทางด้านหลังโดยที่เขาไม่ได้ทันรู้ตัว ทั้งที่ประตูก็ปิดลงแล้ว ทว่าคิมยองอุนก็ไม่ได้ออกจากห้องไปอย่างที่คิด
“ กลับมาสิ ฉันกลับมาหานายแน่ๆ ฉันสัญญาว่าคราวนี้ ตราบใดที่นายไม่ไล่ฉันไป ฉันก็จะกลับมา ”
“ จะทิ้งไปก็ได้... แต่ว่าตอนนี้ ฉันขอโอกาส อีกครั้งเถอะนะ ”
“ ฉันไม่อยากให้มันเป็นแบบนี้เลย แต่ฉันทำได้ดีที่สุดเท่านี้จริงๆ เข้าใจฉันได้มั้ย ”
“ จะให้ฉันเข้าใจว่าอะไรล่ะ ไม่ว่าตอนไหนนายก็ไม่บอกอะไรสักอย่าง แล้วจะให้ฉันเอาอะไรมาเข้าใจนายได้ ”
“ เข้าใจได้ไหม ว่าที่ผ่านมา ฉันเองก็ไม่ได้มีความสุขเลย ”
...ที่ผ่านมา คิมยองอุนก็ไม่ได้มีความสุขงั้นเหรอ แล้วจะทำแบบนั้นทำไม...
“ แต่ฉันอยากให้นายรู้ ทุกอย่าง ฉันก็ทำเพื่อนายได้ดีที่สุดแค่นี้จริงๆ ฉันเสียใจ ...”
จองซูขืนตัวออกเพื่อหันมามองหน้าเจ้าของคำพูดอ้อนวอนให้ถนัดตา สิ่งที่อยู่ตรงหน้า ก็คือ ใบหน้าคมคาย ที่ประดับเอาไว้ด้วยดวงตาของความรู้สึกผิด แววตาของยองอุนบอกเขาว่า คิมยองอุนเองก็เจ็บปวดไม่แพ้กัน
จองซูถอนใจเบาๆกับหัวใจที่มันกำลังเต้นไม่เป็นส่ำ
... เจ็บแล้วรู้จักจำเสียบ้างสิ บ้าจริง ปาร์คจองซูกำลังจะใจอ่อนอีกแล้วใช่ไหม...
...แต่เอาเถอะ เขาจะยอมแกล้งโง่ทำไม่รู้ไม่เห็น แล้วเชื่อแววตาคู่นั้นของคิมยองอุนดูอีกสักทีก็ได้...
...............................................................................................................
อากาศครึ้มฝนพาลมพัดแรงมาเป็นเพื่อนอีกแล้ว แค่วันนี้ปาร์คจองซูรุ้สึกอึดอัดน้อยลงที่ต้องสูดอากาศพวกนั้นเข้าปอด คนตัวเล็กจึงยอมให้ลมชื้นๆพวกนั้นพัดแทรกผ่านเข้ามาทางบานเฟี้ยมตรงระเบียงที่เปิดแง้มเอาไว้นิดๆ
...วันนี้ปาร์คจองซูพอจะยิ้มออกแล้ว หายใจได้โล่งแล้ว ไม่รู้สึกหนักหัวใจเหมือนเดิมแล้ว ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะปาร์คจองซูใจอ่อนลงแล้วหรือเปล่า...
วันนี้บ้านลังหลังเล็กของเขายังคงเงียบเชียบอยู่เช่นเดิม อาจจะต่างไปตรงที่มีเสียงลมหายใจของใครอีกคนเข้ามาเติมเต็มเหมือนเดิมอีกครั้ง แต่คิมยองอุนวันนี้ไม่ช่างเจรจาเหมือนคิมยองอุนในวันวาน คนตรงข้ามนั่งมองเขาทานมื้อเช้าเงียบๆพลางคอยเติมน้ำและบ้างก็ช่วยเช็ดแก้มให้เขา แต่กลับไม่มีเรื่องราวอะไรมาชวนให้เขาคุยเขายิ้มพร่ำเพรื่อได้เหมือนเคย
ดวงตาสีน้ำตาคาราเมลจ้องมองลึกลงในดวงตาสีดำคู่นั้นอย่างต้องการจะค้นหาว่าเหตุใดมือคู่นั้นจึงดูขัดเขินเกินกว่าจะแตะตัวเขาบ่อยๆอย่างที่เคยชอบทำ ทว่าเจ้าของมันกลับหาเรื่องมาบ่ายเบี่ยงแล้วเลี่ยงไปมองทางอื่นเสีย
“ อิ่มแล้วเหรอ นายจะทานยาเลยไหม เดี๋ยวฉันเอาให้นะ ” เสียงทุ้มบอกเขาก่อนจะเดินไปหยิบยาลดไข้มาใส่มือเขา ปาร์คจองซูทานยาอย่างว่าง่าย ก่อนจะมองตาตรงๆกับคิมยองอุนที่นั่งลงที่เดิมอีกครั้ง
“ ยองอุน..”
“ หืม ”
“ นายน่ะ.. กลับมาอยู่กับฉันจริงๆเหรอ อยากดูแลฉัน จริงๆน่ะเหรอ ” จองซูเอ่ยถามสิ่งที่เขาคิดถามในใจตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอยองอุนอีกครั้ง
“ ทำไมถามแบบนั้น...”
“ เราจะกลับไปเป็นแบบเดิมได้จริงเหรอ ”
“ นายไม่มั่นใจเหรอ ”
“ ใช่ ..ก็ฉันมั่นใจไม่ลงเลยจริงๆ ” เมื่ออีกคนถามตรงๆ จองซูก็ตอบออกไปตรงๆ
“ อา.. จองซู นายจะเชื่อฉันไหม ว่าตราบใดที่ฉันยังอยู่ในฐานะที่จะดูแลนายได้ ฉันก็จะอยู่ตรงนี้.. ” คิมยองอุนกำลังทำให้เขาวางใจ น้ำเสียงและคำพูดของยองอุนบอกเขาแบบนั้น
“ แล้วฉันเชื่อนายได้ใช่ไหม ” แต่ก็เป็นจองซูเสียเองที่ยังกล้ากลัว จนคิมยองอุนต้องยื่นคำขาดให้ในที่สุด
“ นับจากนี้ ฉันจะอยู่หรือไป ปาร์คจองซูคนเดียวที่เป็นคนตัดสิน...”
...คิมยองอุนบอกเขาว่าให้เชื่อ แต่คิมยองอุนไม่ได้ย้ำคำตอบให้คำถามของเขา ไม่ได้สัญญา แล้วคำพูดพวกนั้น เขาจะเชื่อใจมันได้แค่ไหนกันนะ...
“ มันดีกว่าการอยู่คนเดียวหรือเปล่า ” จองซูตอบคำถามนี้ด้วยการพยักหน้าเงียบๆ ...เขาเองก็แค่อยากจะมีความสุขเท่านั้นเอง... เขาก็ให้เหตุผลของการทำตัวเป็นคนใจอ่อนได้เพียงเท่านั้น
“ ถ้างั้นตอนนี้ ฉันจะอยู่กับนาย... จนกว่านายจะไม่ต้องการ ”
“ หึ...” คนป่วยส่งเสียงหัวเราะในลำคอก่อนจะอมยิ้มน้อยๆ ราวกับไม่เชื่อคำที่อีกฝ่ายบอกสักนิด
“ ดีจัง.. ฉันชอบรอยยิ้มของจองซูนะ ” นิ้วอวบๆยื่นมาแตะที่มุมปากของเขาเบาๆ ทำให้เขาหุบยิ้มไม่ลงไปกันใหญ่
“ ไอ้บ้า.. นายมันประสาท ” ตอนนี้เองที่แทบจะเรียกได้ว่า จองซูนั้นยิ้มได้เต็มยิ้ม และยองอุนก็ยิ้มด้วยเช่นกัน
... ดีจริงๆนะ ที่ฉันได้เห็นรอยยิ้มของนายอีกครั้ง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ฉันก็อยากจะให้นายเข้มแข็งแล้วยิ้มเข้าไว้นะจองซู...
เปรี้ยง!
เสียงฟ้าร้องที่อยู่ก็ดังขึ้นส่งสัญญาณบอกการมาเยือนของสายฝนทำเอาทั้งสองคนที่นั่งยิ้มให้กันอยู่ต้องยกมือขึ้นมาปิดหูเอาไว้แทบไม่ทัน เมื่อเสียงนั้นจางหายไปในก้อนเมฆ จองซูที่ค่อยๆลืมตาขึ้นมาจึงพบว่า คิมยองอุนเองก็ยกมือขึ้นมาปิดหูเอาไว้เหมือนกัน
“ นี่นาย... ฮ่าๆๆๆ ” จองซูส่งเสียงหัวเราะอู้อี้พลางชี้ไปยังคนที่นั่งตรงกันข้าม
“ เดี๋ยวนี้นายกลัวเสียงฟ้าร้องแล้วเหรอยองอุน.. ฮ่าๆๆ ”
“ บ้าเหรอ ใครว่าชั้นกลัว เปล่าซะหน่อย ”
“ ฮ่าๆ ป๊อดว่ะนาย..” คนตัวเล็กกว่าส่งเสียงล้อเลียนไปเรื่อย ทว่าอีกคนที่ตัวโตกว่ากลับไม่ได้โต้ตอบอะไรไปมากกว่าการนั่งมองรอยยิ้มและเสียงหัวเราะนั้นด้วยแววตาที่เติมเต็มไปด้วยความสุข
... มันเหมือนฝันเลยจริงๆ ที่ได้ยิ้มและหัวเราะไปพร้อมกับจองซู ในวินาทีนั้น จิตใต้สำนึกที่เห็นแก่ตัวของผมก็กำลังบอกว่า ขอให้เป็นแบบนี้ตลอดไป...
to B con.
....................................................................
สวัสดีค่ะ ตอนที่สามตามมาแล้ว
อาจจะช้ากว่าสองตอนแรกซักหน่อยแต่ก็มาต่แล้วนะคะ ^ ^
ขอบคุณที่ยังติดตามนะคะ แล้วก็ ขอบคุณๆๆสำหรับคอมเมนท์ค่ะ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น