ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Last Drop [KangTeuk]

    ลำดับตอนที่ #1 : last drop chapter1

    • อัปเดตล่าสุด 29 ส.ค. 53



    chapter 1
     
     
    เจ้าของนัยน์ตาสีน้ำตาลคาราเมลหันมองไปทางบานกระจกใสที่หน้าร้าน แสงไฟภายในที่เริ่มจะสว่างกว่าทำให้มองเห็นเพียงเงาสะท้อนในตัวเองจากบานกระจก เมื่อปรับโฟกัสสายตาอีกเล็กน้อยจึงพบว่าที่พื้นถนนที่อยู่ภายนอกร้านนั้นเริ่มจะชื้นไปด้วยหยดน้ำที่ทยอยทิ้งตัวลงมาจากเบื้องบน
    ...ในตอนนี้เพียงแค่เขาได้ยินเสียงคำรามเบาๆจากท้องฟ้า ในอกมันกลับบีบรัดจนแทบหายใจไม่ออก...
    “ พี่จองซู ผมกลับก่อนนะ ”
    “ อื้ม... กลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวพี่จัดการที่เหลือเอง ”
    เสียงประตูบานกระจกสั่นน้อยๆเมื่อมันกระทบกับวงกบสีไม้บีช เป็นสัญญาณบอกให้ปาร์คจองซูรู้ว่า ไม่มีใครอยู่ที่นี่อีกแล้วนอกจากตัวเขา ร่างเล็กถอดผ้ากันเปื้อนออกก่อนจะทรุดตัวลงนั่งคุดคู้อยู่ที่หลังเคาน์เตอร์คิดเงิน มือบางแตะลงที่อกข้างซ้ายและพบว่าอาการเดิมๆกำลังกลับมาถามหาเขาอีกแล้ว ...จองซูกำลังกลัว กลัวบางสิ่งบางอย่างที่พยามจะเค้นน้ำตาของจองซูให้ไหลลงมทุกครั้งที่ฝนตก... ในตอนนี้ก็เช่นกัน ใจของเขากำลังสั่น ปาร์คจองซูได้หายใจเข้าออกลึกๆเพื่อบรรเทาอาการเจ็บป่วยที่ไร้สาเหตุนี้
    ตอนนี้เข็มสั้นของนาฬิกาบนผนังนั้นเดินผ่านเลขเจ็ดไปกว่าครึ่งแล้ว แต่มือบางยังคงหยิบหนังสืออกมาจากกล่องลังเล่มแล้วเล่มเล่าเพื่อหาที่อยู่บนชั้นให้มัน หนังสือที่นอนนิ่งอยู่ในกล่องกระดาษพวกนี้ไม่ได้แยกหมวดหมู่เอาไว้เนื่องจากมันเป็นหนังสือที่ผ่านการใช้งานมาแล้ว เมื่อเจ้าของเดิมยินดีที่จะให้มันมีโอกาสได้ไปอยู่ในมือของเจ้าของคนใหม่ มันก็จะถูกนำมาไว้ที่นี่ มีทั้งหนังสือสำหรับอ่านเล่น วรรณกรรมอมตะ นิยายรักหวานซึ้ง หรือแม้กระทั่งตำราปรัชญาเล่มหนา หน้าที่ของเขาคือการจัดให้มันอยู่ในที่ที่เหมาะสม เพื่อรอเวลา.. ให้ใครที่ถูกชะตามาพามันกลับบ้านไป...
    ดวงตากลมมองออกไปนอกร้านเป็นระยะเพื่อรอเวลาให้ฝนหยุดตก ร่างบางถอนใจออกมาน้อยๆด้วยว่าเขารู้สึกอึดอัดเหลือเกินทั้งที่อากาศภายในร้านก็ยังคงถ่ายเทเป็นปรกติอยู่
    “ พี่จองซู... ยังไม่กลับอีกหรือครับ ” เสียงหนึ่งเอ่ยถามขึ้นโดยมีเสียงฝนจากภายนอกนั้นดังทแรกเข้ามาเป็นส่วนประกอบ เจ้าของชื่อหันมองไปทางต้นเสียงจึงพบว่าเป็นรุ่นน้องตัวสูงที่กำลังวางร่มลงในกระถางโลหะทรงสูงตรงทางเข้า
    “ อะ อ่อ.. ยังน่ะ แล้วนาย มีอะไรหรือคยูฮยอน ถึงได้ย้อนกลับมา ”
    “ พอดีว่าดงเฮลืมของเอาไว้น่ะครับ เลยให้ผมช่วยย้อนกลับมาเอา ” คนถูกถามตอบยิ้มๆ
    “ แล้วทำไมพี่จองซูยังไม่กลับล่ะครับ เลยเวลาปิดร้านมานานแล้วนี่ ”
    “ คือ พอดีว่าฝนมันตกเสียก่อน แล้วพี่ก็ไม่ได้เอาร่มมาน่ะ ”
    “ งั้นพี่จะติดร่มผมออกไปด้วยกันไหมครับ ” รุ่นน้องตัวสูงหยิบยื่นน้ำใจให้ด้วยความยินดีเมื่อจองซูเป็นรุ่นพี่ที่สนิทสนมและให้ความช่วยเหลือกันมาตั้งแต่เขาเริ่มมาทำพาร์ทไทม์ที่นี่
    “ อ่า.. อย่าดีกว่า ไม่เป็นไรหรอก นายกลับไปก่อนเถอะ ให้พี่ติดร่มนายไป กว่าจะถึงสถานีนายต้องเปียกทั้งคู่แน่ๆ ” หากแต่อีกคนกลับไม่ขอรับน้ำใจนั้นไว้ ไม่ใช่ว่ารังเกียจความหวังดีของรุ่นน้อง แต่ฝนที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะซาลงต่างหากที่ทำให้จองซูยังไม่อยากที่จะออกจากร้านในตอนนี้   
    “ งั้น เดี๋ยวผมเข้าไปเอาของก่อนนะครับ ” คยูฮยอนบอกก่อนจะแหวกม่านผ้าใบหนาสีฟ้าตุ่นเพื่อเข้าไปส่วนที่พักข้างหลังร้าน ตอนที่เดินผ่านเด็กหนุ่มรูปร่างสูงยาวเหลือบตามองท่าทางของรุ่นพี่เพียงเล็กน้อย มือบางที่ถือหนังสือเอาไว้นั่นถ้ามองไม่ผิดเขาเห็นว่ามันกำลังสั่นน้อยๆ  
    “ แล้วเก็บไวที่ไหนกันล่ะเนี่ย ” คยูฮยอนบ่นนิดๆเมื่อของที่คนชอบสั่งใช้ให้เขากลับมาเอาให้นั้นไม่ยอมโผล่หน้าออกมาให้เขาเห็นแม้แต่น้อย เขาเลยต้องเปิดๆปิดๆมันอยู่หลายรอบเมื่อหาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ 
    “ อยู่นี่นี่เอง ... ก็ตู้รกแบบนี้น่ะสิมันถึงลืมนั่นลืมนี่อยู่นั่นแหละ ” คยูฮยอนส่งท้ายก่อนจะปิดประตูตู้ลง แต่ก่อนที่จะเดินออกไป คนรอบคอบอย่างเขาก็ไม่ลืมที่จะหันกลับมาเช็คอีกครั้งว่าปิดตู้ให้ดงเฮเรียบร้อยแล้ว แต่สิ่งที่เห็นกลับกลายเป็นว่า ประตูตู้ข้างๆซึ่งเป็นของพี่จองซูนั้นกลับเปิดอ้าออก อาจเป็นเพราะแรงกระแทกเมื่อครู่ที่เขาคงหนักมือไปทำให้ประตูตู้ของพี่จองซูเปิดออก เด็กหนุ่มไม่แปลกใจนักเมื่อสองสามวันก่อนเขาเพิ่งได้ยินรุ่นพี่เปรยๆอยู่ว่าคงต้องหาตัวล็อกมาเปลี่ยน คยูฮยอนจึงตัดสินใจเดินกลับไปปิดให้เรียบร้อย ทำให้สายตาของเขาต้องมองเข้าไปในตู้เก็บของส่วนตัวของรุ่นพี่อย่างช่วยไม่ได้
    ...เมื่อครู่ถ้าจำไม่ผิด พี่จองซูบอกเขาว่าไม่มีร่มไม่ใช่เหรอ...
    เด็กหนุ่มตัวสูงครุ่นคิดทันทีเมื่อเขาพบว่ามีร่มพับสีขาวคันหนึ่งวางอยู่ในตู้ของจองซู หรือพี่จองซูจะลืมไปว่ามีร่มอยู่... มือยาวเอื้อมออกไปหมายจะหยิบร่มคันนั้นออกไปให้ปาร์คจองซู แต่บางอย่างกลับบอกให้เขางชะงักมือไว้เพียงเท่านั้นก่อนจะทำเพียงแค่ปิดประตูตู้ลงตามเดิม
     
    “ เป็นไง หาเจอไหม ” รุ่นพี่เอ่ยถามเมื่อเด็กหนุ่มเดินกลับออกมาอีกครั้ง
    “ ครับ ..แต่กว่าจะเจอก็แทบแย่ ตู้หมอนั่นรกอย่างกับอะไร ” คยูฮยอนแกล้งว่า ทำให้จองซูคลี่ยิ้มออกมาได้น้อยๆ 
    “หาเจอแล้วก็รีบกลับเถอะ เดี๋ยวคนรอเอาของจะโวยวายอีก ” จองซูเอ่ยยิ้มๆเป็นนัย เพื่อไม่ให้รุ่นน้องเกรงใจที่จะต้องทิ้งเขาไว้ที่นี่คนเดียว
    “ อา.. ครับ งั้น ผมไปนะพี่ ” คยูฮยอนรีรอเล็กน้อย 
    “ ไม่เป็นไร ไปเถอะ อีกเดี๋ยวฝนก็คงหยุดแล้วล่ะ ” คำของพี่ชายทำให้เขาเลือกที่จะกลับออกไปคนเดียว ถึงแม้ท่าทางกระวนกระวายของรุ่นพี่จะทำให้รู้สึกแปลกใจ แต่คยูฮยอนก็โตพอที่จะรู้ว่าเขาควรเว้นระยะห่างและไม่เข้าไปก้าวก่ายในเรื่องส่วนตัว และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกเสียด้วยที่รุ่นพี่มีอาการแบบนี้
    เสียงฝนแทรกตัวเข้ามาในร้านอีกครั้ง เมื่อเด็กหนุ่มเปิดประตูออกไป ปาร์คจองซูไม่ค่อยยินดีนักที่ได้ยินมัน แต่เขาก็พยายามส่งยิ้มบางๆให้คยูฮยอนที่หันกลับมามองอีกครั้งก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับร่มสีน้ำเงินเข้มในมือ ในร้านจึงเหลือเพียงเขากับหนังสือหลายร้อยเล่มที่โต้ตอบอะไรกับเขาไม่ได้ ยิ้มให้เข้าไม่ได้ ปลอบเขาไม่ได้ กอดเขาไม่ได้
    ความเงียบที่เกิดขึ้นยิ่งตอกย้ำให้จองซูยิ่งแน่ใจ ที่จริงแล้วเขาไม่อยากอยู่คนเดียว... แต่เขาก็ไม่กล้าออกไปตอนนี้ จองซูไม่อยากเผชิญหน้ากับความกลัวที่เขาหาตัวการไม่พบ...
    จองซูรู้เพียงว่าเขาไม่ชอบองค์ประกอบพวกนั้น อะไรก็ตามที่ทำให้เขานึกถึง ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นในอากาศ หรือแม้กระทั่งเสียงของล้อรถยนตร์ที่เคลื่อนที่ผ่านแอ่งน้ำที่เจิ่งนองบนพื้นถนน มันคือหยาดฝนหรือหยดน้ำตาจากฟ้ากันแน่ที่ตกลงมาจนใจของเขาเปียกปอนไปหมด...
                   
                    ที่จริงแล้วเขา... ควรตัดใจได้แล้วใช่ไหม ทั้งๆที่มันก็เนิ่นนานมาแล้ว...
                    ดวงตาหม่นแสงมองหนังสือเล่มหนึ่งในมือ... หนังสือเล่มเล็กๆที่ได้พบมันเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว หนังสือที่จองซูก็ไม่เคยได้เปิดอ่าน แต่ถึงกระนั้น มันก็เป็นหนังสือเล่มเดียวที่จองซูไม่เคยเอามันขึ้นไปเรียงรายไว้บนชั้นเหมือนเล่มอื่นๆ ทั้งๆที่ไม่อยากยอมรับแต่เขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเพราะมันคือความหวังเล็กๆที่เขาไม่อยากจะปล่อยมือไป และด้วยความรู้สึกที่ยังรอ..  และในทุกๆครั้งเขาก็อดคิดไม่ได้เช่นกัน  ว่าเพราะแบบนี้หรือเปล่า เขาถึงไม่สามารถปลดตัวเองออกจากพัธนาการที่ไร้รูปร่างเหล่านี้ได้เสียที
    ...บางทีเขาเองก็ไม่แน่ใจว่า มือนี้ของเขากำลังยื้ออะไรอยู่กันแน่ อีกฟากฝั่งนั้น มันมีเพียงความว่างเปล่า ไม่มีใคร   ไม่มีอะไร แต่เขาเองที่ไม่ยอมปล่อยมันไปยึดยื้อเอาไว้แม้เพียงอากาศธาตุ  เพราะใจของเขาอ่อนแอเกินกว่าจะบอกตัวเองว่าตอนนี้ไม่มีอีกแล้วจะเหลือก็เพียงตัวเองเท่านั้น....
                    “ ถึงเวลาที่ฉันต้องปล่อยไปแล้วหรือเปล่า ” จองซูเปรยเสียงเรียบกับตัวเองก่อนจะไล่สายตาไปบนชั้นวางเพื่อหาที่ว่างเหมาะๆ เพื่อวางความหวังครั้งสุดท้ายที่ใกล้จะมอดแสงเต็มทีของเขาลงไป  ครั้งนี้เขาจะตัดใจเป่ามันให้สิ้นแสงด้วยตัวเอง เขาจะปล่อยมือ แล้วปล่อยให้ใครสักคนที่จะมาพามันไป
    ....การตัดสินและตัดใจในครั้งนี้มันไม่เกี่ยวกับว่าเวลาเพียงแค่หนึ่งปีจะทำให้เขาไม่มั่นใจในสิ่งที่เคยเชื่อ แต่เพราะว่าเขาไม่อาจรู้เลยต่างหาก ว่าเขาจะมีโอกาสได้เปิดมันอ่านมันอีกวันไหน จะอีกสอง สาม.. สี่ปีข้างหน้า หรือว่าตลอดชีวิตนี้เขาก็ไม่กล้าพอที่จะเปิดมัน...
                    “ ลาก่อน..” เสียงนั้นแทบจางหายไปในลำคอ พอกเกตบุคสภาพกลางเก่ากลางใหม่เล่มหนึ่งถูกจัดวางลงตรงที่ที่เหมาะสม ดวงตากลมจ้องมองไปยังตำแหน่งที่เขาเพิ่งละมือออกมา ริมฝีปากบางเม้มแน่นก่อนจะส่งยิ้มเจือจางให้กับตัวเอง
                    ... อย่างน้อย ครั้งนี้เขาก็มีโอกาสได้พูดคำว่าลาก่อน...
     
                    ปาร์คจองซูจ้องมองร่มพับสีขาวที่วางนิ่งอยู่ในตู้ลอกเกอร์ของเขา ก่อนจะถอนใจเบาๆ ฝนเพิ่งหยุดสนิทไปเมื่อครู่... ฟ้าคงไม่เค้นฝนให้ตกลงมาอีกแล้วกระมัง... เจ้าของร่มจึงตัดสินใจปล่อยให้มันวางอยู่แบบนั้น ก่อนจะปิดตู้ลง หากเป็นไปได้ เขาคิดว่าคงจะไม่ต้องใช้มันอีก เพราะนั่นก็เป็นอีกสิ่งที่เขากลัว เพียงแค่มองเห็นและทั้งๆที่ยังไม่ได้กางมันออก บางอย่างกลับยังสามารถทำให้เขารู้สึกปวดหน่วงที่หน้าอกข้างซ้าย 
      ผมซื้อร่มให้แล้วนะ ถ้ารู้ว่าคราวหน้าวิ่งตากฝนอีกล่ะก็ ไม่สบายผมก็จะทิ้งให้นอนซมอยู่ที่ห้องคนเดียวเลยคอยดู
    เสียงทุ้มที่เอ่ยยังคงแจ่มชัดราวกับเขาเพิ่งได้ฟังมาเมื่อวาน มือบางทั้งสองข้างยกขึ้นปิดหูก่อนจะเดินออกจากตรงนั้นไปอย่างรวดเร็ว
     
    ............................................................................
     
    คืนที่ฝนตกหนักทำให้แดดอุ่นจางในยามเช้ามีเพื่อนใหม่เป็นหยาดน้ำที่เกราะพราวอยู่บนยอดหญ้า ส่วนที่เกาะอยู่บนใบไม้สีเขียวสดก็พากันรวมตัวจนใบเล็กจิ๋วนั้นต้องโอนตัวเพื่อปล่อยให้หยาดหยดใสๆเหล่านั้นม้วนกลิ้งตกลงสู่พื้นดินเบื้องล่าง.. สิ่งเล็กๆเหล่านี้เป็นสิ่งที่ปาร์คจองซูเคยชอบที่สุดหลังฝนตก แต่เช้าวันนี้.. กระทั่งพุ่มไฮเดรนเยียสีม่วงเย็นตาที่ออกช่อสวยสะพรั่งอยู่ตรงทางเดินหินในสวนสาธารณะที่เดินผ่าน กลับยังไม่สามารถเรียกร้องความสนใจให้ปาร์คจองซูสบตาทักทายกับมันได้แม้แต่น้อย
    อากาศแห้งสบายตัวในร้านกับเสียงสงบๆทำให้จองซูรู้สึกคลายจากอาการเวียนหัวได้มาก เขาผ่อนลมหายใจช้าๆหลังจากที่บานประตูกระจกนั้นแนบสนิทลงกับวงกบไม้สีอ่อน
    เชิ้ตสีฟ้าอ่อนที่พับแขนขึ้นมาถึงช่วงศอกกับกางเกงยีนส์สีซีดเอื้อต่อการทำงานอยู่แล้วทำให้จองซูไม่ต้องเสียเวลาเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย เพียงแค่สวมผ้ากันเปื้อนเท่านั้นเขาก็พร้อมปฏิบัติหน้าที่ดูแลความเรียบร้อยในช่วงเช้าที่ยังไม่มีลูกค้ามากนัก
    “ พี่จองซู สบายดีมั้ยครับ ” เสียงเด็กๆที่เอ่ยทักทายทำให้เขารู้ทันทีว่าวันนี้อีทงเฮไม่มีเรียนเช้า เจ้าของเสียงโผล่หน้าก่อนจะพาตัวตามออกมาจากหลังม่านที่กั้นส่วนระหว่างภายในร้านกับด้านหลัง
    “ พี่จองซู.. ไหวนะครับพี่ ตาโรยเชียว ” อีกเสียงที่ต่ำกว่าทั้งในแง่ระดับเสียง และความร่าเริงทักทายเขาเช่นกัน เมื่อครู่เขาเห็นคยูฮยอนเงยหน้ามองนาฬิกาบนผนัง เด็กไอคิวดีแต่ชอบวิถีเรียบง่ายคนนี้คงเดาได้จากความอิดโรยบนใบหน้าและเวลาเข้างานของเขาที่วันนี้มาสายกว่าตัวเอง
    “ อื้ม เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับน่ะ ว่าไงเรา.. วันนี้จะลากคยูฮยอนให้ไปเลี้ยงมื้อกลางวันที่ไหนล่ะ ถึงได้มาช่วยงานแต่เช้าทั้งที่เป็นวันหยุดงานแบบนี้.. ” เขาตอบตามความจริงที่ไม่พ่วงสาเหตุเข้าไปด้วย ส่วนประโยคถัดมาเขาหันไปหยอกอีทงเฮเพื่อเรียกรอยยิ้มใสๆเป็นแรงบันดาลใจให้เขายิ้มแบบนั้นได้เช่นกัน
    “ อ๊า! พี่พูดออกมาทำไมกัน.. แบบนี้เหยื่อก็ไหวตัวทันน่ะสิ ” น้องชายไซส์กระทัดรัดมุ่ยหน้า หากแต่จองซูก็รู้ดีว่านั่นก็แค่แกล้งพูดติดตลกเพื่อให้เขายิ้ม แน่นอนว่าเขายิ้มออกไปเพื่อไม่ให้มันกลายเป็นความหวังดีที่รอเก้อ
    “ หึ! คนอย่างอีทงเฮนี่ไม่เคยทำอะไรให้ใครฟรีจริงๆด้วยสินะ.. ที่แท้ก็หวังผล ” 
    ในคำพูดนั้นรับประกันได้ว่าในสายตาของเขาตอนนี้รุ่นน้องตัวสูงโย่งของเขากำลังยิ้ม เขาเบาใจนิดหน่อยที่คยูฮยอนหันไปให้ความสนใจกับการโต้ตอบกับอีทงเฮมากกว่า
    “ อะไรเล่า คนอุตส่าห์มาช่วย แค่เลี้ยงกลางวันมื้อเดียวจะเป็นอะไรไป ชั้นรู้หรอกน่าว่านายน่ะบ้านรวยแต่แกล้งทำตัวไม่มีเงิน..”
    “ ต่อให้บ้านชั้นรวยจริงแล้วมันใช่เรื่องเหรอที่จะต้องทำตัวสุรุ่ยสุร่ายน่ะ.. พูดไม่คิด... ”
    “ แล้วนายจะมาทำเรื่องเยอะใส่ชั้นทำไมเนี่ย ”
    “ ก็จะพูดให้คิด ”
    “ แล้วตกลงจะเลี้ยงหรือไม่เลี้ยง!
    “ ยังไงก็จะกินฟรีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอไงล่ะ ”
    “ ใช่!
    “ นั่นไง ยังไงก็หวังกินฟรี.. ถ้างั้นก็อย่าโวยวายเวลาที่ชั้นด่านายเข้าใจไหม ”
    “ ชิ.. ไอ้..”
    “ เสียเวลาน่า อย่ามัวแต่เถียงไม่ออกสิ... ไม่งั้นก็ทำงานเข้า ” เจ้าของขายาวๆก้าวฉับๆไปยกกล่องลังจากหลังร้านโดยไม่สนใจว่าคนตัวเล็กกว่าจะคิดหาถ้อยคำมาโต้ตอบได้หรือไม่ 
    เห็นท่าทางอึกอักของอีทงเฮแล้วเขาเองก็อดขำไม่ได้เหมือนกัน ไม่รู้ว่าสองคนนี้จะคุยกันแบบนี้ตลอดเวลาหรือเปล่า ถ้าใช่ละก็คงน่าเป็นห่วง เพราะจองซูไม่รู้จะมองหาประเด็นสาระใดๆได้จากส่วนไหนของบทสนทนา จะเห็นก็แค่เพียงความเป็นตัวตนล้วนๆของคยูฮยอนที่ไม่ได้เติมแต่งมารยาทใดๆลงไป กับความสดใสที่เจืออยู่ในแววตาสีดำขลับนั่นยามที่ได้แกล้งปั่นหัวคนตัวเล็กเสียงใส
     
    “ เอ้อ พี่ครับ.. เล่มนั้นน่ะ จะขายแล้วเหรอครับ ผมเห็นมันวางอยู่บนชั้น ” คยูฮยอนเงยหน้าขึ้นมาจากกล่องลังใบใหญ่แล้วเอ่ยถามรุ่นพี่ที่ดูแลความเรียบร้อยอยู่ที่เคาน์เตอร์
    “ .... ” จองซูเพียงมองตอบกลับไปด้วยความเงียบ ทำให้คนถามเข้าใจว่าคำถามคงไม่กระจ่างนัก
    “ เล่มที่เห็นพี่พกติดตัวบ่อยๆไงครับ ผมเห็นมันวางอยู่ตรงชั้นพอกเกตบุค ”
    “ อา..ใช่ พี่ไม่ได้อ่านน่ะ เลยไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม ”
    “ เห็นพี่พกติดตัวทุกวัน ผมคิดว่าสนุกจนพี่ต้องอ่านซ้ำไปซ้ำมาซะอีก ” คยูฮยอนว่าพลางใช้มือข้างหนึ่งเกาะยึดกับราวบันได ส่วนอีกมือก็เอื้อมรับหนังสือจากอีทงเฮไปวางไว้ในที่ว่างบนชั้นหนังสือชั้นบนสุด
    ... สนุกงั้นหรือ เขาไม่รู้หรอก เขาไม่มีโอกาสได้เปิดอ่านเสียด้วยซ้ำ...
     
    “ แล้วทำไมถึงขายมันซะล่ะครับ ” ทงเฮถามต่อไปตามความอยากรู้ แต่จองซูก็เชื่อว่าคนถามจะไม่มีวันเข้าใจคำตอบของเขาแม้ว่าเขาจะอธิบายจนหมดเปลือก
    “ อา.. ทงเฮถามยากเกินไปแล้ว.. ไม่รู้สิ บางทีพี่ก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ของพี่ยังไงก็ไม่รู้สินะ ”
    “ พี่จองซู พี่ตอบยากกว่าคำถามผมซะอีก ” เป็นไปตามคาดเมื่อทงเฮเบ้หน้าเพราะคำตอบของเขา จนคนที่ยืนเกาะอยู่บนบันไดเอามือมาเคาะหัวกลมๆนั่นแหละ เด็กชายในสายตาจองซูถึงได้เปลี่ยนไปเบ้หน้าเพราะความเจ็บเสียแทน
    “ อู้อีกแล้ว สอนไม่จำเลยนะอีทงเฮ.. เวลาปากขยับแล้วอย่าหยุดมือสิ ”
    “ ไอ้บ้านี่.. เลิกว่าชั้นได้แล้ว คนอย่างชั้นก็มีศักดิ์ศรีนะเว่ย ”
    “ สรุปว่าไม่กิน?..”
    จองซูไม่ได้สนใจบทสนทนาหลังจากนั้นอีกเพราะคาดว่ามันคงเดินไปไม่ไกลกว่าเรื่องของการที่ทงเฮนั้นสามารถซื้อได้ด้วยอาหารกลางวัน สิ่งสุดท้ายที่เห็นคือคนทงเฮถลึงตาใส่คยูฮยอนด้วยอาการแก้เก้อที่ตัวเองไม่เคยถือไพ่ได้เหนือกว่าคยูฮยอนเลยซักครั้ง พร้อมกับกดมือถือยิกๆ เรียกคนปลายสายที่จองซูจับความๆได้ว่าชื่อฮยอกแจให้มาร่วมวงกินฟรีด้วยกัน
     
    ร้านหนังสือเล็กๆที่ว่าเงียบแล้วยิ่งเงียบลงอีกเมื่อทงเฮ คยูฮยอนพร้อมกับเพื่อนอีกคนที่จองซูเดาเอาว่าน่าจะชื่อฮยอกแจยกโขยงพากันออกไปหามือ้กลางวันอร่อยๆใส่ท้อง ส่วนเขาเลือกที่จะทานอะไรง่ายที่มุมใต้บันไดหลังร้านที่ถูกดัดแปลงให้เป็นที่นั่งเล่นมุมอุ่น งานที่ไม่ต้องใช้แรงมากมายอะไรทำให้เพียงแค่แซนด์วิชชิ้นเดียวก็เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
    ขนมปังกระกบแฮมและผักสดวางโดดเดี่ยวอยู่ในจานรองถ้วยชาสีขาว ปาร์คจองซูทำได้แต่เพียงมองมันที่วางนิ่งอยู่แบบนั้น 
    เมื่อเช้านี้... เขาเตรียมแซนวิชใส่ถุงกระดาษสีน้ำตาลมาเพียงหนึ่งชิ้น 
    แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคิดถึงแซนวิชสามชิ้นที่เขาเคยเตรียมทุกเช้า 
    หนึ่งชิ้นเป็นขนาดปกติ ส่วนอีกสองชิ้นนั้นใส่ไส้และเครื่องต่างๆในปริมาณที่ทำได้สี่ชิ้น มันทั้งหนาแล้วก็หนัก
    ก็ใครคนนั้นมักจะบ่นเสมอว่าขนมปังบางๆสองสามชิ้นมันไม่ค่อยจะทำให้เต็มอิ่มได้เท่าไร 
    ...เพราะกินยังไงก็ไม่หายคิดถึงกันเสียที...
    ใครบางคนเคยบอกเขาไว้แบบนั้น
     
    บางทีความคิดหวนที่สวนกระแสวันเวลาก็ทำให้เขาอยากจะยิ้มทั้งน้ำตา แต่ในเมื่อน้ำตานั้นไม่ได้ช่วยเรียกหาสิ่งใดกลับมาคืนเขาได้ ปาร์คจองซูจึงทำได้แต่เพียงรั้งใจเอาไว้ไม่ให้ความรู้สึกคิดถึงพวกนั้นมันพัดพาไป เขาถอนหายใจทิ้งไปนิดหน่อยก่อนจะจัดการหยิบมื้อเที่ยงขนาดย่อมใส่ปากเพื่อให้ตัวเองยังมีแรงพอ

    .........................................................................
                    อากาศร้อนอบอ้าวก่อนฝนตกบวกกับเสียงบ่นกระปอดกระแปดของทงเฮที่เดินทางกลับจากการทานกลางวันทำให้จองซูต้องมาหยุดยืนอยู่หน้าเครื่องขายน้ำอัตโนมัติในขณะนี้ ก่อนจะกวาดสายตาไปตามแถวเครื่องดื่มที่เรียงรายเป็นตัวอย่างอยู่ด้านใน
                    “ แอปเปิ้ลไซเดอร์กับเลมอนเนด ” เขาหาขอสรุปให้ตัวเองพลางควานหากระเป๋าเหรียญที่ชอบมุดหลบอยู่ก้นกระเป๋าสะพายติดตัว แต่วันนี้ กระเป๋าใบเล็กไม่ส่งเสียงเรียกตอบเขาเลย ไม่ว่าเขาจะกวาดมือไปทางซ้ายหรือขวา เขาก็ไม่ได้ยินเสียงของกระพรวนเล็กๆเหมือนที่เคย...
                    ... ตอนนี้ห่วงที่เคยคล้องกระพรวนสีฟ้าสดใสเอาไว้กลับเหลือแต่เพียงห่วงโลหะที่ว่าเปล่า...
                    ปาร์คจองซูหยอดเหรียญแล้วเลือกเครื่องดื่มตามที่ตั้งใจไว้ในตอนแรกเพื่อเปิดทางให้คนอื่นได้ใช้บริการตู้เครื่องดื่มนั่นบ้าง ตอนนี้เขากำลังมุ่งหน้ากลับไปยังร้านหนังสือเล็กๆที่ปล่อยให้โจคยูฮยอนกับเพื่อนๆดูแลอยู่ ...แต่หัวใจของปาร์คจองซูล่ะ กำลังมันกำลังเดินทางกลับไปที่ใดกัน...
                ซื้อกระพรวนนี่กันไหม จองซู
                หือ.. ซื้อไปทำไม..
                เอาไว้ติดที่กระเป๋าเศษสตางค์ของนายไง.. จะได้หาง่าย ไม่ต้องควานจนแทบจะเทกระเป๋าออกมาอีก
                    แล้วนายจะซื้อด้วยเหรอ จะเอาไปทำอะไร
                    เราจะได้ใช้เหมือนกันไง
                    บ้าเหรอ ไม่เอาหรอก เราไม่ใช่สาวๆซะหน่อย ตลกตายเลย
                    อันเล็กๆเองน่า ไม่น่าเกลียดหรอก
    ไม่เอา.. กลับบ้านกันเถอะ
                    เขาจำได้ว่าวันนั้นเราไม่ได้ซื้อกระพรวนกลับมาสักอัน แต่วันรุ่งขึ้น มันกลับมาห้อยอยู่ที่กระเป๋าเศษสตางค์ของเขา ส่วนอีกอันก็คล้องติดอยู่ที่โทรศัพท์มือถือของคนที่แอบไปมันซื้อมา
                    ...มันกลายมาเป็นสมบัติของเขาแบบไม่ให้สุ้มให้เสียง แต่มันก็จากเขาไปแบบไม่ทันได้ให้เขาตั้งตัวเช่นกัน...
     
    และมันก็เป็นแบบนี้อีก กี่ครั้งกี่หนแล้ว.. เขาไม่ชอบเลย
    ทั้งที่ปาร์คจองซูเป็นคนรักษาของ และทนุถนอมกับทุกสิ่งรอบตัวอันเป็นที่รัก แต่สิ่งเหล่านั้นทำไมไม่รักปาร์คจองซูบ้าง
    ทำไมถึงต้องหายไปจากชีวิตของเขา
    ทำไมถึงจากไปโดยที่ไม่บอกอะไรเขาเลย
    เขาไม่ชอบจริงๆ.. และก็รู้สึกแย่เหลือเกิน เมื่อไรก็ตามที่บางสิ่งบางอย่างจะอัตรธานหายไปจากชีวิตของเขา  เขาจึงพยามเป็นคนที่ใส่ใจและรักษาของของตัวเองอย่างที่สุดโดยเฉพาะของที่รัก แม้ว่านั่นอาจเป็นเพียงกระดาษแผ่นเล็กๆ หรือว่าดินสอแท่งโปรดที่เหลาจนสั้นกุด ไม่ใช่ว่าเขาไม่ยอมเข้าใจกฏของการมีอยู่และสูญสลายไป เพียงแต่เขาไม่พึงใจกับการลาจากแบบนี้เอามากๆ ...อยู่ๆก็ไป หายไปจากชีวิตของเขาไม่ทิ้งไว้แม้แต่โอกาสให้เขาได้บอกลาหรือบันทึกภาพครั้งสุดท้ายไว้ให้ติดในหัวใจ...
    แต่ยิ่งเกลียดกลับยิ่งต้องเจอเสมอไปงั้นหรือ น่าแปลกเหลือเกินที่ทุกอย่างที่ปาร์คจองซูรักมักจะหายไปจากไปโดยที่ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆเอาไว้ให้แม้แต่ความทรงจำครั้งสุดท้ายก็ไม่มี 
    ...คิมยองอุนก็ไม่ต่างกัน...
    คนทั้งคนหายไปจากชีวิตของเขา ใครคนที่จองซูเคยคิดว่าใจดีกับเขาที่สุดในจักรวาลไม่เหลืออะไรไว้ให้แม้กระทั่งคำลา ทิ้งไว้ก็เพียงพื้นที่ข้างกายเขาที่ว่างโหว่เป็นพื้นที่ขนาดใหญ่เพราะใครคนนั้นสำคัญกับปาร์คจองซูพอๆกับลมหายใจ ...ทิ้งไว้ก็เพียงอีกครึ่งใจที่แหว่งวิ่นของปาร์คจองซู...
    เขาไม่รู้แม้กระทั่งว่าควรจะรู้สึกอย่างไร
    ทั้งที่คืนก่อนหน้านั้นเรายังกินข้าวด้วยกัน ทั้งที่คืนก่อนหน้านั้นเรายังนอนก่ายกัน ฟังเพลงด้วยกัน เราอาบน้ำพร้อมกัน ถูหลังให้กัน เช็ดผมให้กัน เราเข้านอนและหลับไปพร้อมกัน... แต่พอตื่นขึ้นอีกวัน อยู่ดีๆปาร์คจองซูกลับเหลือเพียงเพื่อนร่วมโต๊ะกินข้าวเป็นอากาศเปล่าๆ ได้ฟังเพียงแค่เสียงสัญญาณโทรศัพท์ที่ไร้การตอบรับ จองซูอาบน้ำคนเดียว และหลับไปพร้อมกับความชื้นบนหมอนที่ไม่รู้ว่ามาจากเส้นผมเปียกๆหรือว่าดวงตาชื้นน้ำกันแน่
    ...เขาไม่รู้อะไรเลยจริงๆ... 
    ปาร์คจองซูไม่รู้ ไม่เข้าใจ เพราะไม่มีลางอะไรบอกเขาสักอย่าง และจากความว่างเปล่าพวกนั้น ยิ่งนานวันมันกลับกลายเป็นความรู้สึกไร้แรงและหมดอาลัย
    ถ้าเพียงแต่วันนั้นเราจะได้ร่ำลากันสักคำ ถ้าเพียงแต่วันนั้นเขาได้รับรู้อะไรมากกว่านี้ บางทีเขาอาจจะตอบตัวเองได้ว่าควรจะดำเนินชีวิตต่อไปด้วยความรู้สึกแบบไหนกันแน่



    TBC.


    .................................................

    เนตเป็นอะไรก็ม่ายยยยรู้
    กว่าจะลงได้ แทบแย่ แต่ในที่สุด ก็ได้กลับมาลงฟิคที่เด็กดีนี่อีกครั้ง กี่ปีแล้วเนี่ยที่หายหัวไป ฮ่าๆๆ ^ ^
    moominz เจ้าเก่ารายงานตัวค่ะ

    ยังไงก็ฝากไว้อีกเรื่องนะคะ
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×