คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 5 : บทสนทนากลางแสงจันทร์
05
“เจ้าเป็นใคร เข้ามาในห้องข้าได้อย่างไร” เสียงเข้มแต่พูดอย่างแผ่วเบาราวกับว่าต้องการให้เพียงคนที่อยู่ใต้ร่างของเขาได้ยินเท่านั้น กียุลยังคงจ้องตาคนที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างไม่ละสายตา
.....ผู้หญิง ดูท่าอายุยังน้อย
ผู้ที่ถูกกดอยู่อยู่กับที่นอนได้แต่เบิกตากว้าง เหงื่อเม็ดใสเริ่มผุดที่หน้าผาก เสียงร้องทั้งหมดหายเข้าไปในลำคออย่างประหลาด ปากเรียวได้แต่สั่นพะงาบๆอยู่อย่างนั้น
“จะให้ข้าเรียกทหารมาใช่ไหม ตอบข้ามาเดี๋ยวนี้!”
“มะ มะ ไม่เจ้าค่ะ วะ ไว้ชีวิตข้าด้วยเถอะเจ้าค่ะ”
“แล้วจะให้ข้าทำอย่างไรกับเจ้า บุกรุกเข้ามาในที่ของข้าได้อย่างไร”
“ขะ ข้า ไม่ได้มีเจตนาร้ายอันใดกับท่าน ปะ ปล่อยข้าเถอะ ข้าจะเล่าทุกอย่างให้ท่านฟัง ได้โปรด...”
บทสนทนาที่กระซิบอย่างแผ่วเบาระหว่างคนทั้งสองนั้นไม่ได้เล็ดลอดออกไปให้คนภายนอกได้รับรู้เลยแม้แต่น้อย ถึงจะมีขันทีข้ารับใช้มากมายอยู่อยู่ด้านนอกแต่ส่วนใหญ่ก็ล้วนหลับใหลกันเสียหมด องค์รัชทายาทจ้องมองหาความจริงจากนัยน์ตาคู่สวยที่อยู่ใต้ร่างเขา แววตาที่ดูหวาดกลัวแต่ใสบริสุทธิ์ทำให้เขาใจอ่อน เด็กผู้หญิงตัวสั่นเทาเช่นนี้จะเป็นมือลอบสังหารได้อย่างไรกัน
มือหนาค่อยๆคลายแรงจับ เมื่อได้โอกาสร่างเล็กรีบปัดมือนั้นออกแล้วพลิกตัวลุกขึ้นหนีไปหลบที่อีกมุมนึงของห้องที่แสงจันทร์สาดส่องไม่ถึง
“เจ้าจะบอกข้าได้หรือยังว่าเจ้าเป็นใคร” ถึงแม้ดวงจันทร์จะสาดส่องแสงลงมาได้เพียงน้อยนิด แต่ขาก็รู้ว่าบุคคลคู่สนทนาอีกคนนั้นอยู่ส่วนไหนของห้อง ร่างสูงลุกขึ้นเดินไปหาอีกคนก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามอย่างแผ่วเบา แต่แม้ความมืดจำทำให้เห็นได้ไม่ใช่ แต่อีกคนก็รู้ถึงความสง่างามในท่าทีเหล่านั้น
“ขะ ข้า...ออกมาจากหนังสือเล่มนั้นเจ้าค่ะ” นิ้วเรียวชี้ไปทางแท่นหนังสือที่อยู่อีกฝั่งนึงของห้อง ผู้ที่ได้รับคำตอบถึงกับผงะ กียุลถึงถอยตัวออกห่างทันที
“งะ งั้นเจ้าก็คือวิญญาณรึ”
“ไม่นะเจ้าค่ะ ข้าเป็นคน ท่านยังจับตัวข้าได้อยู่เลยนะเจ้าค่ะ” ร่างเล็กเอนตัวออกมาจากมุมห้องก่อนจะคลานเข้าไปใกล้ที่คนที่ถอยหนีพร้อมยื่นมือเล็กเข้าไปใกล้เพื่อให้พิสูจน์
“คนที่ไหนเค้าจะออกมาจากหนังสือ...” เสียงพูดขาดหายไปทันทีเมื่อเขากลับไปคิดถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ก่อน เขาจับตัวคนที่อยู่ตรงหน้าได้ ยิ่งแววตาที่สะท้อนแสงจันทร์นั้นบอกได้อย่างดีว่าบุคคลตรงหน้าไม่ใช่ผีสางวิญญาณแน่ๆ คิ้วเข้มเริ่มจะขมวดเป็นปม ในใจยังร้องทักถึงสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ต่างๆนานาแม้จะมีหลักฐานมากขนาดนี้ก็ตาม
“ถ้าท่านไม่เชื่อ ก็รอดูตอนที่ข้ากลับซิเจ้าค่ะ”
วันนี้เป็นอีกวันที่จันทร์ยังเต็มดวง แสงจันทร์เคลื่อนคล้อยจนได้สาดส่องเข้ามาในห้องได้อย่างเต็มที่เหมือนจงใจให้คนทั้งสองได้เห็นหน้ากันอย่างแจ่มชัด แสงจันทร์สว่างมากพอที่จะทำให้กียุลลืมความคิดที่จะจุดเชิงเทียนเพื่อมองคนตรงหน้า คิ้วเข้มยังคงขมวดเป็นปมจนอีกคนต้องเอียงหน้ามองด้วยความสงสัย ดวงตากลมโตกระพริบถี่เหมือนจะถามคนตรงหน้าว่ามองอะไร ร่างสูงยังคงจ้องมองอย่างพินิจ ตั้งแต่ผม หน้าผาก ตา จมูก ปาก เขามองไล่ลงมาจนถึงคอขาว การแต่งกายที่ดูแปลกทีเพียงผ้านุ่งแค่อกโชว์ให้เห็นไหล่ขาว เครื่องประดับสร้อยคอนั่นก็ดูแปลกตา รวมทั้งกระโปรงนุ่งที่ไม่ได้บานมีเข็มขัดรัดที่เอว ทุกสิ่งทุกอย่างบอกกียุลได้เป็นอย่างดีว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้อยู่ในเมืองเดียวกับเขาเป็นแน่
“แล้วเจ้าชื่ออะไร”
“ทิวาเจ้าค่ะ” เด็กสาวตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม รอยยิ้มนั่นกดความสงสัยทั้งหมดที่กียุลมีจมหายไปในคอ คำตอบของคนตรงหน้าทำให้กียุลต้องขวมดคิ้วหนักกว่าเดิมอีก (นี่แกขมวดจนผูกเป็นโบได้แล้วนะกียุล//ไรเตอร์)
“ชื่อก็แปลก แต่งกายก็แปลก...”
“ท่านก็แปลกในสายตาข้าเช่นกันเจ้าค่ะ”
เสียงบ่นพึมพำนั้นหายไป เหลือไว้เพียงความเงียบและสายตาทั้งสองคู่ที่ยังจ้องมองกันอยู่ แม้ในใจของกียุลจะมีความถามมากมายอยากจะถามคนตรงหน้าแต่ดูเหมือนจะมีเยอะเกินไปจนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนจนเขาได้แต่ปิดปากนั้นเงียบไว้ ส่วนอีกคนก็ได้แต่สงบสติอารมณ์ไว้ไม่ให้เสียงหัวใจเต้นดังจนไปถึงหูคนตรงข้าม ถึงอยากจะกรีดร้องดีใจซักเพียงไหนก็ทำไมได้เพราะเธอดีใจเหลือเกินที่ได้พุดคุยกับเขาอย่างไม่เคยนึกฝันมาก่อน
“เอ๊ะ! ทิวาต้องกลับแล้วเจ้าค่ะ”
“กลับ? เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าถึงเวลากลับ ข้ายังมีเรื่องที่ต้องถามเจ้าอีกมากมายเชียวนะ” แม้มืออยากจะคว้าอีกคนไว้แต่ก็ได้แต่หักห้ามใจ เพิ่งเจอกันเพียงครั้งแรกแต่ใจเขากลับเป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว
“หนังสือมันเรืองแสง ท่านไม่เห็นหรือเจ้าค่ะ”
“ไม่ ข้าไม่เห็นอะไรทั้งนั้น”
“มีแต่ข้าที่มองเห็นหรือเนี่ย กราบขอประทานโทษด้วยนะเจ้าค่ะที่มารบกวนเวลาของท่าน”
“เจ้าจะมาอีกใช่ไหม?”
“ทิวาตอบไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ” เหลือเพียงรอยยิ้มก่อนที่เด็กสาวจะหายไปในหนังสือ กียุลรีบวิ่งเข้าไปใกล้หนังสือเล่มนั้น สุดท้ายมันก็กลายเป็นหนังสือปกติเช่นเดิม
ตุ้บ!!!!!!
“อะ อะ องค์รัชทายาท นั่นมันอะไรกัน ผ ผ ผะ ผีหรือพ่ะย่ะค่ะ”
“เจ้าเห็นด้วยหรือขันทีชาง?”
“หะ หะ เห็นพ่ะย่ะค่ะ!!!!!!!!!!”
...........................
“เจ้าช่วยเก็บมันเป็นความลับก่อนแล้วกัน ข้าไม่อยากให้ทหารแห่กันมาที่ตำหนักของข้าไปมากกว่านี้”
“แน่ใจนะพ่ะย่ะค่ะ ว่าไม่ใช่ผีสางนางไม้ ให้กระหม่อมเชิญแม่หมอมาแบบลับๆดีไหมพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าบอกให้เก็บไว้เป็นความลับ ไม่ได้สั่งให้เจ้าไปเชิญหมอผี เดี๋ยวนี้กล้าขัดคำสั่งองค์รัชทายาทรึ?”
“มะ ไม่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
กียุลล้มตัวลงนอนอีกครั้งหลังจากอธิบายทุกสิ่งอย่างให้ขันทีชางฟัง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่อาจข่มตาหลับต่อได้เลย จนสุดท้ายแสงอาทิตย์ก็มาเยือนห้องนอนของเขาอีกครั้ง ในใจของกียุลไม่อาจหยุดคิดเรื่องของเด็กสาวที่พบเจอเมื่อคืน อายุเท่าไหร่ บ้านอยู่ที่ไหน พ่อแม่เป็นใคร เขาจะมีโอกาสได้พบเธออีกไหม คำถามมากมายพรั่งพรูออกมาในหัวของเขาจนอยากจะเขียนเรียบเรียงลงกระดาษให้เสีย
“องค์รัชทายาท พระพันปีมาเชิญให้เสด็จไปที่ตำหนักด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“พระพันปี? ได้ ข้าจะไป”
ไม่บ่อยนักที่พระพันปีจะเรียกองค์รัชทายาทอย่างเขาไปพบ เพราะทุกวันก็มีเหล่าเสนาบดีเดินเข้าตำหนักนั้นก็ให้ควั่ก จึงไม่มีเหตุอันใดที่เขาจะต้องไปเยือนตำหนักนั้นให้บ่อยครั้ง แต่คนที่คุมวังนี้อย่างเบื้องหลังเช่นพระพันปีมีหรือจะไม่สนในกษัตริย์องค์ต่อไปอย่างกียุล ยิ่งเรื่องการควบคุมผู้หญิงที่อยู่ในวังนี้เป็นหน้าที่หลักของนางแล้ว มีหรือจะไม่คิดใช้อำนาจจากพระชายาขององค์รัชทายาท และตอนนี้องค์รัชทายาทเองก็ถึงวัยที่ต้องมีคู่ครองแล้วเสียด้วย
“มาแล้วหรือเพค่ะองค์รัชทายาท หม่อมฉันชงชาดอกบัวรออยู่เลยเพค่ะ”
“เสด็จย่ามีธุระอันใดถึงได้เชิญข้ามาถึงตำหนักด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
“เสด็จย่าอย่างหม่อมฉันฉันจะขอร่มโต๊ะดื่มชากับหลานของตนจำเป็นต้องมาเหตุธุระด้วยหรือเพค่ะ ฮ่าๆๆๆๆ”
เสียงหัวเราะของพระพันปีไม่ได้ทำให้คนตรงหน้ามีอารมณ์ร่วมเลยแม้แต่น้อย กียุลยังคงก้มหน้ามองถ้วยชาอย่างเดิม
“ปีนี้พระองค์อายุกี่ชันษาแล้วเพค่ะ?”
“15 พ่ะย่ะค่ะ”
“อายุเท่านี้สมควรถึงเวลามีคู่ครองแล้วนะเพค่ะ”
“เสด็จย่าทรงหมายถึงการอภิเษกสมรสของข้างั้นรึ”
คำพูดของกียุลหยุดถ้วยชาของพระพันปีที่ใกล้จะถึงริมฝีปาก ดวงตาของหญิงชราเหลือบขึ้นมองคนตรงหน้า นางทราบดีว่าหลานของตนฉลาดและหัวดื้อถึงเพียงไหน หากนางจะมัดมือชกเอาเด็กสาวในตระกูลของตนมาเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทเพื่อต่ออายุการคุมอำนาจในวังหลวงแห่งนี้ เห็นทีว่าเขาคงไม่อยู่นิ่งเป็นแน่
“พระชายาขององค์รัชทายาทก็คือแม่ของแผ่นดินในภายภาคหน้ามือพระองค์ขึ้นครองราชย์ ถือเป็นเรื่องสำคัญนะเพค่ะ”
“ข้ายังไม่พร้อมจะแต่งงานตอนนี้”
“หากไม่ตัดสินพระทัยตอนนี้แล้วพระองค์จะทรงรอถึงเมื่อใดกันเพค่ะ”
“หากเรื่องที่เสด็จย่าจะพูดมีเท่านี้ เห็นทีข้าต้องขอตัวก่อน โปรดรักษาสุขภาพด้วย”
ไม่ทันจะรอเสียงตอบจากอีกคน กียุลก็ลุกขึ้นแล้วหมุนตัวเดินออกจากตำหนักแห่งนี้ทันที เขารู้ดีว่าการอภิเษกสมรสขององค์รัชทายาทเป็นเพียงเครื่องมือทางการเมืองอย่างหนึ่ง ตัวเค้าเองก็เช่นกัน ถ้าหากยังไม่ได้อำนาจพระราชามาอยู่ในมือ เขาก็เป็นเพียงหมากตัวนึงในวังหลวงแห่งนี้เท่านั้น
......เจ้าจะมีเรื่องให้กลุ้มใจเช่นข้าบ้างไหม ทิวา
ไรเตอร์กลับมาแล้วววววววววววววววววววววววววววววววววววววววววว
ฮืออออออ ขอโทษที่หายไปนานเลยค่ะ พอดีมีปัญหาเรื่องสุขภาพ เข้าโรงพยาบาลทุกอาทิตย์
เรื่องที่ปวดหลังนั่นแหละค่ะTT
กราบขอประทานโทษทุกคนจริงๆค่ะ
ความคิดเห็น