ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [FIC] ☆--- Mystery Love ---☆ [TVXQ][YAOI]

    ลำดับตอนที่ #10 : ,,, Part 9 ,,, เป็นห่วง

    • อัปเดตล่าสุด 24 มี.ค. 57


    Title         :  Mystery Love
    Type        :  Long fiction
    Author      :  *..MooKiiE..*
    Category :  Comedy / Romance
    Paring      :  Yunho x Jaejoong / YooChun x JunSu
    Note         :  เรื่องนี้มุกได้แรงบันดาลใจมาจากซีรี่ส์เกาหลีเรื่อง The Master’s Sun นะคะ จึงทำให้เนื้อหาบางอย่างอาจคล้ายคลึงกันบ้าง

                                                                                                                                                                                                                                                              

    *******************************************************


     

     อย่าลืมกดเป็นแฟนพันธุ์แท้ฟิคเรื่องนี้กันนะคะ ^^


     

    Part 9

     

                    นานอยู่หลายนาทีที่ยุนโฮปล่อยให้แจจุงยืนกอดเขาเอาไว้ นานจนเขาเริ่มรู้สึกว่าเรียวแขนของคนตัวเล็กนี่มันชักจะทำมากกว่าแค่กอดแล้วนะ มือที่ลูบแผ่นหลังของเขาไปมา บวกกับศีรษะที่ถูไถแผ่นอกของเขานั่นอีก เป็นการบ่งบอกได้เป็นอย่างดีเลยว่าหมอนี่เลิกกลัวแล้ว!

     

                    หลังจากที่ได้กอดชองยุนโฮจนอิ่มหนำสำราญใจ ความหวาดกลัวที่เคยมีก่อนหน้านี้ก็ได้มลายหายไปจนหมดสิ้น แจจุงก็เลยถือโฮกาสสำรวจร่างของคนตรงหน้านี้เลย ไหนๆ ก็ไหนๆ และ มือเล็กๆ ลูบลงไปบนแผ่นหลังของยุนโฮ ก่อนที่จะอมยิ้มเขินกับตัวเอง

     

                    อ่าแผ่นหลังของท่านประธานช่างกว้างเหลือเกิน

     

                    ศีรษะกลมที่กำลังซบอยู่ที่แผ่นอกถูไถไปมาเพื่อทนสอบว่าแผ่นอกของชองยุนโฮนั่นน่าอบอุ่นมากแค่ไหน

     

                ‘อ่าอกของเขาช่างแข็งแกร่งและอบอุ่น

     

                    แจจุงหลับตาเคลิ้ม ตอนนี้อารมณ์กลัวผีไม่มีหลงเหลืออยู่แล้ว กลับกลายเป็นความสุขที่เข้ามาแทนที่ ตอนนี้เขามีความสุขมาก มากจริงๆ มากจนคิดว่าตัวเองนั้นฝันไป

     

                    “อยากอยู่แบบนี้นานๆ จังเลย”

                    คนตัวเล็กพูดออกมาอย่างเพ้อๆ ซึ่งแน่นอนว่าชองยุนโฮนั้นได้ยิน

     

                    ยุนโฮถอนหายใจออกมาก่อนที่เขาจะตัดสินใจทำบางอย่างลงไป

                   

                ผลั๊วะ!!!!!

                ฝ่ามือหนาของยุนโฮฟาดลงไปกลางศีรษะของคนตัวเล็กจนแจจุงสะดุ้งด้วยความตกใจ เขาผละออกมาจากร่างของคนตัวสูงแทบจะทันที

     

                    คนตัวเล็กยกมือขึ้นลูบหัวตัวเองป้อยๆ เขาตวัดสายตามองท่านประธานอย่างขุ่นเคือง ฟาดลงมาซะแรงแบบนี้มันเจ็บนะ! คนยิ่งมีสมองน้อยๆ อยู่ ถ้าความฉลาดของเขาตกใจหายหนีไปหมดจะทำไงอ่ะ?

     

                    “ไม่ต้องมามองหน้าฉันแบบนั้นเลย ใครใช้มายืนกอดฉันกันห๊ะ?

                    ยุนโฮถามกลับไปอย่างเอาเรื่อง คนอุตส่าห์ลงมาช่วยแท้ๆ ยอมให้กอดอยู่ตั้งนานสองนานทั้งๆ ที่เขามีโอกาสผลักหมอนี่ให้ออกไปตั้งแต่วินาทีแรกแท้ๆ แต่เขาก็ไม่ทำ

     

                นั่นซิทำไมเราถึงไม่ทำแบบนั้นกันนะ และทำไมเราถึงถอยหลังกลับมาช่วยนายสติฟั่นเฟือนคนนี้กันด้วย

                    ยุนโฮได้แต่ตั้งข้อสงสัยกับตนเองเงียบๆ แทนที่ป่านนี้เขาจะกลับคอนโดไปพักผ่อน แต่ดูซิจนป่านนี้เขายังยืนอยู่ที่ลานจอดรถอยู่เลย ให้ตายเหอะ!

     

                    “ขี้งก!

                    แจจุงบ่นกับตัวเองเบาๆ แค่กอดนิดก่อนหน่อยก็ทำหวงตัวไปได้ ชิ๊!

     

                    “เมื่อกี้นายพูดว่าไงนะ?

                    จริงๆ ยุนโฮได้ยิน แต่อยากจะถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ไม่คิดค่ากอดด้วยก็ดีแค่ไหนแล้ว!

     

                    “ป่าวฮะ”

     

                    ยุนโฮมองหน้าคนตรงหน้านิ่ง งั้นเขาจะถือว่าไม่ได้ยินคำพูดเมื่อกี้ก็แล้วกัน

                    “แล้วเมื่อกี้นายพุ่งเข้ามากอดฉันทำไม?

     

                    แจจุงทำหน้าตกใจเหมือนเพิ่งนึกได้ว่าตัวเองเพิ่งไปเจออะไรมาก่อนที่จะตอบยุนโฮกลับไป

                    “จริงซิ! ผมเพิ่งหนีผีมา เธอน่ากลัวมากเลยฮะ!

     

                    “นายน่ากลัวกว่าผีอีก”

     

                    แจจุงเงยหน้ามองคนตรงหน้าอย่างตัดพ้อ

                    “คุณไม่เคยเห็นผีเหมือนที่ผมเห็นอยู่ทุกๆ วันแบบนี้คุณก็พูดได้ซิ”

     

                    “……………………..

                    ยุนโฮเงียบไปไม่ได้เถียงอะไรกลับไป เพราะมันเป็นแบบที่หมอนั่นพูดจริงๆ เขาที่มีชีวิตปกติ ไม่สามารถเห็นสิ่งลี้ลับแบบนั้นได้ ไม่มีทางรู้หรอกว่าสิ่งที่คนตรงหน้าเจอนั้นมันเป็นยังไง จะเหมือนกับในหนังผีที่เขาเคยดูรึป่าวก็ไม่อาจจะรู้ได้

     

                    “มีแต่คนมองคุณด้วยสายตาที่ชื่นชม”

                    แจจุงเม้มปากแน่น อยู่ๆ เขาก็รู้สึกน้อยใจขึ้นมา อาจจะเป็นเพราะคนที่อยู่ตรงหน้าเขาในตอนนี้คือชองยุนโฮ คนที่เขามีความรู้สึกดีๆ ด้วย แม้จะไม่รู้ว่าในสายตาของอีกฝ่ายจะมองเขาออกมาเป็นแบบไหนก็ตาม ก็แค่อยากให้รับฟัง อยากมีคนให้ระบายด้วยก็แค่นั้นเอง

     

                    แจจุงพูดประโยคนี้ออกมาด้วยใบหน้าเศร้าๆ

                    “แต่ผมมักถูกมองว่าเป็นคนบ้าเสมอ

     

                    ยุนโฮสัมผัสได้ถึงความเศร้าที่มากับคำพูดนั้น บรรยากาศภายในลานจอดรถตกอยู่ภายใต้ความเงียบ ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวยังไง คงไม่ได้หวังให้เขาปลอบหรอกนะ เพราะเขาเองก็ทำอะไรแบบนั้นไม่เป็น ยุนโฮเองก็ไม่รู้ว่าเขาควรจะพูดอะไรออกไปเลยได้แต่ยืนทำหน้านิ่งอยู่เงียบๆ เขาก้มมองพื้น และในตอนนั้นเองที่เขาได้เห็นถึงสิ่งผิดปกติที่เท้าของแจจุง

     

                    คนร่างสูงขมวดคิ้วก่อนที่จะเอ่ยปากถามออกไป

                    “รองเท้านายไปไหน?

     

                    เอ๊ะ?”

                    แจจุงเงยหน้าขึ้นมองยุนโฮด้วยใบหน้าเหวอๆ ก่อนที่จะก้มลงมองที่เท้าของตัวเอง

     

                    “อ๋อมันหลุดตอนที่ผมวิ่งหนีผีน่ะฮะ”

     

                    “หลุด? แล้วทำไมไม่กลับไปเอา”

     

                    “ก็ผมกลัวหนิ! ผีรองเท้าส้นสูงกำลังไล่ตามหลังผมมาติดๆ ณ ตอนนั้นไม่มีใครเขาสนใจเรื่องรองเท้ากันหรอก”

     

                    ยุนโฮมองคนตรงหน้าด้วยสายตานิ่งๆ ท่าทางผีตัวนั้นจะน่ากลัวมากเลยซินะ

                    “แล้วนายจะกลับบ้านทั้งอย่างงี้นี่นะ”

     

                    แจจุงก้มลงมองที่เท้าของตนเอง คนตัวเล็กยู่ปากน้อยๆ ในตอนที่กำลังใช้ความคิด เขาควรจะเดินกลับไปหาร้องเท้าที่ทำหล่นไว้มั้ยนะ? แต่ถ้าเดินกลับไปแล้วไปเจอผีตนนั้นอีกล่ะจะทำยังไง แจจุงยืนคิดประมวลผลกับตนเองอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่จะเงยหน้าขึ้นมาถามชองยุนโฮ ซึ่งเป็นคำถามที่สร้างความแปลกใจให้กับคนร่างสูงเป็นอย่างมาก

     

                    “คุณมีกล่องทิชชู่มั้ยฮะ?

    .

    .

    .

                    สมควรแล้วที่คิมแจจุงจะถูกมองว่าเป็นคนบ้าสมควรแล้วจริงๆ

     

                    ยุนโฮมองคนตรงหน้าด้วยสายตาอึ้งๆ เขามองดูที่เท้าของคนตัวเล็กที่ข้างหนึ่งสวมร้องเท้าผ้าใบเก่าๆ ส่วนอีกข้างสวมกล่องทิชชู่เอาไว้ ให้ตายเหอะ! เกิดมาเขายังไม่เคยเจอใครที่แปลกเท่าหมอนี่ได้เลย

     

                    “นี่นายจะกลับบ้านด้วยรองเท้ากล่องทิชชู่เนี่ยนะ?

                   

                    แจจุงเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายก่อนที่จะยิ้มแหยๆ ตอบกลับไป

                    “ก็ผมไม่มีรองเท้านี่นาจริงๆ แล้วกล่องทิชชู่นี่ก็สบายเท้าดีนะฮะ กระดาษมันนุ่มมากเลย”

     

                    แจจุงพูดแล้วก็ทดสอบด้วยการย่ำเท้าข้างนั้นให้ดู

                   

                    “คนอื่นคงจะมองนายว่าเป็นตัวประหลาด”

     

                    แจจุงยิ้ม

                    “ไม่เป็นไรฮะผมชินแล้ว เรื่องน่าอายกว่านี้ผมก็เคยทำ”

     

                    ยุนโฮไม่ตอบอะไรกลับไป เขามองดูคนตรงหน้าด้วยสายตาขัดใจ

     

                    “งั้นผมขอตัวกลับบ้านก่อนนะฮะ น้องชายคงกำลังรอผมอยู่”

                    แจจุงก้มหัวให้ยุนโฮเล็กน้อยก่อนที่จะค่อยๆ ลากขาที่ข้างหนึ่งเป็นผ้าใบ ข้างหนึ่งเป็นกล่องกระดาษทิชชู่เดินจากไปด้วยความทุลักทุเล

     

                    ดวงตาคมมองตามแผ่นหลังบางของคนตัวเล็กที่ค่อยๆ ไกลออกไปเรื่อยๆ ก่อนที่จะเดินไปเปิดประตูหลังรถและหยิบกล่องกระดาษทิชชู่อีกอันของตนเองออกมา

     

                    ฝ่ามือหนาเขย่ากล่องกระดาษนั่นไปมา ลองกดๆ บีบๆ ดูเพื่อต้องการทดสอบความคงทนของมันก่อนที่จะต้องขมวดคิ้ว

                    “กล่องกระดาษอ่อนๆ แบบนี้มันใช้เป็นร้องเท้าได้ที่ไหนกัน”

     

                    แต่มันใช่เรื่องที่เขาจะต้องไปห่วงหมอนั่นรึไง

                รีบกลับบ้านไปพักเหอะชองยุนโฮ

     

                ยุนโฮยืนขมวดคิ้วให้กับความคิดของตนเอง

                    “นั่นซิมันไม่ใช่เรื่องของฉันสักหน่อย”

     

                    คนร่างสูงวางกล่องกระดาษทิชชู่ลงที่เดิมก่อนที่จะปิดประตูหลังและเดินกลับขึ้นไปบนรถเพื่อที่ขับรถกลับคอนโดตามที่ได้ตั้งใจเอาไว้

     

                    ส่วนทางด้านแจจุง เขาเดินมาหยุดอยู่ที่ป้ายรถเมล์ด้วยความยากลำบาก ดีหน่อยที่มันอยู่หน้าห้างเขาจึงไม่ต้องใช้เวลาในการเดินนานนัก ตลอดระยะทางที่เขาเดินผ่านมา มีผู้คนหลายคนที่พากันจ้องมองมาที่เท้าของเขาแล้วก็พากันหัวเราะ แจจุงพยายามที่จะไม่สนใจมัน มองผ่านมันอย่างไม่เก็บเอาไปคิด เรื่องน่าอายกว่านี้ก็เคยเจอมาแล้ว แค่ใช้กล่องทิชชู่เป็นรองเท้ามันไม่เห็นจะน่าอายเลยสักนิด

     

                    แต่ถึงยังไงเขาก็ไม่ชินกับการโดนมองว่าเป็นตัวตลก

                ทั้งๆ ที่บอกว่าตัวเองอย่าคิดมากแต่มันก็เผลอคิดทุกที

     

                    ในตอนที่กำลังยืนคิดอะไรอยู่เพลินๆ อยู่ๆ ที่ข้างหน้าเขาก็มีรถยนต์สีดำคันหรูคันหนึ่งแล่นมาจอดขนาบข้าง ในตอนแรกแจจุงก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก เขาชะเง้อคอออกไปดูว่ารถเมล์สายที่ตัวเองต้องการขึ้นมาถึงรึยังแต่ก็ต้องสะดุ้งตกใจกับเสียงแตรของรถยนต์ที่อยู่ตรงหน้า

     

                    ดวงตากลมจ้องมองรถยนต์คันหรูด้วยความสงสัย

                รถคุ้นๆ แหะ

     

                    และอยู่ๆ ความทรงจำบางอย่างของแจจุงก็พุ่งเข้ามาในหัวสมอง หัวใจด้วงน้อยเต้นรัวเร็วด้วยความตื่นเต้น

     

                    กระจกที่นั่งข้างคนขับถูกลดลงมา พร้อมกับใบหน้าของคนที่เพิ่งจะแยกจากกันเมื่อไม่กี่นาทีก่อนได้ปรากฏแก่สายตาของคิมแจจุง

                   

                    “ท่านประธาน”

                    แจจุงพูดออกมาอย่างเพ้อๆ และจ้องมองคนในรถอย่างไม่เชื่อสายตา

     

                    ชองยุนโฮยังคงทำหน้านิ่ง ดวงตาคมของเขามองไปที่แจจุงพร้อมพูดขึ้นมาสั้นๆ ว่า

                    “ขึ้นรถ”

     

                    “เอ๊ะ?

                    แจจุงทำหน้าเหวอ เขาอ้าปากค้างเล็กน้อยในตอนที่ได้ยิน นี่เขาหูฟาดไปเองรึป่าวนะ?

     

                    “ขึ้นรถเดี๋ยวฉันจะพาไปส่งที่บ้าน”

                    ยุนโฮทำหน้านิ่ง เขาทำเสียงเข้มพร้อมกับขมวดคิ้วในตอนที่พูด

     

                    แจจุงหลุดยิ้มออกมาด้วยความดีใจ เขารีบเปิดประตูเข้าไปนั่งบนเบาะที่นั่งข้างคนขับอย่างทันทีพร้อมกับหันหน้าไปเอ่ยปากขอบคุณอีกฝ่าย

                    “ขอบคุณฮะ! ขอบคุณจริงๆ”

     

                    ยุนโฮพยักหน้ารับเบาๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนเกียร์และขับเคลื่อนรถยนต์คันหรูออกสู่ท้องถนน

                    “บอกทางบ้านนายมาละกัน”

     

                    “ขับตรงไปก่อนได้เลยฮะ”

                    แจจุงตอบกลับมาอย่างกระฉับกระเฉง เขาฉีกยิ้มกว้างจนไม่รู้จะกว้างยังไงแล้ว ท่านประธานที่ชอบทำหน้านิ่ง ชอบทำหน้าดุ แต่มักเป็นคนที่โผล่เข้ามาช่วยเหลือเขาอยู่เสมอๆ

     

                    คุณเป็นหลุมหลบภัยของผมได้จริงๆ คุณยุนโฮ

     

                    ดวงตากลมลอบมองใบหน้าด้านข้างของชองยุนโฮด้วยรอยยิ้ม ในความโชคร้าย ก็ยังมีความโชคดีแฝงอยู่ล่ะนะ การที่ผมเห็นผีได้ ทำให้ผมได้มาพบกับคุณขอบคุณโชคชะตาที่ไม่ใจร้ายกับผมมากจนเกินไป ขอบคุณที่ยังส่งที่พึ่งที่แสนจะอบอุ่นนี้มาให้คนอย่างคิมแจจุงได้พักพิง

     

                    คนตัวเล็กฉีกยิ้มกับตนเองอย่างมีความสุข ได้มานั่งอยู่บนรถของยุนโฮ ได้มานั่งอยู่ข้างๆ กันแบบนี้ เหมือนความฝันเลยแหะ

     

                    ยุนโฮที่กำลังมองท้องถนนที่อยู่เบื้องหน้าได้แต่ขบคิดเรื่องบางอย่างอยู่กับตนเองเงียบๆ คิดสงสัยในการกระทำของตนเองในวันนี้      

                   

                    ทำไมเขาถึงต้องวนรถเพื่อกลับมารับคิมแจจุง ทำไมเขาต้องไปส่งคิมแจจุงที่บ้าน ทำไมวันนี้เขาถึงยอมให้หมอนี่กอด ทำไม? ทำไม? และทำไม? มันมีคำถามแบบนี้ลอยอยู่ในหัวของเขาเต็มไปหมด

     

                                    ทำไมเขาต้องเป็นห่วงหมอนี่ด้วยวะ?’

    .

    .

    .

    .

    .

                    ในช่วงเช้าเป็นอีกช่วงเวลาหนึ่งที่แผนกฟร้อนค่อนข้างจะวุ่นวายเนื่องจากมีทั้งแขกที่เดินทางมาติดต่อเรื่องห้องพักและแขกที่ต้องทำการเช็คเอ้าท์ จุนซูยืนประจำตำแหน่ง คอยช่วยเหลือและทำหน้าที่ของตนเองได้อย่างดีเยี่ยม นำความรู้ที่ได้เรียนมาบวกกับคำแนะนำของพวกพี่ๆ มาประยุกต์ใช้ปฏิบัติจริง แม้จะเจอกับปัญหาต่างๆ มากมายแต่จุนซูก็ชอบงานนี้ เขารักงานโรงแรม รักที่จะได้พูดคุยติดต่อพบปะกับแขกหลายเชื้อชาติและหลายประเภท

     

                    หลังจากที่จุนซูตกลงรับปากที่จะยอมทำงานเป็นผู้ช่วยปาร์คยูชอน นี่ก็ผ่านมาสามวันละที่เขายังสามารถใช้ชีวิตได้เป็นปกติอยู่ หมอนั่นไม่ได้โทรมาบอกให้เขาขึ้นไปหา ไม่ได้โทรมาบอกให้เขาขึ้นไปทำงานให้ หลังฝึกงาน ในทุกๆ วันเขาก็ยังไปทำงานที่ห้องอาหารตามปกติ ตลอดสามวันที่ผ่านมา ปาร์คยูชอนยังไม่โผล่หน้ามาให้เขาเห็นเลยสักครั้ง นั่นถือว่าเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเขามาก รู้สึกว่าชีวิตตัวเองสงบสุขขึ้นมาอย่างไงอย่างงั้น และทางทีดีก็ขอให้ไม่ต้องได้พบได้เจอกันอีกเลยเถอะ สาธุ!

     

                แต่ยิ่งเกลียด มักยิ่งได้เจอ

     

                    กว่าที่ลูกค้าจะบางตาก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงเสียแล้ว จุนซูยืนจัดการกับเอกสารการเช็คเอ้าท์ของลูกค้าอยู่ข้างๆ พี่จินฮีที่กำลังยืนตรวจสอบเอกสารการเข้าพักของลูกค้าอยู่

     

                    ตรู๊ดตรู๊ด…….

                    เสียงโทรศัพท์ที่เคาน์เตอร์ฟร้อนดังขึ้น พี่จินฮีที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดจึงเป็นฝายรับสาย จุนซูเงยหน้าขึ้นมองพี่เขาเล็กน้อยก่อนที่จะละสายตากลับมาตรวจเอกสารที่อยู่ในมือต่อ

     

                    เขาไม่ได้ฟังว่าพี่จีนฮีพูดอะไร ได้ยินแว่วๆ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ แต่ก็ต้องมาสะดุดตรงที่ในคำพูดนั้นมีชื่อของเขาอยู่ด้วยและชื่อของใครอีกคนที่เขาไม่อยากได้ยินมากที่สุดปาร์คยูชอน

     

                    จุนซูละสายตาขึ้นมามองหน้าพี่จินฮีอย่างทันที ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เธอวางโทรศัพท์ลง จุนซูรู้สึกว่าตาขวาของตัวเองกระตุก เหมือนมีลางบอกเหตุว่าความซวยกำลังจะมาเยือนเขาเร็วๆ นี้

     

                    ซึ่งเขาก็คาดเดาได้อย่างแม่นยำ เมื่อพี่จินฮีหันมาบอกเขาด้วยรอยยิ้มบางๆ ว่า

                    “จุนซูจ๊ะหลังเลิกงานแล้วขึ้นไปพบคุณยูชอนด้วยนะ”

     

                นั่นไงความซวยตัวเท่าควายวิ่งเข้าชนเขาอย่างจังเลยให้ตายซิ!!

    .

    .

    .

                    ทันทีที่เข็มสั้นชี้เลขสี่และเข็มยาวชี้เลขสิบสองจุนซูก็เอ่ยปากลาพี่ๆ ในแผนกอย่างทันที เขาไม่ได้อยากไปหาไอ้หน้าหนูนั่นเร็วหรอกนะ แต่เพราะเมื่อห้านาทีที่แล้วหมอนั่นดันโทรมาย้ำเตือนกับพี่จินฮีอีกครั้งจนพี่หัวหน้าคนสวยกลัวว่าคุณเจ้าของโรงแรมจะมีงานด่วนอะไรให้จุนซูไปช่วย เธอจึงรีบบอกให้เขาขึ้นไปหาคุณยูชอนเร็วๆ จุนซูก็อยากจะบอกกับพี่จินฮีเสียเหลือเกินว่าหมอนั่นไม่ได้มีเหตุด่วนงานรีบอะไรหรอก แค่อยากจะเรียกเขาไปแกล้งเร็วๆ ก็แค่นั้นแหละ

     

                    ในตอนที่จุนซูก้มหัวลาพี่ๆ ในแผนก พวกเธอก็ยังเอ่ยแซวจุนซูด้วยความอิจฉาอยู่ไม่น้อยที่ได้ไปทำงานใกล้ชิดกับคุณยูชอน ท่านประธานที่สาวๆ ในโรงแรมใฝ่ฝันอยากได้มาเป็นแฟน จุนซูได้แต่ยิ้มแหยๆ ก่อนที่จะเดินตรงไปที่ลิฟต์

     

                    พี่จินฮีและพี่ๆ ในแผนกทุกคนรู้ว่าเขาถูกยูชอนเลือกให้มาช่วยทำงาน เพราะไอ้หน้าหนูดันโทรมาคุยกับพี่จินฮีด้วยตนเองเสร็จศัพท์หลังเขาตอบตกลงไป

     

                    ทุกๆ คนบอกว่าเขาน่าอิจฉาที่ได้ทำงานกับคุณยูชอน ทุกๆ คนต่างบอกว่าจุนซูนั้นโชคดี แม้แต่พี่จินฮีเองก็ยังพูด แต่ทำไมเขากลับคิดว่ามันเป็นความซวยครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิตเลยล่ะ

     

                เห๊อ……..

                    จุนซูถอนหายใจออกมาด้วยความเซ็งก่อนที่จะเดินหน้ายุ่งออกมาจากลิฟต์ ชินเฮที่กำลังพิมพ์เอกสารหันมาเจอจุนซูพอดีเธอจึงยิ้มให้พร้อมกับเอ่ยปากบอกกับจุนซูว่า

     

                    “คุณยูชอนกำลังรอจุนซูอยู่พอดีเลย เมื่อกี้เพิ่งโทรออกมาบอกพี่ว่าถ้าจุนซูยังมาไม่ถึงภายในห้านาทีนี้เขาจะลงไปหาที่แผนกแล้วนะเนี่ย”

     

                    จุนซูฟังแล้วถึงกับเบ้ปาก

                    “สงสัยคุณยูชอนเขาคงคิดว่าผมหายตัวได้มั้ง? ถึงจะได้ใช้เวลาในการเดินทางมาชั้นสูงสุดแบบนี้เพียงแค่นาทีเดียว”

     

                    ชินเฮหัวเราะชอบใจกับคำพูดของเด็กรุ่นน้อง แต่ก่อนที่คนทั้งคู่จะได้คุยอะไรกันมากกว่านี้ ประตูห้องของท่านประธานก็ถูกเปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของใครบางคนที่จุนซูไม่อยากจะเห็นหน้ามากที่สุด

     

                    ยูชอนมองจุนซูพร้อมกับทำหน้านิ่ง

                    “มาถึงแล้วทำไมถึงไม่เข้าไปพบฉันในห้อง”

     

                    จุนซูทำหน้าเพลียก่อนที่จะเอ่ยปากตอบกลับไป

                    “ก็เพิ่งมาถึง และก็กำลังจะเข้าไปแต่คุณดันออกมาซะก่อน”

     

                    ยูชอนยืนนิ่งก่อนที่จะเดินตรงเข้าไปฉุดฝ่ามือของคนตัวเล็กและออกแรงดึงให้เดินตาตัวเองไป เขาหันไปบอกเลขาคนสวยว่าจะออกไปทำธุระและจะไม่กลับเข้ามาที่ออฟฟิศอีกแล้ว จุนซูได้ยินแบบนั้นก็ถึงกับทำตาโต เขาพยายามยื้อตัวเองไม่ให้เดินไปตามแรงฉุดของปาร์คยูชอน แต่ก็ทำได้ยากเสียเหลือเกินเพราะขนาดตัวที่แตกต่างกัน

     

                    “คุณ! ปล่อยผมเดี๋ยวนี้เลยนะ!! ไหนคุณบอกว่าจะให้ผมเข้ามาช่วยงานไงแล้วนี่จะพาผมไปไหน?

                    จุนซูพยายามดิ้นให้มือของตนเองหลุดจากการกอบกุมของฝ่ามือหนาในตอนที่พวกเขากำลังยืนรอลิฟต์กันอยู่

     

                    ยูชอนทำหน้าตายก่อนที่จะหันมาตอบจุนซูด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ

                    “ก็กำลังจะพาไปทำงานอยู่นี่ไงล่ะ”

     

                    “งานอะไรของคุณ? ทำที่ห้องไม่ได้รึไง?

                    จุนซูหยุดดิ้นเพราะในตอนนี้เขาโดนปาร์คยูชอนลากให้เข้ามาอยู่ในลิฟต์เสียแล้ว

     

                    “ทำที่ห้องทำงานน่ะไม่น่าได้”

                    ยูชอนว่าด้วยใบหน้านิ่งๆ

     

                    ก่อนที่เขาจะโน้มหน้าเข้ามาหาใบหน้ากลมๆ ของจุนซูและพูดต่อว่า

     

                    “แต่น่าจะทำที่ห้องนอนได้นะ”

     

                ผลัก!

                    ทันทีที่ยูชอนพูดจบจุนซูก็ใช้ฝ่ามือหลักหน้าของอีกฝ่ายออกไปอย่างทันที แม้จะไม่ได้แรงมากเหมือนตอนต่อยแต่ก็สามารถทำให้รู้สึกเจ็บได้เหมือนกัน

     

                    จุนซูแอบยิ้มสะใจตอนที่อีกฝ่ายหันมาตวัดสายตามองเขาอย่างเคืองๆ

     

                    จุนซูยิ้มหวานก่อนที่จะตอบกลับไป

                    “โทษทีพอดีผมเห็นยุงบินผ่านหน้าคุณก็เลยช่วยปัดออกให้น่ะ”

     

                    ยูชอนฟังแล้วถึงกับหัวเราะหึหึในลำคอ แหม่เจอยุงในลิฟต์

                    “ใจดีแบบนี้น่าจะให้จูบหวานๆ เป็นของรางวัลนะ”

     

                    “ระวังจะได้จูบเท้าผมแทนนะครับ”

     

                ให้ตายเหอะ! คิมจุนซูนี่ช่างถูกใจเขาเสียเหลือเกิน!’

                    นานแค่ไหนแล้วนะที่ไม่ได้เจอเรื่องสนุกๆ แบบนี้ เจอแต่ของที่ได้มาง่ายๆ จนเบื่อ พอได้มาเจอคนที่ไม่ง่ายและช่างต่อปากต่อคำแบบนี้ยิ่งถูกใจปาร์คยูชอนนัก

     

                    “สรุปคุณจะพาผมไปไหน?

                    จุนซูถามขึ้นมาอีกครั้งในตอนที่เขาโดนปาร์คยูชอนฉุดให้เดินตามไปที่ลานจอดรถ แต่คนถูกถามก็ยังนิ่ง

     

                    ยูชอนล้วงรีโมทรถขึ้นมากดเพื่อปลดล็อครถก่อนที่จะเปิดประตูที่นั่งข้างคนขับออกและจับล่างของจุนซูยัดเข้าไปในนั้นแล้วจึงเดินอ้อมขึ้นไปนั่งบนที่ประจำของตัวเอง

     

                    รถยนต์สีดำคันหรูเคลื่อนตัวออกจากลานจอดรถชั้นวีไอพีของโรงแรมท่ามกลางความึนงงของคิมจุนซูที่ยังไม่รู้จุดหมายปลายทางที่คนคนนี้จะพาเขาไป นี่ขาจะโดนพาไปข่มขืนและฆ่าอำพรางรึป่าววะ วันนี้เตรียมอะไรมาเพื่อป้องกันตัวบ้างวะเนี่ย!

     

                    “คุณยูชอนจะพาผมไปไหนบอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่งั้นผมเปิดประตูและกลิ้งลงจากรถเดี๋ยวนี้เลย!

     

                    “เห้ย! อยากตายรึไง”

                   

                    “ก็รีบๆ บอกมาซิว่าจะพาไปไหน บอกให้มาช่วยทำงานและพาออกมาข้างนอกแบบนี้มันจะได้ช่วยมั้ยห๊ะ!

     

                    ยูชอนยิ้มขำ

                    “ได้ช่วยซิ”

     

                    ดวงตาเรียวเล็กมองใบหน้าเจ้าเล่ห์ของปาร์คยูชอนอย่างไม่ไว้ใจ

                    “ไหนล่ะงาน”

     

                    ยูชอนละสายตาออกมาจากท้องถนนในตอนที่รถกำลังติดไฟแดง เขายกยิ้มที่มุมปาก ดวงตาคมของเขานั้นอาบไปด้วยความทะเล้นเหมือนเด็กๆ ที่กำลังเจอของเล่นที่ถูกใจ และอยากได้

     

                    “งานแรกที่ฉันจะมอบหมายให้นายก็คือ

     

                    “………………….

                    จุนซูเลิกคิ้วมองด้วยความสงสัย

     

                    “ไปดินเนอร์กับฉัน”

     

                    นี่คืองานหรอวะ? การกินข้าวนี่มันเป็นงานหรอวะเนี่ย! โอเคช่างมัน ตอนนี้ขอเวลาให้คิมจุนซูเปิดดูกระเป๋าของตัวเองก่อนว่าเขาได้พกคัตเตอร์ สเปรย์พริกไทย หรืออะไรก็ตามที่สามารถใช้เป็นอาวุธได้มาด้วยรึป่าว

     

                    หากเกิดอะไรขึ้น

                เขาจะได้ลงมือเชือดไก่ได้ทันเวลา

     

    TBC ^----------^*

     

     

    *******************************************************

     

    Talk : )

     

    สวัสดีค่ะ
    มุกมาแล้ววววววววววว
    แต่รายงานยังไม่เสร็จเหมือนเดิม จะถึงวันกำหนดส่งแล้วค่ะ
    ต้องรีบปั่น อาจารย์สั่งแก้หลายจุดเหลือเกิน
    ว่าจะไม่มาอัพฟิค แต่ก็อดไม่ได้ มาอัพจนได้ TT

    ไม่รู้จะทอล์คอะไร
    ก็หวังว่าคนอ่านจะสนุกกับฟิคที่มุกแต่งนะคะ

    อยากพูดคุยหรือสอบถามเรื่องฟิคเก่าๆ ก็ทวิตเตอร์เลยค่ะ
    สิงอยู่ที่นั่นแทบตลอด

    Twitter >>> http://twitter.com/@MMooKiiEE  
    E-mail >>> mookiie_jong@hotmail.com

    แล้วเจอกันในตอนหน้านะคะ
    ขอบคุณทุกๆ คนที่กดเข้ามาอ่านค่ะ

    ^----------------------^*

     

    *******************************************************

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×