ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Bird พันธสัญญาวิหคสวรรค์ [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #5 : Tale 2 : พิธีผูกพันธะสัญญา

    • อัปเดตล่าสุด 15 ส.ค. 59



    บทที่2 พิธีผูกพันธะสัญญา

     

    “อึก..ฝ..ฝ่าบาท” ร่างชายสองคนที่กำลังทำกิจกรรมเร่าร้อนอยู่บนเตียงกว้าง โดยที่ร่างกายกำยำของชายหนุ่มทาบทับอยู่บนร่างกายเปลือยเปล่าของเด็กหนุ่มรูปร่างบอบบาง ริมฝีปากร้อนไล่จูบไปตามร่างกายอย่างรุนแรงเร่าร้อน

     

    ปัง!

     

    “ข้าให้เวลาเจ้าไสหัวออกจากห้องนี้เดี๋ยวนี้!” ร่างเล็กของเด็กชายเรือนผมสีน้ำตาลแดงพูดขึ้นเมื่อเห็นว่าเกิดอะไรขึ้นในห้องนอนของพี่ชายตนเอง นัยน์ตาสีส้มอ่อนดุจอัญมณีเม็ดงามตวัดมองร่างของคู่นอนคนใหม่ของกษัตริย์แห่งเบทริกซ์อย่างสมเพชแล้วเดินเข้าไปหาคนเป็นพี่ที่ลูบหน้าตัวเองอย่างไม่สบอารมณ์นักที่ถูกขัดจังหวะ

     

    “ท่านพี่ทาทารัส ชิลลี่บอกให้ท่านพี่สั่งการทหารรักษาความปลอดภัยให้รัดกุมกว่าปกติ” แอสเทียร์ยืนห่างจากเตียงของทาทารัสพอสมควรเมื่อเห็นว่าคนที่เขาบอกให้ออกไปเมื่อครู่ยังคงอยู่บนเตียง ซึ่งแอสเทียร์ไม่ชอบเลยแม้แต่น้อย กล้าดีอย่างไรถึงยังไม่ทำตามที่เขาสั่ง


    “มิทิลเจ้าออกไปซะ” มือแกร่งเสยผมสีแดงเพลิงขึ้นอย่างหงุดหงิด เขาไม่ชอบให้ใครมาขัดเวลาส่วนตัวของเขา แต่ในเมื่อเรอาตริสผู้นั้นฝากแอสเทียร์มาบอกแบบนี้แสดงว่ามันต้องเกิดอะไรขึ้นในพิธีผูกพันธะสัญญานั่น ซึ่งเขาจะละเลยต่อคำพูดของเรอาตริสไม่ได้ ร่างสูงกำยำลุกขึ้นโดยมีผ้าห่มผืนบางคลุมร่างกายส่วนล่างไม่ให้เปลือยกายต่อหน้าผู้เป็นน้องเท่านั้น

     

    “ข้าจะล่วงหน้าไปที่พิธีก่อน” เด็กชายหันหลังกลับออกไปทางเดิม เขาชินเสียแล้วกับคู่นอนเพียงคืนเดียวของท่านพี่ของเขา ทาทารัสเป็นกษัตริย์ที่พึ่งขึ้นครองราชย์ได้ 2 ปี แต่กลับได้รับความเคารพจากประชาชนและตระกูลวิหกอย่างแท้จริง ทุกอย่างที่ท่านพี่ทำคือเพื่ออาณาจักรเบทริกซ์ของพวกเขา พี่ชายของเขาเป็นกษัตริย์นักรบอย่างแท้จริง ในขณะเดียวกันก็เป็นนักรักด้วยเช่นกัน

     

    ตัวอย่างน่ะหรอ..

    ก็อย่างเช้านี้ไงเล่า

    ท่านพี่มักจะมีผู้เสนอตัวมาอย่างนี้ทุกคืน

    หากแต่ไม่เคยปราถนาผู้ใดเกินค่ำคืนเดียว

     

    แอสเทียร์เป็นเจ้าชายแห่งเบทริกซ์ เป็นน้องต่างมารดาของกษัตริย์องค์ปัจจุบัน แต่ตำแหน่งของเขากลับไม่ได้ช่วยให้คนอื่นเคารพเขาเท่าที่ควรจะเป็น ทุกคนจะเห็นเขาเป็นเพียงน้องชายของทาทารัสเท่านั้น ไม่มีคนฟังคำสั่งของเขาอย่างแท้จริง

     

    เขายังเป็นเพียงแค่เด็กชาย

    ในสายตาของคนอื่น

    ไม่มีคนมองว่าเขาก็เป็นราชนิกูลเหมือนพี่ทาทารัส

     

    “เอาม้ามาให้ข้า ข้าจะไปที่ลานพิธี” ร่างเล็กตวัดตัวขึ้นไปบนหลังอาชาสีขาวพันธุ์ดีอย่างคล่องแคล่ว ก่อนที่จะกระตุ้นให้ออกกระโจนไปยังทิศทางเป้าหมายโดยไม่มีผู้ติดตาม หรือต่อให้มีก็ไม่มีใครตามเขาทันอยู่ดีนั่นล่ะ นี่เป็นสิ่งเดียวที่ท่านพี่ทาทารัสสอนเขาและเขาทำได้อย่างดีเยี่ยม

     

    สายลมพัดผ่านตามความเร็วของฝีเท้าอาชาชั้นดี พัดพาเอาความรู้สึกกดดันของแอสเทียร์ให้หายไปได้บ้าง แม้เพียงเล็กน้อย จนกระทั่งถึงเขตเมืองจึงผ่อนฝีเท้าลง นัยน์ตาสีส้มอ่อนมองไปยังลานพิธีและรอบๆอย่างสนใจ เขารู้ว่าพิธีในวันนี้เป็นของบุตรชายคนโตตระกูลพานิค แอสเทียร์เคยเห็นเขาห่างๆไม่กี่ครั้งตามงานสำคัญ แต่ก็ไม่เคยสนทนาด้วย

     

    “ระวัง!!

     

    เพล๊ง!

     

     วูบหนึ่งที่เขารู้สึกว่ามีสายลมพัดผ่านตัวเขาอย่างรุนแรงและได้ยินเสียงของแตกดังอยู่ข้างหลัง เมื่อหันไปก็พบกับกระถางต้นไม้ขนาดกลางตกแตกอยู่ แอสเทียร์ลงจากหลังม้าแล้วมองหาตัวคนที่อาจจะลอบทำร้ายเขาได้ เพราะแบบนี้ท่านพี่ทาทารัสถึงสั่งให้เขามีผู้ติดตามทุกครั้ง การเป็นเชื้อพระวงศ์มีโอกาสที่จะโดนลอบทำร้ายทุกเมื่อ ยกเว้นกับตัวทาทารัสเอง

     

    “เจ้าเป็นอะไรไหม?” เด็กหนุ่มร่างสูงสองคนเดินเข้ามาหาจนเด็กชายต้องถอยหลังไปโดยไม่รู้ตัว

     

    “ไม่ต้องกลัวพวกข้าหรอก พวกข้าเป็นคนดี” เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีทองสว่างเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน แต่แอสเทียร์ก็ยังไม่ไวใจ และดูท่าทางเขาจะแสดงออกชัดเจนจนผู้เข้ามาต้องถอยออกรักษาระยะห่างเล็กน้อย

     

    “คุณเข้ามาแบบนี้เป็นใครก็ต้องกลัวคุณครับไอเรส” คราวนี้เด็กหนุ่มนัยน์ตาสีเขียวน้ำทะเลพูดขึ้นบ้าง ใบหน้าหล่อเหลามีรอยยิ้มเช่นเดียวกับเพื่อนสนิท เอเปอร์มองเด็กชายที่พวกเขาพึ่งช่วยไว้อย่างพิจจารณาอีกครั้งแล้วขมวดคิ้วน้อยๆก่อนที่จะหายกลับไปเป็นปกติ

     

    รูปร่างหน้าตาแบบนี้..

    สีผมสีน้ำตาลแดงกับนัยน์ตาสีส้มอ่อน

    ดูเหมือนไอเรสจะไม่รู้ตัวเลยซินะว่ากำลังพูดอยู่กับใคร

     

    “ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว พวกข้าขอตัวก่อน” มืออุ่นลูบศรีษะของเด็กชายเบาๆอย่างเอ็นดูก่อนที่จะหันหลังเดินกลับไปทางเดิม ในขณะที่เอเปอร์หันกลับมาโค้งน้อยๆให้ โดยที่แอสเทียร์ยังไม่ทันได้เอ่ยปากอะไรซักคำตั้งแต่ลงจากหลังม้ามา

     

    “ไอเรส เมื่อครู่คุณรู้ไหมว่าเด็กคนนั้นคือใคร” เจ้าของเรือนผมยาวสีเขียวน้ำทะเลเอ่ยกับเพื่อนสนิทที่เดินข้างๆ เรียกความสนใจจากไอเรสให้หันมามองได้เป็นอย่างดี

     

    “ก็เด็กคนหนึ่งไม่ใช่หรือไง แต่ดูจากอาชาชั้นดีแล้วน่าจะมาจากตระกูลชั้นสูง” ไอเรสส่ายหน้าเล็กน้อยกับคำถามของเพื่อน ในตอนแรกเอเปอร์เป็นคนเห็นกระถางต้นไม้นั่นกำลังร่วงลงมาเลยรีบบอกเขาให้ใช้พลังช่วย ซึ่งทันเวลาพอดี เอเปอร์มีความสามารถในการมองเห็นอย่างดีเยี่ยม นั่นทำให้เพื่อนสนิทของเขามักจะเข้าไปอยู่ในเรื่องยุ่งๆอยู่เสมอ

     

    “เด็กคนนั้นคือแอสเทียร์ เค. ไนเอลเรส น้องชายของกษัตริย์ทาทารัส..” เอเปอร์หัวเราะเบาๆตาของเขาหยีลงอย่างที่ไอเรสอดที่จะหวั่นๆไม่ได้ว่าเพื่อนของเขาคิดอะไรอยู่ จริงๆแล้วเอเปอร์แค่มองเห็นและบอกเขาเฉยๆเรื่องกระถางต้นไม้ แต่คนที่ตัดสินใจใช้พลังช่วยน่ะเขาเองต่างหาก..

     

    “เด็กคนนั้นอายุน่าจะพอๆกับเนคต้าร์ ข้าเลยรู้สึกว่าต้องช่วยแค่นั้น”

     

    “ครับ คุณแค่แพ้เด็กหน้าตาน่ารัก มันก็คล้ายๆกับกรณีของเนคต้าร์นั่นล่ะ” เด็กหนุ่มจากตระกูลโรซาลีนโคลงหัวเล็กน้อย สำหรับคนอื่นไอเรสจะเป็นคนที่ดูเป็นเด็กหนุ่มรูปงามสมบูรณ์แบบ กริยามารยาทสง่างามสมกับสายเลือด แต่ใครจะไปรู้ว่าไอเรสมีจุดอ่อนที่ไม่ว่าใครรู้ก็จะต้องหัวเราะอย่างแน่นอน

     

    ไอเรสเป็นพวกรักน้องชายเข้าสายเลือด

    อันที่จริง ต้องบอกว่าชอบเด็กน่ารักต่างหาก

     

    “พูดเหมือนไปเก็บลูกหมามาเลี้ยงอย่างไรอย่างนั้น..” ไอเรสหัวเราะตาม มันก็จริงอย่างที่เอเปอร์พูดมา เขาค่อนข้างชอบเด็กหน้าตาน่ารัก เพราะทำให้นึกถึงน้องๆที่คฤหาสน์เสียอย่างนั้น วันนี้พวกเขาออกมาดูสถานที่จัดพิธีก่อนพิธีเริ่มเพื่อตรวจดูความเรียบร้อย

     

    “พี่ชาย”

     

    “เนคต้าร์?เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร แล้วคนอื่นล่ะ” เสียงเรียกคุ้นหูจากข้างร้านหนังสือทำให้เด็กหนุ่มทั้งคู่หันไปมอง ไอเรสเบิกตากว้างเมื่อเห็นน้องชายบุญธรรมยืนอยู่ข้างบุคคลที่เขาไม่คิดว่าจะมาปรากฏตัวที่นี่ในเวลานี้ เกรย์เซีย     ฟรอเรนซ์ โรซาลีนส่งยิ้มเล็กน้อยให้กับคนอายุน้อยกว่า

     

    “น้องของคุณหรือพานิค” นัยน์ตาสีฟ้าดั่งน้ำทะเลมองร่างสูงของเด็กหนุ่มทั้งสองคนที่เขารู้จักสลับกับเด็กชายที่เขาพึ่งทำแผลที่มือให้ เท่าที่เขาจำได้ ตระกูลพานิคมีทายาทเพียงสองคนและอายุไล่เลี่ยกัน แต่เด็กชายคนนี้กลับอายุน้อยกว่าที่เขาคิด

     

    “เนคต้าร์เป็นน้องบุญธรรมของข้าท่านเกรย์เซีย” ไอเรสค้อมตัวน้อยๆเป็นการทักทายผู้มีศักดิ์สูงกว่า ในขณะที่เอเปอร์ก้มหัวให้ผู้นำตระกูลยามที่เกรย์เซียเดินผ่าน เกรย์เซียเป็นลูกชายของผู้นำตระกูลคนก่อนที่เป็นพี่ชายของบิดาของเขา แม้ว่าเกรย์เซียจะไม่ถือตัวและบอกให้เขาเรียกพี่ได้ แต่ความรู้สึกของเอเปอร์กลับบอกว่า หากเขาเรียกเกรย์เซียว่าพี่เมื่อไหร่ ฝ่ายนั้นจะต้องหาทางแกล้งเขาอย่างแน่นอน

     

    “เนคต้าร์ซินะ..เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ผมรักษาบาดแผลให้แล้วไม่ต้องกังวล” นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลฉายประกายสนใจเล็กน้อยก่อนที่จะกลับมาอ่อนโยนดังเดิม ซึ่งแน่นอนว่าไม่ได้รอดพ้นจากสายตาของเอเปอร์ไปได้ คนตระกูลโรซาลีนมักจะซ่อนอะไรภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มเสมอ นั่นทำให้หลายคนไม่รู้ว่าพวกเขาคิดอะไร แม้จะเป็นมิตรที่สุดในสี่ตระกูลก็เถอะ

     

    “ไอเรส ผมว่าคุณให้เนคต้าร์ระวังตัวหน่อยก็ดี..อีกอย่างไปเตรียมตัวได้แล้วครับ ใกล้เวลาแล้ว”

     

    “เจอกันที่ลานพิธีเอเปอร์ เนคต้าร์เจ้ามากับพี่” ร่างสูงจูงมือเด็กชายให้เดินไปนั่งรออยู่ที่นั่งฝั่งตระกูลพานิค ไม่นานนักชาเรย์กับไมร่าก็ตามมา โดยที่หวางอี้ตามมาทีหลัง รอบลานพิธีเริ่มมีผู้คนรวมตัวกันปะปราย นัยน์ตาสีทองสว่างมองไปรอบๆเห็นเอเปอร์อยู่ในที่นั่งของตระกูลโรซาลีนจึงโบกมือให้ ข้างตระกูลโรซาลีนคือตระกูลคาเรน ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันมีอายุมากกว่าชาเรย์มาก หากแต่ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนที่อยู่ข้างๆผู้นำตระกูลคือผู้ที่คนรอบข้างให้ความสนใจ เบเรียส ไอม์ คาเลน ว่าที่ผู้นำตระกูลคนต่อไป และเด็กหญิงวัยไล่เลี่ยกับเนคต้าร์ โรซาริอา แอนนาลิเซ่ ดิ เมดิซีน น้องสาวต่างมารดาของเบเรียสที่เกิดจากลูกสาวชาวบ้านธรรมดาและพึ่งถูกตระกูลคาเลนรับกลับมาเลี้ยงช่วงเวลาเดียวกับที่เขารับเนคต้าร์มา

     

    “เหลือแค่ฟารอส” ไอเรสหันไปมองยังพื้นที่ข้างๆที่ว่างเปล่า เขารู้ว่าท่านพ่อกับผู้นำตระกูลฟารอสมีอุดมการณ์ที่ขัดกันอย่างรุนแรงมาตั้งแต่สมัยรุ่นปู่ของเขา แต่สำหรับพิธีการสำคัญแบบนี้การไม่ให้เกียรติกันโดยไม่มางานพิธีหรือมาสายเป็นสิ่งที่ไร้มารยาทเป็นอย่างยิ่ง

     

    “ท่านเรอาตริสมาหรือยัง หรือจะมาพร้อมกษัตริย์” ชาเรย์มองลานรอบพิธีผูกพันธะสัญญาแล้วตบบ่าให้กำลังใจลูกชายเล็กน้อย วันนี้เป็นวันที่ไอเรสจะก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่อย่างเต็มตัวเพื่อที่จะสามารถรับผิดชอบภาระหน้าที่ของตระกูลได้

     

    “ท่านพี่ไอเรส ท่านไปทำอะไรมาเสื้อถึงได้ยับเช่นนี้” ร่างโปร่งบางของหวางอี้เดินมาหยุดหน้าแล้วจัดการจับปกเสื้อสีขาวให้เข้าที่ นัยน์ตาสีม่วงสำรวจร่างกายของพี่ชายอย่างพึงพอใจ ในสายตาของเขาแล้วไอเรสเป็นคนที่สง่างามและอ่อนโยนที่สุดและยิ่งในวันที่ไอเรสกำลังจะทำพันธะสัญญาเพื่อก้าวเข้าสู่ภาระหน้าที่ ร่างสูงที่แต่งตัวเต็มยศในชุดสีขาวบริสุทธิ์เช่นเดียวกับเรือนผมสีขาวกับนัยน์ตาสีทองทำให้ไอเรสเหมือนเทพเดินดินเลยด้วยซ้ำ

     

    “ฟารอสมาแล้ว แต่ดูเหมือนท่านแม่ทัพจะไม่ได้มานะ” เสียงเซ็งแซ่ดังขึ้นจากประชาชนรอบข้าง เรียกความสนใจจากทั้งสามตระกูลได้เป็นอย่างดี ร่างของชายสองคนเดินเข้ามาอย่างเงียบๆ คนที่สูงกว่าหันมาก้มหัวให้ชาเรย์เล็กน้อยตามมารยาท ในขณะที่เด็กหนุ่มอีกหนึ่งคนไม่มีปฏิกริยาใดๆทั้งสิ้น

     

    “ให้ลูกชายมาทำหน้าที่แทนอย่างนั้นซินะ” ชาเรย์เหลือบมองเล็กน้อยแล้วส่ายหน้า ออคต้าร์ เวย์น จินซิส ฟารอส ว่าที่ผู้นำคนต่อไปของฟารอส กับแอมเนส เดย์ไนท์ เลโอเน่ ลูกชายคนเล็กที่ห่างจากพี่ชายเพียงสองปี การที่ส่งตัวแทนมาเช่นนี้เป็นการประกาศว่าออคต้าร์คือผู้นำคนต่อไปอย่างไม่เป็นทางการ

     

    “กษัตริย์ทาทารัสเสด็จ!

     

    “ถวายพระพรองค์กษัตริย์” ตระกูลสี่วิหกเอ่ยขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ในขณะที่ทาทารัสเพียงแค่โบกมือให้ทุกคนลุกขึ้น เขาไม่ชอบพิธีอะไรที่ต้องยืดเยื้อเสียเท่าไหร่ นัยน์ตาสีฟ้ากวาดมองมาที่ตระกูลทั้งสี่ผ่านๆแล้วนั่งลงเพื่อรอเริ่มพิธี

     

    “เรอาตริส นางอยู่ที่ใด” ทาทารัสเอ่ยถามแอสเทียร์ที่มานั่งข้างๆเสียงเรียบ เขาไม่ชอบพิธียืดเยื้อ และไม่ชอบการรอคอย

     

    “นาง..”

     

    “ข้าอยู่นี่แล้วทาทารัส” ยังไม่ทันที่แอสเทียร์จะตอบอะไร ร่างเล็กของหญิงสาวปรากฏกายขึ้นที่ข้างกายเขา ไม่มีใครรู้ว่าเรอาตริสมาเมื่อไหร่ แต่ทาทารัสก็ไม่สนใจนัก ในเมื่อตอนนี้ผู้ผูกพันธะสัญญามาอยู่ที่นี่แล้วก็ควรจะเริ่มพิธีได้เสียที

     

    ไอเรสขึ้นไปยืนบนตำแหน่งที่ถูกกำหนดไว้ ใบหน้าหล่อเหลาไม่มีรอยยิ้มประดับเช่นเคย เหลือเพียงความจริงจังและความกดดันเท่านั้น เขาหวังว่าวันนี้จะไม่ใช่วันสุดท้ายของตระกูลพานิค นัยน์ตาสีทองก้มมองแขนของตนเองแล้วใช้มีดกรีดเพื่อให้เลือดหยดลงไปที่ถ้วยที่ผู้ทำนายแห่งเบทริกซ์ถือไว้ เลือดสีสดไหลลงไปในถ้วยสีทองอย่างช้าๆจนเรอาตริสบอกให้ยกมือออก

     

    “สายเลือดขององค์ปฐมกษัตริย์โปรดรับพันธะสัญญา” ทาทารัสกรีดเลือดใส่ลงไปในถ้วยเดียวกัน นัยน์ตาสีแดงของผู้ทำนายแห่งเบทริกซ์ฉายประกายสนุกสนานก่อนที่จะวางถ้วยใส่เลือดนั้นบนแท่นพิธี ริมฝีปากแดงท่องอะไรบางอย่างที่คนทั้งลานไม่มีทางเข้าใจ

     

    ก็สิ่งที่เธอพูดน่ะ มันเป็นภาษาโบราณน่ะซิ

     

    “พานิค กล่าวคำสาบานซะ” เมื่อเห็นว่าเลือดในถ้วยเริ่มเหือดแห้งจากสิ่งที่เธอพูดเมื่อครู่ เรอาตริสจึงหันกลับไปบอกไอเรสให้กล่าวคำสาบานต่อหน้ากษัตริย์และประชาชนที่มุงดูอยู่โดยรอบ ในช่วงเวลานี้เป็นช่วงเวลาที่อันตรายที่สุด เพราะปีกของคนในตระกูลจะสยายออกมา หากแต่ความเจ็บปวดนั้นมากมายนัก

     

    “ข้าไอเรส วีคาร์ส พานิค ขอสาบานด้วยเกียรติและสายเลือดของดิลอส พานิค ข้าขอรับใช้สายเลือดขององค์ปฐมกษัตริย์ตราบลมหายใจสุดท้ายของข้า” สายลมที่พัดผ่านมาเริ่มกระโชกรุนแรงมากขึ้น และเปลี่ยนทิศทางไปหมุนวนรอบตัวไอเรสแทน กระแสลมทั้งหมดหมุนวนจนแทบจะเห็นเป็นรูปร่างชัดเจนรอบร่างของว่าที่ผู้นำตระกูลพานิค

     

    “เกิดอะไรขึ้น?!

     

    “ไม่เคยเกิดอย่างนี้นี่!

     

    เสียงประชาชนรอบลานพิธีเริ่มแตกตื่นเมื่อเห็นว่าเกิดพายุหมุนรอบกายของไอเรส ชาเรย์และไมร่าผุดลุกขึ้นและทำท่าจะเข้าไปในลานพิธี เพียงแต่โดนสกัดกั้นไว้จากทหารที่มารักษาความสงบ เอเปอร์ก็ลุกขึ้นแล้วพยายามจะใช้เวทย์สายพิรุณของตนเองหยุดพายุนั่นแต่ก็โดนเกรย์เซียสั่งห้ามไว้เสียก่อน พวกเขาทำอะไรไม่ได้ นี่ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ และต่อให้ทำได้..เกรย์เซียก็ไม่คิดว่าจะให้เอเปอร์ยื่นมือไปช่วยหรอก

     

    นี่เป็นบททดสอบของว่าที่ผู้นำตระกูลพานิค

     

    หากจะให้คนอื่นยอมรับก็ต้องควบคุมสถานกาณ์ให้ได้

    แม้ว่านี่จะไม่ใช่สถานการณ์ปกติก็ตาม

     

    “ท่านพี่ทาทารัส!ได้โปรดสั่งหยุดพิธีเถอะ” นัยน์ตาสีส้มอ่อนของแอสเทียร์มองเข้าไปในสายลมนั่นแล้วเกือบจะกรีดร้องออกมา เท่าที่เขาเห็น เนื้อตัวของเด็กหนุ่มคนนั้นเต็มไปด้วยเลือดจากการที่สายลมบาดผิว แม้ร่างนั้นจะยังคุกเข่าอยู่ อย่างไรก็ตาม ไอเรสเป็นคนช่วยเขาไว้ หากเขาปล่อยให้ผู้มีพระคุณต้องบาดเจ็บจนเสียชีวิต เขาคงจะมองหน้าใครไม่ได้แน่

     

    “เรอาตริส ที่เจ้าบอกให้เตรียมกำลังทหารเพราะเหตุนี้ใช่หรือไม่” ร่างกำยำไม่สนใจสิ่งที่น้องชายร้องขอ กลับไปเอ่ยถามหญิงสาวที่ไม่ได้มีสีหน้ากังวลแม้แต่น้อยราวกับว่าเป็นเรื่องปกติ

     

    “ท่านจะมีเรื่องให้แปลกใจมากกว่านี้อีกทาทารัส”

     

    สายลมยังคงหมุนกระหน่ำในขณะที่ประชาชนแตกตื่นและหาที่วิ่งหลบจนกลายเป็นชุลมุน เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วชาเรย์จึงต้องไปควบคุมผู้คนให้อยู่ในความสงบ ทั้งที่ใจยังคงห่วงลูกชายที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สำหรับเขาแล้ว หน้าที่ต่อประชาชนคือสิ่งที่เขาต้องทำ แม้อีกด้านคือครอบครัวก็ตามที

     

    “ท่านพี่..” หวางอี้คอยพยุงไมร่าที่ตอนนี้แทบจะหมดสติเมื่อเห็นสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับลูกชายของตนเอง หัวใจดวงน้อยเต้นแรงด้วยความกลัวในสิ่งที่เกิดขึ้น ถึงจะพยายามทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่แค่ไหน แต่ยามนี้หวางอี้กลับรู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆที่ไม่สามารถช่วยอะไรท่านพี่ได้แม้แต่น้อย เขาพยายามใช้สายลมของเขาเข้าไปหยุดพายุนั่น แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้

     

    เวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง สายลมนั้นจึงเริ่มอ่อนแรงจนจางหายไป เหลือเพียงเด็กหนุ่มที่คุกเข่าในท่าเดิมตั้งแต่ก่อนเกิดพายุ ใบหน้าหล่อเหลามีรอยบาดจากกระแสลมเรียกเลือดสีสดให้ไหลลงมาตามโครงหน้า เสื้อผ้าสีขาวสะอาดกลับกลายเป็นขาดเป็นริ้วและเปื้อนไปด้วยฝุ่นกับรอยเลือด ไอเรสเงยหน้าขึ้นมามองหญิงสาวที่มีสีหน้าพอใจ เมื่อเบนสายตาไปยังเชื้อพระวงศ์ทั้งสอง ทาทารัสมีสีหน้านิ่งจนเขาอ่านไม่ออก ในขณะที่เด็กชายที่เขาเจอมีสีหน้าราวกับจะร้องไห้ ก่อนที่โลกทั้งใบจะหมุนและมืดลง

     

    ตึง

     

    “เจ้า!

     

    “ท่านพี่!”  

     

    เขาได้ยินเสียงหวางอี้กับเนคต้าร์ตะโกนเรียกชื่อของเขา หากแต่ภาพที่เขาเห็นก่อนที่โลกจะมืดคือร่างเล็กของเจ้าชายน้อยแอสเทียร์ที่กระโดดลงจากลานของกษัตริย์ลงมาหาเขา

     

    อา..ไอเรส มาได้แค่นี้ซินะ..

     



    ไอ...

     

    ไอเรส..

     

    ไอเรส..

     

    เสียงเรียกชื่อเขาดังมาจากความมืด เขามองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้นแม้แต่ร่างกายของตนเอง ทั้งๆที่ร่างกายสามารถขยับได้แต่ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าข้างหน้ามีอะไรรออยู่

     

    มาหาข้าไอเรส..

    เด็กน้อยของข้า..

     

    “นั่นใคร?

     

    จงเดินตามข้า

    “ข้าถามว่านั่นใคร! ข้าจะเดินตามเจ้าได้เช่นไรหากข้ามองไม่เห็น” ไอเรสวิ่งตามเสียงไปในความมืด มีเพียงเสียงลมหายใจของเขาเท่านั้นที่บ่งบอกถึงสิ่งมีชีวิต เขาจะต้องทำอย่างไรกัน

     

    ตามหาตัวข้าจากตัวตนเจ้า..

     

    เท้าของเขาเหยียบย่ำไปบนความว่างเปล่า ร่างทั้งร่างตกวูบลงไปสู่หุบเหวบางอย่างที่เขามองไม่เห็น เสียงหัวใจเต้นดังจนแทบจะหลุดออกมาจากหน้าอก

     

    เฮือก!

     

    “ท่านพี่ไอเรส!” เขาสะดุ้งลุกขึ้นนั่งโดยมีหวางอี้คอยประคองอยู่ อีกข้างมีเนคต้าร์กับท่านพ่อท่านแม่คอยมองมาด้วยความเป็นห่วง และไม่ไกลนักมีเอเปอร์ที่ถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วหันมายิ้มตามแบบฉบับตนเองให้กับเขา

     

    “ไอเรสลูกปลอดภัย..” ไมร่าทรุดตัวลงมากอดเขาแน่นจนเขาต้องกอดเธอกลับ แม้ว่าร่างกายจะยังรู้สึกชาๆบ้าง แต่ดูเหมือนว่าหมอหลวงอย่างเกรย์เซียจะรักษาให้เขาแล้ว ดูจากบาดแผลที่สมานตัวอย่างรวดเร็วด้วยเวทย์สายรักษาที่ตอนนี้มีเพียงแค่เกรย์เซียคนเดียวที่มีเวทย์นั้น

     

    “เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม..” น้ำเสียงหวานนุ่มแต่ไม่คุ้นหูดังขึ้นขัดจังหวะ แอสเทียร์เอ่ยอย่างไม่แน่ใจแต่เมื่อเห็นว่าไอเรสมีอาการที่ดีขึ้นแล้วจึงส่งยิ้มเล็กน้อยให้กับคนเจ็บ

     

    “ข้าไม่เป็นไรแล้วเจ้าชายน้อย ขอบคุณที่ช่วยดูข้า” รอยยิ้มอ่อนโยนเช่นเดียวกับตอนที่ช่วยเด็กชายไว้ปรากฏขึ้น ส่งผลให้แอสเทียร์สะดุ้งเล็กน้อย ใบหน้าน่ารักขึ้นสีระรื่อเขินอายอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน แม้จะเคยเห็นร่างเปลือยเปล่าของคนหลายคนมาแล้ว แต่ไม่เคยมีใครทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นระรัวได้เช่นนี้ หากแต่ทันทีที่เหลือบไปเห็นสายตาเย็นชาของร่างโปร่งบางที่มองมาก็ต้องถอยหลังเล็กน้อย

     

    ขอบพระทัยองค์ชายแอสเทียร์ หากแต่ต่อจากนี้เรื่องของพี่ชายกระหม่อม ตระกูลพานิคดูแลเองได้พะยะค่ะ” น้ำเสียงนุ่มนวลสุภาพแต่แฝงไปด้วยกำแพงที่ขวางกั้นด้วยระบบฐานะเอาไว้ หวางอี้ส่งรอยยิ้มการค้าให้กับเด็กชายผู้สูงศักดิ์ แต่สำหรับคนที่รู้จักหวางอี้ดีอย่างไอเรสแล้ว นั่นคือการบอกเป็นนัยว่าอย่าเข้ามายุ่งเรื่องภายในตระกูลเขาเด็ดขาด

     

    “หากเป็นเช่นนั้นข้าขอตัว” ใบหน้าน่ารักเชิดขึ้นอย่างไว้ตัวเมื่อเห็นท่าทางของบุตรคนที่สองตระกูลพานิค เขารู้ว่าตระกูลพานิคเป็นพวกเชื่อมั่นในสายเลือดตนเองและจะไม่ยอมฟังคำสั่งใครทั้งสิ้นนอกจากกษัตริย์ นั่นหมายถึงเขายังไม่มีอำนาจพอที่จะแสดงให้เห็นได้ ร่างเล็กหันหลังกลับไปขึ้นอาชาที่ถูกผูกอยู่หลังลานพิธี เนื่องจากเขาให้พี่ทาทารัสกลับไปก่อน ส่วนเขาจะขออยู่ดูอาการของคนที่เขารู้สึกถูกชะตาด้วย

     

    แต่สิ่งที่ข้องใจเขามาตลอดหลังเกิดเหตุการณ์นี้

    ปีก.. แม้จะเพียงรางๆยามที่พายุพัดกระหน่ำ

    และไม่มีใครมองเห็น

    เขาว่าเขาเห็นปีกสีขาวเพียงข้างเดียว ก่อนจะจางหายไป

     

    ไอเรส วีคาร์ส พานิค คือบุคคลที่ไม่สามารถทำพันธะสัญญาได้

     




    “น่าสนใจดีใช่ไหม เด็กคนนั้นน่ะ” หญิงสาวเดินตามหลังร่างสูงกำยำของกษัตริย์แห่งเบทริกซ์ไปด้วยฝีก้าวช้าๆ เธอรู้ดีว่าการทำพันธะสัญญาครั้งนี้ไม่สำเร็จ และไอเรส วีคาร์ส พานิคไม่สามารถใช้พลังจากพันธะสัญญาได้ รวมถึงไม่จำเป็นต้องฟังคำสั่งสายเลือดขององค์ปฐมกษัตริย์อีกด้วย

     

    แต่เท่าที่ดูจากพายุในวันนี้แล้ว ต่อให้ไม่มีพลังจากพันธะสัญญา..

    ไอเรสก็ถือว่ามีเวทย์ที่แข็งแกร่งจนหาตัวจับได้ยากเลยทีเดียว

    แม้ว่าจะควบคุมไม่ได้ก็เถอะ

     

    “เจ้าคิดเรอาตริส เอ่ยออกมาอย่ายืดเยื้อ ข้าคร้านจะฟัง” น้ำเสียงที่ออกมาบ่งบอกให้รู้ว่าหากเธอไม่พูดในสิ่งที่ต้องการจะเอ่ย คงได้มีคนอารมณ์เสียและไประบายกับสนามรักล่ะมั้ง

     

    “เด็กหนุ่มรูปงามชาติตระกูลสูงกับพลังเวทย์ที่สูงจนหาตัวจับได้ยาก..และดูท่าทางแอสเทียร์จะพึงพอใจเขาไม่น้อย” ริมฝีปากแดงยังคงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย้าหยอกจนมือแกร่งทุบกำแพงเสียงดังเป็นการบอกให้หยุดล้อเล่น แต่หญิงสาวก็ไม่ได้รู้สึกหวั่นเกรงอะไร

     

    “ฐานะของตระกูลพานิคกำลังสั่นคลอนจากเหตุการณ์ในวันนี้ แต่ข้าบอกได้ว่าแทนที่ตระกูลจะล่มจม กลับผงาดขึ้นมาได้เพราะเด็กคนนั้น.. มันเป็นเงื่อนไข

     

    ทาทารัสหยุดเดินชั่วครู่ “ต้องทำอะไรก็ทำ..แต่อย่าให้แอสเทียร์ได้รับอันตราย..” มือแกร่งผลักประตูเข้าไปยังห้องทำงานโดยไม่สนใจหญิงสาวที่มีรอยยิ้มมุมปากปรากฏอยู่ ขาเรียวก้าวเดินต่อไปยังห้องส่วนตัวของตนเอง ในวันนี้เธอหมดหน้าที่แล้ว

     

    “วิหกที่ไม่มีปีกน่ะ ต่อให้พยายามอย่างไรก็บินไปไหนไม่ได้หรอกนะ” 



    ---------------------

    Talk

    ตัวละครออกเกือบครบในตอนนี้ คาแรคเตอร์ใครไม่ตรงความคิดท้วงได้เลยนะคะ!

    ยังเป็นอดีตอยู่ แต่ตอนหน้าก็จะพาสไปปัจจุบันแล้วนะ

    พี่น้องฟารอสนี่เขียนค่อนข้างยาก เพราะนิ่งทั้งคู่ แต่จะพยายามเขียนให้ตรงที่สุดนะคะ


    ทุกคอมเม้นต์คือกำลังใจของเรา ขอให้สนุกกับนิยายค่ะ


    ปล. เรนนี่หนีไปต่างประเทศ 5วัน เพราะฉะนั้นจะอัพนิยายช้า เนื่องจากกลับมาต้องมาเคลียร์งานทั้งหมด

    เลยมาอัพให้ก่อน เป็นของขวัญวันหยุดยาวค่ะ

    ปล.2 ทุกคนโอเคไหมกับฉากเรท หากมี แต่ไม่ได้เรทมากนะคะ เพราะดูตัวละครแล้วคงต้องมีฉากนี้บ้างแหละ

    © themybutter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×