คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : tale 11 การพบกันของโชคชะตา [50%]
Chapter 11 การพบกันของโชคชะตา
กล่องไม้ใบเล็กถูกหยิบขึ้นมาสำรวจอีกครั้งในรอบหลายวัน
นัยน์ตาสีทองสว่างจ้องมองมันอย่างครุ่นคิด
ไอเรสยังไม่รู้ว่าเขาควรจะเปิดกล่องใบนี้เมื่อไหร่
และไม่รู้ว่าอะไรอยู่ข้างในกล่องใบนี้ แต่เขาความรู้สึกส่วนลึกในจิตใจของเขาร้องเตือนให้เปิดมันบ่อยครั้ง
เพียงแต่ทุกครั้งที่เขาจะลองเปิดมันออกมา ก็จะมีอะไรมาขวางเขาตลอด
ครั้งแรก มีแมวที่ไม่รู้มาจากไหนหลุดเข้ามาในห้องทำงานของเขา
ครั้งที่สอง โดนเรียกตัวกระทันหันจากผู้ใต้บังคับบัญชา
ครั้งที่สาม เกิดปัญหาขึ้นที่เมืองในปกครองของพานิค
ทำให้เขาต้องรีบรุดไปตรวจสอบ
บางทีเขาก็คิดว่ามันอาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่มีอะไรมาขวางการเปิดกล่องนี้
แต่ยังไงก็ตาม มันอาจจะยังไม่ถึงเวลา เสียงประหลาดที่เขาเคยได้ยินในหัว
ตอนนี้ก็เงียบหายไปได้พักใหญ่แล้ว เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเขาคือทำงานแทนท่านพ่อให้ดีที่สุด
ตราบใดที่ชาเรย์ยังมีลมหายใจอยู่ ฐานะของไอเรสยังคงเป็น ‘ว่าที่ผู้นำตระกูลพานิค’
แต่ทุกคนในคฤหาสน์จะเริ่มเรียกเขาว่า ‘นายท่าน’ แทนคำว่าคุณชายแล้ว
นั่นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเขาไม่ได้เป็นเพียงแค่คุณชายตระกูลพานิคแล้ว
“ท่านพี่ จวนจะได้เวลาแล้วท่านควรจะเตรียมตัวได้แล้ว”
น้ำเสียงนุ่มนวลจากผู้ที่เข้ามาทำให้คนที่ถูกเรียกหันกลับไปให้ความสนใจกับร่างโปร่งบาง
หวางอี้ในชุดเรียบง่ายทว่าหรูหราและเหมาะสมกับโอกาส
ผมยาวสีขาวพิสุทธิ์ถูกรวบขึ้นแล้วใช้ปิ่นทองประดับไว้ งดงามแต่ไม่โดดเด่นจนเกินควร..
น้องชายของเขารู้ดีว่าควรวางตัวอย่างไรในแต่ละงาน
“พี่ให้คนเตรียมของขวัญสำหรับงานวิวาห์แล้ว เจ้าไม่ต้องกังวลหรอก” ไอเรสยังคงรู้หน้าที่ดี
วันนี้เป็นวันเข้าพิธีวิวาห์ขององค์ชายแอสเทียร์กับกษัตริย์ไซรัสจากอบิโทร
ดังนั้นสองข้างทางในเมืองจึงประดับไปด้วยช่อดอกไม้
ผู้คนในเมืองหลวงต่างพากันแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีสันสดใส
นอกจากนี้ในยามนี้อาณาจักรยังเปิดให้คนเข้ามาแสดงความยินดีกับงานมงคลในครั้งนี้ด้วย
ถือเป็นแผนกระตุ้นการเดินทางค้าขายของเขาไปได้ดี
ถึงแม้ว่าจะไม่มีหน้าที่รับผิดชอบในงานพิธีวิวาห์ แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะว่างงานจนไม่มีอะไรทำ
หงส์ขาวอยู่ข้างกษัตริย์มายาวนานในฐานะที่ปรึกษาส่วนพระองค์จนปลูกฝังเป็นธรรมเนียมยาวนานกว่าที่ใครคิด
แน่นอน รวมทั้งเขาด้วย
ไอเรสสวมเสื้อนอกสีเทาก่อนจะติดตราสัญลักษณ์ประจำตระกูลไว้ที่อกเสื้อข้างซ้าย
ตราที่บ่งบอกว่าเขาเป็นคนของตระกูลพานิค
หงส์ขาวขององค์ราชัน
“ไปเถอะหวางอี้ ตระกูลพานิคไปช้ากว่านี้คงไม่ดีเท่าไหร่” ร่างสูงสง่าตวัดตัวขึ้นบนอาชาคู่ใจก่อนจะนำขบวนรถม้าที่มีนายหญิงแห่งตระกูลพานิคและคุณชายรองนั่งอยู่ด้วย
ในขณะที่บุตรชายบุญธรรมอย่างเนคต้าร์ถูกลงโทษโดยการกักบริเวณ ไม่เว้นแม้แต่งานพิธีสำคัญอย่างพิธีวิวาห์ขององค์ชาย
.
.
นัยน์ตาสีทองสว่างกวาดตามองไปทั่วลานพิธีอย่างสำรวจ
ก่อนที่จะสบเข้ากับร่างของเพื่อนสนิทที่ยืนอยู่ข้างผู้นำตระกูลจึงรีบสาวเท้าเข้าไป
กึก!
ขายาวหยุดชะงักทันทีที่รับรู้ได้ถึงกระแสแรงกดดันที่พวยพุ่งเข้ามายังลานพิธีอย่างไม่มีสาเหตุ
และไม่ใช่แค่ไอเรสที่รู้สึกเท่านั้น
“พลังแบบนี้หาได้ยากเหมือนกันนะ ว่าไหม” นัยน์ตาสีดำฉายประกายสนใจแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เบเรียสถอดถุงมือหนังออกก่อนที่จะขยับนิ้วเพียงเล็กน้อย เปลวเพลิงพลันลุกจากโคมทันที
ชายหนุ่มขยับกลับมายืนข้างไอเรสราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ข้าจะออกไปหาต้นเหตุ ก่อนจะเกิดเหตุอะไรเกิดขึ้น”
ไอเรสตั้งสติแล้วหันหลังพลางมองหาทิศทางที่แรงกดดันนั้นออกมา
แต่กลับถูกรั้งไว้ด้วยสัมผัสหนักๆ บนไหล่ก่อน
“นั่นไม่ใช่หน้าที่ของนาย..อีกอย่าง” ไม่มีคำพูดต่อจากริมฝีปากผู้นำตระกูลคาเลน
สายตาของชายหนุ่มตระกูลพานิคถูกหยุดด้วยร่างของเด็กหนุ่มวัยไล่เลี่ยกับน้องชายบุญธรรมที่เดินผ่านเข้าไปในตรอกเล็กๆพร้อมกับแรงกดดันที่หายไปราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
แรงกดดันหายไปแล้ว หายไปพร้อมกับร่างของไอเรส วีคาร์ส พานิค
“เบเรียส คุณเห็นไอเรสหรือเปล่า ผมนึกว่าคุณไอเรสอยู่กับคุณ” หมอหลวงหนุ่มเดินเข้ามาทันทีที่เห็นว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นและหายไปในเวลาไม่นาน
ยิ่งในเวลาแบบนี้ตระกูลวิหคควรจะอยู่เพื่อจัดการความเรียบร้อยของพิธี
“นายเชื่อเรื่องโชคชะตาหรือเปล่าเกรย์เซีย..” มือแกร่งวางลงข้างลำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แต่สายตาที่บ่งบอกว่าผู้นำเหยี่ยวแดงคนนี้รู้สึกสนใจอะไรบางอย่างก็ทำให้เกรย์เซียรู้ว่ามันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ
“ท่านเรอาตริสพูดอะไรมาหรอครับ?”
“เปล่าหรอก นายก็รู้ว่าไม่มีใครได้พบท่านเรอาตริสเป็นการส่วนตัวบ่อยๆ”
เบเรียสยิ้มแล้วพาดแขนไปที่ไหล่หมอหนุ่มให้เดินกลับไปดูความเรียบร้อยเหมือนเดิม
ในขณะที่เกรย์เซียยังคงไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น และคำถามของเบเรียสคืออะไร
แต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ยอมพูด เขาก็จะรอทุกอย่างเฉลยออกมาเองก็ไม่สาย
คนที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่น่ะ ไม่มีวันปฏิเสธสิ่งที่ต้องทำได้หรอก
รวมทั้งตัวตนของเกรย์เซีย ฟลอเรนซ์ ที่ไม่มีตระกูลโรซาลีนมาต่อท้าย.. “เบเรียส
ถ้าคุณเป็นแค่เบเรียส ไอม์ คุณจะทำอะไร”
“ทำสิ่งที่ทำอยู่ตอนนี้น่ะสิ”
“อยู่ข้างองค์กษัตริย์?”
แวบหนึ่งที่เกรย์เซียเห็นรอยยิ้มของเบเรียสกระตุกก่อนจะกลับมาเป็นปกติ
“เปล่า” ชายหนุ่มที่สูงกว่าผ่อนฝีเท้าเล็กน้อย
“ปกป้องคนสำคัญต่างหากเกรย์เซีย”
.
.
.
วังหลวง เบทริกซ์
ปัง!
เสียงตบโต๊ะอย่างแรงจนเหล่านางกำนัลสะดุ้งพร้อมกับรีบถอดกรูดไปด้านหลัง
แอสเทียร์ไม่สนใจแขกแปลกหน้าที่นั่งจิบชาอยู่ด้วยท่วงท่าสง่างามจนน่าหมั่นไส้สำหรับเขา
กษัตริย์ไซรัส ผู้ปกครองอาณาจักรอบิโทร
ถึงจะบอกว่าใบหน้าหล่อเหลานั่นดูสุขุม เยือกเย็นและสุภาพก็เถอะ
แต่สำหรับเขามันไม่ใช่เลยสักนิดเดียว! แอสเทียร์ขอยืนยันว่าลุงนี่ไร้มารยาทอย่างรุนแรง
หรือจะให้บอกอีกอย่างก็คือ สิ่งที่ทุกคนเห็นกับสิ่งที่เขาเห็นมันต่างกันราวฟ้าเหว!
“ข้าจะไม่มีวันเข้าพิธีวิวาห์กับลุ...” “แอสเทียร์!!” เสียงตวาดจากกษัตริย์แห่งเบทริกซ์หยุดคำพูดขององค์ชายหนุ่มไว้
แอสเทียร์สูดหายใจลึกๆ ก่อนจะยอมนั่งลงตามคำสั่งของทาทารัส โดยมีสายตาของนางกำนัลทั้งหมดมองตามด้วยความโล่งอก
อย่างน้อยพวกเธอก็ไม่ต้องมาเก็บกวาดถ้วยชาในวันนี้
“เจ้าย่อมรู้ดีแก่ใจว่าสายเลือดของปฐมกษัตริย์มีหน้าที่อันใด”
ไม่ใช่ว่าทาทารัสเกรงใจกษัตริย์จากอบิโทรมากเสียจนต้องห้ามปรามน้องชาย
เพียงแต่สิ่งที่พวกเขาต้องยึดถือคือเกียรติและศักดิ์ศรีของเบทริกซ์รวมทั้งหน้าที่ของสายเลือดที่ต้องปกป้องเกียรติของปฐมกษัตริย์
สิ่งที่ทาทารัสเอ่ยยิ่งทำให้แอสเทียร์เถียงไม่ออก
ฟันคมขบลงบนริมฝีปากนิ่มแรงๆ
จนรับรู้ได้ถึงความแสบและของเหลวอุ่นไหลซึมออกมาตามบาดแผล
เด็กหนุ่มลุกขึ้นโค้งเล็กน้อยเป็นการขออภัยตามมารยาทให้กับแขกผู้มาเยือน
ซึ่งนั่นเรียกรอยยิ้มมุมปากจากอีกฝ่ายได้ก่อนจะเลือนหายไปเป็นรอยยิ้มสุขุมดังเดิม
“ข้าเข้าใจว่าองค์ชายคงจะไม่คุ้นเคยกับข้า
จึงแสดงอาการต่อต้านเช่นนั้น” น้ำเสียงนุ่มทุ้มวนเคลิบเคล้มของกษัตริย์ไซรัสทำให้นางกำนัลบางส่วนอดที่จะหน้าแดงด้วยความเขินไม่ได้
บางทีพวกเธอก็ไม่เข้าใจองค์ชายเลยว่าทำไมถึงแสดงอาการต่อต้านการวิวาห์ขนาดนี้
ทั้งที่ว่าที่พระสวามีออกจะเป็นคนที่สุขุม ดูพึ่งพาได้แท้ๆ
แต่ก็นั่นล่ะ คนมีตำแหน่งในวังเบทริกซ์ ดูจะเข้าใจยากเกือบทุกคน
“ข้าขอตัวก่อนท่านพี่ทาทารัส ข้ายังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมาก”
แอสเทียร์รู้สึกคิ้วกระตุกกับคำพูดของไซรัส
ยิ่งพอพูดแบบนั้นเขาก็จะยิ่งกลายเป็นเด็กเอาแต่ใจที่ไม่รู้หน้าที่ต่อหน้าทุกคน
แล้วต่อให้พูดว่าจะไม่เข้าพิธียังไงมันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว
หน้าที่ของเขาคืออะไรย่อมรู้ดีแก่ใจ
ร่างเล็กลุกขึ้นก่อนจะเดินออกไปโดยมีสายตาของสองกษัตริย์มองตามไป
“แอสเทียร์ถึงจะเอาแต่ใจไป แต่น้องชายของข้าย่อมรู้หน้าที่ดี” ทาทารัสเอ่ยเสียงเรียบเมื่อเห็นว่าในห้องเหลือเพียงแค่ตนเองกับกษัตริย์ไซรัส
“และอย่างน้อยเป็นองค์ชายของเบทริกซ์
หวังว่าท่านจะไม่กระทำการใดที่หักหาญน้ำใจน้องข้าเกินไปนัก”
“ไม่ต้องกังวลหรอกกษัตริย์ทาทารัส ข้าไม่เคยหักหาญน้ำใจของผู้ใด..” นัยน์ตาสีอเมทิสต์มองกลับมายังคู่สนทนา
กษัตริย์ทาทารัสมีอายุน้อยกว่าแต่กลับวางตัวและพูดจาได้ตรงไปตรงมา
ดูท่าว่าองค์ชายของเบทริกซ์เองก็ได้นิสัยส่วนนี้มาไม่น้อย
หรืออาจจะมากกว่าเนื่องจากวุฒิภาวะที่น้อยกว่ากษัตริย์
ในตอนแรกไซรัสเองก็ยังแปลกใจที่กษัตริย์ทาทารัสให้คนส่งราชสาสน์มาถึงอบิโทร
ขอเจริญสัมพันธไมตรีด้วยการวิวาห์ แทนที่จะทำสงครามอย่างที่คิดไว้ แต่ในเมื่อไม่มีสงครามก็ย่อมดีกับทั้งฝ่ายอบิโทรและเบทริกซ์
ดังนั้นการปฏิเสธข้อเสนอชั้นเยี่ยมนี้ดูจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเท่าไหร่
ส่วนเรื่องที่องค์ชายแอสเทียร์ไม่ชอบเขา มันไม่ใช่เรื่องใหญ่
ในเมื่ออะไรที่เขาถูกใจแล้ว..สิ่งนั้นจะต้องกลายเป็นของเขาอยู่ดี
ใช่
ไซรัสค่อนข้างถูกใจรูปลักษณ์ของแอสเทียร์ไม่น้อย ถึงจะเป็นบุรุษ แต่มีใบหน้าที่น่ารักและสายเลือดของภูตน้ำแข็งที่น่าสนใจมาทดแทน
และนั่นก็เพียงพอที่ทำให้เขาสนใจได้แล้ว ส่วนเรื่องนิสัยดื้อรั้น
นั่นก็ยิ่งทำให้เขาอยากปราบเด็กคนนั้นให้อยู่ใต้คำสั่งเขาให้ได้
เขาเป็นพวกชอบทำให้สัตว์เลี้ยงเชื่องเองด้วยสิ..
เพียงแต่ครั้งนี้คงต้องเบามือลงหน่อย
ว่าที่พระชายาของเขาไม่ใช่คนต่ำต้อยที่ไหน
ไซรัสขอตัวออกจากห้องรับรองในวังเพื่อเตรียมตัวในการเข้าพิธี
แต่ทันทีที่เดินผ่านห้องหนึ่ง กษัตริย์หนุ่มกลับได้ยินเสียงกรีดร้องจากนางกำนัล
พร้อมเสียงเอะอะวุ่นวายข้างในห้อง
จากที่คิดว่าจะเดินผ่านไปเฉยๆก็ต้องหยุดแล้วมองลอดผ่านประตูแทน
สิ่งที่เกิดขึ้นในนั้นทำให้ไซรัสต้องรีบก้าวเข้าไปในห้องเพื่อมองสิ่งที่เกิดขึ้นให้ชัดเจนอีกครั้ง
นางกำนัลข้างกายองค์ชายแห่งเบทริกซ์ต่างถอยให้แขกสูงศักดิ์เข้าไปใกล้นายเหนือหัวของพวกเธออย่างกังวล
จนเด็กหนุ่มส่งสัญญาณว่าให้ออกจากห้องได้ เหลือเพียงแค่สองคนในห้องเท่านั้น
“ตาเจ้า..” ดวงตาสีส้มอ่อนกลายเป็นสีเงินอย่างน่าประหลาด
“กษัตริย์ไซรัส
ถ้าท่านยังมองด้วยสายตาแบบนี้ข้าจะถือว่าท่านไม่ให้เกียรติข้า”
แอสเทียร์เอ่ยเสียงเรียบก่อนจะหลับตาลง นัยน์ตาคู่สวยจึงกลับมาเป็นสีดังเดิม
นี่เป็นผลมาจากสายเลือดภูตน้ำแข็งในตัวของเขา คิดว่าอีกฝ่ายก็คงหาข้อมูลมาอย่างดี ซึ่งแอสเทียร์เองก็ไม่ได้สนใจตรงนั้นอยู่แล้ว
“อีกอย่าง ข้าทำเพื่อเบทริกซ์
ไม่ได้หมายความว่าข้าจะกลายเป็นคนของอบิโทร” มือบางจัดการผูกผ้าพันคอให้เรียบร้อย
ซึ่งนั่นทำให้ไซรัสยิ่งสนใจความหยิ่งในศักดิ์ศรีของแอสเทียร์
เดิมทีเขาคิดว่าแอสเทียร์คงจะเป็นเด็กเอาแต่ใจธรรมดา
ไม่คิดว่าจะคิดถึงอาณาจักรมากขนาดนั้น
เด็กคนนี้น่าสนใจกว่าที่คิด..
แต่อย่างไรก็ตาม..
ร่างสูงเดินเข้าประชิดตัวแอสเทียร์โดยไม่ทันรู้ตัว มือแกร่งเชยคางว่าที่พระชายาขึ้นมา นัยน์ตาสีส้มอ่อนดุจอัญมณีดึงดูดเขาอย่างน่าประหลาด หรือแม้แต่ตอนที่ตาเปลี่ยนเป็นสีเงินก็ดูเข้ากับเด็กหนุ่มคนนี้ดี ผิวนิ่มละเอียดจนเขาไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นองค์ชาย ช่างต่างจากกษัตริย์ทาทารัสมากเสียเหลือเกิน.. นี่คงเป็นผลมาจากมารดาที่เป็นภูต
ใบหน้าคมคายก้มลงจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจของอีกฝ่ายก่อนจะประกบริมฝีปากร้อนเข้าด้วยกัน
กษัตริย์ไซรัสกำลังหลงใหลว่าที่พระชายา
อีกหนึ่งคำสาปของภูตน้ำแข็งที่มีต่อบุตรชายของตนเอง
ความคิดเห็น