คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : Tale 6 : เข้าร้านเหล้าต้องเงียบๆ แต่ถ้าเจอหนูให้ส่งเสียงไว้
บทที่6 เข้าร้านเหล้าต้องเงียบๆ แต่ถ้าเจอหนูให้ส่งเสียงไว้
เจ้าของร่างโปร่งบางเดินเข้ามาในร้านเหล้ากลางเมืองแล้วนั่งลงที่เคาน์เตอร์อย่างคุ้นเคย
นัยน์ตาสีแดงดูหยิ่งยโสแต่ด้วยใบหน้างามทำให้เขากลายเป็นที่สนใจของหลายคนในร้าน
“เจ้ามาทีไร ข้าจะต้องขาดทุนอีกใช่ไหม”
น้ำเสียงหยอกล้อจากชายหนุ่มที่กำลังชงเครื่องดื่มให้กับลูกค้าเอ่ยขึ้นหยอกผู้มาเยือนอย่างไม่เกรงกลัวสายตาของอีกฝ่าย
“แค่แก้วเดียวนายไม่ขาดทุนหรอกเฟมัส”
เจ้าของชื่อเฟมัสโคลงหัวเล็กน้อยกับคำพูดนั้น อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ขาดทุนอะไร
แค่อยากแซวเพื่อนร่วมงานคนสวยเล่นเฉยๆ
มีใครบ้างที่เข้ามาร้านเหล้าแล้วไม่สั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์
แต่กลับสั่งน้ำผลไม้ผสมแทน
“ข้ารอคิดทบดอกที่เจ้าเคยระเบิดร้านข้าด้วยร่างกายเจ้าแทนแล้วกันเอเวล..”
ใบหน้าดูดีของเฟมัสยื่นไปกระซิบเบาๆข้างหู ก่อนที่จะรู้สึกแสบเบาๆที่คอ
มีดเล่มเล็กกำลังจ่ออยู่ที่คอเขาด้วยฝีมือของเด็กหนุ่มนัยน์ตาสีแดง
“นายคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วสินะ” เอเวลกัดฟันพูด
เขาไม่ชอบให้ใครมาเล่นตลกกับร่างกายหรือใบหน้าของเขา
แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายแค่หยอกเล่นก็ตาม เฟมัสเพียงแค่มองมีดคมกริบแล้วค่อยๆดันคมมีดออกโดยไม่สนใจว่ามันจะบาดนิ้วเขาหรือเปล่า
เพราะยังไงแผลแค่นี้ก็เทียบไม่ได้กับตอนออกภาคสนามล่ะนะ
“ความไวและนิสัยของเจ้ายังเหมือนเดิม” ชายหนุ่มรู้ดีว่านิสัยของคนอายุน้อยกว่าเป็นอย่างไร
เพราะทำงานด้วยกันมาหลายปี เอเวลมีฝีมือและการตัดสินใจที่เด็ดขาด
ความภักดีต่อตระกูลก็เช่นกัน.. ถ้าเทียบกับบรรดาเหยี่ยวแดงแล้ว เอเวลจัดอยู่ในลำดับต้นๆในหลายด้าน
แต่ข้อเสียคือใบหน้าและนิสัยที่หยิ่งยโสทำให้เวลาทำงานกับเหยี่ยวคนอื่นแล้ว
เอเวลจะเป็นพวกตัวปัญหาไปทันที
เขาเองกว่าจะสนิทกับเอเวลได้ถึงขนาดนี้ก็ต้องใช้เวลานานสองสามปีเหมือนกัน
“ช่างมันเถอะ” มือเรียวเก็บมีดลงแล้วยกน้ำผลไม้ขึ้นดื่มรวดเดียวโดยมีสายตาของเฟมัสมองตามแล้วส่ายหน้าน้อยๆ
ยังไงเอเวลก็ยังเด็กอยู่ดี แพ้เหล้าแต่ดันมาร้านเหล้าแล้วสั่งน้ำผลไม้
ถ้าเป็นร้านอื่นก็คงไม่มีแล้ว แต่ที่นี่เขาจะเตรียมเอาไว้เผื่อ
“คราวนี้นายท่านสั่งอะไรที่มันยากอีกแล้วใช่ไหม”
“อืม นายรู้จักอวาลอนใช่ไหม”
“หือ อวาลอน? เมืองลึกลับนั่น..ข้าเคยได้ยินมาบ้าง”
อวาลอนเป็นเมืองที่คนในไม่ได้ออก คนนอกไม่มีทางเข้า
มีตำนานหลายเล่าว่าเมืองนั้นเป็นเมืองที่ถูกสัตว์ประหลาดโจมตีอยู่บ่อยครั้งแต่ก็ถูกปราบปรามได้ทุกครั้ง
เพียงแต่เท่าที่เขาได้ยินมามันล่มสลายไปนานกว่า 400 ปีแล้ว
“ตราแห่งอวาลอน..นายท่านอยากรู้เรื่องนี้”
เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ดูเหมือนงานนี้จะยากเกินไปที่จะทำคนเดียว เขาก็ไม่ไว้ใจเหยี่ยวคนอื่นนอกจากเฟมัส
ยิ่งมากคนก็มากความ
แต่ถ้าเป็นเฟมัสที่ทำงานอยู่ที่ร้านเหล้าน่าจะเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเมืองลับแลนั่นมากกว่าเขาที่ตะลอนไปที่ต่างๆ
ใช่..เฟมัส เป็นเหยี่ยวแดงที่ทำงานให้ตระกูลคาเลนเช่นเดียวกับเขา
“ต้องการให้ข้าช่วยไหม?”
“ฉันไม่ได้ต้องการให้นายช่วย!”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าคงจะรู้แล้วสินะ..ว่าอวาลอนมีทายาท”
เฟมัสกระตุกยิ้มมุมปาก ดูก็รู้ว่างานนี้ยากเกินที่เด็กหนุ่มคนนี้จะทำงานคนเดียวได้
แค่เอเวลเป็นพวกปากไม่ตรงกับใจเท่านั้นล่ะ..
ก็การขอความช่วยเหลือจากเขามันทำให้เจ้าตัวรู้สึกเสียศักดิ์ศรีเบาๆ
“นายว่าอะไรนะ!?” นัยน์ตาสีแดงเบิกกว้าง ร่างโปร่งบางเผลอลุกขึ้นอย่างแรงจนกลายเป็นที่สนใจของคนในร้านจนเฟมัสต้องลากเอเวลให้ไปข้างนอกด้วยกัน บางทีเอเวลคงจะลืมไปแล้วว่านี่มันเป็นความลับของพวกเขา งานอะไรก็ตามที่นายท่านสั่งล้วนเป็นความลับทั้งสิ้น
หากความลับนี้รั่วไหลออกไป..
นายท่านของพวกเขาก็ไม่ปราณีเช่นกัน
เขาจะไม่มีทางลืมเด็ดขาด
นัยน์ตาสีฟ้ามองไปรอบๆอย่างหวาดระแวง
เนคต้าร์ไม่แน่ใจว่าเขากำลังอยู่ส่วนไหนของเมืองกันแน่
ถึงแม้ว่าเขาจะเข้ามาที่เมืองหลวงบ่อยครั้ง แต่ทุกครั้งก็จะมีผู้ติดตามหรือมากับพี่ชายทั้งสิ้น
แต่ครั้งนี้..เขาเข้ามาเพียงคนเดียวโดยไม่มีคนรู้
เพราะพี่ไอเรสเองก็ถูกเรียกตัวเข้าวังตั้งแต่เช้ามืด ท่านพ่อชาเรย์ก็ยังไม่หายดี
ขาเรียวก้าวเดินต่อไปแม้จะไม่รู้ว่าซอกซอยเล็กๆนี่จะพาเขาไปโผล่ที่ไหน
แต่ก็ดีกว่ายืนอยู่เฉยๆแบบนี้ อย่างน้อยก็น่าจะไปโผล่ในพื้นที่สำคัญๆของเมือง
แต่ยิ่งเดินเข้าไปในซอย เนคต้าร์ก็เริ่มเห็นว่ามันเป็นพื้นที่เสื่อมโทรม
ไม่ว่าจะเป็นอาคารเก่าใกล้พัง ขยะเกลื่อนกลาด รวมทั้งคนที่สายตาไม่เป็นมิตร..
เนคต้าร์เคยเป็นเด็กกำพร้า
ถูกกดขี่ จนแทบจะกลายเป็นตุ๊กตาไร้ชีวิต
แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยต้องอยู่ข้างถนนอย่างคนพวกนี้
“เฮ้ คุณหนูหลงทางมาหรอ” บางที เนคต้าร์ก็สงสัย..
ทำไมเขาจะต้องเจออะไรแบบนี้บ่อยๆ ชายตัวโตสามคนที่เดินมาทางเขานี่คงไม่ได้มาถามว่า
หลงทางมา จริงๆแน่นอน เด็กหนุ่มก้าวขาให้เร็วขึ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากตรงนี้
แต่แขนเรียวกลับถูกกระชากไปด้านหลังอย่างแรง
“หือ เจ้าเด็กนี่เป็นคนตระกูลวิหคนี่”
ชายคนที่จับแขนเนคต้าร์เอ่ยเมื่อเห็นว่าเป็นใคร
“ถ้ารู้แล้วก็ปล่อยฉัน”
“เอ๋ๆ คุณหนู พวกเราจะปล่อยคุณหนูแน่ แต่..หลังจากไปกินข้าวกับพวกเราก่อน”
กินข้าวของพวกมันก็คือการจับเขาไปนั่นล่ะ เนคต้าร์รู้สึกเกลียดสายตาแบบนี้
สายตาที่ดูเหมือนจะข่มเหงเขาได้ทุกเมื่อ ถึงเขาจะตัวเล็ก
แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมให้ใครมาทำแบบนี้กับเขาง่ายๆ
มือข้างที่ยังเป็นอิสระสะบัดสายลมให้หมุนรอบตัวเขาอย่างช้าๆและค่อยๆเพิ่มความเร็วมากขึ้น
จนกระทั่งสายลมคมบาดแขนของชายที่จับเขาไว้ทีละเล็กทีละน้อย
“เฮ้ย นี่มันอะไรกัน!?”
“เวทย์ เด็กนี่ใช้เวทย์ลม!”
“ให้ตายซิ! หลบกันก่อน”
สายลมรุนแรงค่อยๆลดระดับความเร็วลงจนจางหายไป
เนคต้าร์มองพวกที่จะจับเขาหนีไปด้วยความสบายใจ นี่เขาใช้พลังไม่ถึงหนึ่งส่วนสี่
เหงื่อของเขายังไม่ออกด้วยซ้ำ ถ้าเทียบกับตอนที่พี่ไอเรสฝึกให้แล้ว
พวกนักเลงกระจอกพวกนี้แค่สายลมเบาๆก็วิ่งหนีจนล้มลุกคลุกคลานแบบนั้น
นัยน์ตาคู่สวยก้มมองรอยบาดที่มือแล้วมองไปรอบๆ
ถ้าเขามีแผลเพิ่มพี่ไอเรสจะไม่สบายใจ และเขาไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น
เพราะแค่นี้พี่ไอเรสก็เหนื่อยแล้ว เขาไม่อยากเป็นภาระให้กับพี่ชายอีก
แต่ตรงแถวนี้จะหาร้านขายยาได้ที่ไหน
จะว่าไป เขาจำได้ว่าตัวเองยังหลงทางอยู่
จี๊ด.
จี๊ดจี๊ด.
สัมผัสบางอย่างที่วิ่งผ่านเท้าเล็กไปอย่างรวดเร็วพร้อมส่งเสียงร้อง
ทำให้เนคต้าร์ยืนตัวแข็ง เขาภาวนาให้ตัวเองหูฝาด และคิดไปเองว่ามีอะไรวิ่งผ่านบนเท้าของเขา
แต่สายตาก็ดันไปเห็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆสามสี่ตัววิ่งบนกองขยะไปมาอย่างมีความสุข
หนู
“...ห..ห..หนู..” เสียงเริ่มสั่นเมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตที่น่าขยะแขยง
น่ากลัว น่ารังเกียจที่สุด ร่างกายไม่สามารถขยับไปไหนได้ดังใจ แม้ว่าอยากจะวิ่งหนีแค่ไหนก็ตาม
เนคต้าร์บอกได้เลยว่าระหว่างนักเลงตัวโตสามคนกับหนูพวกนี้..
เขายอมไปกับพวกนักเลงดีกว่าที่จะเจอหนูแบบนี้
จี๊ด.
“อ..อย่..อย่าเข้ามานะ!”
เนคต้าร์ตะโกนเสียงดังเมื่อลูกตาสีแดงหันกลับมาสนใจเขา
แล้วทำท่าจะวิ่งจากกองขยะมาตรงเขายืนอยู่ สมองของเขาเบลอไปหมด
เขาทั้งกลัวทั้งเกลียดหนูรองจากที่แคบๆเลย
ทั้งๆที่เมื่อกี้ใช้พลังไปไม่มากกับพวกนักเลง
แต่พอมาเจอหนูแล้วสติของเขาไม่อยู่ในภาวะที่ใช้เวทย์ได้เลย
“เนคต้าร์?”
หมับ.
เขาไม่สนใจแล้วว่าคนที่มาจะเป็นใคร
แต่ขาของเขาวิ่งสุดกำลังไปทางคนที่เรียกชื่อเขาทั้งที่หลับตาไปด้วย
และทันทีที่สัมผัสได้ถึงร่างกายของคนเนคต้าร์ก็รีบกอดคนที่เขาวิ่งชนทันที
ใบหน้าน่ารักซุกอยู่กับอกของชายผู้ช่วยชีวิตเขาโดยไม่หันกลับไปมองสิ่งมีชีวิตน่ากลัวที่กองขยะอีก
“เนคต้าร์ครับ..”
นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลมองเด็กหนุ่มอย่างแปลกใจ แต่ก็เข้าใจเมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่กองขยะ
เกรย์เซียยกมือขึ้นเล็กน้อย
พื้นที่ตรงนั้นก็ปรากฏกำแพงดินบางๆกั้นเอาไว้ครึ่งหนึ่ง
เขาคิดว่ากำแพงแค่นี้คนแถวนี้คงทำลายเองได้
อีกอย่างซอกซอยนี้ก็ไม่ใช่พื้นที่น่าเดินเข้าไปเท่าไหร่นัก
เขายังแปลกใจที่เนคต้าร์มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
“เด็กดี..ไม่เป็นไรแล้วนะครับ..”
มือออุ่นลูบเรือนผมสีทองเบาๆเป็นเชิงปลอบ
อันที่จริงเขาเองก็ตกใจไม่น้อยที่เจอเด็กคนนี้ในสภาพ..จะเรียกว่ายังไงดี อ่อนแอ?...แต่ยังไงก็ตาม
เขาคงต้องพาเนคต้าร์กลับวังหลวงไปหาไอเรสที่อยู่ประจำการแทนท่านชาเรย์ก่อน
แต่ก่อนที่จะพากลับไปด้วย..
เขาจะทำยังไงให้เด็กน้อยนี่หยุดร้องไห้ก่อนดีล่ะ
เกรย์เซียเคยรับมือกับเด็กมาเยอะ แต่ไม่ใช่ในสถานการณ์แบบนี้
มือคู่สวยจับให้คนตัวเล็กกว่าถอยออกไปเล็กน้อยแล้วเช็ดน้ำตาให้เบาๆ
แววตาของเนคต้าร์ตอนนี้ทั้งสั่นไหวและไม่มั่นคงต่างจากปกติที่มักจะมีแววเศร้าจางๆหรือมีแววของความร่าเริงเวลาที่อยู่กับครอบครัว
“คุณเกรย์เซีย..”
“ครับ แต่เนคต้าร์มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง มาหาไอเรสเหรอครับ?”
“องค์ชายแอสเทียร์ให้ไปหาที่วังหลวง..” เกรย์เซียขมวดคิ้ว
ไม่ได้มาหาไอเรสแต่องค์ชายแอสเทียร์มีรับสั่งให้เข้าเฝ้า
เขาไม่รู้ว่าสองคนนี้ไปสนิทสนมกันตอนไหน
แต่ก็ไม่แปลกถ้าองค์ชายจะอยากได้เนคต้าร์ไปเป็นสหาย
ในตระกูลวิหคเด็กที่อายุไล่เลี่ยกับองค์ชายก็มีแค่เนคต้าร์กับโรซาริอาเท่านั้น
“ถ้าอย่างนั้นกลับไปวังพร้อมกับผม แต่ผมต้องซื้อสมุนไพรบางอย่างก่อน
เนคต้าร์รอได้ใช่ไหม” เนคต้าร์พยักหน้า
เด็กหนุ่มไม่คิดว่าจะเป็นแพทย์หลวงที่โผล่มาได้จังหวะพอดีกับที่เขาสติหลุด
โชคดีที่เกรย์เซียยังไม่เห็นบาดแผนบนมือของเขา ไม่อย่างนั้นเรื่องคงถึงหูพี่ไอเรสแน่
ร่างผอมบางเดินตามเกรย์เซียไปอย่างว่าง่ายเข้าไปร้านสมุนไพร
กลิ่นหอมอ่อนๆทำให้เนคต้าร์สมองปลอดโปร่งและอารมณ์ดีขึ้นจากตอนอยู่ในซอยนั่นมาก ในร้านมีสมุนไพรหลายอย่าง
มีทั้งส่วนราก ใบหรือดอก เขารู้จักแค่บางชนิด
แต่ที่คฤหาสน์ไม่มีพวกสมุนไพรที่เป็นดอกไม้อยู่เลย
ที่จริงต้องบอกว่าแทบจะไม่มีดอกไม้ปลูกอยู่ที่คฤหาสน์ของตระกูล
เพราะหวางอี้แพ้เกสรดอกไม้ขั้นรุนแรง
“สนใจสมุนไพรหรอครับ?” ร่างโปร่งของแพทย์หนุ่มเดินมาข้างหลังเนคต้าร์
ในมือถือถุงใส่สมุนไพรเอาไว้ ตอนแรกเขาตั้งใจจะรีบพาเนคต้าร์กลับวัง
แต่พอเห็นสายตาของเด็กหนุ่มตระกูลพานิคที่สนใจสมุนไพรแล้ว
เขาเลยคิดว่าจะสอนเรื่องยาให้เป็นความรู้พื้นฐานบ้าง
“ดอกไม้นั่นคือดอกแอสโฟเดล ใช้เป็นส่วนผสมของยานอนหลับ”
ชายหนุ่มหยิบดอกไม้สีขาวกลางกลีบผ่ากลางสีชมพู ขึ้นมาแล้วอธิบายสั้นๆ เนคต้าร์ฟังอย่างสนใจ
นัยน์ตาสีฟ้าจางทอประกายอย่างที่เกรย์เซียไม่เคยเห็นมาก่อน
แต่นั่นก็เป็นสัญญาณที่ดีกว่าเด็กคนนี้มีสภาพจิตใจดีขึ้นแล้ว
“เนคต้า!อย่าจับ”
เกรย์เซียพูดเสียงดังเมื่อเห็นเนคต้าร์จะหยิบบางอย่างขึ้นมา
“ทำไมล่ะ?”
“เบลล่าดอนน่า..ทุกส่วนของมันมีพิษ ถ้ากินเข้าไปอาจถึงตายได้
แต่ทางการรักษาจะใช้มันระงับความเจ็บปวด” เกือบไปแล้ว แม้ว่าจะเป็นดอกไม้งาม
และไม่มีอันตรายหากแค่สัมผัสมันเฉยๆ
แต่เกรย์เซียก็ไม่อยากให้ใครยุ่งกับพืชชนิดนี้เท่าไหร่นัก
“แต่ฉันไม่ได้จะกินมันเลย..” เนคต้าร์พึมพัมกับตัวเอง
เขาไม่ใช่เด็กที่จะเอาทุกอย่างเข้าปากนะ แต่ก่อนที่จะพูดอะไรออกไปเขาก็ถูกลากออกจากร้านเสียก่อน
เด็กหนุ่มมองคนอายุมากกว่าอย่างงุนงง
บางทีเขาก็ไม่เข้าใจพวกผู้ใหญ่ว่าคิดอะไรอยู่
นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลคู่นั้นมองเขาอย่างกับว่าเขาจะไปทำอะไรที่ทำให้ตัวเองเจ็บตัวอย่างนั้นล่ะ
แต่สัมผัสอุ่นวาบที่มือของเขาทำให้เนคต้าร์ต้องก้มลงไปมอง
เกรย์เซียกำลังรักษาบาดแผลให้เขา
“คุณเกรย์เซีย..”
“แผลนี่ถ้าคุณไอเรสเห็นคงจะไม่ชอบเท่าไหร่นะครับ”
รอยยิ้มอ่อนโยนที่ส่งมาให้ทำให้ใจดวงเล็กกระตุกเล็กน้อย
แต่ก็กลับมาเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ขอบคุณครับ คุณเกรย์เซีย”
“เรียกพี่เกรย์เถอะครับ” เนคต้าร์รู้ว่าเกรย์เซียอายุมากกว่าพี่ชายของเขาแม้จะไม่กี่ปี
แต่ให้เรียกพี่เกรย์เลย เขาก็รู้สึกแปลกๆ
เพราะขนาดเอเปอร์เพื่อนสนิทพี่ไอเรสยังไม่เคยเรียกผู้นำตระกูลว่าพี่
เขาจะไปกล้าเรียกได้ยังไง
แต่สายตาที่มองมาอย่างคาดหวังทำให้ร่างบางเผลอถอยหลังไปเล็กน้อย
“คุณ..เกรย์เซีย” ยังไงเขาก็ไม่กล้าเรียกพี่อยู่ดี
คนที่เขาจะเรียกพี่มีแค่คนในตระกูลพานิคเท่านั้น
แม้เขาจะเป็นเพียงลูกบุญธรรมก็ตามที
“ระวังหน่อยครับ คุณเกือบจะชนคนอื่นแล้วรู้ไหม”
มือที่เคยรักษาแผลให้เขาดึงเขาเข้ามาประชิดตัวอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงสุภาพดุเขานิดหน่อยก่อนจะกลับมาอ่อนโยนเหมือนเดิม
ตอนนี้เนคต้าร์ชักไม่แน่ใจแล้วว่าที่เกรย์เซียทำไปทั้งหมดเพราะจะช่วยเขาจริงๆ
หรือว่า
กำลังสนุกกับการแกล้งเขาอยู่กันแน่
“องค์ชาย!อย่าทำแบบนี้กับพวกกระหม่อมเลยพะยะค่ะ..” องครักษ์สองคนพยายามห้ามในสิ่งที่เด็กหนุ่มร่างเล็กผู้นี้คิดจะทำ
ในตอนแรกพวกเขาก็สงสัยว่าทำไมองค์ชายแอสเทียร์ผู้นี้ถึงต้องมีองครักษ์ประจำตัวถึงสองคน
จนกระทั่งได้มาทำงานจริงๆ พวกเขาถึงรู้ว่า
องค์ชายเป็นคนที่เอาแต่ใจและเป็นตัวปัญหาของแท้
“ถ้าพวกเจ้าไม่อยากไป ก็ปล่อยข้าไปคนเดียวก็ได้”
“พวกกระหม่อมจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร..”
“ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องพูดมาแล้วตามข้ามา”
แอสเทียร์หัวเสียกับความมากเรื่องขององครักษ์ข้างกายสองคน อันนี้ก็ไม่ได้
ทำอย่างนั้นก็ห้าม เขาโตแล้วนะ
โตพอที่จะตัดสินใจเองได้แล้วว่าจะทำอะไรหรือไปไหนโดยไม่ต้องรายงานท่านพี่ทาทารัส
“องค์ชาย..”
“ท่านไอเรส!” องครักษ์คนนึงส่งเสียงเรียกบุคคลที่เดินผ่านมาเสียงดัง
อย่างน้อยถ้าให้หนึ่งในวิหคมา องค์ชายอาจจะเกรงใจบ้าง..
หรือเปล่า..
“ชิ พวกขี้ฟ้อง” เด็กหนุ่มสบถเบาๆ
ใบหน้าน่ารักฉายแววของความไม่พอใจอย่างไม่คิดจะปิดบัง เมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามาหาพวกเขา
องครักษ์พวกนี้รู้ว่าเขาต้องเกรงใจตระกูลวิหค วันนี้เหมือนเขาจะต้องยกเลิกแผนออกนอกวังเสียก่อน
“พวกเจ้ามีอะไรกัน?” ไอเรสเอ่ยถามอย่างแปลกใจ
เขาพึ่งเสร็จจากประชุมเรื่องวางแผนผังเมืองใหม่ แล้วบังเอิญเดินผ่านมาตรงนี้พอดี
“ไม่มีอะไร เจ้าพวกนี้แค่ขี้ฟ้องไปหน่อย”
นัยน์ตาสีส้มอ่อนตวัดมององครักษ์สองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังอย่างคาดโทษ
“อง..องค์ชายจะออกไปเที่ยวข้างนอกขอรับท่านไอเรส”
“หุบปากน่า”
“ออกไปเที่ยว? ทำไมพวกเจ้าไม่ให้องค์ชายไป” ไอเรสขมวดคิ้วเล็กน้อย
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่องค์ชายจะออกไปข้างนอก
“ท่านไอเรสคะ ท่านเกรย์เซียต้องการพบด่วนค่ะ” ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ มีนางกำนัลคนหนึ่งเดินเข้ามาหาไอเรสก่อน
“ข้ารู้แล้ว จะไปเดี๋ยวนี้ องค์ชายข้าขอตัวก่อน” ร่างสูงหันโค้งให้กับแอสเทียร์ก่อนจะเดินตามนางกำนัลไปอย่างรวดเร็ว
ไอเรสไม่รู้ว่าเกรย์เซียมีเรื่องอะไรถึงได้จะพบเขาด่วน
แต่ทันทีที่ถึงห้องทำงานของเกรย์เซียก็พบว่ามีร่างหนึ่งเข้ามากอดเขาแน่น
เรือนผมสีทองกับกลิ่นกายที่คุ้นเคยส่งผลให้นัยน์ตาสีทองเบิกขึ้นเล็กน้อย
“เนคต้าร์ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
“ผมเจอน้องของคุณหลงทางอยู่ในเมือง เลยพากลับมาที่นี่ด้วย
เห็นว่าองค์ชายแอสเทียร์เรียกเนคต้าร์เข้าวัง” เกรย์เซียอธิบายอย่างใจเย็น
โดยเลือกจะไม่เล่ารายละเอียดว่าเนคต้าร์เจอหนูจนต้องวิ่งหนี รวมถึงไม่เล่าเรื่องนักเลงที่จะลักพาตัวไปด้วยตามคำขอของเด็กหนุ่ม
“เจ้าจะมาเมืองหลวงทำไมไม่บอกพี่ พี่จะได้พามา”
มือแกร่งลูบผมน้องชายเบาๆอย่างปลอบโยน เขารู้ว่าเนคต้าร์เป็นเด็กฉลาด
โอกาสที่จะหลงทางก็มีน้อย แต่ไม่ใช่ไม่มีเลย โชคยังดีที่เกรย์เซียไปเจอก่อนไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะโมโหแค่ไหนที่กลับไปแล้วพบว่าเนคต้าร์หายไป
“พี่ชายมีงานต้องทำ ผมไม่อยากรบกวน..”
“คราวหลังมีอะไรเจ้าต้องบอกพี่เข้าใจไหม
ขอบคุณท่านเกรย์เซียที่พาน้องชายข้ามาส่ง” ไอเรสดุเนคต้าร์ด้วยน้ำเสียงที่ใช้ไม่บ่อยนัก
แล้วยกมือแตะหน้าอกเล็กน้อยเป็นการแสดงความขอบคุณกับเกรย์เซีย
จริงอยู่ที่เขาเริ่มมาทำงานแทนท่านพ่อที่ร่างกายไม่แข็งแรง
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีเวลาให้น้องๆเลย
“เนคต้าร์ คุณบอกว่าองค์ชายเรียกมาไม่ใช่เหรอ
ออกไปหาองค์ชายที่ลานก่อนได้ไหมครับ” แพทย์หนุ่มหันไปบอกคนที่เขาพามาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ก่อนจะผายมือให้ไอเรสนั่งลงที่โซฟา
“นอกจากเรื่องเนคต้าร์..ท่านเกรย์เซียยังมีอะไรจะบอกข้าอีกใช่หรือไม่”
ไอเรสนั่งลงตามคำเชิญของเจ้าของห้อง เขาดูท่าทางของเกรย์เซียออก
และพอรู้ว่าสิ่งที่เกรย์เซียต้องการจะพูดคืออะไร
“ผมต้องบอกคุณ..เกี่ยวกับอาการของท่านชาเรย์..”
“เด็กคนนั้น..บุตรบุญธรรมของตระกูลพานิค”
นัยน์ตาสีแดงสวยมองไปยังร่างของเด็กหนุ่มสองคน คนหนึ่งคือแอสเทียร์
อีกคนเป็นบุตรบุญธรรมของตระกูลพานิค ซึ่งน่าแปลกที่เด็กที่ถูกรับเลี้ยงจะมีตราพันธสัญญาอยู่ด้วย
เรอาตริสยืนมองเด็กทั้งสองคนอย่างพิจารณา เธอสามารถบอกอนาคตได้
แต่อดีต..เป็นสิ่งที่เธอไม่อาจหยั่งรู้ถึง
เรอาตริสจำได้ว่าวันผูกพันธสัญญาของเนคต้าร์ แม้จะผูกพันธสัญญาแล้วแต่สัญลักษณ์ที่กลางหลังเด็กหนุ่มกลับไม่ใช่หงส์ขาว
ไม่ใช่หงส์ขาว
อินทรีย์ เหยี่ยวหรือแม้แต่เค้าแมว..
แต่กลับเป็น นกยูง..
ในประวัติศาสตร์เท่าที่เธอรู้ ตระกูลนกยูง..ไม่ใช่คนของเบทริกซ์
--------------
Talk
อย่างที่เคยบอก เหยี่ยวแดงของคาเลนไม่ได้มีแค่คนเดียวค่ะ
เอเวลเป็นตัวละครที่เราอยากแกล้งมากกก เพราะนิสัยน้อง555555
อย่างที่บอกค่ะ เข้าร้านเหล้าให้เงียบๆ แต่ถ้าเจอหนูให้ส่งเสียงดัง
เนคต้าร์เป็นตัวอย่าง
ทุกคอมเม้นต์เป็นกำลังใจของเรา ขอให้สนุกกับนิยายค่ะ
ความคิดเห็น