ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Bird พันธสัญญาวิหคสวรรค์ [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #9 : Tale 6 : เข้าร้านเหล้าต้องเงียบๆ แต่ถ้าเจอหนูให้ส่งเสียงไว้

    • อัปเดตล่าสุด 18 ก.ย. 59



    บทที่6 เข้าร้านเหล้าต้องเงียบๆ แต่ถ้าเจอหนูให้ส่งเสียงไว้


    เจ้าของร่างโปร่งบางเดินเข้ามาในร้านเหล้ากลางเมืองแล้วนั่งลงที่เคาน์เตอร์อย่างคุ้นเคย นัยน์ตาสีแดงดูหยิ่งยโสแต่ด้วยใบหน้างามทำให้เขากลายเป็นที่สนใจของหลายคนในร้าน

     

    “เจ้ามาทีไร ข้าจะต้องขาดทุนอีกใช่ไหม” น้ำเสียงหยอกล้อจากชายหนุ่มที่กำลังชงเครื่องดื่มให้กับลูกค้าเอ่ยขึ้นหยอกผู้มาเยือนอย่างไม่เกรงกลัวสายตาของอีกฝ่าย

     

    “แค่แก้วเดียวนายไม่ขาดทุนหรอกเฟมัส” เจ้าของชื่อเฟมัสโคลงหัวเล็กน้อยกับคำพูดนั้น อันที่จริงเขาก็ไม่ได้ขาดทุนอะไร แค่อยากแซวเพื่อนร่วมงานคนสวยเล่นเฉยๆ

     

    มีใครบ้างที่เข้ามาร้านเหล้าแล้วไม่สั่งเครื่องดื่มแอลกอฮอลล์

    แต่กลับสั่งน้ำผลไม้ผสมแทน

     

    “ข้ารอคิดทบดอกที่เจ้าเคยระเบิดร้านข้าด้วยร่างกายเจ้าแทนแล้วกันเอเวล..” ใบหน้าดูดีของเฟมัสยื่นไปกระซิบเบาๆข้างหู ก่อนที่จะรู้สึกแสบเบาๆที่คอ มีดเล่มเล็กกำลังจ่ออยู่ที่คอเขาด้วยฝีมือของเด็กหนุ่มนัยน์ตาสีแดง

     

    “นายคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วสินะ” เอเวลกัดฟันพูด เขาไม่ชอบให้ใครมาเล่นตลกกับร่างกายหรือใบหน้าของเขา แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายแค่หยอกเล่นก็ตาม เฟมัสเพียงแค่มองมีดคมกริบแล้วค่อยๆดันคมมีดออกโดยไม่สนใจว่ามันจะบาดนิ้วเขาหรือเปล่า เพราะยังไงแผลแค่นี้ก็เทียบไม่ได้กับตอนออกภาคสนามล่ะนะ

     

    “ความไวและนิสัยของเจ้ายังเหมือนเดิม” ชายหนุ่มรู้ดีว่านิสัยของคนอายุน้อยกว่าเป็นอย่างไร เพราะทำงานด้วยกันมาหลายปี เอเวลมีฝีมือและการตัดสินใจที่เด็ดขาด ความภักดีต่อตระกูลก็เช่นกัน.. ถ้าเทียบกับบรรดาเหยี่ยวแดงแล้ว เอเวลจัดอยู่ในลำดับต้นๆในหลายด้าน แต่ข้อเสียคือใบหน้าและนิสัยที่หยิ่งยโสทำให้เวลาทำงานกับเหยี่ยวคนอื่นแล้ว เอเวลจะเป็นพวกตัวปัญหาไปทันที


    เขาเองกว่าจะสนิทกับเอเวลได้ถึงขนาดนี้ก็ต้องใช้เวลานานสองสามปีเหมือนกัน

     

    “ช่างมันเถอะ” มือเรียวเก็บมีดลงแล้วยกน้ำผลไม้ขึ้นดื่มรวดเดียวโดยมีสายตาของเฟมัสมองตามแล้วส่ายหน้าน้อยๆ ยังไงเอเวลก็ยังเด็กอยู่ดี แพ้เหล้าแต่ดันมาร้านเหล้าแล้วสั่งน้ำผลไม้ ถ้าเป็นร้านอื่นก็คงไม่มีแล้ว แต่ที่นี่เขาจะเตรียมเอาไว้เผื่อ

     

    “คราวนี้นายท่านสั่งอะไรที่มันยากอีกแล้วใช่ไหม”

     

    “อืม นายรู้จักอวาลอนใช่ไหม”

     

    “หือ อวาลอน? เมืองลึกลับนั่น..ข้าเคยได้ยินมาบ้าง” อวาลอนเป็นเมืองที่คนในไม่ได้ออก คนนอกไม่มีทางเข้า มีตำนานหลายเล่าว่าเมืองนั้นเป็นเมืองที่ถูกสัตว์ประหลาดโจมตีอยู่บ่อยครั้งแต่ก็ถูกปราบปรามได้ทุกครั้ง เพียงแต่เท่าที่เขาได้ยินมามันล่มสลายไปนานกว่า 400 ปีแล้ว

     

    “ตราแห่งอวาลอน..นายท่านอยากรู้เรื่องนี้” เด็กหนุ่มพ่นลมหายใจออกมาแรงๆ ดูเหมือนงานนี้จะยากเกินไปที่จะทำคนเดียว เขาก็ไม่ไว้ใจเหยี่ยวคนอื่นนอกจากเฟมัส ยิ่งมากคนก็มากความ แต่ถ้าเป็นเฟมัสที่ทำงานอยู่ที่ร้านเหล้าน่าจะเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเมืองลับแลนั่นมากกว่าเขาที่ตะลอนไปที่ต่างๆ

     

    ใช่..เฟมัส เป็นเหยี่ยวแดงที่ทำงานให้ตระกูลคาเลนเช่นเดียวกับเขา

     

    “ต้องการให้ข้าช่วยไหม?

     

    “ฉันไม่ได้ต้องการให้นายช่วย!


    “ถ้าอย่างนั้นเจ้าคงจะรู้แล้วสินะ..ว่าอวาลอนมีทายาท” เฟมัสกระตุกยิ้มมุมปาก ดูก็รู้ว่างานนี้ยากเกินที่เด็กหนุ่มคนนี้จะทำงานคนเดียวได้ แค่เอเวลเป็นพวกปากไม่ตรงกับใจเท่านั้นล่ะ..

     

    ก็การขอความช่วยเหลือจากเขามันทำให้เจ้าตัวรู้สึกเสียศักดิ์ศรีเบาๆ

     

    “นายว่าอะไรนะ!?” นัยน์ตาสีแดงเบิกกว้าง ร่างโปร่งบางเผลอลุกขึ้นอย่างแรงจนกลายเป็นที่สนใจของคนในร้านจนเฟมัสต้องลากเอเวลให้ไปข้างนอกด้วยกัน บางทีเอเวลคงจะลืมไปแล้วว่านี่มันเป็นความลับของพวกเขา งานอะไรก็ตามที่นายท่านสั่งล้วนเป็นความลับทั้งสิ้น 


    หากความลับนี้รั่วไหลออกไป..

     

    นายท่านของพวกเขาก็ไม่ปราณีเช่นกัน


    เขาจะไม่มีทางลืมเด็ดขาด




    นัยน์ตาสีฟ้ามองไปรอบๆอย่างหวาดระแวง เนคต้าร์ไม่แน่ใจว่าเขากำลังอยู่ส่วนไหนของเมืองกันแน่ ถึงแม้ว่าเขาจะเข้ามาที่เมืองหลวงบ่อยครั้ง แต่ทุกครั้งก็จะมีผู้ติดตามหรือมากับพี่ชายทั้งสิ้น แต่ครั้งนี้..เขาเข้ามาเพียงคนเดียวโดยไม่มีคนรู้ เพราะพี่ไอเรสเองก็ถูกเรียกตัวเข้าวังตั้งแต่เช้ามืด ท่านพ่อชาเรย์ก็ยังไม่หายดี

     

    ขาเรียวก้าวเดินต่อไปแม้จะไม่รู้ว่าซอกซอยเล็กๆนี่จะพาเขาไปโผล่ที่ไหน แต่ก็ดีกว่ายืนอยู่เฉยๆแบบนี้ อย่างน้อยก็น่าจะไปโผล่ในพื้นที่สำคัญๆของเมือง แต่ยิ่งเดินเข้าไปในซอย เนคต้าร์ก็เริ่มเห็นว่ามันเป็นพื้นที่เสื่อมโทรม ไม่ว่าจะเป็นอาคารเก่าใกล้พัง ขยะเกลื่อนกลาด รวมทั้งคนที่สายตาไม่เป็นมิตร..

     

    เนคต้าร์เคยเป็นเด็กกำพร้า

    ถูกกดขี่ จนแทบจะกลายเป็นตุ๊กตาไร้ชีวิต

    แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่เคยต้องอยู่ข้างถนนอย่างคนพวกนี้

     

    “เฮ้ คุณหนูหลงทางมาหรอ” บางที เนคต้าร์ก็สงสัย.. ทำไมเขาจะต้องเจออะไรแบบนี้บ่อยๆ ชายตัวโตสามคนที่เดินมาทางเขานี่คงไม่ได้มาถามว่า หลงทางมา จริงๆแน่นอน เด็กหนุ่มก้าวขาให้เร็วขึ้นเพื่อให้หลุดพ้นจากตรงนี้ แต่แขนเรียวกลับถูกกระชากไปด้านหลังอย่างแรง

     

    “หือ เจ้าเด็กนี่เป็นคนตระกูลวิหคนี่” ชายคนที่จับแขนเนคต้าร์เอ่ยเมื่อเห็นว่าเป็นใคร

     

    “ถ้ารู้แล้วก็ปล่อยฉัน”

     

    “เอ๋ๆ คุณหนู พวกเราจะปล่อยคุณหนูแน่ แต่..หลังจากไปกินข้าวกับพวกเราก่อน” กินข้าวของพวกมันก็คือการจับเขาไปนั่นล่ะ เนคต้าร์รู้สึกเกลียดสายตาแบบนี้ สายตาที่ดูเหมือนจะข่มเหงเขาได้ทุกเมื่อ ถึงเขาจะตัวเล็ก แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมให้ใครมาทำแบบนี้กับเขาง่ายๆ

     

    มือข้างที่ยังเป็นอิสระสะบัดสายลมให้หมุนรอบตัวเขาอย่างช้าๆและค่อยๆเพิ่มความเร็วมากขึ้น จนกระทั่งสายลมคมบาดแขนของชายที่จับเขาไว้ทีละเล็กทีละน้อย

     

    “เฮ้ย นี่มันอะไรกัน!?

     

    “เวทย์ เด็กนี่ใช้เวทย์ลม!

     

    “ให้ตายซิ! หลบกันก่อน”

     

    สายลมรุนแรงค่อยๆลดระดับความเร็วลงจนจางหายไป เนคต้าร์มองพวกที่จะจับเขาหนีไปด้วยความสบายใจ นี่เขาใช้พลังไม่ถึงหนึ่งส่วนสี่ เหงื่อของเขายังไม่ออกด้วยซ้ำ ถ้าเทียบกับตอนที่พี่ไอเรสฝึกให้แล้ว พวกนักเลงกระจอกพวกนี้แค่สายลมเบาๆก็วิ่งหนีจนล้มลุกคลุกคลานแบบนั้น

     

    นัยน์ตาคู่สวยก้มมองรอยบาดที่มือแล้วมองไปรอบๆ ถ้าเขามีแผลเพิ่มพี่ไอเรสจะไม่สบายใจ และเขาไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น เพราะแค่นี้พี่ไอเรสก็เหนื่อยแล้ว เขาไม่อยากเป็นภาระให้กับพี่ชายอีก

     

    แต่ตรงแถวนี้จะหาร้านขายยาได้ที่ไหน

    จะว่าไป  เขาจำได้ว่าตัวเองยังหลงทางอยู่

     

    จี๊ด.

     

    จี๊ดจี๊ด.

     

    สัมผัสบางอย่างที่วิ่งผ่านเท้าเล็กไปอย่างรวดเร็วพร้อมส่งเสียงร้อง ทำให้เนคต้าร์ยืนตัวแข็ง เขาภาวนาให้ตัวเองหูฝาด และคิดไปเองว่ามีอะไรวิ่งผ่านบนเท้าของเขา แต่สายตาก็ดันไปเห็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กๆสามสี่ตัววิ่งบนกองขยะไปมาอย่างมีความสุข

     

    หนู

     

    “...ห..ห..หนู..” เสียงเริ่มสั่นเมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตที่น่าขยะแขยง น่ากลัว น่ารังเกียจที่สุด ร่างกายไม่สามารถขยับไปไหนได้ดังใจ แม้ว่าอยากจะวิ่งหนีแค่ไหนก็ตาม เนคต้าร์บอกได้เลยว่าระหว่างนักเลงตัวโตสามคนกับหนูพวกนี้.. เขายอมไปกับพวกนักเลงดีกว่าที่จะเจอหนูแบบนี้


    จี๊ด.

     

    “อ..อย่..อย่าเข้ามานะ!” เนคต้าร์ตะโกนเสียงดังเมื่อลูกตาสีแดงหันกลับมาสนใจเขา แล้วทำท่าจะวิ่งจากกองขยะมาตรงเขายืนอยู่ สมองของเขาเบลอไปหมด เขาทั้งกลัวทั้งเกลียดหนูรองจากที่แคบๆเลย ทั้งๆที่เมื่อกี้ใช้พลังไปไม่มากกับพวกนักเลง แต่พอมาเจอหนูแล้วสติของเขาไม่อยู่ในภาวะที่ใช้เวทย์ได้เลย

     

    “เนคต้าร์?

     

    หมับ.

     

    เขาไม่สนใจแล้วว่าคนที่มาจะเป็นใคร แต่ขาของเขาวิ่งสุดกำลังไปทางคนที่เรียกชื่อเขาทั้งที่หลับตาไปด้วย และทันทีที่สัมผัสได้ถึงร่างกายของคนเนคต้าร์ก็รีบกอดคนที่เขาวิ่งชนทันที ใบหน้าน่ารักซุกอยู่กับอกของชายผู้ช่วยชีวิตเขาโดยไม่หันกลับไปมองสิ่งมีชีวิตน่ากลัวที่กองขยะอีก

     

    “เนคต้าร์ครับ..”

     

    นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลมองเด็กหนุ่มอย่างแปลกใจ แต่ก็เข้าใจเมื่อเห็นสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่กองขยะ เกรย์เซียยกมือขึ้นเล็กน้อย พื้นที่ตรงนั้นก็ปรากฏกำแพงดินบางๆกั้นเอาไว้ครึ่งหนึ่ง เขาคิดว่ากำแพงแค่นี้คนแถวนี้คงทำลายเองได้ อีกอย่างซอกซอยนี้ก็ไม่ใช่พื้นที่น่าเดินเข้าไปเท่าไหร่นัก เขายังแปลกใจที่เนคต้าร์มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร

     

    “เด็กดี..ไม่เป็นไรแล้วนะครับ..” มือออุ่นลูบเรือนผมสีทองเบาๆเป็นเชิงปลอบ อันที่จริงเขาเองก็ตกใจไม่น้อยที่เจอเด็กคนนี้ในสภาพ..จะเรียกว่ายังไงดี อ่อนแอ?...แต่ยังไงก็ตาม เขาคงต้องพาเนคต้าร์กลับวังหลวงไปหาไอเรสที่อยู่ประจำการแทนท่านชาเรย์ก่อน


    แต่ก่อนที่จะพากลับไปด้วย..

    เขาจะทำยังไงให้เด็กน้อยนี่หยุดร้องไห้ก่อนดีล่ะ

     

    เกรย์เซียเคยรับมือกับเด็กมาเยอะ แต่ไม่ใช่ในสถานการณ์แบบนี้ มือคู่สวยจับให้คนตัวเล็กกว่าถอยออกไปเล็กน้อยแล้วเช็ดน้ำตาให้เบาๆ แววตาของเนคต้าร์ตอนนี้ทั้งสั่นไหวและไม่มั่นคงต่างจากปกติที่มักจะมีแววเศร้าจางๆหรือมีแววของความร่าเริงเวลาที่อยู่กับครอบครัว


    “คุณเกรย์เซีย..”

     

    “ครับ แต่เนคต้าร์มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง มาหาไอเรสเหรอครับ?

     

    “องค์ชายแอสเทียร์ให้ไปหาที่วังหลวง..” เกรย์เซียขมวดคิ้ว ไม่ได้มาหาไอเรสแต่องค์ชายแอสเทียร์มีรับสั่งให้เข้าเฝ้า เขาไม่รู้ว่าสองคนนี้ไปสนิทสนมกันตอนไหน แต่ก็ไม่แปลกถ้าองค์ชายจะอยากได้เนคต้าร์ไปเป็นสหาย ในตระกูลวิหคเด็กที่อายุไล่เลี่ยกับองค์ชายก็มีแค่เนคต้าร์กับโรซาริอาเท่านั้น

     

    “ถ้าอย่างนั้นกลับไปวังพร้อมกับผม แต่ผมต้องซื้อสมุนไพรบางอย่างก่อน เนคต้าร์รอได้ใช่ไหม” เนคต้าร์พยักหน้า เด็กหนุ่มไม่คิดว่าจะเป็นแพทย์หลวงที่โผล่มาได้จังหวะพอดีกับที่เขาสติหลุด โชคดีที่เกรย์เซียยังไม่เห็นบาดแผนบนมือของเขา ไม่อย่างนั้นเรื่องคงถึงหูพี่ไอเรสแน่

     

    ร่างผอมบางเดินตามเกรย์เซียไปอย่างว่าง่ายเข้าไปร้านสมุนไพร กลิ่นหอมอ่อนๆทำให้เนคต้าร์สมองปลอดโปร่งและอารมณ์ดีขึ้นจากตอนอยู่ในซอยนั่นมาก ในร้านมีสมุนไพรหลายอย่าง มีทั้งส่วนราก ใบหรือดอก เขารู้จักแค่บางชนิด แต่ที่คฤหาสน์ไม่มีพวกสมุนไพรที่เป็นดอกไม้อยู่เลย ที่จริงต้องบอกว่าแทบจะไม่มีดอกไม้ปลูกอยู่ที่คฤหาสน์ของตระกูล เพราะหวางอี้แพ้เกสรดอกไม้ขั้นรุนแรง

     

    “สนใจสมุนไพรหรอครับ?” ร่างโปร่งของแพทย์หนุ่มเดินมาข้างหลังเนคต้าร์ ในมือถือถุงใส่สมุนไพรเอาไว้ ตอนแรกเขาตั้งใจจะรีบพาเนคต้าร์กลับวัง แต่พอเห็นสายตาของเด็กหนุ่มตระกูลพานิคที่สนใจสมุนไพรแล้ว เขาเลยคิดว่าจะสอนเรื่องยาให้เป็นความรู้พื้นฐานบ้าง

     

    “ดอกไม้นั่นคือดอกแอสโฟเดล ใช้เป็นส่วนผสมของยานอนหลับ” ชายหนุ่มหยิบดอกไม้สีขาวกลางกลีบผ่ากลางสีชมพู ขึ้นมาแล้วอธิบายสั้นๆ เนคต้าร์ฟังอย่างสนใจ นัยน์ตาสีฟ้าจางทอประกายอย่างที่เกรย์เซียไม่เคยเห็นมาก่อน แต่นั่นก็เป็นสัญญาณที่ดีกว่าเด็กคนนี้มีสภาพจิตใจดีขึ้นแล้ว

     

    “เนคต้า!อย่าจับ” เกรย์เซียพูดเสียงดังเมื่อเห็นเนคต้าร์จะหยิบบางอย่างขึ้นมา

     

    “ทำไมล่ะ?

     

    “เบลล่าดอนน่า..ทุกส่วนของมันมีพิษ ถ้ากินเข้าไปอาจถึงตายได้ แต่ทางการรักษาจะใช้มันระงับความเจ็บปวด” เกือบไปแล้ว แม้ว่าจะเป็นดอกไม้งาม และไม่มีอันตรายหากแค่สัมผัสมันเฉยๆ แต่เกรย์เซียก็ไม่อยากให้ใครยุ่งกับพืชชนิดนี้เท่าไหร่นัก

     

    “แต่ฉันไม่ได้จะกินมันเลย..” เนคต้าร์พึมพัมกับตัวเอง เขาไม่ใช่เด็กที่จะเอาทุกอย่างเข้าปากนะ แต่ก่อนที่จะพูดอะไรออกไปเขาก็ถูกลากออกจากร้านเสียก่อน

     

    เด็กหนุ่มมองคนอายุมากกว่าอย่างงุนงง บางทีเขาก็ไม่เข้าใจพวกผู้ใหญ่ว่าคิดอะไรอยู่ นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเลคู่นั้นมองเขาอย่างกับว่าเขาจะไปทำอะไรที่ทำให้ตัวเองเจ็บตัวอย่างนั้นล่ะ แต่สัมผัสอุ่นวาบที่มือของเขาทำให้เนคต้าร์ต้องก้มลงไปมอง

     

    เกรย์เซียกำลังรักษาบาดแผลให้เขา


    “คุณเกรย์เซีย..”

     

    “แผลนี่ถ้าคุณไอเรสเห็นคงจะไม่ชอบเท่าไหร่นะครับ” รอยยิ้มอ่อนโยนที่ส่งมาให้ทำให้ใจดวงเล็กกระตุกเล็กน้อย แต่ก็กลับมาเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     

    “ขอบคุณครับ คุณเกรย์เซีย”

     

    “เรียกพี่เกรย์เถอะครับ” เนคต้าร์รู้ว่าเกรย์เซียอายุมากกว่าพี่ชายของเขาแม้จะไม่กี่ปี แต่ให้เรียกพี่เกรย์เลย เขาก็รู้สึกแปลกๆ เพราะขนาดเอเปอร์เพื่อนสนิทพี่ไอเรสยังไม่เคยเรียกผู้นำตระกูลว่าพี่ เขาจะไปกล้าเรียกได้ยังไง แต่สายตาที่มองมาอย่างคาดหวังทำให้ร่างบางเผลอถอยหลังไปเล็กน้อย

     

    “คุณ..เกรย์เซีย” ยังไงเขาก็ไม่กล้าเรียกพี่อยู่ดี คนที่เขาจะเรียกพี่มีแค่คนในตระกูลพานิคเท่านั้น แม้เขาจะเป็นเพียงลูกบุญธรรมก็ตามที

     

    “ระวังหน่อยครับ คุณเกือบจะชนคนอื่นแล้วรู้ไหม” มือที่เคยรักษาแผลให้เขาดึงเขาเข้ามาประชิดตัวอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงสุภาพดุเขานิดหน่อยก่อนจะกลับมาอ่อนโยนเหมือนเดิม ตอนนี้เนคต้าร์ชักไม่แน่ใจแล้วว่าที่เกรย์เซียทำไปทั้งหมดเพราะจะช่วยเขาจริงๆ หรือว่า

     

    กำลังสนุกกับการแกล้งเขาอยู่กันแน่




    “องค์ชาย!อย่าทำแบบนี้กับพวกกระหม่อมเลยพะยะค่ะ..” องครักษ์สองคนพยายามห้ามในสิ่งที่เด็กหนุ่มร่างเล็กผู้นี้คิดจะทำ ในตอนแรกพวกเขาก็สงสัยว่าทำไมองค์ชายแอสเทียร์ผู้นี้ถึงต้องมีองครักษ์ประจำตัวถึงสองคน จนกระทั่งได้มาทำงานจริงๆ พวกเขาถึงรู้ว่า


    องค์ชายเป็นคนที่เอาแต่ใจและเป็นตัวปัญหาของแท้


    “ถ้าพวกเจ้าไม่อยากไป ก็ปล่อยข้าไปคนเดียวก็ได้”

     

    “พวกกระหม่อมจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร..”

     

    “ถ้าอย่างนั้นไม่ต้องพูดมาแล้วตามข้ามา” แอสเทียร์หัวเสียกับความมากเรื่องขององครักษ์ข้างกายสองคน อันนี้ก็ไม่ได้ ทำอย่างนั้นก็ห้าม เขาโตแล้วนะ โตพอที่จะตัดสินใจเองได้แล้วว่าจะทำอะไรหรือไปไหนโดยไม่ต้องรายงานท่านพี่ทาทารัส

     

    “องค์ชาย..”

     

    “ท่านไอเรส!” องครักษ์คนนึงส่งเสียงเรียกบุคคลที่เดินผ่านมาเสียงดัง อย่างน้อยถ้าให้หนึ่งในวิหคมา องค์ชายอาจจะเกรงใจบ้าง..

     

    หรือเปล่า..

     

    “ชิ พวกขี้ฟ้อง” เด็กหนุ่มสบถเบาๆ ใบหน้าน่ารักฉายแววของความไม่พอใจอย่างไม่คิดจะปิดบัง เมื่อเห็นคนที่เดินเข้ามาหาพวกเขา องครักษ์พวกนี้รู้ว่าเขาต้องเกรงใจตระกูลวิหค วันนี้เหมือนเขาจะต้องยกเลิกแผนออกนอกวังเสียก่อน

     

    “พวกเจ้ามีอะไรกัน?” ไอเรสเอ่ยถามอย่างแปลกใจ เขาพึ่งเสร็จจากประชุมเรื่องวางแผนผังเมืองใหม่ แล้วบังเอิญเดินผ่านมาตรงนี้พอดี

     

    “ไม่มีอะไร เจ้าพวกนี้แค่ขี้ฟ้องไปหน่อย” นัยน์ตาสีส้มอ่อนตวัดมององครักษ์สองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังอย่างคาดโทษ

     

    “อง..องค์ชายจะออกไปเที่ยวข้างนอกขอรับท่านไอเรส”

     

    “หุบปากน่า”

     

    “ออกไปเที่ยว? ทำไมพวกเจ้าไม่ให้องค์ชายไป” ไอเรสขมวดคิ้วเล็กน้อย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่องค์ชายจะออกไปข้างนอก

     

    “ท่านไอเรสคะ ท่านเกรย์เซียต้องการพบด่วนค่ะ” ยังไม่ทันได้พูดอะไรต่อ มีนางกำนัลคนหนึ่งเดินเข้ามาหาไอเรสก่อน

     

    “ข้ารู้แล้ว จะไปเดี๋ยวนี้ องค์ชายข้าขอตัวก่อน” ร่างสูงหันโค้งให้กับแอสเทียร์ก่อนจะเดินตามนางกำนัลไปอย่างรวดเร็ว ไอเรสไม่รู้ว่าเกรย์เซียมีเรื่องอะไรถึงได้จะพบเขาด่วน แต่ทันทีที่ถึงห้องทำงานของเกรย์เซียก็พบว่ามีร่างหนึ่งเข้ามากอดเขาแน่น เรือนผมสีทองกับกลิ่นกายที่คุ้นเคยส่งผลให้นัยน์ตาสีทองเบิกขึ้นเล็กน้อย

     

    “เนคต้าร์ เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

     

    “ผมเจอน้องของคุณหลงทางอยู่ในเมือง เลยพากลับมาที่นี่ด้วย เห็นว่าองค์ชายแอสเทียร์เรียกเนคต้าร์เข้าวัง” เกรย์เซียอธิบายอย่างใจเย็น โดยเลือกจะไม่เล่ารายละเอียดว่าเนคต้าร์เจอหนูจนต้องวิ่งหนี รวมถึงไม่เล่าเรื่องนักเลงที่จะลักพาตัวไปด้วยตามคำขอของเด็กหนุ่ม

     

    “เจ้าจะมาเมืองหลวงทำไมไม่บอกพี่ พี่จะได้พามา” มือแกร่งลูบผมน้องชายเบาๆอย่างปลอบโยน เขารู้ว่าเนคต้าร์เป็นเด็กฉลาด โอกาสที่จะหลงทางก็มีน้อย แต่ไม่ใช่ไม่มีเลย โชคยังดีที่เกรย์เซียไปเจอก่อนไม่อย่างนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าเขาจะโมโหแค่ไหนที่กลับไปแล้วพบว่าเนคต้าร์หายไป

     

    “พี่ชายมีงานต้องทำ ผมไม่อยากรบกวน..”

     

    “คราวหลังมีอะไรเจ้าต้องบอกพี่เข้าใจไหม ขอบคุณท่านเกรย์เซียที่พาน้องชายข้ามาส่ง” ไอเรสดุเนคต้าร์ด้วยน้ำเสียงที่ใช้ไม่บ่อยนัก แล้วยกมือแตะหน้าอกเล็กน้อยเป็นการแสดงความขอบคุณกับเกรย์เซีย จริงอยู่ที่เขาเริ่มมาทำงานแทนท่านพ่อที่ร่างกายไม่แข็งแรง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่มีเวลาให้น้องๆเลย

     

    “เนคต้าร์ คุณบอกว่าองค์ชายเรียกมาไม่ใช่เหรอ ออกไปหาองค์ชายที่ลานก่อนได้ไหมครับ” แพทย์หนุ่มหันไปบอกคนที่เขาพามาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ก่อนจะผายมือให้ไอเรสนั่งลงที่โซฟา

     

    “นอกจากเรื่องเนคต้าร์..ท่านเกรย์เซียยังมีอะไรจะบอกข้าอีกใช่หรือไม่” ไอเรสนั่งลงตามคำเชิญของเจ้าของห้อง เขาดูท่าทางของเกรย์เซียออก และพอรู้ว่าสิ่งที่เกรย์เซียต้องการจะพูดคืออะไร

     

    “ผมต้องบอกคุณ..เกี่ยวกับอาการของท่านชาเรย์..”

     




    “เด็กคนนั้น..บุตรบุญธรรมของตระกูลพานิค” นัยน์ตาสีแดงสวยมองไปยังร่างของเด็กหนุ่มสองคน คนหนึ่งคือแอสเทียร์ อีกคนเป็นบุตรบุญธรรมของตระกูลพานิค ซึ่งน่าแปลกที่เด็กที่ถูกรับเลี้ยงจะมีตราพันธสัญญาอยู่ด้วย เรอาตริสยืนมองเด็กทั้งสองคนอย่างพิจารณา เธอสามารถบอกอนาคตได้ แต่อดีต..เป็นสิ่งที่เธอไม่อาจหยั่งรู้ถึง

     

    เรอาตริสจำได้ว่าวันผูกพันธสัญญาของเนคต้าร์ แม้จะผูกพันธสัญญาแล้วแต่สัญลักษณ์ที่กลางหลังเด็กหนุ่มกลับไม่ใช่หงส์ขาว

     

    ไม่ใช่หงส์ขาว

    อินทรีย์ เหยี่ยวหรือแม้แต่เค้าแมว..

    แต่กลับเป็น นกยูง..

     

    ในประวัติศาสตร์เท่าที่เธอรู้ ตระกูลนกยูง..ไม่ใช่คนของเบทริกซ์ 



    --------------

    Talk

    อย่างที่เคยบอก เหยี่ยวแดงของคาเลนไม่ได้มีแค่คนเดียวค่ะ

    เอเวลเป็นตัวละครที่เราอยากแกล้งมากกก เพราะนิสัยน้อง555555

    อย่างที่บอกค่ะ เข้าร้านเหล้าให้เงียบๆ แต่ถ้าเจอหนูให้ส่งเสียงดัง

    เนคต้าร์เป็นตัวอย่าง


    ทุกคอมเม้นต์เป็นกำลังใจของเรา ขอให้สนุกกับนิยายค่ะ


    T
    H
    E
    T
    H
    E
    M
    E
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×