ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Bird พันธสัญญาวิหคสวรรค์ [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #7 : Tale 4 : ความวุ่นวายที่โอมาลานซ์

    • อัปเดตล่าสุด 26 ส.ค. 59



    บทที่4 ความวุ่นวายที่โอมาลานซ์

     


    น้ำ

    รอบตัวเขามีแต่น้ำ

    แต่กลับหายใจได้สะดวก

     

    นัยน์ตาคู่สวยลืมตาขึ้นแล้วมองไปรอบๆ ร่างกายของเขากำลังจมสู่ท้องทะเลลึกและไม่มีแรงพอที่จะว่ายกลับขึ้นไป มือเรียวพยายามยื่นไปยังแสงสว่างที่เห็นอยู่เบื้องบนราวกับพยายามไคว่คว้าอะไรบางอย่าง ก่อนที่สติจะดับวูบไป

     


    ซ่า

    ซ่า

     

    “แค่กๆ” เด็กหนุ่มสำลักน้ำออกมาแล้วลืมตามองรอบๆ เขาอยู่บนชายหาดสักแห่งที่เขาไม่รู้จัก นัยน์ตาสีส้มมองสภาพแวดล้อมอย่างระแวงแล้วค่อยๆลุกขึ้นยืน แต่ดูเหมือนขาของเขาจะไม่มีแรงเสียเท่าไหร่จนทรุดลงไปกองกับพื้นทรายอีกครั้ง

     

    ที่นี่ที่ไหน

     

    เรือนผมสีดำสนิทเปียกลู่ไปกับใบหน้าหวานกับเสื้อเชิ๊ตสีขาวบางๆที่เปียกชุ่มจนแทบจะปกปิดเนื้อนวลไม่ได้ เด็กหนุ่มพยายามลุกขึ้นยืนอีกครั้งโดยใช้โขดหินข้างกายเป็นตัวช่วยพยุงลุกขึ้น และครั้งนี้เขาทำสำเร็จ เท้าเปลือยเปล่าค่อยๆย่างก้าวอย่างระวังเพื่อไม่ให้ตนเองล้มลงไปอีก

     

    เขาต้องรู้ให้ได้ว่าที่นี่คือที่ไหน

     

    และดูเหมือนว่าเขาจะโชคดีที่บังเอิญเจอชายชรากำลังลากเรือเข้าฝั่งอยู่ เขาจึงตรงไปหาคนๆแรกที่เขาเห็นทันที แต่เหมือนร่างกายปวกเปียกของเขาไม่อำนวยเสียจริง

     

    ตุ๊บ.

     

    “เฮ้ย เจ้าหนู!” นั่นคือเสียงสุดท้ายที่เขาได้ยินก่อนจะหมดสติ แต่อย่างน้อย..เขาก็เจอมนุษย์แล้วซินะ

     



    “หนู..”

     

    “หนูจ๊ะ...”

     

    “ดีจัง หนูฟื้นแล้ว” น้ำเสียงใจดีจากหญิงชราที่ค่อยๆประคองเขาขึ้นมาให้ดื่มน้ำ และบนหน้าผากเขาก็มีผ้าชุบน้ำเย็นแปะไว้ ส่วนเสื้อผ้าที่เขาสวมอยู่ก็ไม่ใช่ของเดิม ดูท่าทางแล้วหญิงชราผู้นี้จะเป็นคนดูแลเขาตอนที่ไม่มีสติ

     

    “..ข..ขอบคุณครับ แต่ที่นี่..คือที่ไหน” เด็กหนุ่มมองไปรอบๆห้องอย่างงุนงง เขาจำได้แค่ว่าเขาหมดสติไปก่อนจะถึงตัวชายชราคนนั้น

     

    “ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ หนูอยู่ที่บ้านของฉัน..สามีฉันเจอหนูหมดสติที่ชายหาดเรดซัน”

     

    “ชายหาดเรดซัน?


    “จ๊ะ ที่นี่คือเมืองเธโล อาณาจักรโซทาเลีย หนูมาจากไหนหรือ คงจะไม่ใช่คนที่นี่ซินะ” หญิงชรายิ้มให้เด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน มืออุ่นลูบเรือนผมนุ่มสีดำสนิทของเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักเบาๆ ดูแล้วเด็กคนนี้คงจะไม่ใช่เด็กธรรมดา อาจจะเป็นบุตรชายของตระกูลผู้ดีคนหนึ่ง แต่เหตุใดถึงได้มีสภาพตัวเปียกโชกยามที่สามีของเธอพาเขาเข้ามา เธอเองก็อดตกใจไม่ได้

     

    “โซทาเลีย” เด็กหนุ่มพึมพำกับตัวเองเบาๆ

     

    “ว่าแต่หนูชื่ออะไรจ๊ะ ฉันอมิเลียและสามีฉันทิมเป็นชาวประมงอยู่ที่นี่น่ะ”

     

    “อึก..” ความรู้สึกปวดหัวแล่นขึ้นมาจนต้องกัดริมฝีปากตัวเองแรงๆเพื่อกลั้นเสียงร้อง ร่างบอบบางสั่นเทาอย่างคนที่กลัวอะไรบางอย่าง นัยน์ตาสีส้มเบิกโพลงจนน่าตกใจ

     

    “หนู!!หนูเป็นอะไร ทิม!มาช่วยเขาที”

     

    “เจ้าหนูเป็นอะไร!

     

    “ไม่รู้ค่ะ ฉันถามชื่อแกแล้วแต่อยู่ดีๆก็เป็นแบบนี้”

     

    “ต้องพาเข้าเมือง”

     

    “ข้าจะไปเตรียมเกวียน อมิเลียเจ้าคอยดูเจ้าหนูนี่!” ชายชราวิ่งออกไปนอกบ้านเพื่อเตรียมเกวียนทันที ในขณะที่ผู้เป็นภรรยาได้แต่คอยประคองเด็กหนุ่มเอาไว้ แล้วพาขึ้นเกวียนไปในเมืองอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้


    พวกเขาไม่มีบุตรธิดาหลงเหลืออยู่

    เคยมี..แต่บุตรชายนั้นได้เสียชีวิตไปแล้ว

    เด็กหนุ่มคนนี้ทำให้พวกเขาคิดถึงบุตรชาย

    พวกเขาจะต้องช่วยเด็กคนนี้ให้เร็วที่สุด

     

    “ร่างกายของเด็กคนนี้อ่อนล้าเกินไป ส่วนอาการปวดหัวเป็นเพียงอาการธรรมดา สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่าคือมีน้ำในปอด แต่ร่างกายกลับไม่แสดงอาการหรืออันตรายอะไร” แพทย์เอ่ยกับสองสามีภรรยาชราอย่างสงสัย จากที่เขาสันนิฐานแล้ว เด็กคนนี้น่าจะจมน้ำและสำลักน้ำเข้าปอด แต่กลับไม่มีอาการเกี่ยวกับความผิดปกตินี้เลยแม้แต่น้อย กลับเป็นอาการปวดหัวธรรมดาแทน

     

    “พวกเราต้องทำอย่างไรคะ”

     

    “ช่วยดูแลสภาพร่างกายของเขาก็พอ..เขาฟื้นตัวได้เร็วมากจนน่าตกใจ”

     

    “ขอบคุณขอรับท่านหมอ” ทิมก้มหัวให้กับแพทย์หนุ่มประจำเมือง หมอคนนี้คอยรักษาอาการเจ็บป่วยให้กับผู้คนในเมืองอย่างเต็มที่ และเขาก็วางใจได้ว่าเจ้าหนูที่เขาเจอมาจะปลอดภัย

     

    “แต่อีกอย่างหนึ่งที่พวกท่านควรจะรู้เกี่ยวกับเด็กคนนี้..” คำพูดจากหมอเรียกความสนใจจากอีกสองคนได้เป็นอย่างดี

     

    “เด็กคนนี้ความจำเสื่อม..จำไม่ได้ว่าตนเองมาจากไหนหรือแม้กระทั่งชื่ออะไร”

     

    เด็กน้อยผู้น่าสงสาร

    สิ่งที่หลงเหลืออยู่คืออะไร




    “ยินดีต้อนรับฝ่าบาททาทารัสและตระกูลวิหกสู่โอมาลานซ์พะยะค่ะ..” เจ้าเมืองโอมาลานซ์พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำแหน่งต่างๆยืนรับขบวนเสด็จด้วยความเป็นระเบียบ โอมาลานซ์อยู่ในความปกครองของตระกูลฟารอส และตำแหน่งเจ้าเมืองที่ได้มาก็ถูกแต่งตั้งผ่านตระกูลวิหกทั้งสิ้น

     

    ร่างสูงกำยำบนหลังอาชาพันธุ์ดีดูสง่างามและน่าเกรงขามตามด้วยออคต้าร์ที่ยืนม้าอยู่หลังองค์กษัตริย์ในชุดแม่ทัพ ใบหน้างดงามแต่แฝงไปด้วยความแข็งแกร่งไม่มีใครกังขาในความสามารถของเขา ไอเรสสังเกตเห็นว่าตลอดทางที่พวกเขาเดินทางมา ทุกคนดูชื่นชมออคต้าร์ไม่แพ้องค์กษัตริย์ทาทารัสเลยทีเดียว

     

    เหมือนกับเมืองในปกครองของตระกูลพานิค

     

    นัยน์ตาสีทองสว่างเหลือบไปมองเพื่อนสนิทอย่างเอเปอร์ที่อยู่บนหลังอาชาสีเชสนัทตัวใหญ่ และดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะรู้ตัวเลยหันกลับมาหาไอเรส

     

    “อยากจะพูดอะไรหรือเปล่าครับไอเรส” นัยน์ตาสีเขียวน้ำทะเลสบกับตาสีสว่างของไอเรสอย่างสงสัย

     

    “นิดหน่อย..ข้าสงสัยว่าทำไมมีแค่เจ้าที่ตามท่านเกรย์เซียมาที่นี่” ในการเยือนโอมาลานซ์ครั้งนี้ไอเรสเห็นว่ามีแค่เขากับเอเปอร์เท่านั้นที่ไม่ใช่ผู้นำตระกูล เพียงแต่เขามาในฐานะผู้แทนของชาเรย์ ไม่ใช่ตำแหน่งว่าที่ผู้นำตระกูล ในขณะที่เอเปอร์ก็ส่ายหน้าแล้วยิ้มตาหยีตามแบบฉบับของตนเอง

     

    “ผมก็ไม่รู้ครับ แต่ท่านเกรย์เซียมีคำสั่งให้ผมติดตามมาด้วยในครั้งนี้”

     

    คำสั่งของผู้นำตระกูลคือที่สุด

     

    ไอเรสหัวเราะกับคำตอบของเพื่อน เขาน่าจะรู้ว่าเอเปอร์จะตอบอะไรด้วยนิสัยของอีกฝ่าย แต่ก็ยังถามเพื่อไม่ให้บรรยากาศอึดอัดมากเกินไป ข้างหน้าพวกเขาคือเกรย์เซีย แพทย์หลวงที่พึ่งช่วยรักษาบิดาของเขาเมื่อวาน และข้างเกรย์เซียคือผู้นำตระกูลคาเลน เบเรียส ไอเรสไม่เคยคุยกับผู้นำตระกูลคาเลนแต่ได้ยินคนพูดถึงว่าเป็นคนที่มีนิสัยประหลาดๆ และไม่ค่อยเข้าวังหลวงนัก

     

    แต่ก็ไม่แปลกในเมื่อหน้าที่ของเหยี่ยวแดงไม่เหมือนพวกเขา

     

    “ไอเรส..เหมือนเราจะมีแขกไม่ได้รับเชิญมาด้วยนะครับ” น้ำเสียงสนุกสนานของเอเปอร์เรียกความสนใจจากชายหนุ่มตระกูลพานิคได้เป็นอย่างดี ใบหน้าได้รูปของว่าที่ผู้นำโรซาลีนอ่อนโยนลง แต่นั่นเป็นสัญญาณว่าเพื่อนของเขากำลังนึกสนุกอะไรบางอย่าง

     

    และมันก็ไม่น่าไว้ใจเลย

     

    “แฝงตัวเข้ามาแบบนี้คงต้องเชิญมาพูดคุยซักหน่อยแล้ว” วินาทีนั้นไอเรสเข้าใจทันทีว่าทำไมเกรย์เซียถึงให้เอเปอร์มาร่วมเดินทางในครั้งนี้ เอเปอร์เป็นคนที่สายตาไวอย่างเหลือเชื่อและความผิดปกติเพียงเล็กน้อยนั่นก็เพียงพอที่จะให้ชายหนุ่มนัยน์ตาสีเขียวน้ำทะเลรับรู้แล้ว

     

    สายน้ำเล็กๆไหลออกจากฝ่ามือของชายหนุ่มแล้วค่อยๆเลื้อยไปยังเหยื่ออย่างช้าๆ และก่อนที่เหยื่อจะรู้ตัว..ก็ขยับไปไหนไม่เสียแล้ว

     

    “เฮ้ย!อะไรวะ” เสียงความวุ่นวายจากด้านหลังทำให้ทั้งขบวนหันไปหาต้นเสียงความวุ่นวาย ชายในชุดทหารถูกสายน้ำรัดตัวเอาไว้อย่างแน่นหนาโดยมีเอเปอร์เป็นผู้ควบคุมสายน้ำนั้นอย่างสบายๆ รอยยิ้มและดวงตาที่หยีลงบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังสนุกกับท่าทางตกใจของทหารคนนั้น

     

    “เกิดอะไรขึ้นเอเปอร์ คุณทำอะไร” เกรย์เซียเอ่ยถามเสียงเรียบเมื่อเห็นว่าคนในตระกูลเป็นผู้ลงมือก่อความวุ่นวาย ร่างสูงโค้งให้เกรย์เซียเล็กน้อยก่อนจะลงจากหลังม้าแล้วดึงสายน้ำที่ทำหน้าที่แทนเชือกเข้ามาใกล้ และเป็นแม่ทัพหนุ่มที่สังเกตถึงความผิดปกติ

     

    “เขาไม่ใช่คนของเรา..” ออคต้าร์พูดขึ้นท่ามกลางความวุ่นวาย ชายในชุดทหารขบกรามแน่นเมื่อถูกจับได้และไม่สามารถหาลู่ทางหนีได้ เอเปอร์ส่งตัวแขกไม่ได้รับเชิญไปให้กับออคต้าร์และก้มหัวให้เกรย์เซียเป็นเชิงขออภัย ถึงจะจับตัวคนแปลกหน้าได้แต่ก็ถือเป็นการกระทำโดยที่ไม่ได้รับคำสั่งจากผู้นำตระกูล

     

    “ขออภัยด้วยท่านเกรย์เซีย ผมคิดว่าถ้าช้ากว่านี้จะเสียโอกาสได้”

     

    “คราวหลังอย่าทำอะไรโดยพลการอีก” เกรย์เซียส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ เขาให้เอเปอร์ตามมาครั้งนี้เพราะสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องขึ้น แต่ไม่คิดว่าหลานชายตัวสูงของเขาจะทำอะไรโดยที่ไม่แจ้งให้เขารับรู้ก่อน แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายมีวุฒิภาวะพอที่จะตัดสินใจเรื่องสำคัญเองแล้ว แต่หากมีองค์กษัตริย์อยู่ก็ควรรักษามารยาทมากกว่านี้

     

    หรืออย่างน้อยก็รอให้กษัตริย์ทาทารัสเสด็จเข้าไปในที่รับรองก่อนก็ยังดี

     

    โชคดีที่ครั้งนี้เอเปอร์ไม่เล่นกับเหยื่อจนบาดเจ็บเสียก่อน

    นิสัยขี้แกล้งของตระกูลโรซาลีนดูจะหนักข้อขึ้นทุกวัน

     

    “รอดตัวไปนะเอเปอร์..” น้ำเสียงนุ่มนวลจากคนข้างๆที่ลงจากหลังอาชาสีขาวแล้วมายืนข้างเขาแทน มือแกร่งตบบ่าเพื่อนสนิทไปเบาๆ แต่เอเปอร์รู้ดีว่าไอเรสเองก็สนุกกับสถานการณ์เมื่อครู่ไม่น้อยเช่นกัน เพียงแต่ไอเรสเป็นผู้ชมและเขาเป็นผู้ลงมือเท่านั้น

     

    “เมื่อครู่คุณเกือบปล่อยให้ท่านเกรย์เซียทำโทษผมใช่ไหมไอเรส”

     

    “หือ ข้าเปล่าเลย” เจ้าของเรือนผมสีขาวสั่นหน้าไปมาแล้วเซมองไปทางอื่นอย่างไม่รู้เรื่อง

     

    “รู้สึกว่าเชือกน้ำของผมจะทำหน้าที่ดึงตัวทหารคนนั้นไว้ แต่..ลมของคุณเป็นตัวช่วยทำสายน้ำวนรอบตัวเขานะครับ” เอเปอร์ยกยิ้มรู้ทันเพื่อนสนิทและนั่นทำให้ไอเรสอดที่จะหลุดหัวเราะไม่ได้ เขาแค่ช่วยเสริมเวทย์น้ำของเอเปอร์นิดๆหน่อยๆเท่านั้น ตอนนี้เหลือแค่พวกเขากับทหารไม่กี่นายที่ยังยืนอยู่ข้างนอก ทำให้พวกเขาพูดคุยกันได้อย่างสบายมากขึ้น บางทีนี่ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำไมพวกเขาถึงสนิทกัน

     

    “ไอเรส ฝ่าบาททรงเรียกรวมวิหก คุณเองก็ด้วยเอเปอร์” เสียงเรียกจากแพทย์หลวงทำให้คนที่อายุน้อยที่สุดในการเดินทางต้องรีบตามเข้าไปโดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท ร่างสูงของชายหนุ่มทั้งสองคุกเข่าลงตรงหน้าทาทารัสเป็นการทำความเคารพก่อนจะแยกย้ายไปยืนตามตำแหน่ง ไอเรสไปยืนฝั่งตรงข้ามกับออคต้าร์และข้างเขาคือเบเรียส ส่วนเอเปอร์ยืนข้างหลังเกรย์เซียอย่างรู้งาน 




    รายงานสถานการณ์ชายแดนพะยะค่ะ” 

     

    “ไม่มีการเคลื่อนไหวด้านการทหารจากฝั่งโซทาเลีย ผู้ที่เดินทางเข้าออกระหว่างอาณาจักรส่วนมากเป็นชาวบ้านและพ่อค้า” เจ้าเมืองโอมาลานซ์ถือรายงานฉบับย่อกล่าวต่อหน้าทาทารัส แต่ยังไม่ทันที่จะรายงานต่อ กลับถูกบุคคลที่ไม่คิดว่าจะติดตามมาด้วยเอ่ยแทรกขึ้นมาก่อน

     

    “ทหารผู้นั้นเกี่ยวข้องกับโซทาเลียหรือไม่” เลคาร์ท มาร์ส เชื้อพระวงศ์ที่สืบสายเลือดสายรองเอ่ยขึ้น ทำให้การรายงานหยุดชะงัก เจ้าเมืองลนลานเล็กน้อยเพราะพวกเขาเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่าทหารผู้นั้นมาจากไหน แต่ถ้ามาจากโซทาเลียจริง..มันก็จะเป็นการประกาศท้าทายเบทริกซ์อย่างไม่ต้องสงสัย

     

    “ว่าอย่างไร!” เด็กหนุ่มเค้นถาม ดวงตาสีแดงที่จับจ้องมาทำให้ร่างของเจ้าเมืองสั่นเทาอย่างไม่สามารถควบคุมได้ แม้ว่าเลคาร์ทจะไม่ได้ขยับเข้าใกล้เลยก็ตาม

     

    “พอได้แล้วเลคาร์ท นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเบทริกซ์” น้ำเสียงทรงอำนาจจากทาทารัสทำให้เลคาร์ทต้องหยุดแล้วโค้งขออภัย เขาเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่ถ้าตามลำดับศักดิ์แล้วยังห่างไกลจากสายเลือดองค์ปฐมกษัตริย์มาก ไม่เหมือนกับกษัตริย์ทาทารัสหรือแอสเทียร์ที่สืบสายเลือดโดยตรง และถ้าเทียบกับสี่วิหก ถึงศักดิ์เขาจะสูงแต่ก็ยังด้อยอำนาจกว่า

     

    ในขณะที่เจ้าเมืองได้แต่ลอบถอนหายใจเบาๆ อย่างน้อยเขาก็ไม่ถูกคาดคั้นเรื่องผู้บุกรุกอีก แต่ก็ต้องตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินคำพูดต่อมาจากริมฝีปากของกษัตริย์นักรบ

     

    “ภาษีของประชาชนโอมาลานซ์” เพียงแค่นั้นหัวใจก็เต้นแรงจนแทบหลุดออกมาด้วยความหวาดกลัวแต่ยังคงพยายามทำหน้าซื่อ อาจจะแค่ให้รายงานเฉยๆ เพราะเมื่อไม่มีหลักฐานก็ไม่สามารถเอาผิดเขาได้ เอกสารทั้งหมดที่ส่งให้ตระกูลฟารอสเป็นของปลอมแปลงที่ทำขึ้นอย่างดี ไม่มีทาง..ที่จะจับได้โดยง่าย

     

    แต่เขาคงลืมไปว่าวิหกไม่ได้มีแค่อินทรีย์..

     

    “เดือนแรกที่ทำหน้าที่เจ้าเมืองมีการเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นถึงสามเท่า โดยอ้างถึงความปลอดภัยในเมือง..” ร่างสูงของชายหนุ่มก้าวขึ้นมาอยู่ข้างทาทารัส นัยน์ตาสีดำเป็นประกายอย่างที่เจอเรื่องสนุกในขณะที่เอ่ยถึงสิ่งที่เขาพบมา ตระกูลสี่วิหกจะไม่ก้าวก่ายการปกครองของแต่ละตระกูล และบางทีก็ขัดแย้งกันบ้างแต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ทำงานร่วมกัน

     

    ตระกูลวิหกสี่ขุนพล

     

    “เดือนที่สองมีการนำงบประมาณส่วนกลางไปใช้ส่วนตัว..สร้างบ้านพักขนาดใหญ่ริมหาด” เสียงพูดข้างหูยิ่งทำให้เจ้าเมืองเข่าอ่อน เขาไม่ทันสังเกตุว่าคนๆนี้สามารถมาอยู่ข้างกายเขาด้วยระยะเวลาเพียงกระพริบตาได้อย่างไร น้ำเสียงนุ่มนวลกับรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าไม่ได้บ่งบอกว่าคนตระกูลคาเลนเป็นคนอันตรายเสียเท่าไหร่ แต่สิ่งที่พูดมานั้นคือข้อมูลลับที่เขาไม่เคยเปิดเผยให้ใครรู้ทั้งสิ้น!

     

    ตระกูลสี่วิหก ดูไม่เป็นอันตรายยกเว้นฟารอสที่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่

    เขาเคยคิดว่าตระกูลอื่นคงจะปวกเปียก

    เป็นแค่ผู้ปกครองที่ไม่มีอำนาจอันใด

    แต่..ดูเหมือนเขาจะคิดผิด

     

    สายตากรอกไปมาหาคนที่ดูน่าจะอ่อนแอที่สุด และหยุดที่ชายหนุ่มผู้ที่น่าจะมีจิตใจอ่อนโยนที่สุดและหัวอ่อน ตระกูลพานิคน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับเขา..หากเขายอมหาหญิงสาวให้ชายหนุ่มหรือสรรหาสิ่งที่ตระกูลพานิคต้องการมาให้ เขาอาจจะรอดพ้นข้อกล่าวหานี้ เพราะเขาได้ยินว่ากษัตริย์ทรงไว้วางใจตระกูลพานิคมากที่สุด

     

    “ข้า..ข้าน้อย สิ่งเหล่านั้นไม่เป็นความจริงพะยะค่ะ!

     

    “เอ๋ จะบอกว่านกน้อยของผมทำงานพลาดงั้นหรือครับ..” เบเรียสเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยแต่ก็ยอมเดินกลับไปประจำตำแหน่งเมื่อเห็นสายตาของทาทารัส  

     

    “ใช่! มันแค่ข่าวลือจากคนที่ต้องการบ่อนทำลายตัวข้าเท่านั้น” น่ารังเกียจยิ่งนัก..นัยน์ตาสีฟ้าทรงอำนาจเบนสายตาไปยังตระกูลใหญ่ทั้งสี่ว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้ ถ้าหากยืดยื้อนัก..เขาก็จะลงดาบ ณ ที่แห่งนี้ซะ

     

    “ข้าพระองค์ต้องการความยุติธรรม..และได้ยินว่าตระกูลวิหกหงส์ขาวพานิคมีความยุติธรรมจะสามารถช่วยแก้ไขข้อเท็จนี้ให้กับข้าพระองค์ได้” คราวนี้สายตาทั้งหมดเปลี่ยนมาหยุดอยู่ที่ไอเรสแทน นัยน์ตาสีทองที่มักจะขี้เล่นเสมอเปลี่ยนเป็นจริงจังทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น เขาไว้ใจการทำงานของตระกูลคาเรน แต่ถ้าเจ้าเมืองเป็นผู้ถูกกล่าวหาจริง เขาก็ควรจะสืบรู้ให้แน่ชัด

     

    “องค์กษัตริย์ ข้าขอเวลาในการหาข้อเท็จจริงพะยะค่ะ” ไอเรสก้าวขึ้นมาข้างหน้าแล้วเอามือแตะหน้าอกอย่างนอบน้อม เขาต้องการเวลาเพื่อให้ไม่ทำงานผิดพลาด ทาทารัสหรี่ตามองชายหนุ่มเล็กน้อย เขาให้ความไว้วางใจกับ ชาเรย์ พานิค แต่กับไอเรสนั้นต่างกันออกไป

     

    ไอเรสไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งของเขา

    บางทีนี่อาจจะเป็นการทดสอบความภักดีต่อสายเลือดปฐมกษัตริย์ก็เป็นได้

     

    “สามชั่วโมง ข้าให้เวลาเจ้าแค่นั้น”

     

    ไอเรสหยิบบัญชีทั้งหมดที่อยู่ในคลังออกมาตรวจสอบอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบอะไรที่ผิดปกติ มือแกร่งนวดขมับตนเองเบาๆเพื่อคลายกล้ามเนื้อ ตอนนี้เขาเริ่มคิดแล้วว่าเวลาสามชั่วโมงมันน้อยเกินไป และเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้วตั้งแต่เขาขอเวลา ไอเรสรู้ว่าทาทารัสต้องการทดสอบเขาด้วยเวลาเพียงสามชั่วโมง เอเปอร์เองก็โดนเกรย์เซียลากออกไปข้างนอก นี่เป็นการทดสอบของเขาเพียงคนเดียว

     

    “ขออภัยขอรับนายท่าน..” เจ้าเมืองเปิดประตูคลังเข้ามาพร้อมหญิงสาวหน้าตางดงามคนหนึ่ง ไอเรสไม่ได้สนใจผู้มาเยือนนักจนผู้สูงวัยกว่าต้องส่งเสียงเรียกอีกครั้ง

     

    “ข้าขอขอบพระคุณนายท่านมาก ข้าเห็นว่าท่านตรวจสอบเอกสารเพียงคนเดียวอาจจะต้องการผู้ช่วยเหลือ..นางเป็นผู้ดูแลคลังของที่นี่ คงจะช่วยท่านได้ไม่มากก็น้อย” ใบหน้าแสดงความนอบน้อมหากแต่ในใจนั้นกลับมีความคิดที่น่าจะเอื้อประโยชน์ให้เขาได้อย่างมาก ถ้าหากไอเรสหลงใหลหญิงงามจนหาหลักฐานไม่พบ คนที่จะโดนลงโทษคือไอเรสไม่ใช่เขา..และถ้าสร้างความผิดใจกันให้กับตระกูลวิหกได้

     

    มันก็ยิ่งเป็นผลดี

     

    “ข้าน้อยเอสเม่ค่ะ” นัยน์ตาสีน้ำเงินลุ่มลึกของหญิงสาวไม่ได้ทำให้ไอเรสสนใจในตัวของนางมากนัก เขาแค่ขอบคุณเจ้าเมืองและตรวจหาเอกสารต่อไปอย่างไม่ลดละ จนเขาเห็นว่าหญิงสาวเอื้อมมือไปหยิบเอกสารไม่ถึงจึงเดินไปหยิบให้

     

    “ขอบคุณท่าน..” กลิ่นหอมแปลกๆจากกายหญิงสาวทำให้ไอเรสรู้สึกมึนหัว ขายาวก้าวถอยหลังไปเล็กน้อยก่อนที่สติจะค่อยๆเลือนหายไปอย่างช้าๆ ร่างกายทรุดลงกับพื้นในขณะที่เวลายังคงเดินต่อไป

     

    เขาโดนวางยา

     



    “ไอเรส”

     

    “ไอเรส คุณตื่นได้แล้วครับ”

     

    “เอเปอร์?

     

    “ครับ คุณหาหลักฐานจนสลบเลยหรือไง” ไอเรสสะดุ้งเมื่อเขานึกขึ้นได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ เมื่อหันไปมองนาฬิกาก็พบว่ามันผ่านไปห้าชั่วโมงแล้ว ร่างสูงผุดลุกขึ้นทันทีเมื่อเห็นเวลาก่อนจะรีบควานเก็บเอกสารทั้งหมดท่ามกลางความแปลกใจของเอเปอร์ว่าเพื่อนสนิทกำลังหาอะไร

    “หลักฐาน..”

     

    “คุณบอกให้ท่านเบเรียสเอาไปให้ฝ่าบาทแล้วไม่ใช่หรอครับ”

     

    “ให้ฝ่าบาทแล้ว?” ดวงตาเรียวมองใบหน้าของเพื่อนสนิทอย่างงุนงง เขายังหาไม่เจอแล้วจะเอาอะไรให้ทาทารัสกัน ยิ่งผ่านทางเบเรียสแล้วด้วย ไม่มีทางที่เขาจะทำอะไรอย่างนั้นแน่นอน

     

    “ยังไงก็ออกจากห้องนี้ก่อนดีกว่าไอเรส ผมไม่คิดว่าเป็นเรื่องที่ดีเท่าไหร่ถ้าจะนอนในนี้ต่อ” เอเปอร์เดินนำออกจากคลังเก็บเอกสารโดยหันมามองคนที่ดูไม่มีสติเท่าไหร่เพราะพึ่งตื่นเป็นระยะ ไอเรสที่มักจะรักษาท่าทางให้สง่างามเสมอในสายตาคนอื่น แต่เขามองยังไงก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่รักครอบครัวและติดน้องชายมากเท่านั้น

     

    “ฝ่าบาททรงออกไปล่าสัตว์ได้ซักพักแล้ว มีออคต้าร์ตามไปด้วย ส่วนเจ้าเมือง..ตอนนี้รอโทษอยู่ในคุก” ร่างโปร่งของเกรย์เซียเดินเข้ามาหาทันทีที่พวกเขาเข้ามาในห้อง ตอนนี้ทาทารัสกับออคต้าร์ออกไปข้างนอก จึงเหลือแค่พวกเขาสี่คน เบเรียสกำลังนั่งจิบชาอย่างอารมณ์ดีอยู่ที่โซฟากลางห้อง

     

    “นายยังชงชาได้ดีเหมือนเดิมเกรย์เซีย”

     

    “พวกคุณไปนั่งรอที่โซฟาก่อน ผมจะเอาชามาให้ ฝุ่นในคลังเอกสารไม่ดีกับร่างกายหรอกครับ” เมื่อเห็นว่าหมอหนุ่มออกไปจากห้องแล้ว ไอเรสจึงเอ่ยปากถามคนที่เขาสงสัยทันที

     

    “ท่านเบเรียสได้เอกสารนั่นจากไหน”

     

    มือแกร่งวางถ้วยชาลงกับโต๊ะ นัยน์ตาสีดำสนิทสบกับนัยน์ตาสีสว่างของคนอายุน้อยกว่าแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลแต่กลับดึงเอาความรู้สึกบางอย่างออกมา “สิ่งหนึ่งที่ควรจะรู้ไอเรส วิหกไม่ทำงานเพียงตัวเดียว”

     

    “ถ้าอย่างนั้นขอบคุณที่ช่วยข้าเอาไว้” ร่างสูงก้มเล็กน้อยแสดงความขอบคุณ แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากชายหนุ่มรุ่นพี่แทน

     

    “ผมไม่ได้ช่วยไอเรส.. แค่ไม่อยากให้นกน้อยของผมถูกกล่าวหาเท่านั้นเอง”

     

    หากหงส์ขาวมีเกียรติที่ต้องรักษา

    เหยี่ยวแดงเองก็มีหน้าที่ปกป้องพวกพ้องเช่นกัน




    ----------------------------

    Talk 

    บทนี้แสดงความสนิทกันของเอเปอร์กับไอเรสเบาๆ ถ้าร่วมมือกันทำอะไรนั่นคือหายนะค่ะ

    แต่ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีเลยปล่อยผ่านกันไป  เพราะนิสัยขี้เล่นกันทั้งคู่ แค่เอเปอร์หนักกว่าหน่อยๆ


    จะเห็นว่าวิหกเกือบทุกคนให้ความเกรงใจเกรย์เซีย เหตุผลนึงคืออายุค่ะ

    ถ้าไม่นับชาเรย์(ที่เป็นรุ่นเก่า)เกรย์เซียอายุมากกว่าทุกคน ยกเว้นเบเรียสที่อายุเท่ากัน 

    อีกอย่างคือเกรย์เซียขึ้นเป็นผู้นำตั้งแต่ยังอายุน้อย สังเกตุจากตอนพันธะสัญญา

    เกรย์เซียจะเป็นรุ่นใหม่คนเดียว นอกนั้นเป็นรุ่นเก่าหมด

    คนอื่นเลยให้ความเกรงใจมาก



    *เธโล เป็นเมืองอาณาจักรโซทาเลีย ติดชายแดนเบทริกซ์[โอมาลานซ์]

    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×