คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : Tale 4 : ความวุ่นวายที่โอมาลานซ์
บทที่4 ความวุ่นวายที่โอมาลานซ์
น้ำ
รอบตัวเขามีแต่น้ำ
แต่กลับหายใจได้สะดวก
นัยน์ตาคู่สวยลืมตาขึ้นแล้วมองไปรอบๆ
ร่างกายของเขากำลังจมสู่ท้องทะเลลึกและไม่มีแรงพอที่จะว่ายกลับขึ้นไป
มือเรียวพยายามยื่นไปยังแสงสว่างที่เห็นอยู่เบื้องบนราวกับพยายามไคว่คว้าอะไรบางอย่าง
ก่อนที่สติจะดับวูบไป
ซ่า
ซ่า
“แค่กๆ”
เด็กหนุ่มสำลักน้ำออกมาแล้วลืมตามองรอบๆ เขาอยู่บนชายหาดสักแห่งที่เขาไม่รู้จัก
นัยน์ตาสีส้มมองสภาพแวดล้อมอย่างระแวงแล้วค่อยๆลุกขึ้นยืน
แต่ดูเหมือนขาของเขาจะไม่มีแรงเสียเท่าไหร่จนทรุดลงไปกองกับพื้นทรายอีกครั้ง
ที่นี่ที่ไหน
เรือนผมสีดำสนิทเปียกลู่ไปกับใบหน้าหวานกับเสื้อเชิ๊ตสีขาวบางๆที่เปียกชุ่มจนแทบจะปกปิดเนื้อนวลไม่ได้
เด็กหนุ่มพยายามลุกขึ้นยืนอีกครั้งโดยใช้โขดหินข้างกายเป็นตัวช่วยพยุงลุกขึ้น
และครั้งนี้เขาทำสำเร็จ เท้าเปลือยเปล่าค่อยๆย่างก้าวอย่างระวังเพื่อไม่ให้ตนเองล้มลงไปอีก
เขาต้องรู้ให้ได้ว่าที่นี่คือที่ไหน
และดูเหมือนว่าเขาจะโชคดีที่บังเอิญเจอชายชรากำลังลากเรือเข้าฝั่งอยู่
เขาจึงตรงไปหาคนๆแรกที่เขาเห็นทันที
แต่เหมือนร่างกายปวกเปียกของเขาไม่อำนวยเสียจริง
ตุ๊บ.
“เฮ้ย
เจ้าหนู!”
นั่นคือเสียงสุดท้ายที่เขาได้ยินก่อนจะหมดสติ แต่อย่างน้อย..เขาก็เจอมนุษย์แล้วซินะ
“หนู..”
“หนูจ๊ะ...”
“ดีจัง
หนูฟื้นแล้ว” น้ำเสียงใจดีจากหญิงชราที่ค่อยๆประคองเขาขึ้นมาให้ดื่มน้ำ
และบนหน้าผากเขาก็มีผ้าชุบน้ำเย็นแปะไว้ ส่วนเสื้อผ้าที่เขาสวมอยู่ก็ไม่ใช่ของเดิม
ดูท่าทางแล้วหญิงชราผู้นี้จะเป็นคนดูแลเขาตอนที่ไม่มีสติ
“..ข..ขอบคุณครับ
แต่ที่นี่..คือที่ไหน” เด็กหนุ่มมองไปรอบๆห้องอย่างงุนงง
เขาจำได้แค่ว่าเขาหมดสติไปก่อนจะถึงตัวชายชราคนนั้น
“ไม่ต้องห่วงนะจ๊ะ
หนูอยู่ที่บ้านของฉัน..สามีฉันเจอหนูหมดสติที่ชายหาดเรดซัน”
“ชายหาดเรดซัน?”
“จ๊ะ
ที่นี่คือเมืองเธโล อาณาจักรโซทาเลีย หนูมาจากไหนหรือ คงจะไม่ใช่คนที่นี่ซินะ”
หญิงชรายิ้มให้เด็กหนุ่มอย่างอ่อนโยน
มืออุ่นลูบเรือนผมนุ่มสีดำสนิทของเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักเบาๆ
ดูแล้วเด็กคนนี้คงจะไม่ใช่เด็กธรรมดา อาจจะเป็นบุตรชายของตระกูลผู้ดีคนหนึ่ง
แต่เหตุใดถึงได้มีสภาพตัวเปียกโชกยามที่สามีของเธอพาเขาเข้ามา
เธอเองก็อดตกใจไม่ได้
“โซทาเลีย”
เด็กหนุ่มพึมพำกับตัวเองเบาๆ
“ว่าแต่หนูชื่ออะไรจ๊ะ
ฉันอมิเลียและสามีฉันทิมเป็นชาวประมงอยู่ที่นี่น่ะ”
“อึก..”
ความรู้สึกปวดหัวแล่นขึ้นมาจนต้องกัดริมฝีปากตัวเองแรงๆเพื่อกลั้นเสียงร้อง
ร่างบอบบางสั่นเทาอย่างคนที่กลัวอะไรบางอย่าง นัยน์ตาสีส้มเบิกโพลงจนน่าตกใจ
“หนู!!หนูเป็นอะไร ทิม!มาช่วยเขาที”
“เจ้าหนูเป็นอะไร!”
“ไม่รู้ค่ะ
ฉันถามชื่อแกแล้วแต่อยู่ดีๆก็เป็นแบบนี้”
“ต้องพาเข้าเมือง”
“ข้าจะไปเตรียมเกวียน
อมิเลียเจ้าคอยดูเจ้าหนูนี่!” ชายชราวิ่งออกไปนอกบ้านเพื่อเตรียมเกวียนทันที
ในขณะที่ผู้เป็นภรรยาได้แต่คอยประคองเด็กหนุ่มเอาไว้
แล้วพาขึ้นเกวียนไปในเมืองอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
พวกเขาไม่มีบุตรธิดาหลงเหลืออยู่
เคยมี..แต่บุตรชายนั้นได้เสียชีวิตไปแล้ว
เด็กหนุ่มคนนี้ทำให้พวกเขาคิดถึงบุตรชาย
พวกเขาจะต้องช่วยเด็กคนนี้ให้เร็วที่สุด
“ร่างกายของเด็กคนนี้อ่อนล้าเกินไป
ส่วนอาการปวดหัวเป็นเพียงอาการธรรมดา สิ่งที่น่าเป็นห่วงมากกว่าคือมีน้ำในปอด
แต่ร่างกายกลับไม่แสดงอาการหรืออันตรายอะไร”
แพทย์เอ่ยกับสองสามีภรรยาชราอย่างสงสัย จากที่เขาสันนิฐานแล้ว
เด็กคนนี้น่าจะจมน้ำและสำลักน้ำเข้าปอด
แต่กลับไม่มีอาการเกี่ยวกับความผิดปกตินี้เลยแม้แต่น้อย
กลับเป็นอาการปวดหัวธรรมดาแทน
“พวกเราต้องทำอย่างไรคะ”
“ช่วยดูแลสภาพร่างกายของเขาก็พอ..เขาฟื้นตัวได้เร็วมากจนน่าตกใจ”
“ขอบคุณขอรับท่านหมอ”
ทิมก้มหัวให้กับแพทย์หนุ่มประจำเมือง หมอคนนี้คอยรักษาอาการเจ็บป่วยให้กับผู้คนในเมืองอย่างเต็มที่
และเขาก็วางใจได้ว่าเจ้าหนูที่เขาเจอมาจะปลอดภัย
“แต่อีกอย่างหนึ่งที่พวกท่านควรจะรู้เกี่ยวกับเด็กคนนี้..”
คำพูดจากหมอเรียกความสนใจจากอีกสองคนได้เป็นอย่างดี
“เด็กคนนี้ความจำเสื่อม..จำไม่ได้ว่าตนเองมาจากไหนหรือแม้กระทั่งชื่ออะไร”
เด็กน้อยผู้น่าสงสาร
สิ่งที่หลงเหลืออยู่คืออะไร
“ยินดีต้อนรับฝ่าบาททาทารัสและตระกูลวิหกสู่โอมาลานซ์พะยะค่ะ..”
เจ้าเมืองโอมาลานซ์พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำแหน่งต่างๆยืนรับขบวนเสด็จด้วยความเป็นระเบียบ
โอมาลานซ์อยู่ในความปกครองของตระกูลฟารอส และตำแหน่งเจ้าเมืองที่ได้มาก็ถูกแต่งตั้งผ่านตระกูลวิหกทั้งสิ้น
ร่างสูงกำยำบนหลังอาชาพันธุ์ดีดูสง่างามและน่าเกรงขามตามด้วยออคต้าร์ที่ยืนม้าอยู่หลังองค์กษัตริย์ในชุดแม่ทัพ
ใบหน้างดงามแต่แฝงไปด้วยความแข็งแกร่งไม่มีใครกังขาในความสามารถของเขา
ไอเรสสังเกตเห็นว่าตลอดทางที่พวกเขาเดินทางมา ทุกคนดูชื่นชมออคต้าร์ไม่แพ้องค์กษัตริย์ทาทารัสเลยทีเดียว
เหมือนกับเมืองในปกครองของตระกูลพานิค
นัยน์ตาสีทองสว่างเหลือบไปมองเพื่อนสนิทอย่างเอเปอร์ที่อยู่บนหลังอาชาสีเชสนัทตัวใหญ่
และดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะรู้ตัวเลยหันกลับมาหาไอเรส
“อยากจะพูดอะไรหรือเปล่าครับไอเรส”
นัยน์ตาสีเขียวน้ำทะเลสบกับตาสีสว่างของไอเรสอย่างสงสัย
“นิดหน่อย..ข้าสงสัยว่าทำไมมีแค่เจ้าที่ตามท่านเกรย์เซียมาที่นี่”
ในการเยือนโอมาลานซ์ครั้งนี้ไอเรสเห็นว่ามีแค่เขากับเอเปอร์เท่านั้นที่ไม่ใช่ผู้นำตระกูล
เพียงแต่เขามาในฐานะผู้แทนของชาเรย์ ไม่ใช่ตำแหน่งว่าที่ผู้นำตระกูล
ในขณะที่เอเปอร์ก็ส่ายหน้าแล้วยิ้มตาหยีตามแบบฉบับของตนเอง
“ผมก็ไม่รู้ครับ
แต่ท่านเกรย์เซียมีคำสั่งให้ผมติดตามมาด้วยในครั้งนี้”
คำสั่งของผู้นำตระกูลคือที่สุด
ไอเรสหัวเราะกับคำตอบของเพื่อน
เขาน่าจะรู้ว่าเอเปอร์จะตอบอะไรด้วยนิสัยของอีกฝ่าย
แต่ก็ยังถามเพื่อไม่ให้บรรยากาศอึดอัดมากเกินไป ข้างหน้าพวกเขาคือเกรย์เซีย
แพทย์หลวงที่พึ่งช่วยรักษาบิดาของเขาเมื่อวาน และข้างเกรย์เซียคือผู้นำตระกูลคาเลน
เบเรียส
ไอเรสไม่เคยคุยกับผู้นำตระกูลคาเลนแต่ได้ยินคนพูดถึงว่าเป็นคนที่มีนิสัยประหลาดๆ
และไม่ค่อยเข้าวังหลวงนัก
แต่ก็ไม่แปลกในเมื่อหน้าที่ของเหยี่ยวแดงไม่เหมือนพวกเขา
“ไอเรส..เหมือนเราจะมีแขกไม่ได้รับเชิญมาด้วยนะครับ”
น้ำเสียงสนุกสนานของเอเปอร์เรียกความสนใจจากชายหนุ่มตระกูลพานิคได้เป็นอย่างดี
ใบหน้าได้รูปของว่าที่ผู้นำโรซาลีนอ่อนโยนลง แต่นั่นเป็นสัญญาณว่าเพื่อนของเขากำลังนึกสนุกอะไรบางอย่าง
และมันก็ไม่น่าไว้ใจเลย
“แฝงตัวเข้ามาแบบนี้คงต้องเชิญมาพูดคุยซักหน่อยแล้ว”
วินาทีนั้นไอเรสเข้าใจทันทีว่าทำไมเกรย์เซียถึงให้เอเปอร์มาร่วมเดินทางในครั้งนี้
เอเปอร์เป็นคนที่สายตาไวอย่างเหลือเชื่อและความผิดปกติเพียงเล็กน้อยนั่นก็เพียงพอที่จะให้ชายหนุ่มนัยน์ตาสีเขียวน้ำทะเลรับรู้แล้ว
สายน้ำเล็กๆไหลออกจากฝ่ามือของชายหนุ่มแล้วค่อยๆเลื้อยไปยังเหยื่ออย่างช้าๆ
และก่อนที่เหยื่อจะรู้ตัว..ก็ขยับไปไหนไม่เสียแล้ว
“เฮ้ย!อะไรวะ”
เสียงความวุ่นวายจากด้านหลังทำให้ทั้งขบวนหันไปหาต้นเสียงความวุ่นวาย
ชายในชุดทหารถูกสายน้ำรัดตัวเอาไว้อย่างแน่นหนาโดยมีเอเปอร์เป็นผู้ควบคุมสายน้ำนั้นอย่างสบายๆ
รอยยิ้มและดวงตาที่หยีลงบ่งบอกว่าเจ้าตัวกำลังสนุกกับท่าทางตกใจของทหารคนนั้น
“เกิดอะไรขึ้นเอเปอร์
คุณทำอะไร” เกรย์เซียเอ่ยถามเสียงเรียบเมื่อเห็นว่าคนในตระกูลเป็นผู้ลงมือก่อความวุ่นวาย
ร่างสูงโค้งให้เกรย์เซียเล็กน้อยก่อนจะลงจากหลังม้าแล้วดึงสายน้ำที่ทำหน้าที่แทนเชือกเข้ามาใกล้
และเป็นแม่ทัพหนุ่มที่สังเกตถึงความผิดปกติ
“เขาไม่ใช่คนของเรา..”
ออคต้าร์พูดขึ้นท่ามกลางความวุ่นวาย ชายในชุดทหารขบกรามแน่นเมื่อถูกจับได้และไม่สามารถหาลู่ทางหนีได้
เอเปอร์ส่งตัวแขกไม่ได้รับเชิญไปให้กับออคต้าร์และก้มหัวให้เกรย์เซียเป็นเชิงขออภัย
ถึงจะจับตัวคนแปลกหน้าได้แต่ก็ถือเป็นการกระทำโดยที่ไม่ได้รับคำสั่งจากผู้นำตระกูล
“ขออภัยด้วยท่านเกรย์เซีย
ผมคิดว่าถ้าช้ากว่านี้จะเสียโอกาสได้”
“คราวหลังอย่าทำอะไรโดยพลการอีก”
เกรย์เซียส่ายหน้าแล้วถอนหายใจ
เขาให้เอเปอร์ตามมาครั้งนี้เพราะสังหรณ์ใจว่าจะเกิดเรื่องขึ้น
แต่ไม่คิดว่าหลานชายตัวสูงของเขาจะทำอะไรโดยที่ไม่แจ้งให้เขารับรู้ก่อน
แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายมีวุฒิภาวะพอที่จะตัดสินใจเรื่องสำคัญเองแล้ว
แต่หากมีองค์กษัตริย์อยู่ก็ควรรักษามารยาทมากกว่านี้
หรืออย่างน้อยก็รอให้กษัตริย์ทาทารัสเสด็จเข้าไปในที่รับรองก่อนก็ยังดี
โชคดีที่ครั้งนี้เอเปอร์ไม่เล่นกับเหยื่อจนบาดเจ็บเสียก่อน
นิสัยขี้แกล้งของตระกูลโรซาลีนดูจะหนักข้อขึ้นทุกวัน
“รอดตัวไปนะเอเปอร์..”
น้ำเสียงนุ่มนวลจากคนข้างๆที่ลงจากหลังอาชาสีขาวแล้วมายืนข้างเขาแทน มือแกร่งตบบ่าเพื่อนสนิทไปเบาๆ
แต่เอเปอร์รู้ดีว่าไอเรสเองก็สนุกกับสถานการณ์เมื่อครู่ไม่น้อยเช่นกัน
เพียงแต่ไอเรสเป็นผู้ชมและเขาเป็นผู้ลงมือเท่านั้น
“เมื่อครู่คุณเกือบปล่อยให้ท่านเกรย์เซียทำโทษผมใช่ไหมไอเรส”
“หือ
ข้าเปล่าเลย” เจ้าของเรือนผมสีขาวสั่นหน้าไปมาแล้วเซมองไปทางอื่นอย่างไม่รู้เรื่อง
“รู้สึกว่าเชือกน้ำของผมจะทำหน้าที่ดึงตัวทหารคนนั้นไว้
แต่..ลมของคุณเป็นตัวช่วยทำสายน้ำวนรอบตัวเขานะครับ”
เอเปอร์ยกยิ้มรู้ทันเพื่อนสนิทและนั่นทำให้ไอเรสอดที่จะหลุดหัวเราะไม่ได้
เขาแค่ช่วยเสริมเวทย์น้ำของเอเปอร์นิดๆหน่อยๆเท่านั้น
ตอนนี้เหลือแค่พวกเขากับทหารไม่กี่นายที่ยังยืนอยู่ข้างนอก
ทำให้พวกเขาพูดคุยกันได้อย่างสบายมากขึ้น บางทีนี่ก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำไมพวกเขาถึงสนิทกัน
“ไอเรส
ฝ่าบาททรงเรียกรวมวิหก คุณเองก็ด้วยเอเปอร์”
เสียงเรียกจากแพทย์หลวงทำให้คนที่อายุน้อยที่สุดในการเดินทางต้องรีบตามเข้าไปโดยเร็วที่สุด
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท ร่างสูงของชายหนุ่มทั้งสองคุกเข่าลงตรงหน้าทาทารัสเป็นการทำความเคารพก่อนจะแยกย้ายไปยืนตามตำแหน่ง
ไอเรสไปยืนฝั่งตรงข้ามกับออคต้าร์และข้างเขาคือเบเรียส
ส่วนเอเปอร์ยืนข้างหลังเกรย์เซียอย่างรู้งาน
รายงานสถานการณ์ชายแดนพะยะค่ะ”
“ไม่มีการเคลื่อนไหวด้านการทหารจากฝั่งโซทาเลีย
ผู้ที่เดินทางเข้าออกระหว่างอาณาจักรส่วนมากเป็นชาวบ้านและพ่อค้า”
เจ้าเมืองโอมาลานซ์ถือรายงานฉบับย่อกล่าวต่อหน้าทาทารัส
แต่ยังไม่ทันที่จะรายงานต่อ
กลับถูกบุคคลที่ไม่คิดว่าจะติดตามมาด้วยเอ่ยแทรกขึ้นมาก่อน
“ทหารผู้นั้นเกี่ยวข้องกับโซทาเลียหรือไม่”
เลคาร์ท มาร์ส เชื้อพระวงศ์ที่สืบสายเลือดสายรองเอ่ยขึ้น
ทำให้การรายงานหยุดชะงัก
เจ้าเมืองลนลานเล็กน้อยเพราะพวกเขาเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่าทหารผู้นั้นมาจากไหน
แต่ถ้ามาจากโซทาเลียจริง..มันก็จะเป็นการประกาศท้าทายเบทริกซ์อย่างไม่ต้องสงสัย
“ว่าอย่างไร!” เด็กหนุ่มเค้นถาม ดวงตาสีแดงที่จับจ้องมาทำให้ร่างของเจ้าเมืองสั่นเทาอย่างไม่สามารถควบคุมได้
แม้ว่าเลคาร์ทจะไม่ได้ขยับเข้าใกล้เลยก็ตาม
“พอได้แล้วเลคาร์ท
นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเบทริกซ์”
น้ำเสียงทรงอำนาจจากทาทารัสทำให้เลคาร์ทต้องหยุดแล้วโค้งขออภัย
เขาเป็นเชื้อพระวงศ์ แต่ถ้าตามลำดับศักดิ์แล้วยังห่างไกลจากสายเลือดองค์ปฐมกษัตริย์มาก
ไม่เหมือนกับกษัตริย์ทาทารัสหรือแอสเทียร์ที่สืบสายเลือดโดยตรง
และถ้าเทียบกับสี่วิหก ถึงศักดิ์เขาจะสูงแต่ก็ยังด้อยอำนาจกว่า
ในขณะที่เจ้าเมืองได้แต่ลอบถอนหายใจเบาๆ
อย่างน้อยเขาก็ไม่ถูกคาดคั้นเรื่องผู้บุกรุกอีก แต่ก็ต้องตัวแข็งทื่อเมื่อได้ยินคำพูดต่อมาจากริมฝีปากของกษัตริย์นักรบ
“ภาษีของประชาชนโอมาลานซ์”
เพียงแค่นั้นหัวใจก็เต้นแรงจนแทบหลุดออกมาด้วยความหวาดกลัวแต่ยังคงพยายามทำหน้าซื่อ
อาจจะแค่ให้รายงานเฉยๆ เพราะเมื่อไม่มีหลักฐานก็ไม่สามารถเอาผิดเขาได้
เอกสารทั้งหมดที่ส่งให้ตระกูลฟารอสเป็นของปลอมแปลงที่ทำขึ้นอย่างดี
ไม่มีทาง..ที่จะจับได้โดยง่าย
แต่เขาคงลืมไปว่าวิหกไม่ได้มีแค่อินทรีย์..
“เดือนแรกที่ทำหน้าที่เจ้าเมืองมีการเรียกเก็บภาษีเพิ่มขึ้นถึงสามเท่า
โดยอ้างถึงความปลอดภัยในเมือง..” ร่างสูงของชายหนุ่มก้าวขึ้นมาอยู่ข้างทาทารัส
นัยน์ตาสีดำเป็นประกายอย่างที่เจอเรื่องสนุกในขณะที่เอ่ยถึงสิ่งที่เขาพบมา
ตระกูลสี่วิหกจะไม่ก้าวก่ายการปกครองของแต่ละตระกูล
และบางทีก็ขัดแย้งกันบ้างแต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ทำงานร่วมกัน
ตระกูลวิหกสี่ขุนพล
“เดือนที่สองมีการนำงบประมาณส่วนกลางไปใช้ส่วนตัว..สร้างบ้านพักขนาดใหญ่ริมหาด”
เสียงพูดข้างหูยิ่งทำให้เจ้าเมืองเข่าอ่อน
เขาไม่ทันสังเกตุว่าคนๆนี้สามารถมาอยู่ข้างกายเขาด้วยระยะเวลาเพียงกระพริบตาได้อย่างไร
น้ำเสียงนุ่มนวลกับรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้าไม่ได้บ่งบอกว่าคนตระกูลคาเลนเป็นคนอันตรายเสียเท่าไหร่
แต่สิ่งที่พูดมานั้นคือข้อมูลลับที่เขาไม่เคยเปิดเผยให้ใครรู้ทั้งสิ้น!
ตระกูลสี่วิหก
ดูไม่เป็นอันตรายยกเว้นฟารอสที่เป็นถึงแม่ทัพใหญ่
เขาเคยคิดว่าตระกูลอื่นคงจะปวกเปียก
เป็นแค่ผู้ปกครองที่ไม่มีอำนาจอันใด
แต่..ดูเหมือนเขาจะคิดผิด
สายตากรอกไปมาหาคนที่ดูน่าจะอ่อนแอที่สุด
และหยุดที่ชายหนุ่มผู้ที่น่าจะมีจิตใจอ่อนโยนที่สุดและหัวอ่อน
ตระกูลพานิคน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับเขา..หากเขายอมหาหญิงสาวให้ชายหนุ่มหรือสรรหาสิ่งที่ตระกูลพานิคต้องการมาให้
เขาอาจจะรอดพ้นข้อกล่าวหานี้
เพราะเขาได้ยินว่ากษัตริย์ทรงไว้วางใจตระกูลพานิคมากที่สุด
“ข้า..ข้าน้อย
สิ่งเหล่านั้นไม่เป็นความจริงพะยะค่ะ!”
“เอ๋
จะบอกว่านกน้อยของผมทำงานพลาดงั้นหรือครับ..” เบเรียสเลิกคิ้วขึ้นมาเล็กน้อยแต่ก็ยอมเดินกลับไปประจำตำแหน่งเมื่อเห็นสายตาของทาทารัส
“ใช่!
มันแค่ข่าวลือจากคนที่ต้องการบ่อนทำลายตัวข้าเท่านั้น” น่ารังเกียจยิ่งนัก..นัยน์ตาสีฟ้าทรงอำนาจเบนสายตาไปยังตระกูลใหญ่ทั้งสี่ว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์นี้
ถ้าหากยืดยื้อนัก..เขาก็จะลงดาบ ณ ที่แห่งนี้ซะ
“ข้าพระองค์ต้องการความยุติธรรม..และได้ยินว่าตระกูลวิหกหงส์ขาวพานิคมีความยุติธรรมจะสามารถช่วยแก้ไขข้อเท็จนี้ให้กับข้าพระองค์ได้”
คราวนี้สายตาทั้งหมดเปลี่ยนมาหยุดอยู่ที่ไอเรสแทน นัยน์ตาสีทองที่มักจะขี้เล่นเสมอเปลี่ยนเป็นจริงจังทันทีที่ได้ยินเช่นนั้น
เขาไว้ใจการทำงานของตระกูลคาเรน แต่ถ้าเจ้าเมืองเป็นผู้ถูกกล่าวหาจริง
เขาก็ควรจะสืบรู้ให้แน่ชัด
“องค์กษัตริย์
ข้าขอเวลาในการหาข้อเท็จจริงพะยะค่ะ” ไอเรสก้าวขึ้นมาข้างหน้าแล้วเอามือแตะหน้าอกอย่างนอบน้อม
เขาต้องการเวลาเพื่อให้ไม่ทำงานผิดพลาด ทาทารัสหรี่ตามองชายหนุ่มเล็กน้อย
เขาให้ความไว้วางใจกับ ชาเรย์ พานิค แต่กับไอเรสนั้นต่างกันออกไป
ไอเรสไม่จำเป็นต้องทำตามคำสั่งของเขา
บางทีนี่อาจจะเป็นการทดสอบความภักดีต่อสายเลือดปฐมกษัตริย์ก็เป็นได้
“สามชั่วโมง
ข้าให้เวลาเจ้าแค่นั้น”
ไอเรสหยิบบัญชีทั้งหมดที่อยู่ในคลังออกมาตรวจสอบอย่างละเอียด
แต่ก็ไม่พบอะไรที่ผิดปกติ มือแกร่งนวดขมับตนเองเบาๆเพื่อคลายกล้ามเนื้อ
ตอนนี้เขาเริ่มคิดแล้วว่าเวลาสามชั่วโมงมันน้อยเกินไป
และเวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมงแล้วตั้งแต่เขาขอเวลา
ไอเรสรู้ว่าทาทารัสต้องการทดสอบเขาด้วยเวลาเพียงสามชั่วโมง
เอเปอร์เองก็โดนเกรย์เซียลากออกไปข้างนอก นี่เป็นการทดสอบของเขาเพียงคนเดียว
“ขออภัยขอรับนายท่าน..”
เจ้าเมืองเปิดประตูคลังเข้ามาพร้อมหญิงสาวหน้าตางดงามคนหนึ่ง
ไอเรสไม่ได้สนใจผู้มาเยือนนักจนผู้สูงวัยกว่าต้องส่งเสียงเรียกอีกครั้ง
“ข้าขอขอบพระคุณนายท่านมาก
ข้าเห็นว่าท่านตรวจสอบเอกสารเพียงคนเดียวอาจจะต้องการผู้ช่วยเหลือ..นางเป็นผู้ดูแลคลังของที่นี่
คงจะช่วยท่านได้ไม่มากก็น้อย” ใบหน้าแสดงความนอบน้อมหากแต่ในใจนั้นกลับมีความคิดที่น่าจะเอื้อประโยชน์ให้เขาได้อย่างมาก
ถ้าหากไอเรสหลงใหลหญิงงามจนหาหลักฐานไม่พบ
คนที่จะโดนลงโทษคือไอเรสไม่ใช่เขา..และถ้าสร้างความผิดใจกันให้กับตระกูลวิหกได้
มันก็ยิ่งเป็นผลดี
“ข้าน้อยเอสเม่ค่ะ”
นัยน์ตาสีน้ำเงินลุ่มลึกของหญิงสาวไม่ได้ทำให้ไอเรสสนใจในตัวของนางมากนัก
เขาแค่ขอบคุณเจ้าเมืองและตรวจหาเอกสารต่อไปอย่างไม่ลดละ จนเขาเห็นว่าหญิงสาวเอื้อมมือไปหยิบเอกสารไม่ถึงจึงเดินไปหยิบให้
“ขอบคุณท่าน..”
กลิ่นหอมแปลกๆจากกายหญิงสาวทำให้ไอเรสรู้สึกมึนหัว
ขายาวก้าวถอยหลังไปเล็กน้อยก่อนที่สติจะค่อยๆเลือนหายไปอย่างช้าๆ ร่างกายทรุดลงกับพื้นในขณะที่เวลายังคงเดินต่อไป
เขาโดนวางยา
“ไอเรส”
“ไอเรส
คุณตื่นได้แล้วครับ”
“เอเปอร์?”
“ครับ
คุณหาหลักฐานจนสลบเลยหรือไง” ไอเรสสะดุ้งเมื่อเขานึกขึ้นได้ว่ากำลังทำอะไรอยู่
เมื่อหันไปมองนาฬิกาก็พบว่ามันผ่านไปห้าชั่วโมงแล้ว ร่างสูงผุดลุกขึ้นทันทีเมื่อเห็นเวลาก่อนจะรีบควานเก็บเอกสารทั้งหมดท่ามกลางความแปลกใจของเอเปอร์ว่าเพื่อนสนิทกำลังหาอะไร
“หลักฐาน..”
“คุณบอกให้ท่านเบเรียสเอาไปให้ฝ่าบาทแล้วไม่ใช่หรอครับ”
“ให้ฝ่าบาทแล้ว?”
ดวงตาเรียวมองใบหน้าของเพื่อนสนิทอย่างงุนงง เขายังหาไม่เจอแล้วจะเอาอะไรให้ทาทารัสกัน
ยิ่งผ่านทางเบเรียสแล้วด้วย ไม่มีทางที่เขาจะทำอะไรอย่างนั้นแน่นอน
“ยังไงก็ออกจากห้องนี้ก่อนดีกว่าไอเรส
ผมไม่คิดว่าเป็นเรื่องที่ดีเท่าไหร่ถ้าจะนอนในนี้ต่อ”
เอเปอร์เดินนำออกจากคลังเก็บเอกสารโดยหันมามองคนที่ดูไม่มีสติเท่าไหร่เพราะพึ่งตื่นเป็นระยะ
ไอเรสที่มักจะรักษาท่าทางให้สง่างามเสมอในสายตาคนอื่น
แต่เขามองยังไงก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งที่รักครอบครัวและติดน้องชายมากเท่านั้น
“ฝ่าบาททรงออกไปล่าสัตว์ได้ซักพักแล้ว
มีออคต้าร์ตามไปด้วย ส่วนเจ้าเมือง..ตอนนี้รอโทษอยู่ในคุก”
ร่างโปร่งของเกรย์เซียเดินเข้ามาหาทันทีที่พวกเขาเข้ามาในห้อง
ตอนนี้ทาทารัสกับออคต้าร์ออกไปข้างนอก จึงเหลือแค่พวกเขาสี่คน
เบเรียสกำลังนั่งจิบชาอย่างอารมณ์ดีอยู่ที่โซฟากลางห้อง
“นายยังชงชาได้ดีเหมือนเดิมเกรย์เซีย”
“พวกคุณไปนั่งรอที่โซฟาก่อน
ผมจะเอาชามาให้ ฝุ่นในคลังเอกสารไม่ดีกับร่างกายหรอกครับ” เมื่อเห็นว่าหมอหนุ่มออกไปจากห้องแล้ว
ไอเรสจึงเอ่ยปากถามคนที่เขาสงสัยทันที
“ท่านเบเรียสได้เอกสารนั่นจากไหน”
มือแกร่งวางถ้วยชาลงกับโต๊ะ
นัยน์ตาสีดำสนิทสบกับนัยน์ตาสีสว่างของคนอายุน้อยกว่าแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลแต่กลับดึงเอาความรู้สึกบางอย่างออกมา
“สิ่งหนึ่งที่ควรจะรู้ไอเรส วิหกไม่ทำงานเพียงตัวเดียว”
“ถ้าอย่างนั้นขอบคุณที่ช่วยข้าเอาไว้”
ร่างสูงก้มเล็กน้อยแสดงความขอบคุณ
แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆจากชายหนุ่มรุ่นพี่แทน
“ผมไม่ได้ช่วยไอเรส..
แค่ไม่อยากให้นกน้อยของผมถูกกล่าวหาเท่านั้นเอง”
หากหงส์ขาวมีเกียรติที่ต้องรักษา
เหยี่ยวแดงเองก็มีหน้าที่ปกป้องพวกพ้องเช่นกัน
----------------------------
Talk
บทนี้แสดงความสนิทกันของเอเปอร์กับไอเรสเบาๆ ถ้าร่วมมือกันทำอะไรนั่นคือหายนะค่ะ
แต่ไม่ได้มีเจตนาไม่ดีเลยปล่อยผ่านกันไป เพราะนิสัยขี้เล่นกันทั้งคู่ แค่เอเปอร์หนักกว่าหน่อยๆ
จะเห็นว่าวิหกเกือบทุกคนให้ความเกรงใจเกรย์เซีย เหตุผลนึงคืออายุค่ะ
ถ้าไม่นับชาเรย์(ที่เป็นรุ่นเก่า)เกรย์เซียอายุมากกว่าทุกคน ยกเว้นเบเรียสที่อายุเท่ากัน
อีกอย่างคือเกรย์เซียขึ้นเป็นผู้นำตั้งแต่ยังอายุน้อย สังเกตุจากตอนพันธะสัญญา
เกรย์เซียจะเป็นรุ่นใหม่คนเดียว นอกนั้นเป็นรุ่นเก่าหมด
คนอื่นเลยให้ความเกรงใจมาก
*เธโล เป็นเมืองอาณาจักรโซทาเลีย ติดชายแดนเบทริกซ์[โอมาลานซ์]
ความคิดเห็น