ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Tales of Bird พันธสัญญาวิหคสวรรค์ [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #11 : Tale 8 สายลมและพิรุณ

    • อัปเดตล่าสุด 1 ต.ค. 59


    บทที่8 สายลมและพิรุณ

     

    เปลือกตาบางเปิดขึ้นอย่างช้าๆ เผยให้เห็นนัยน์ตาสีเดียวกับดวงตะวันยามเย็น ร่างผอมบางในตอนแรกดูมีเนื้อหนังมากขึ้น แต่ก็ยังบอบบางอยู่ดีถ้าเทียบกับเด็กหนุ่มวัยเดียวกันแล้ว ขาทั้งสองข้างค่อยๆ เดินลงไปในทะเลโดยที่ไม่ได้สนใจว่าตนเองจะจมน้ำหรือไม่

     

    สายน้ำไม่สามารถทำอะไรเขาได้

    กลับกัน เขาสามารถบังคับสายน้ำได้ตามใจ

    รวมถึงสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่ในนั้นด้วย

     

    มือขาวยื่นออกไปข้างหน้า พลันปรากฏทางเดินแหวกให้เขาเดินลงไปอย่างไม่ยากเย็น เด็กหนุ่มไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร มาจากไหน สิ่งที่ติดตัวเขามามีเพียงแผลเป็นรูปตรีศูลที่ไหล่ขวาเท่านั้น คู่สามีภรรยาใจดีที่เขาเจอเรียกเขาว่าโคเรย์ และรับเขาเป็นบุตรบุญธรรม

     

    มนุษย์ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่ซับซ้อน

    โคเรย์เองไม่แน่ใจว่าตนเองเป็นมนุษย์หรือไม่

    แต่บางครั้งอมิเลียจะบอกว่าเขาคือบุตรของเทพเจ้า

     

    เขาถูกสั่งให้เก็บเรื่องบังคับสายน้ำได้ดั่งใจไว้ ไม่ให้แสดงให้ผู้อื่นได้รับรู้ ไม่อย่างนั้นสิ่งที่ตามมาคือ อันตรายและความสูญเสีย หากผู้มีอำนาจรับรู้เข้า มันอาจจะเป็นภัยกับตัวโคเรย์เอง

     

    เท้าทั้งสองข้างหยุดลงเมื่อเดินมาได้ซักพักแล้ว ร่างบางนั่งลงกับโขดหินก่อนที่มือเรียวจะหยิบขลุ่ยขึ้นมาจรดริมฝีปากลง บทเพลงรื่นหูถูกบรรเลงโดยขลุ่ยไม้ธรรมดา ไพเราะและน่าดึงดูด ฝูงปลาทั้งหลายต่างมารวมกันรอบตัวเด็กหนุ่มจนสายน้ำรอบข้างเต็มไปด้วยเงาทมึน

     

    โคเรย์แอบหัวเราะในใจ เขาไม่ใช่บุตรของเทพเจ้าหรอก แต่ทว่า..

     

    ร่างของหญิงสาวผู้งดงามปรากฏตัวขึ้นข้างหน้า ใบหน้าอ่อนเยาว์กับเรือนผมสยายสีฟ้าครามคลอเคลียกับไหล่มน หญิงสาวย่อเข่าลงเล็กน้อยเป็นการทำความเคารพให้กับโคเรย์แล้วเริ่มขับขานบทเพลงอันไพเราะควบคู่กับเสียงขลุ่ย นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขาทำแบบนี้ และโคเรย์รู้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา นางเป็นไซเรนระดับสูง สามารถจำแลงกายขึ้นมาอยู่บนบกได้สามวันเป็นอย่างมาก เขาเลยเลือกที่จะเดินลงมาในทะเลเองมากกว่าจะให้นางขึ้นไปบนบก

     

    “เสียงบรรเลงของท่านยังคงไพเราะเช่นเดิมท่านโคเรย์” ทันทีที่บรรเลงจบ นางไซเรนเอ่ยด้วยรอยยิ้มพร้อมกับย่างเท้าเข้ามาใกล้ มือขาวซีดเอื้อมไปลูบไล้ใบหน้าของผู้ที่บรรเลงเครื่องดนตรีได้ไพเราะที่สุดตั้งแต่ที่นางเคยได้ฟังมา มิฉะนั้นแล้ว.. นางคงจะไม่รอช้าที่จะลิ้มลองรสชาติหอมหวนของเด็กหนุ่มผู้นี้อย่างแน่นอน

     

    ไซเรนไม่ได้มีแค่ความสวยงาม.. แต่ยังเต็มไปด้วยอันตราย

    ยิ่งกับสายเลือดชั้นดีอย่างนี้แล้วด้วย หาได้ยากยิ่ง

     

    สิ่งมีชีวิตเช่นไซเรนชั้นสูง สามารถบ่งบอกสายเลือดพิเศษของสิ่งมีชีวิตอื่นได้ และโคเรย์ก็เป็นเด็กพิเศษที่ในสามร้อยปีจะเจอเพียงครั้งเดียว พิเศษขนาดไหนน่ะหรอ..

     

    ก็เด็กคนนี้มีไอวิญญาณของเขาอยู่ด้วยน่ะสิ

     

    “องค์หญิงก็ยังทำหน้าเหมือนอยากจะกินผมเข้าไปเหมือนเดิมนะครับ” รอยยิ้มพร้อมคำพูดตรงๆจากโคเรย์ทำให้คนถูกเรียกว่าองค์หญิงแย้มรอยยิ้มมากขึ้น

     

    “เลือดในกายท่านดึงดูดทั้งมนุษย์ที่แสวงหาอำนาจและอมนุษย์ที่ต้องการพลังนั่น ท่านโคเรย์..”

     

    “อย่างนั้นเหรอครับ..” น้ำเสียงที่ไม่ได้แสดงความใส่ใจนักของโคเรย์ทำให้องค์หญิงแห่งไซเรนอดที่จะส่ายหน้าไม่ได้ นัยน์ตาสีเขียวอมฟ้ามองร่างบอบบางของเด็กหนุ่มที่ลุกขึ้นแล้วเดินกลับไปทางชายฝั่ง น้ำทะเลไหลทะลักเข้าเติมเต็มพื้นที่ว่างเช่นเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     

    “หน้าที่ของผมเริ่มต้นตั้งแต่ตอนนี้ต่างหากล่ะ องค์หญิง” ถึงจะไม่มีความทรงจำก่อนหน้าหลงเหลืออยู่ แต่เขากลับรู้ว่าหน้าที่ของเขาที่ต้องทำต่อจากนี้คืออะไร เขามีชีวิตเพื่อสิ่งนั้น..

     

    มิฉะนั้นแล้ว โคเรย์จะต้องถูกกลืนกิน..

     

     

     

    ใจกลางเมืองหลวง อาณาจักรเบทริกซ์

     

    ลูกสุนัขขนปุยล้มแผละที่หน้าบันไดโดยมีสายตาคู่หนึ่งจับจ้องอย่างอารมณ์ดี ก่อนที่จะเอื้อมมือไปเขี่ยเบาๆที่ขนนุ่มเล็กน้อย ก้อนขนสีขาวจึงเข้าคลอเคลียกับนิ้วมือของชายหนุ่มอย่างคุ้นเคย นัยน์ตาสีเขียวน้ำทะเลหรี่ลงเมื่อเห็นท่าทางน่ารักของลูกสุนัขจรจัดที่เขามาเล่นด้วยบ่อยๆ น่าเสียดายที่เขาเอามันกลับคฤหาสน์ไม่ได้ เกรย์เซียกลัวสุนัขทุกชนิด ไม่ว่าจะตัวเล็กหรือตัวใหญ่ เพราะฉะนั้นแล้วเป็นที่รู้กันดีว่าคฤหาสน์ตระกูลโรซาลีน ห้าม เลี้ยงสุนัขโดยเด็ดขาด

     

    จุดอ่อนของคนสมบูรณ์แบบน่ะหาไม่ยากหรอก

    ผู้นำตระกูลโรซาลีนกลัวสุนัข

    ส่วนเขาน่ะหรอ.. เรื่องอะไรจะยอมเผยจุดอ่อนกัน

     

    “ว่าแล้วว่าเจ้าต้องอยู่ที่นี่เอเปอร์”

     

    “ช่วงนี้ว่างงานหรือไงครับไอเรส ถึงได้มีเวลาเที่ยวเล่นแบบนี้” มือหนาผละออกจากสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กแล้วยืนขึ้น เอเปอร์รู้สึกว่าช่วงจัดงานพิธีวิวาห์นี้ไอเรสจะว่างเป็นพิเศษ ถึงจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคำสั่งของทาทารัสก็ตาม เท่าที่เขารู้จากเกรย์เซียคือ พานิคไม่ได้รับหน้าที่ใดเป็นพิเศษ ซึ่งนั่นมันผิดปกติไปมาก แต่ก็ไม่ได้ถามอะไรเพิ่ม เนื่องจากเกรย์เซียเองก็ไม่รู้ว่ากษัตริย์หนุ่มคิดอะไรอยู่

     

    ที่สำคัญดูท่าว่าคนที่ต้องเข้าพิธียังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

     

    “อืม ช่วงนี้พอมีเวลาบ้าง ลานพิธีก็เริ่มจัดสถานที่บ้างแล้ว” เจ้าของฉายาวิหคไร้ปีกยิ้มกับคำทักทายของเพื่อนสนิทที่ช่วงนี้เขาแวะมาหาบ่อยเพราะค่อนข้างว่าง หลังจากวันที่มีคำสั่งจัดงานวิวาห์ให้องค์ชายแอสเทียร์แล้วเกิดเรื่องขึ้นกับหวางอี้ พอพาคนอายุน้อยกว่ากลับคฤหาสน์ได้.. หวางอี้ก็ยังไม่ยอมรับว่าตนเองผิดที่ออกไปยืนเถียงกับกษัตริย์ต่อหน้าทุกคน แถมยังบอกอีกว่าเขาไม่ผิด

     

    ไอเรสดีใจที่หวางอี้มองว่าการที่เขาเป็นวิหคไร้ปีกไม่ใช่ความผิดของเขา และไม่ใช่ความผิดของตระกูล แต่การที่ไปต่อปากต่อคำกับทาทารัสที่สามารถลงมือได้อย่างเด็ดขาดก็ไม่ใช่เรื่องที่สมควรทำนัก หากถูกลงโทษ ไม่ใช่แค่เขาจะปกป้องน้องไม่ได้ แต่การลงโทษอาจจะลามมาถึงคนในตระกูล ซึ่งเขายอมให้มันเป็นอย่างนั้นไม่ได้ โชคยังดีที่เกรย์เซียหัวไวคิดแผนนั้นได้ก่อน

     

    “แต่ดูท่าว่าคนเข้าพิธีเองยังไม่รู้เรื่องเลยนะครับ” ไอเรสพยักหน้ากับคำพูดของเอเปอร์ เพราะขืนองค์ชายรู้..วังหลวงได้แตกแน่นอน

     

    “ฝ่าบาทสั่งห้ามใครพูดถึงเรื่องงานวิวาห์ แล้วองค์ชายก็ถูกกักบริเวณอยู่แต่ในวังหลวง” ลูกสุนัขตัวเล็กเข้ามาคลอเคลียที่เท้าของเอเปอร์จนชายหนุ่มต้องอุ้มมันขึ้นมาแล้วหยอกเล่นกับมันในขณะที่ฟังเพื่อนไปด้วย แต่ก็ต้องวางก้อนกลมลงอีกครั้งแล้ววาดมือออกไปเบาๆ

     

    ซ่า

     

    “แค่กๆ เจ้าทำอะไรของเจ้าเนี่ยเอเปอร์!” ร่างทั้งร่างเปียกโชกทันทีที่เอเปอร์วาดมือออกไป บริเวณที่แห้งมีเพียงจุดที่เจ้าของพลังยืนอยู่เท่านั้น โดยมีม่านน้ำบางๆ กั้นเหนือศีรษะของชายหนุ่มร่างสูงเอาไว้ทำให้ตนเองและลูกสุนัขไม่เปียก แต่นัยน์ตาสีเขียวกลับหยีลงอย่างอารมณ์ดีแล้วทำหน้าไม่รู้เรื่องกลับมาแทน

     

    “ขอโทษครับ พอดีคุณยืนอยู่นอกรัศมีของม่านเอง.. แล้วก็ ออกมาได้แล้วครับคุณโรซาริอา จะแอบฟังพวกผมไปถึงเมื่อไหร่” ร่างเล็กของเด็กสาวในชุดกระโปรงที่เคยสวยงาม ตอนนี้กลับเปียกโชกตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า มือบางปาดผมที่มาปิดใบหน้าออกแล้วมองอย่างไม่สบอารมณ์

     

    “ทำไมฉันต้องแอบฟังพวกนายกันด้วย ไม่มีเหตุผลที่ฉันจะทำอย่างนั้น” โรซาริอาก้าวเท้าเข้ามาหาชายหนุ่มรุ่นพี่ทั้งสอง เธอแค่บังเอิญผ่านมาได้ยินเท่านั้น พี่ชายของเธอไม่เคยให้เธอช่วยงานหลวง และไม่เคยเล่าเรื่องงานที่ต้องทำให้เธอฟัง เพราะฉะนั้นแล้วเธอจึงค่อนข้างแปลกใจเกี่ยวกับพิธีที่กำลังจะเกิด

     

    ไม่ได้แอบฟังเลยสักนิด.. แค่บังเอิญผ่านมาเท่านั้น

    แล้วฝนห่าใหญ่ก็ร่วงหล่นจากฟ้า

    ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นฝีมือของใคร

     

    “โรซาริอา มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” สายฝนค่อยๆ เบาลงจนหยุดในที่สุด ชายหนุ่มมองเด็กสาวรุ่นน้องอย่างงุนงง ปกติพวกเขากับโรซาริอาก็ไม่ค่อยเจอกันเท่าไหร่ หากไม่ได้มีงานเลี้ยงที่ตระกูลทั้งสี่ต้องเข้าร่วม เขาก็แทบจะไม่เห็นเด็กสาวตระกูลคาเลนมาเดินเล่นในเมืองเลย

     

    “ตั้งแต่พูดถึงงานวิวาห์ขององค์ชาย” สีหน้าของเด็กสาวเปลี่ยนเป็นจริงจังมากขึ้น ถึงจะไม่ได้ข้องเกี่ยวกับเชื้อพระวงศ์โดยตรง แต่เธอก็ไม่คิดว่าองค์ชายจะยอมแต่งงานด้วยวัยเพียงแค่นี้

     

    “แล้วเจ้ารู้อะไรบ้าง”

     

    “พี่ไม่ได้พูดถึงงานวิวาห์ให้ฉันฟัง แต่ฉันก็ไม่คิดว่าองค์ชายจะยอมเข้าพิธีเชื่อมสัมพันธ์บ้าบออะไรนี่” ชายหนุ่มทั้งสองมองหน้ากันเมื่อได้ยินคำพูดจากริมฝีปากจิ้มลิ้มที่ไม่ได้น่ารักตามรูปลักษณ์ภายนอกของโรซาริอา ว่าที่ผู้นำตระกูลคาเลนคนต่อไปมีความคิดที่โตกว่าวัยของเธอมาก แต่ก็ยังเด็กอยู่ดีถ้าคิดถึงผลที่ตามมา

     

    “คุณระวังคำพูดหน่อยดีกว่านะครับ นี่ไม่ใช่คฤหาสน์ตระกูลคาเลนที่จะพูดอะไรก็ได้” เอเปอร์เตือนรุ่นน้องด้วยความหวังดี การพูดถึงพิธีเชื่อมสัมพันธ์ว่าเป็นพิธีบ้าบอ อาจจะทำให้คนอื่นไม่พอใจได้ คนที่รอเหยียบย่ำตระกูลสี่วิหคมีมากเกินกว่าที่เด็กสาวจะรู้

     

    “ฉันแค่พูดไปตามที่คิด พิธีวิวาห์ไม่ใช่พิธีที่ทำเล่นๆ คนๆ นั้นต้องทนอยู่กับอีกฝ่ายไปชั่วชีวิต หากไม่ได้รักกันคนที่อึดอัดน่ะ เป็นองค์ชายแน่ๆ แล้วอีกฝ่ายคือใครล่ะ”

     

    “กษัตริย์ไซรัสจากอบิโทร..” ไอเรสเอ่ย เท่าที่พวกเขารู้ กษัตริย์ไซรัสอายุมากกว่าองค์ชายอยู่มาก แต่เท่าที่ได้ข่าวคราวมาไม่ใช่คนเลวร้าย ออกจะสุขุมเยือกเย็นและมักจะใช้วาจาให้เกียรติผู้อื่นเสมอแม้จะมีฐานะต้อยต่ำกว่า

     

    “กษัตริย์ไซรัส? อายุมากกว่าองค์ชายมากไม่ใช่หรอ” คิ้วเรียวเริ่มขมวด เธอจะไม่ยอมแต่งงานกับคนที่อายุมากกว่าแถมไม่รู้จักกันแบบนี้แน่ๆ และเชื่อว่าองค์ชายผู้เอาแต่ใจก็ไม่อยากจะเข้าร่วมพิธีกับคนอายุมากกว่ามากด้วย

     

    “มากกว่ากษัตริย์ทาทารัสสี่ปีครับ แต่รูปลักษณ์ของกษัตริย์อบิโทร ดูอ่อนเยาว์กว่าวัยจริงมาก”

     

    “มีคนกล่าวเช่นนั้น ข้าก็ได้ยินมา.. แต่โรซาริอา เจ้ามาทำ..” คำพูดของไอเรสถูกหยุดลงเมื่อสังเกตุเห็นเสื้อของเด็กสาวอีกครั้ง ในตอนแรกเขาไม่ได้สนใจแต่ตอนนี้พอมามองอีกทีแล้ว.. ตรงส่วนเสื้อของโรซาริอาเป็นเนื้อผ้าบางสีขาว ติดระบายลูกไม้สีฟ้าสดใส แต่พอเปียกน้ำแล้ว..

     

    ต่อให้แบนราบแค่ไหนก็ไม่สมควรมองอยู่ดี

     

    ใบหน้าหล่อเหลาขึ้นสีจางเล็กน้อยก่อนจะเบนสายตาไปทางอื่น เขาก็ลืมไปเลยว่าทั้งตนเองและโรซาริอาเปียกอยู่ ตัวเขาน่ะไม่เป็นไร แต่เด็กสาวน่ะ..การที่ยืนตัวเปียกกลางสาธารณะก็ไม่ใช่เรื่องสมควรเท่าไหร่ เสื้อคลุมตัวใหญ่ถูกถอดออกมา ก่อนที่ไอเรสจะวาดมือใช้ลมไล่ความชื้นออกจากเสื้อคลุมท่ามกลางสายตาที่มองอย่างสงสัยของเพื่อนสนิทและรุ่นน้องสาว

     

     

    “โรซาริอา..เสื้อของเจ้าเปียกอยู่ คลุมไว้จะดีกับตัวเจ้าเองมากกว่า” เอเปอร์ถึงกับร้องอ๋อในใจ เขาเห็นมาตั้งแต่แรกแล้วว่าเสื้อของเด็กสาวเปียก แต่ก็ไม่ได้มีอะไรน่ามองมากนัก ถึงจะอายุสิบแปดแล้ว แต่ทรวดทรงอกเอวของโรซาริอาก็ไม่ได้เจริญตามอายุเลย เพราะงั้นสำหรับชายหนุ่มนัยน์ตาเขียวน้ำทะเลแล้ว โรซาริอาก็ยังคงเป็นเด็กอยู่วันยันค่ำ 

     

    “พวกนาย..มองอะไรกัน!” ทันทีที่นึกขึ้นได้ว่าตนเองเปียกอยู่ โรซาริอาก็ตวาดทันทีโดยไม่สนใจว่าชายหนุ่มทั้งสองคนมีอายุมากกว่าเธอ ก็เธอสนใจซะที่ไหนกัน.. แล้วอะไรคือการที่ผู้ชายสองคนปล่อยให้เธอยืนตากลมทั้งที่ตัวเปียก นี่หรือสุภาพบุรุษที่คนอื่นในอาณาจักรยกย่องกัน

     

    “มองไปก็ไม่มีอะไรหรอกครับ.. แบนราบขนาดนี้” เอเปอร์บ่นเบาๆ กับเพื่อนสนิทข้างกาย ซึ่งไอเรสก็พยักหน้าเห็นด้วย แต่ไอร้อนระอุที่ฝ่ามือเด็กสาวทำให้ชายหนุ่มทั้งสองต้องให้ความสนใจเธออีกครั้ง

     

    “โรซาริอา เจ้าควรจะควบคุมอารมณ์ให้ดีกว่านี้” ถ้าเทียบกับเบเรียสแล้ว เด็กสาวดูจะอารมณ์ร้อนกว่ามาก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นได้

     

    แต่ต่อให้ควบคุมไม่ได้จริงๆ

    ไฟ.. กับน้ำ อย่างไหนจะได้เปรียบกัน

     

    “คุณหนูโรซาริอา” ลูกไฟในมือของเด็กสาวผมสีไวน์แดงดับลงทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกจากบุคคลที่พี่ชายเธอให้มาช่วยเธอในวันนี้ เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มแซมแดงในชุดรัดกุมสีดำ มีเข็มกลัดเหยี่ยวกลัดอยู่ตรงหน้าอกบ่งบอกว่าเป็นคนในสังกัดตระกูลคาเลน หรืออีกนัยหนึ่งคือ เหยี่ยวแดง

     

    “เอเวล นาย..”

     

    “นายท่านมีคำสั่งให้ผมพาคุณหนูกลับคฤหาสน์โดยเร็ว” ร่างโปร่งบางคุกเข่าให้โรซาริอาโดยไม่สนใจสายตาของอีกสองคน เอเวลมีหน้าที่ทำตามคำสั่งของนายท่านเท่านั้น โรซาริอาจิ๊ปากอย่างคนถูกขัดจังหวะ แต่ก็ยอมเดินตามไปโดยมีเสื้อคลุมของไอเรสคลุมอยู่

     

    “ไว้ฉันจะส่งคืนให้แล้วกัน.. รุ่นพี่” คำทิ้งท้ายของทายาทตระกูลคาเลนส่งผลให้ไอเรสและเอเปอร์ยืนค้าง โรซาริอาเป็นรุ่นน้องของพวกเขาที่โรงเรียน แต่เพราะมีศักดิ์เท่ากัน ไม่มีครั้งไหนที่เธอจะเรียกพวกเขาว่ารุ่นพี่ ต่อให้อายุมากกว่าก็ตาม

     

    “อา.. ข้าคิดว่าวันนี้ฝนคงตกแน่ เจ้าว่าอย่างนั้นไหม”

     

    ท้องฟ้าแจ่มใสขนาดนี้.. คงจะตกหรอก

    แต่.. ถ้าต้องการฝน

     

    “คุณอยากได้ฝนอีกหรอครับไอเรส ผมเรียกให้ได้นะ” รอยยิ้มอ่อนโยนที่ไม่น่าไว้วางใจของคนสูงกว่าทำให้ไอเรสหัวเราะแล้วส่ายหน้า

     

    “เจ้าคงอยากให้ข้าเรียกพายุมาเสริมให้เจ้าใช่ไหม หากเป็นเช่นนั้นลานพิธีคงพังไปก่อน..” นัยน์ตาสีทองสว่างจับจ้องยังลานพิธีที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ ถ้าคิดในแง่มุมของเด็กๆ งานวิวาห์กับคนที่ไม่ได้รักก็คงไม่ต่างจากการตกนรกทั้งเป็น แต่..หากการตกนรกนั้นสามารถช่วยประชาชนได้ นั่นก็คุ้มที่จะเสี่ยงไม่ใช่หรือ?

     

    ภาพของสงครามการฆ่าฟันไหลเข้าไปในความคิดจนไอเรสผงะ รอบข้างของเขามีซากปรักหักพังของตึกบ้านช่องอยู่ ส่วนตัวเขายืนอยู่ท่ามกลางสนามรบ แต่..นี่ไม่ใช่เบทริกซ์ ไม่มีอะไรที่ยืนยันว่าไม่ใช่นอกจากความรู้สึกของเขา

     

    มันเป็นความรู้สึกที่ไม่คุ้นเคย

    แต่ขณะเดียวกันก็โหยหาอย่างแปลกประหลาด

     

    นัยน์ตาคู่สวยกวาดมองไปรอบๆ เพื่อหาเบาะแสว่าที่นี่คือที่ไหน แต่ก็ไม่มีอะไรเหลืออยู่นอกจากซากศพทหารและประชาชน มือแกร่งหงายขึ้นเพื่อจะใช้พลังเวทย์เคลียร์เส้นทาง แต่มันกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไอเรสเบิกตากว่าง แม้ว่าจะพยายามใช้พลังเท่าไหร่ก็ไม่สามารถใช้เวทย์ได้แม้แต่ลมพัด

     

    ติ๊กต็อก

    ติ๊กต็อก

     

    เสียงนาฬิกาดังอยู่ในหัวเขา และมันดังขึ้นเรื่อยๆจนหัวแทบระเบิด ไอเรสไม่เข้าใจว่าที่เห็นอยู่เป็นเพียงความฝัน หรือมันคือเรื่องจริงที่ต้องเกิด แต่ในตอนนี้เสียงนาฬิกามันรบกวนจิตใจของเขามากเสียจนไม่สามารถขยับร่างกายได้ ราวกับถูกตรึงเอาไว้

     

    หมับ

     

    “ไอเรส”

     

    “คุณไอเรสครับ”

     

    ร่างกายถูกกระชากให้หลุดจากห้วงเวลานั้น ไอเรสกลับมาได้สติอีกครั้งจากสัมผัสที่ไหล่พร้อมลูกบอลน้ำขนาดเล็กที่เตรียมพร้อมจะปะทะหน้าเขา หากเขายังไม่ได้สติอีก มือแกร่งบีบมือของเอเปอร์เบาๆ เป็นเชิงไม่เป็นไร ลูกบอลน้ำนั้นจึงสลายไปตามคำสั่งผู้ใช้เวทย์

     

    “คุณทำหน้าเหมือนเห็นวิญญาณมา”

     

    “ไม่ใช่วิญญาณหรอกเอเปอร์ ข้าเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร”

     

    “ไว้ไปถามท่านเรอาตริสดีไหมครับ เผื่อจะได้คำตอบอะไรบ้าง” ไม่มีใครในอาณาจักรเบทริกซ์ที่รู้เรื่องราวในอดีต ปัจจุบันและอนาคตดีกว่าผู้ทำนายแห่งเบทริกซ์อีกแล้ว แต่การจะเข้าถึงตัวของผู้ทำนายนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเสียเท่าไหร่

     

    “หากนางจะยอมบอกโดยดี ข้าคงจะตรงไปถามนางแล้ว..” ผู้ทำนายไม่ได้ทำนายให้ใครโดยไม่หวังผลตอบแทน สิ่งที่จะต้องแลกก็ต้องเหมาะสมกับสิ่งที่เรอาตริสจะบอก ต่อให้เป็นตระกูลวิหคเองก็ตาม และสิ่งที่เหมาะสมของเรอาตริสก็ไม่เหมือนชาวบ้านเสียด้วย

     

    เพราะฉะนั้น หากไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร

    ตระกูลวิหคแทบจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับนักทำนายผู้นั้น

     

    หรือจะบอกว่าหลีกเลี่ยงก็ได้

     

    แม้ตระกูลสี่วิหคจะเป็นชนชั้นสูง แต่คนที่แม้แต่กษัตริย์ทาทารัสยังต้องเชื่อคำพูดอย่างผู้ทำนายเรอาตริส นั่นหมายความว่าสถานะของเรอาตริสนั้นสูงกว่าพวกเขาอยู่หลายเท่าตัว  

     

     

    “จะยังไงก็เถอะครับ แต่ตอนนี้สิ่งที่คุณน่าจะทำที่สุดคือทำให้เสื้อคุณแห้งก่อนนะไอเรส ผมไม่อยากโดนท่านเกรย์เซียตำหนิเรื่องทำคุณเปียกจนไปทำงานไม่ได้” นัยน์ตาสีเขียวน้ำทะเลหยีขึ้นเมื่อนึกขึ้นได้ว่าไอเรสยังคงเปียกอยู่บ้างแม้จะไม่มาก เพราะมีเสื้อคลุมช่วยกันไว้ส่วนหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าความชื้นจะไม่ส่งผลอะไรเลยกับร่างกาย ถึงจะรู้ว่าทายาทพานิคคนนี้ดวงแข็งแถมยังไม่เป็นอะไรง่ายๆก็ตาม

     

    อันที่จริงจุดใหญ่เลยคือ..เขาเกรงใจท่านเกรย์เซีย

    รอบที่แล้วหลังกลับจากโอมาลานซ์ เขาโดนสั่งให้เขียนรายงานความประพฤติ

    รวมถึงเขียนรายงานกฎข้อบังคับของวิหคทั้งหมดสามชุด..

     

    แค่เอเปอร์คิด ก็ไม่อยากจะแตะมันอีกแล้ว 

     

     

     

    วังหลวง 

     

    เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลแดงเดินวนไปวนมาอยู่ในสวน โดยมีร่างของหัวหน้าองครักษ์ยืนอยู่ไม่ไกลนัก แอสเทียร์เริ่มแปลกใจตั้งแต่ที่ทาทารัสสั่งให้จินามาเฝ้าอารักขาเขา เขามีอะไรที่ต้องอารักขาขนาดต้องใช้องครักษ์อันดับหนึ่งมาดูแลเลยหรือยังไง พอถามก็ได้คำตอบว่า

     

    “เพื่อตัวของเจ้าเอง”

     

    เพื่อนตัวเขา? อีกอย่างหนึ่งที่น่าแปลก ปกติแล้วทาทารัสจะไม่สั่งห้ามเขาออกไปนอกวังหลวง แม้จะให้องครักษ์ตามไปด้วยสองคน ก็ไม่ถึงกับสั่งห้ามเช่นนี้ มันแปลกจนเขาอดสงสัยไม่ได้ แต่พอจะแอบหลบออกไปข้างนอก.. เขาก็จะถูกหิ้วกลับห้องแล้วโดนกักบริเวณหนึ่งคืนทุกครั้ง

     

    รอบนี้ ทาทารัสให้อำนาจในการควบคุมกับจินาอย่างสมบูรณ์แบบ

     

    มันเหมือนกับ..

    นักโทษชั้นดี

     

    มือบางวนนิ้วไปในบ่อน้ำพุพลางจ้องมองเงาที่อยู่ในนั้น ภาพที่สะท้อนออกมาคือใบหน้าน่ารักของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง นัยน์ตาสีส้มอ่อนฉายประกายรั้นตามนิสัย ริมฝีปากได้รูปเข้ากับใบหน้า เรือนผมสีน้ำตาลแดงที่ได้จากฝั่งมารดายิ่งขับผิวขาวเนียนให้กระจ่างขึ้น แต่..มันไม่ได้มีความหมายอะไรสำหรับเขา เขาร่างกายอ่อนแอ ถ้าเทียบกับท่านพี่ทาทารัส ซึ่งดูองอาจสมกับบุรุษมากกว่า

     

    น่าแปลกที่ในราชวงศ์ หากเกิดเป็นบุรุษแล้วจะต้องออกสู่สนามรบ

    มีเพียงเขาที่โดนสั่งให้อยู่ในวังหลวง

    แอสเทียร์ได้รับการสั่งสอนวิชาดาบบ้าง อาวุธอื่นบ้างตามความเหมาะสม

    แต่จะไม่ให้เขามีบาดแผลหรือแผลเป็นบนร่างกายแม้แต่จุดเดียว

     

    “แอสเทียร์” เสียงหวานใสของหญิงสาวในชุดรุ่มร่ามดังขึ้นจากข้างหลัง เรอาตริสย่างเท้าเข้าไปหาองค์ชายน้อยที่สูงกว่าเธอเพียงเล็กน้อย ในขณะที่แอสเทียร์หันมามองเพียงชั่วครู่แล้วกลับไปให้ความสนใจกับบ่อน้ำใหม่

     

    “ชิลลี่ ช่วงนี้ท่านพี่ดูแปลกๆนะ”

     

    “ทาทารัสน่ะหรือ ช่วงนี้ทุกคนกำลังเตรียมงานพิธีอยู่” ริมฝีปากแดงแย้มรอยยิ้มให้กับคนอายุน้อยกว่าที่ตอนนี้หันมาอย่างรวดเร็ว

     

    “งานพิธี? พิธีอะไรทำไมข้าไม่รู้เรื่อง”

     

    “ไม่มีอะไรหรอก เจ้าไม่ต้องกังวล เดี๋ยวถึงวันพิธี ทาทารัสจะบอกเจ้าเองแอสเทียร์”

     

    “แล้วทำไมท่านพี่ถึงไม่ให้ข้าไปช่วยควบคุมงาน แล้วยังส่งจินาคอยตามข้าอีก” นัยน์ตาสีส้มอ่อนตวัดไปมองจิ้งจอกหนุ่มด้วยสายตาแฝงไปด้วยความไม่เข้าใจ

     

    “เพื่อไม่ให้เจ้าห..เพื่อป้องกันอันตรายไงล่ะ จะมีคนต่างถิ่นเข้ามาในวันงานมาก ดังนั้นทาทารัสจึงส่งจินามาดูแลเจ้าก่อน” เกือบจะพูดไปตามความจริงแล้ว ยังดีที่เธอคิดได้ว่าทาทารัสสั่งห้ามใครพูดถึงงานวิวาห์ต่อหน้าแอสเทียร์

     

    “เหมือนข้าเป็นนักโทษอย่างไรอย่างนั้น” แอสเทียร์เลิกสนใจงานพิธีที่กำลังจะจัด หากชิลลี่บอกแบบนี้ เขาก็ควรจะอยู่นิ่งๆ แล้วทำตัวเป็นน้องชายที่ดีด้วยการเชื่อฟังคำสั่ง

     

    “เจ้าไม่ใช่นักโทษหรอกแอสเทียร์..เจ้าแค่กำลังจะเป็นเจ้าสาวเท่านั้น”

     

    โอ้.. เธอเผลอหลุดปากไปแล้ว ทำยังไงดี?

     

    เรอาตริสทำท่าตกใจปิดปากตนเองทันทีที่หลุดคำพูดออกไป ซึ่งไม่ได้หลุดพ้นจากระยะการได้ยินของเด็กหนุ่ม มือบางคว้าแขนของหญิงสาวผู้ทำนายทันทีแล้วบีบแน่นจนเรอาตริสต้องขยับออก

     

    “เจ้าว่าอะไรนะชิลลี่ ข้ากำลังจะเป็นอะไร” ขอให้เขาได้ยินไม่ชัดเจนที แอสเทียร์ภาวนาให้หูของเขาเกิดความผิดพลาด

     

     

    “แอสเทียร์..เจ้ากำลังจะต้องเข้าพิธีวิวาห์กับกษัตริย์จากอบิโทร” ไม่มีแววตาล้อเล่นจากนัยน์ตาสีแดงดุจอัญมณีคู่นั้น กลับกัน.. มันมีประกายของความสนุกด้วยซ้ำ

     

     “จินา!!” เสียงเรียกจากนายน้อยดังจนเจ้าของตำแหน่งองครักษ์ชั่วคราวสะดุ้ง ก่อนจะรีบวิ่งไปหาแอสเทียร์ที่ยืนตัวสั่น ขณะที่เรอาตริสซ่อนรอยยิ้มไว้ใต้ใบหน้าอ่อนเยาว์

    “องค์ชายมีอะไรพะยะค่ะ”

     

    “จริงไหมที่ชิลลี่พูด..” เรอาตริสพูดอะไรเขายังไม่รู้เรื่องเลย “เรื่องอะไรที่ท่านเรอาตริสพูด พระองค์ถึงต้องถามกระหม่อม?

     

    “งานวิวาห์..ของข้ากับกษัตรย์อบิโทร” แววตาของแอสเทียร์ที่เคยเป็นประกายรั้นกลับกลายเป็นแววตาของคนที่กำลังจะระเบิดอารมณ์ออกมา แล้วนัยน์ตาสีส้มอ่อนยังเปลี่ยนเป็นสีเงินอีก นี่ไม่ใช่สัญญาณที่ดีนักสำหรับทุกคน ถ้าหากดวงตาของแอสเทียร์เปลี่ยนสีแล้ว นั่นหมายถึงอารมณ์ขีดสุดของเด็กหนุ่มผู้นี้ แต่จะให้โกหก..เขาก็ไม่อยากจะทำ

     

    “เรื่องจริงพะยะค่ะ พระองค์ต้องเข้าพิธีกับกษัตริย์อบิโทร”  

     

    ------------------

    Talk

    เรื่องทรวดทรงอกเอวไม้กระดานของโรซี่เป็นจุดอ่อนของเจ้าตัวค่ะ 55555

    อย่างที่เอเปอร์ว่า ไม่มีอะไรน่ามอง แต่นิสัยไอเรสเขาจะคนละแบบ

    ไม้กระดานก็มองไม่ได้ค่ะ [แต่ก็มองแล้ว]

    ตอนนี้นิสัยขี้แกล้งของเอเปอร์จะเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆค่ะ 

     

    ทุกคอมเม้นต์คือกำลังใจของเรา ขอให้สนุกกับนิยายค่ะ

    O W E N TM.
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×