ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [NCT X You] Love Phobia

    ลำดับตอนที่ #9 : Chapter 8

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 228
      26
      19 ธ.ค. 64

    8

     

     

     

     

    ทำไมสั่งมาซะเยอะ กินสองคนจะหมดหรอ”

     

     

    ก็ของโปรดแกทั้งนั้น”

     


    “….”

     


    นั่งก่อนสิ”

     

     

     

    ถึงจะยังงงอยู่ แต่ก็ยอมนั่งลงข้างแม่ สายตาก็กวาดมองไปทั่วโต๊ะที่มีอาหารญี่ปุ่นวางเรียงราย นี่มันเกิดอะไรขึ้น ปกติออกมากินข้าวนอกบ้านไม่เคยสั่งเยอะเท่านี้

     

     

     

    แต่เอาจริง ๆ นะ แม่ก็แปลกตั้งแต่ที่โทรมาเมื่อเช้าแล้ว

     

     

     


    [แกออกจากงานแล้วใช่มั้ย]


     

    [ทำไมมีอะไรไม่บอก เก็บไว้คนเดียวทำไม]


     

    [ตอนเย็นมากินข้าวกับแม่สิ]

     

     


     

     

    แปลกหนึ่ง แม่รู้ได้ไงว่าฉันลาออกแล้ว ยังไม่ได้บอกสักคำ

     

     

    แปลกสอง ใจดีผิดปกติ ผิดวิสัยของคุณพัคมินนา ที่ต้องบ่นและต้องพูดอะไรสักอย่างบั่นทอนกำลังใจลูกตัวเอง

     

     

     

    แล้วตอนนี้ก็แปลกสาม…นิสัยขี้ตืดของคุณนาย อะไรดลใจให้สั่งอาหารเหมือนเลี้ยงคนทั้งหมู่บ้าน

     

     

     


     

     

    กินก่อนสิ แล้วค่อยคุยกัน”

     

     

    “..กินไปคุยไปก็ได้” ฉันตอบ พลางยกตะเกียบคีบซาซิมิกิน

     

     

     

    งั้นแกบอกฉันหน่อยว่าลาออกมาเพราะอะไร”

     

     

     

    คำถามแรกก็เล่นเอารสชาติอาหารเจื่อนไปเลยทีเดียว ปากที่เคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อยขยับช้าลง พร้อมกับตะเกียบที่วางบนจานอย่างเดิม

     

     

     


    มันเครียด ๆ น่ะ”

     

     

    “….”

     

     

    เพื่อนร่วมงานไม่โอเคเท่าไหร่ ชอบจ้อง ชอบนินทา แล้วหนูก็…"

     

     

    "…."

     

     

    "...ไม่ค่อยสบาย”

     

     

    ไม่สบาย? แกเป็นอะไร”

     

     

     

    แม่ถามจี้มาก หน้าก็หันมามองฉันอย่างคาดคั้นจะเอาคำตอบ

     

     


     

    “..ก็…แบบ..

     

     

    ….

     

     

    ..แนว ๆ แพนิคอ่ะ"

     

     

    "แพนิค?"

     

     

     

    เอาแค่แพนิคไปก่อนแล้วกัน ถ้าบอกว่าเป็นโรคกลัวอะไรคงต้องยิ่งไม่เข้าใจแน่ ๆ ขนาดแค่นี้ยังคิ้วขมวดแล้วเลย

     

     

     


     

    “..มันเกิดจากความเครียดสะสม”

     

     

    “….”

     

     

    ก็..จะมีอาการมือสั่น ตัวสั่น ใจเต้นเร็ว เหงื่อออก..

     

     

    แกมีอาการพวกนั้นตลอดเวลาเลยหรอ”

     

     

    “..ก็ไม่หรอก”

     

     

    ถ้างั้นมันก็เป็นปกติกันทุกคนไม่ใช่รึไง”

     

     

    “….”

     

     

    เวลาแกพรีเซนต์งาน สัมภาษณ์งาน ก็เป็นไม่ใช่หรอ”

     

     

    ไม่แม่ คือ..” มันมากกว่านั้น

     

     

    เหตุผลแกไม่ได้มีแค่นั้นหรอกใช่มั้ยมินรี”

     

     


     

    โห..

     

     

     

    แค่นั้นหรอ

     

     

     

    ลองมาเป็นดูสิ มันไม่ใช่แค่นั้นเลยนะ

     

     


     

     

    "บอกเหตุผลจริง ๆ มาเถอะ"

     

     

    "..ก็ที่บอกไปไงแม่"

     

     

    "ยังมีอีกที่แกไม่ได้บอก"

     

     

    "แม่หมายถึงอะไร" แม่จะเอาไรเนี่ย

     

     

     


     

    "เพราะโรอุนใช่มั้ย

     

     

    ".........."

     

     

     

     

    แม่รู้ได้ยังไง!!?

     

     

     

    ฉันยังไม่เคยเล่าแม้แต่เรื่องที่โรอุนย้ายมาทำงานที่เดียวกันเลยด้วยซ้ำ

     

     


     

     

    แกต้องหนีเขาขนาดลาออกจากงานเลยหรอ”

     

     

    “….”

     

     

    โตแล้วนะมินรี อีกสองปีแกก็สามสิบแล้ว”

     

     

    “..นี่แม่รู้ได้ไง”

     

     

    ก็โรอุนบอกแม่น่ะสิ”

     

     

     

    ห้ะ..

     

     

     

     

    “เขาบอกแม่ว่าแกโกรธ แกงอนเขา เลยลาออกจากงาน”

     

     

    ….” งอน??

     

     

     

    เดี๋ยวนะ กล้าใช้คำนี้มาได้ยังไงอ่ะ ให้ตายสิ โมโหแล้วนะ!!

     

     

     

     

    โรอุนอธิบายให้แม่ฟังด้วย เรื่องคู่หมั้น”

     

     

    “….”

     

     

    โรอุนไม่ได้อยากหมั้น แต่ที่บ้านบังคับมา แล้วตอนนี้โรอุนก็เริ่มใช้ไม้แข็งแล้ว”

     

     

    “….”

     

     

    “แกก็ให้โอกาสเขาหน่อยสิมินรี”

     

     

    ….

     

     

    “ฐานะเขามันต่างกับเรา เขามีครอบครัว มีสังคมของเขา”

     

     

    ….

     

     

    “แกจะให้ความรักของแกกับเขาโรยไปด้วยกลีบกุหลาบตลอด มันไม่ได้หรอกนะ”

     

     

    ….

     

     

    “แต่ตอนนี้เขากำลังพยายามเพื่อแก ลองคิดดูสิ ว่าโรอุนรักแกแค่ไหน”

     

     

    ….

     

     

    “แกควรจะเห็นใจเขาบ้าง”

     

     

     

     

    เหอะ พูดมาได้ยังไง

     

     

     

     

    นี่ฉันเริ่มจะแยกไม่ออกแล้วนะว่าที่ข้างในมันสั่นไปหมดแบบนี้ เป็นเพราะอาการโฟเบียจากการที่ได้ยินแม่พูดชื่อหมอนั่นย้ำ ๆ ซ้ำ ๆ หรือเป็นเพราะว่ากำลังโกรธอยู่กันแน่

     

     

     

    ก็เข้าข้างลูกเขยคนโปรดเข้าไปสิ เข้าอกเข้าใจกันจังเลยนะ ทีกับลูกตัวเองนี่อะไรไม่รู้ พูดซะฉันเป็นฝ่ายผิดไปเลย ทั้งที่คนโดนบอกเลิก คนที่เฮิร์ทจนเกิดโรคบัญญัติใหม่ มันก็คือฉันนี่

     

               

     

     

     

     

    "แม่บอกให้หนูเห็นใจเขา"

     

     

    …."

     

     

    “แล้วเขาล่ะ”

     

     

    ….

     

     

    “เขาเคยเห็นใจหนูบ้างรึเปล่า”

     

     

    “แต่สุดท้ายโรอุนก็เลือกแกไงมินรี”

     

     

    “แม่เชื่อเขาหรอ”

     

     

    ….

     

     

    แม่ก็เห็นมาแต่ไหนแต่ไรแล้วนี่ ว่าเขายอมแม่ตัวเองมาตลอด”

     

     

    “….”

     

     

    “คบกันมาสิบปี เขาเคยพาหนูเข้าบ้านแค่ครั้งเดียว แม่ไม่รู้จริง ๆ หรอว่ามันเป็นเพราะอะไร”

     

     

    ….

     

     

    “เพราะว่าที่บ้านเขาไม่ชอบหนูไง”

     

     

    ….

     

     

    “ยิ่งเขาบอกเลิกวันนั้น ตัดขาดความสัมพันธ์สิบปีกันแบบง่าย ๆ มันก็ชัดแล้วว่าสุดท้ายสิ่งที่เขาเลือกคือครอบครัว”

     

     

    ….

     

     

    “หนูเคยผิดหวังจนไม่อยากจะหวังอะไรอีกแล้ว”

     

     

    “แต่ถ้าครั้งนี้ เขากลับมาหาแกจริง ๆ ล่ะ”

     

     

    ..ความรู้สึกที่เสียไปแล้วน่ะ”

     

     

    ….

     

     

    “มันเรียกคืนกลับมาไม่ได้หรอกนะ”

     

     

     

     

    มินรี

     

     

     

    หัวใจที่เต้นช้าลงพร้อมจะตายไปกับความหลังในอดีต เร่งจังหวะเร็วขึ้นเพราะเสียงของคนที่เป็นตัวการความเจ็บปวด ฉันถ่างตาโตมองหน้าแม่ ไม่กล้าหันไปมองต้นเสียงที่ยืนอยู่หน้าเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

     

     

     

     

     

    ....นี่..เขามาที่นี่หรอ

     

     

     

     

    มาได้ยังไง! ทำไม..ถึงโผล่มาอีกแล้ว!??

     

     

     

     


     

    ฉันขอโทษที่ทำให้เธอเสียใจ”

     

     

    “….”

     

     

    “จะให้พูดอีกกี่ร้อยกี่พันครั้ง หรือจะให้ฉันทำอะไรก็ได้”

     

     

    ….

     

     

    “แต่ให้โอกาสฉันได้แก้ตัวอีกสักครั้งได้ไหม”

     

     

    ….

     

     

    “ฉันสัญญาว่าต่อจากนี้ทุกอย่างจะดีขึ้น”

     

     

    ….

     

     

    “ฉันจะไม่ปล่อยมือเธออีกแล้วมินรี”

     

     

     

     

    มือที่วางอยู่บนตักจิกกางเกงผ้าของตัวเองแน่น ทั้งเสียง ทั้งประโยคทุกประโยคที่พูดออกมา เหมือนเป็นความเครียดที่มาจุติอยู่ในใจ พอสักทีได้มั้ยไอคำพูดสร้างฝันพวกนั้นน่ะ ยิ่งฟังยิ่งเวียนหัว

     

     


     

    ถ้าไม่รีบหนีไปตอนนี้ ได้เปิดฉากอ้วกกลางร้านแน่

     

     

     

     

     

    มินรีจะไปไหน” แม่ถามเสียงดุ เมื่อเห็นว่าฉันลุกขึ้น แล้วหันหลังเตรียมจะเดินหนีออกไป

     

     

     

     

    จะอะไรกันนักกันหนา!

     

     


     

    ฉันหลับตาลง ทั้งข่มความกลัวและความรำคาญใจ มาถึงขนาดนี้แล้วก็คิดว่าควรจะต้องพูดอะไรออกไปบ้าง ไม่งั้นมันคงไม่จบสักที

     

     

     

    ลมหายใจถูกผ่อนเข้าออกช้า ๆ เอาให้แน่ใจว่ารวบรวมทั้งสติและอากาศในปอดเพียงพอแล้ว ถึงจะใช้ความกล้าหาญส่งถ้อยคำออกไปอย่างเด็ดขาดที่สุด

     

     

     

     

     

    อย่าทำแบบนี้อีก

     

     

    ….

     

     

    ไม่ชอบ

     

     

     

     

    เหมือนจะเก่ง แต่พอพูดจบก็วิ่งปอดแหกหนีออกจากร้านทันที ไม่สนด้วยว่าใครจะรับคำพูดของฉันไป เพราะที่พูดก็หมายถึงทั้งคู่นั่นแหละ ทั้งแม่ทั้งหมอนั่น น่าโมโหทั้งคู่

     

     

     

     

    แล้วโชคก็เข้าข้างฉันซะด้วย วิ่งออกมาเจอรถบัสจอดรับคนอยู่หน้าร้านพอดี ฉันแทบจะกระโดดขึ้นรถอย่างไม่คิดชีวิต และประตูก็ปิดอัตโนมัติทันทีที่ฉันก้าวเข้ามายืนหอบเกาะเสา

     

     

    ยานพาหนะคันใหญ่เคลื่อนออกจากป้าย หางตามองเห็นผ่านกระจกประตูว่าคนที่วิ่งออกมาหน้าร้านมองตามมาจนสุดสายตา


     

     

     

     

    เห้อ…รอดแล้ว

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ระยะทางจากร้านอาหารจนถึงป้ายที่ต้องลง มันไกลพอที่จะทำให้อาการตัวและใจสั่นทุเลาลง แต่ที่ไม่ได้ลดลงเลย คงเป็นความคิดที่ยังกระจุกอยู่ในหัว

     

     

     

     

    นี่ตกลงแม่หลอกฉันให้มาเจอกับเขาหรอ

     

     

     

    ตกลงที่โทรมาเมื่อเช้า ทำเหมือนเป็นห่วงเป็นใยกัน คือ จะล่อให้ฉันมาเจอหมอนั่นหรอกใช่มั้ย นี่มันอะไรกันเนี่ย ตอนอกหักก็เห็นอยู่ว่าลูกสาวน้ำตาเช็ดหัวเข่ามาแรมเดือน ไม่คิดบ้างรึไงว่าฉันต้องเสียความรู้สึกกับผู้ชายคนนั้นขนาดไหน มันน่าน้อยใจนะ ไม่เข้าใจลูกในไส้ตัวเอง แต่ไปเข้าอกเข้าใจลูกเขยประเสริฐทุกอย่าง

     

     

     


    ไอหมอนั่นก็อีกคน โคตรน่าโมโหเลย วันนั้นฉันรั้งเอาไว้แทบตาย แต่ก็พูดเป็นอยู่ประโยคเดียว เรื่องระหว่างเรามันเป็นไปไม่ได้ แล้ววันนี้จะกลับมาเอาไรอ่ะ ฉันจำไม่ลืมหรอกนะคนที่ทำให้ตัวเองเจ็บน่ะ

     

     

     

     

    น่าโมโหน่าโมโหชะมัด

     

     

     

    โมโหจนน้ำตาไหลเลยให้ตาย

     

     

     

     

     


     

    ช่วงเวลาพลบค่ำ ฟ้าเริ่มมืด สวนสาธารณะที่เดินตัดเข้ามาแทบจะไม่เหลือใครอยู่สักคน ฉันเดินเหม่อ ใจลอยไม่อยู่กับตัว ทั้งที่ตาก็มองทางข้างหน้าอยู่ แต่กลับเหมือนคนตาบอดไปชั่วขณะ

     

     

     


     

     

    เหวอออ!”

     

     


     

    ตู้มมม!!!

     

     

     

     

    กว่าจะรู้ตื่นก็หย่อนขาพาตัวเองตกลงบึงเล็ก ๆ ไปแบบเต็มสตรีม ความเย็นของน้ำที่ปะทะผิวกายเล่นเอาสติสตังกลับเข้าร่างร้อยเปอร์เซ็นต์

     

     


     

    แค่ก ๆ ๆ”

     

     

     

                ระดับน้ำก็สูงแค่เอว แต่ตกลงมาหน้าคว่ำจนน้ำเข้าปากเข้าจมูก หมดกันซีนนางเอกเอ็มวี ดันตัวลุกขึ้นสำลักน้ำแทบไม่ทัน พอหายสำลัก มือที่ปิดปากก็ยกขึ้นปิดหน้าตัวเองแทนด้วยความอับอาย

     

     

     

     

    ตกลงมาได้ยังไงนังโง่!!!!!!!!!

     

     


     

    นี่มันตลกร้ายชัด ๆ จะโทษความซวยก็ไม่ได้เพราะไม่แหกตาดูทางเอง แล้วคือจะไปต่อยังไง จะเดินกลับคอนโดยังไงให้ไม่แปลกในสายตาชาวบ้าน

     

     


     

     

    ไม่ แกแปลกตั้งแต่เกิดมาแล้วมั้งมินรี

     

     

     

     

    ไม่อยากตัดพ้อตัวเองเลย แต่ชีวิตตอนนี้มีอะไรให้ชื่นชมบ้างวะ

     

     

     

     

    ไม่ใช่เวลาน่าปล่อยโฮเลยสักนิด แต่ไม่รู้ทำไมน้ำตาถึงไหลออกมาอีก ก็แค่รู้สึกว่าเพิ่งเจอเรื่องแย่ ๆ มา แล้วยังจะมาซุ่มซ่ามตกน้ำได้อีกหรอ ชีวิตมีอะไรดีบ้างวะเนี่ย ถึงไม่มีโฟเบียฉันก็เป็นผู้หญิงเด๋อด๋าที่โดนแฟนบอกเลิกและตกงานอยู่ดี

     

               

     

     

    ไม่ชอบตัวเองเลย

     

     

     

     

    รู้สึกน้อยใจตัวเองจัง

     

     

     


     

     

    ลงไปทำอะไร ขึ้นมา

     

     

     

     

    แล้วนี่ก็ยังจะมีคนมาเจอฉันในสภาพนี้อีกหรอวะ

     

     

     

     

    ถึงพระเจ้าจะไม่รัก แต่ก็อย่าเกลียดกันมากขนาดนี้เลยขอร้อง

     

     

     

     

    ฉันค่อย ๆ หันมองมือของผู้หวังดีที่ยื่นมาให้จับ ก่อนจะต้องหมุนตัวกลับไปมองหน้าของเจ้าของมือที่นั่งยองอยู่บนฝั่งให้ชัด

     

     

     

    ดวงตาที่บวมช้ำไปด้วยน้ำตาช้อนมองคนมีน้ำใจอย่างหมดอาลัย พลันก็สบเข้ากับดวงตาคมที่กำลังจ้องมองมาด้วยความนิ่งเฉย ไม่มีความขบขัน ไม่มีคำว่าตัวประหลาดเจือปนอยู่ในแววตา

     

     


    ฉันชะงัก หัวสมองขาวโพลน อยากกวักน้ำล้างหน้าตบสติตัวเองให้แน่ใจ

     

     

     

     


    นายดงยองอีกแล้วหรอ

     

     

     


    เจอบ่อยไปมั้ย

     

     

     



    --------------------------------------

     

    TBC

     

    คนที่ใช่ มักจะมาถูกที่และถูกเวลาเสมอ555 ตอนนี้หมอค่าตัวแพงมาก ออกมานิดเดียว จริงๆจะต่ออีกพาร์ทนึงแหละแต่ยาวเกินเลยต้องตัดไว้แค่นี้ ตอนหน้าเดี๋ยวได้อยู่กับคุณหมอทั้งตอนแน่นวล และสัญญาว่าจะมาอัพในเร็ววัน ใครอ่านอยู่เม้นหน่อยนะคะ



    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×