ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [NCT X You] Love Phobia

    ลำดับตอนที่ #3 : Chapter 2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 484
      58
      13 เม.ย. 64

    2

     

     


    ..เอกสารค่ะ”

     

     

    “อะไร”

     

     

    “คำขออนุมัติจัดบูธที่ลอตเต้ค่ะ”

     

     

    “อ่อ วางไว้สิ”

     

     

                ฉันเอาเอกสารสำคัญไปใส่ไว้ในตะกร้าขอลายเซ็น ก่อนที่จะหมุนตัวเตรียมจะเดินออกไปจากห้องไดเรคเตอร์อย่างสงบเสงี่ยม แต่เจ้าของใบหน้าสวยที่ทีแรกเอาแต่จดจ่อกับงานของตัวเอง กลับเรียกฉันเอาไว้

     

     

    “เดี๋ยวก่อน”

     

     

    ..คะ”

     

     

     

                ฉันหันกลับไปมองด้วยรอยยิ้มเกร็ง ไม่บ่อยนักที่หัวแผนกจะพูดคุยด้วย และหน้าตานิ่ง ๆ ดุ ๆ ของคุณเบไอรีนก็ทำให้ฉันไม่กล้าต่อบทสนทนาด้วยเท่าไหร่

     

     

     

    “ไม่สบายรึเปล่า”

     

     

    ….

     

     

    “หน้าตาดูไม่ค่อยดีเลย พัคมินรี” ดวงตาคมที่ถูกกรีดด้วยอายไลน์เนอร์จ้องมองหน้าฉันอย่างจับสังเกต ฉันได้แต่ขำแห้ง ไม่รู้จะตอบยังไง เพราะไม่ใช่ร่างกายที่ป่วย แต่เป็นใจ

     

     

    “เปล่าค่ะ”

     

     

    “เห็นหน้าซีดมาสองวันแล้ว”

     

     

    ….

     

     

    “ดูแลตัวเองหน่อย”

     

     

                ฉันยิ้มรับ กล่าวขอบคุณเบา ๆ ถึงจะพูดเหมือนดุ แต่ก็คงเป็นการแสดงความเป็นห่วงในแบบฉบับของหัวหน้า เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายหมดธุระกับฉันแล้ว ฉันก็เดินก้มหน้าไปทางประตูห้อง แต่บานประตูกลับถูกเปิดเข้ามาซะก่อน และฉันก็เผลอเงยหน้ามองคนที่เข้ามาใหม่ตามสัญชาตญาณ

     

     

     

    !!!!

     

     

    ..อีกแล้ว

     

     

     

     

                ฉันรีบแทรกตัวเดินออกไป ไม่สนใจว่าพฤติกรรมที่แสดงออกไปจะทำให้หัวหน้าใหญ่มองว่าฉันแปลกมั้ย เพราะถ้าขืนยืนอยู่ตรงนั้นต่อไปได้แปลกกว่านี้แน่ ๆ

     

     

     

     

    โรอุน ยิ่งหนีก็ยิ่งเจอ

     

     

     

     

     

     

     

    “พี่ครับ อัปเดตเครื่องเสร็จแล้ว ถ้ามีปัญหาอะไรโทรเรียกผมอีกแล้วกัน”

     

     

    ….

     

     

    ..พี่มินรีเป็นไรอ่ะ”

     

     

    ..ขอ..ขอนั่งก่อน”

     

     

     

     

                มาร์ค รุ่นน้องแผนกไอทีที่มาช่วยอัปเดตซอฟท์แวร์โน้ตบุ๊คให้รีบลุกขึ้นออกจากเก้าอี้ ฉันทรุดตัวลงนั่งอย่างหมดแรง มือยังสั่นไม่หาย ขนาดรีบเดินหนีออกมา อาการก็ยังชัด นี่ถ้ายังยืนอยู่ในห้องนั่น มีหวังได้เป็นลมต่อหน้าคุณไอรีนแน่ ๆ

     

     

     

    “เป็นอะไร ไม่สบายหรอ”

     

     

     

                อารึมที่นั่งทำงานอยู่โต๊ะติดกันเข้ามาบีบไหล่ถามซ้ำ สายตาเลิกลั่กมองใบหน้าของเพื่อนร่วมงานที่ก้มลงมาถามอย่างเป็นห่วง สลับกับเด็กไอทีที่ยืนมองไม่ห่าง

     

     

     

    น่าอายเป็นบ้า

     

     

     

     

    ..อือไม่ค่อยสบาย”

     

     

    “ไหวป่ะพี่ ไปห้องพยาบาลข้างบนมั้ย”

     

     

    “หรือไม่ก็ลาไปเลยตอนบ่าย สั่นขนาดนั้นตัวเธอเย็นหมดแล้ว”

     

     

    ....ไม่เป็นไร”

     

     

    ….

     

     

    ..เที่ยงรึยัง”

     

     

    “เที่ยงแล้วทำไม”

     

     

    ..ฉันจะออกไปข้างนอก”

     

     

    “ฉันมีงานเร่งน่ะสิ พี่เฮยอนยังไม่ Approve เลยมาร์ค นายติดอะไรรึเปล่า ไปเป็นเพื่อนมินรีได้มั้ย”

     

     

    “ได้พี่”

     

     

     

                มาร์คพาฉันเดินมาที่ประตูห้อง รับรู้ได้ถึงสายตาแปลก ๆ ของเพื่อนร่วมงานคนอื่น เห้อ โคตรแย่เลย อุตส่าห์อยู่ของฉันแล้วแท้ ๆ ยังจะมาเจอกันถึงในนี้อีก บอร์ดบริหารอย่างเขาจะมาทำอะไรที่แผนกการตลาดกัน

     

     

     

     

     

    ……………………..

     

     

     

    แต่ก็เหมือนพระเจ้ากลั่นแกล้ง

     

     

     

    คนที่ทำให้อาการประหลาดเกิดขึ้นมา ยืนอยู่ข้างประตูนอกห้อง

     

     

     

     

     

     

     

    “มินรี”

     

     

     

                ฉันอึ้งจนแทบจะผงะถอยหลังกลับเข้าไปในห้อง ถ้าไม่ชนเข้ากับมาร์คที่เดินตามออกมา โรอุนมองหน้าฉันด้วยสายตาลำบากใจ เหมือนอยากคุย แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรนอกจากเรียกชื่อของฉัน ฉันไม่เข้าใจว่าสถานการณ์นี้มันคืออะไร แต่ที่รู้ ๆ……เวียนหัวชะมัด

     

     

     

    “อุบ..!!

     

     

    “พี่! พี่ครับ พี่เป็นอะไร!?!?”

     

     

     

                ฉันรีบวิ่งปิดปากไปทางห้องน้ำ ได้ยินเสียงมาร์คตะโกนตามหลังมา แต่ฉันคงไม่มีกะจิตกะใจที่จะหันกลับไปตอบ อาหารเช้าที่กระเดือกลงไปแล้วเกือบสี่ชั่วโมงกำลังจะพุ่งออกจากปาก

     

     

     

                ห้องน้ำที่มีประชากรอีกหนึ่งชีวิตยืนทาลิปสติกอยู่หน้ากระจก ฉันไม่ได้สนใจมองว่าเป็นใคร ไม่มีเวลาแม้แต่จะปิดประตูด้วยซ้ำ อายก็อาย แต่ถ้าอ้วกนอกส้วมคงน่าอายยิ่งกว่า

     

     

     

    “มินรี?”

     

     

     

    “ไหวรึเปล่า”

     

     

     

    และสมองก็เพิ่งรับรู้ว่าคนที่ยืนแต่งหน้าอยู่เมื่อกี้ คือ คุณไอรีน

     

     

     

    “พี่มินรีเอ่อขอโทษครับ พี่มินรีไหวมั้ยครับพี่”

     

     

     

                เสียงตะโกนถามจากหน้าห้องน้ำหญิง และคำขอโทษขอโพยที่คงจะส่งมาให้กับไดเรคเตอร์ที่หันไปมอง ฉันได้ยินทั้งหมด แต่ไม่มีแรงพอที่จะส่งเสียงตอบ

     

     

     

    “มินรีเป็นอะไร”

     

     

    “น่าจะป่วยครับ”

     

     

    “ตอนบ่ายลาไปหาหมอเถอะคุณพัค เดี๋ยวฉันแจ้งหัวหน้าคุณให้”

     

     

    ….

     

     

    “โรอุน? มาทำไม เดี๋ยวก็ออกไปแล้ว”

     

     

     

                ชื่อที่ได้ยินคุณไอรีนเรียก ทำเอาฉันที่กำลังนั่งหอบหายใจอยู่ข้างส้วมชะงักไปทันที อะไรนะ โรอุน? เดินมาหน้าห้องน้ำหญิง???

     

     

     

    แต่ว่าทำไมคุณไอรีนถึงเรียกโรอุนเหมือนสนิทกันอย่างนั้น

     

     

     

     

    ..เห็นเข้ามานาน เลยนึกว่าเป็นอะไร” เสียงเข้มที่จำได้ดีกว่าเป็นเสียงของใคร ยังไม่ทำให้รู้สึกวูบไหวเท่ากับคำตอบของอีกฝ่าย

     

     

    “นายมาก็ดี ช่วยพามินรีออกไปหน่อย เดินไม่น่าไหว”

     

     

     

    “ม..ไม่..ไม่ ๆ” ฉันหันไปส่ายหน้าพรืด พยายามจับสติพูดปฏิเสธ แต่ปากก็แทบจะขยับไม่เป็นคำ คุณไอรีนที่เอาแต่มองคนนอกห้องน้ำอย่างกดดันให้ช่วยตามที่ขอ ก็ทำให้ฉันต้องใช้แรงเฮือกสุดท้ายเปล่งเสียงเรียกรุ่นน้องอีกคนให้รีบเข้ามาแทน

     

     

     

    “มาร์คมาร์ค!!

     

     

    “ครับ ๆ”

     

     

                มาร์ครีบวิ่งเข้ามาช่วยพยุงร่างอ่อนปวกเปียกของฉันให้ลุกขึ้นและพาเดินออกมาหน้ากระจก ดวงตาเพลียเปลี้ยมองหัวหน้าใหญ่ที่ถอยหลบทางให้ ก่อนที่จะเหลือบมองร่างสูงอีกคนที่ยืนอยู่หน้าห้องน้ำด้านนอก

     

     

     

    “ไปไหวหรอคนเดียวโรอุน..

     

     

    “ไม่ต้องค่ะ แค่มาร์คก็พอ” ฉันรีบพูดเบรกคุณไอรีน พร้อมกับกอดแขนรุ่นน้องเอาไว้แน่น มาร์คที่เหมือนกับรู้งานก็รีบพาฉันออกจากห้องน้ำ

     

     

     

     

     

    รู้ตัวว่าถูกสายตาคู่นั้นมองอยู่ตลอด

     

     

     

     

    และทุกครั้งที่ถูกมองมันรู้สึกเหมือนกับปวดใจ

     

     

     

     

     

                มาร์คส่งฉันขึ้นแท็กซี่กลับคอนโด ลมแอร์และความเงียบเชียบบนรถ เป็นสิ่งที่ช่วยเยียวยาอาการของฉันให้ดีขึ้น ยิ่งนั่งรถออกมาไกลจากบริษัท อกก็ยิ่งรู้สึกโล่งและหายใจได้สะดวก แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถสลัดออกไปจากหัวได้ ก็คงเป็นเรื่องระหว่างโรอุนกับคุณไอรีน

     

     

     

     

    นี่คู่หมั้นของนาย คือ ไดเรคเตอร์ของแผนกฉันอย่างงั้นหรอ

     

     

     

     

    มาทำงานที่เดียวกันไม่พอ คนที่นายกำลังจะแต่งงานด้วยยังจะเป็นหัวหน้าใหญ่ของฉันอีกหรอ

     

     

     

     

     

    555555 โลกแตกได้ยัง

     

     

     

     

     

     

    “เอารสสตรอเบอรี่กับบลูเบอรี่ชีสเค้กค่ะ”

     

     

                สั่งไอติมอย่างเลื่อนลอย สายตาก็ถูกทิ้งไว้ที่ตู้ไอติมตรงหน้า ฉันยืนเหม่อ ทั้งที่กายหยาบอยู่ตรงนี้ แต่ใจเหมือนยังลอยเคว้งอยู่ที่ออฟฟิศ เกือบสะดุ้งจนสุดตัวตอนที่พนักงานเรียกให้ไปรับถ้วยไอติม ทำตัวน่าอายซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากด่าและตัดพ้อตัวเองในใจ

     

     

     

     

    “อา! ผมอยากกินไอติม!

     

     

    “เมื่อเช้ากินขนมไปแล้ว”

     

     

    “แต่ขนมไม่ใช่ไอติม”

     

     

    “ไม่ได้”

     

     

    “ผมอยากกิน!

     

     

    “บอกว่าไม่ได้ไง!!

     

     

    “ฮืออออ!! ได้!! พ่อใจร้าย! พ่อใจร้าย!

     

     

    ..ใครพ่อแก”

     

     

     

                เสียงโหวกเหวกจากหน้าประตูร้าน ทำให้ฉันต้องหันไปมองอย่างสนใจ เด็กอวบผมทรงกะลาครอบกำลังแหกปากร้องไห้(แต่ไม่มีน้ำตาสักหยด) ข้าง ๆ กันเป็นผู้ชายหุ่นเพรียวสูงในชุดเสื้อยืดขาวกางเกงวอร์มดำ นายคนนั้นกำลังกัดฟันทำหน้ายักษ์ใส่เด็กที่เรียกตัวเองว่าพ่อ คิ้วของฉันเลิกขึ้นอย่างสงสัยปนแปลกใจ

     

     

     

     

    นายดงยอง?

     

     

     

    พ่อ???

     

     

     

     

    “ฉันรู้จักผู้ปกครองเด็กที่โรงเรียนอยู่คนนึง เขาเป็นจิตแพทย์อยู่โรงบาลเอกชน”

     

     

     

     

    นี่มีลูกแล้วหรอเนี่ย

     

     

     

    น่าทึ่งสุด ๆ

     

     

     

     

    “ทำไมไม่ซื้อไอติมให้ลูกอ่ะ”

     

     

                ฉันเดินเข้าไปทัก ถึงจะไม่อยากคุยด้วยนัก แต่ก็คงเลี่ยงไม่ได้ เพราะร้านเล็กเกินกว่าจะหลบให้พ้นสายตา นายดงยองชะงักหันมามองฉัน ไม่รู้ว่าตกใจที่เพิ่งเห็นกัน หรือเพราะไม่อยากให้รู้ว่ามีลูกแล้วกันแน่

     

     

     

    “พูดอะไรของเธอ เด็กนี่ไม่ใช่..

     

     

    “พ่อ! ผมอยากกินไอติม!!

     

     

    “ไอเด็กเปร..

     

     

    “ทำไมพูดจาไม่เพราะ เดี๋ยวลูกก็จำหรอก”

     

     

    “พ่อหยาบคายกับผมตลอดเลยครับพี่” เด็กน้อยใช้สองมือเกาะแขนของฉัน แล้วทำตาอ้อนใส่

     

     

    “ฉัน..ไม่ใช่พ่อแก”

     

     

    “นี่ ทำไมพูดกับลูกแบบนั้น”

     

     

    “ใช่มั้ยครับพี่สาว พ่อผมใจร้ายมาก T^T

     

     

    “พี่สาวอะไร ป้า”

     

     

     

     

    หน็อยยยย!!!

     

     

     

    ไอบ้า!!!!!

     

     

     

    ใจเย็น ๆ วันนี้ใช้พลังงานหมดแล้วมินรี

     

     

     

     

     

    “แต่งงานแล้วหรอ”

     

     

     

    ฉันข่มใจที่อยากจะด่าเอาไว้ ด้วยการถามคำถามที่คาใจอยู่แทน แต่ถ้าสังเกตกันดี ๆ ก็จะเห็นได้ว่าฉันอดกลั้นอารมณ์เอาไว้แค่ไหน

     

     

     

    “เปล่า”

     

     

    “อ้าว แล้ว..

     

     

    ….” นายหมอมองหน้าฉันนิ่ง ๆ เหมือนขี้เกียจพูด แต่เพราะสีหน้าแตกตื่นที่ดูจินตนาการไปไกลของฉัน ก็ทำให้เจ้าตัวต้องรีบอธิบาย

     

     

     

    “ถ้ากำลังคิดว่าฉันไปทำใครท้อง หรือเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวก็หยุดซะ”

     

     

    ….

     

     

    “นี่หลาน ลูกพี่ชาย”

     

     

    “แล้วทำไมเขาเรียกนายว่าพ่ออ่ะ”

     

     

    “มันร้าย” กัดฟันตอบ พร้อมกับมือที่โบกไปแทบจะยันหัวหลาน แต่ไอเด็กที่แกล้งเบะปากร้องไห้ก่อนหน้าหลบทัน พร้อมกับหัวเราะคิกคักใส่

     

     

     

    เด็กนี่แสบจริง ๆ แหละ

     

     

     

    เรียกแบบนั้นคนเข้าใจกันผิดหมด

     

     

     

     

    “ไม่ทำงานรึไง”

     

     

    ….

     

     

    “หรือว่าลา?”

     

     

    “อือ ลา”

     

     

    “ไม่สบาย?”

     

     

    ….

     

     

    “หน้าตาดูป่วย ๆ นะ”

     

     

    “เฮ้อ”

     

     

    ….

     

     

    “ฉันไปก่อนนะ”

     

     

     

                หนักใจเกินกว่าจะตอบอะไรออกไป ฉันกล่าวลาสั้น ๆ ก่อนจะเดินเฉียดตัวอีกฝ่ายออกไปจากร้าน

     

     

    เวลานี้ฟ้าเริ่มครึ้มราวกับฝนกำลังจะก่อตัว อากาศก็ร้อนอบอ้าวจนไอติมที่ยังไม่ทันกินละลายเป็นน้ำ อะไร ๆ ก็ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง ฉันพ่นลมหายใจ เดินเตาะแตะเข้าประตูคอนโด โดยไม่ได้รู้ตัวว่ามีใครตามหลังมา กระทั่งเข้ามาถึงในลิฟท์

     

     

     

    สองอาหลานที่พากันจูงมือมา ทำให้ฉันต้องเลิกคิ้วมองอีกครั้ง

     

     

     

     

    “ตามมาทำไม”

     

     

    “ใครตามเธอ”

     

     

    “ก็นายไง”

     

     

    “หลงตัวเองไปมั้ย ฉันจะตามเธอทำไม”

     

     

    “ก็นั่นน่ะสิ”

     

     

    “ฉันอยู่ที่นี่”

     

     

    “ฉันก็อยู่ที่นี่ นี่เรา….อยู่คอนโดเดียวกัน?”

     

     

     

     

    ตั้งแต่เมื่อไหร่

     

     

     

    ทำไมอยู่มาเป็นปี ไม่เคยเจอ

     

     

     

                ดงยองที่เห็นว่าฉันเอาแต่ยืนอึ้ง ก็ยื่นมือมากดปุ่มลิฟท์ตรงหน้าของฉัน ก่อนจะถอยไปยืนชิดผนังอีกฝั่ง ประตูลิฟท์ปิดลง ยานพาหนะคับแคบตกอยู่ในความเงียบ หากแต่เด็กตัวกลมที่ยืนไม่ค่อยจะนิ่งก็ช่วยดึงบรรยากาศไม่ให้อึดอัดจนเกินไป

     

     

     

     

     

     

     

    “วันนี้เจอเขาอีกหรือไง”

     

     

     

    รู้ได้ไง” ฉันชะงักหันไปถาม นายดงยองที่ทอดสายตามองประตูลิฟท์ก็เลื่อนสายตามามองตอบ

     

     

     

     

     

    “เดา”

     

     

    ….

     

     

    “จากหน้าเธอ”

     

     

    ….

     

     

    “แย่มากเลย?”

     

     

    “ก็แย่ขนาดที่ต้องลางานครึ่งวัน”

     

     

    “ถึงบอกให้ลาออก”

     

     

    ….

     

     

    “เธอยังไม่พร้อมไปเจอผู้ชายคนนั้นหรอก”

     

     

    ….

     

     

    “จะเผชิญหน้ากับความกลัวได้”

     

     

    ….

     

     

    “ต้องรักษาแผลสดให้หายดีก่อน”

     

     

     

     

                ฉันเงียบ ที่ดงยองพูดมามันถูกทั้งหมด ฉันไม่พร้อมเจอโรอุนในตอนนี้ และแผลที่เกิดขึ้นจากเขาถ้าเปรียบเทียบให้เห็นภาพ ก็คงเป็นแผลที่เลือดยังไม่หยุดไหล แต่แล้วยังไงล่ะ ต้องถึงขั้นลาออกเพื่อหนีเลยหรอ ฉันท้อแล้วนะ ทำไมเป็นเอามากขนาดนี้วะ ก็แค่ผู้ชายคนเดียว ทำไมฉันถึงเป็นแบบนี้ไปได้!?

     

     

     

    ประตูลิฟท์เปิดออก เป็นสัญญาณว่าบทสนทนาระหว่างเราในวันนี้คงต้องจบลง เด็กน้อยโบกมือลาฉันด้วยรอยยิ้มสดใส ฉันฝืนโบกมือตอบทั้งที่เหนื่อยจนแทบจะยกยิ้มไม่ไหว สายตาได้แต่มองตามแผ่นหลังของคนเป็นหมอที่เดินจูงมือหลานออกไปจากลิฟท์

     

     

     

     

    “หนึ่งสี่หนึ่งห้า”

     

     

                คนที่คิดว่าลาแล้วลาลับ หันกลับมาพูดอะไรบางอย่าง ทำให้ฉันต้องกดเปิดประตูลิฟท์ที่เกือบจะเคลื่อนปิด เพื่อทวนถามอย่างงุนงง

     

     

     

    “ห้ะ”

     

     

    “เลขห้อง”

     

     

    ..จะให้ไปซื้อหวยรึไง”

     

     

    “มีอะไร ถ้ามันหนักหนาก็มากดออดเรียก”

     

     

    “เพื่อ?”

     

     

    “เผื่อต้องการเพื่อนคุย”

     

     

    ..ฉันเป็นคนไข้พิเศษของนายรึไง”

     

     

    “สิทธิพิเศษของเพื่อนเก่า”

     

     

    ….

     

     

    “พรุ่งนี้หวังว่าจะมาตามนัด”

     

     

     

                นายหมอเตือนถึงนัดตรวจวันพรุ่งนี้ที่โรงพยาบาล ฉันทำเพียงมองหน้าคนที่ยักคิ้วใส่โดยไม่ได้ตอบอะไรกลับ จนเมื่อประตูลิฟท์ปิดอัตโนมัติ รอยยิ้มเล็ก ๆ ก็ผุดขึ้นบนริมฝีปาก

     

     

     

     

    ตลกดีเหมือนกันนะ หมอนั่น




    - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

    TBC

    อ่ะ เขาเป็น "เพื่อน" กัน ก็รอดูว่า เพื่อนคนไหนจะล้ำเส้นก่อนกันนะคะ5555 ช่วงนี้มีแต่ความเครียดเลยแวะมาแต่งเบาสมอง ฟิคจะหยุดหรือจะต่อก็ขึ้นอยู่กับ Feedback ของทุกท่าน ถ้าอ่านอยู่ก็โปรดแสดงตัวค่ะ

    T
    B
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×