ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yuri] Dark Daisy แรกรักเพียงนิรันดร์

    ลำดับตอนที่ #6 : RED MAGIC part 2

    • อัปเดตล่าสุด 3 พ.ย. 66


     

     

                “เชิญท่านตามข้ามา” คาเรนผายมือเชื้อเชิญให้ฉันเดินเข้าไปในส่วนของห้องครัว ในนั้นมีแม่บ้านอยู่ประมาณสามคน พวกเขาขะมักเขม้นจัดเตรียมอาหารอย่างพิถีพิถัน ฉันชะโงกหน้าไปดูด้วยความสนใจ ทว่าสิ่งที่ปรากฏเบื้องหน้ากลับทำให้ต้องผงะถอยกลับมา

                    โอ้! นี่มันเนื้อแกะสดๆ เลยนี่นา หากว่ามิสเตอร์เฮลก้ากินสเต๊กแบบแรร์ดูน่ากลัวแล้วแต่สิ่งที่ฉันเห็นตรงหน้านั้นน่ากลัวกว่าหลายเท่า

                    “ท่านประมุขโปรดเนื้อแกะรมควัน”

                    “นี่ผ่านการรมควันแล้วเหรอ”

                    “แค่รมควัน” คาเรนชักสีหน้าจนฉันรีบเก็บอาการ

                    “แล้วฉันต้องยกจานไหนขึ้นไป” ฉันเปลี่ยนประเด็นอย่างรวดเร็วจนสายตาไม่พอใจจางหายไป

                    “จานเนื้อและไวน์แดง”

                    “แค่สองอย่างเหรอ”

                    “ส่วนที่เหลือสาวใช้จะยกตามไป” มีของบางอย่างที่ถูกปิดซ่อนอย่างดีในฝาครอบโลหะและฉันคิดว่ามันน่าจะดีกว่าที่จะไม่เอ่ยถามว่าอาหารจานนั้นคืออะไร

                    “คุณช่วยนำทางฉันที”

                    ฉันและสาวใช้อีกสองคนเดินตามหลังคาเรนอย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวฉันเอง อาหารจานนี้มีปริมาณมากเกินกว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ จะทานหมด มันหนักอึ้งจนท่อนแขนของฉันอ่อนล้า

                    “ถึงแล้ว” คาเรนกล่าวและเคาะประตูสองครั้ง มือบางผลักเปิดเข้าไปในห้องมืดมิด ตรงมุมหน้าต่างที่ถูกปิดทับด้วยม่านหนาสีเลือดนกมีเชิงเทียนจุดไว้ ร่างหญิงสาวที่ฉันเคยเห็นผ่านตามาแล้วครั้งหนึ่งกำลังนั่งหันหลังให้ มือเรียวบางจับพู่กันตวัดบนผืนผ้าใบ จังหวะนั้นมือที่กำลังตวัดลากพู่กันก็พลันหยุดชะงักก่อนสุ้มเสียงราบเรียบจะเอื้อนเอ่ยออกมาโดยไม่หันกลับมามอง

                    “ใครอนุญาตให้นางเข้ามา”

                    “เรียนท่านประมุข เป็นคำสั่งของนายท่านเจ้าค่ะ” คาเรนมีท่าทีนอบน้อมต่อหญิงสาวตรงหน้าเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าเคารพบูชาเลยก็ได้

                    “วางอาหารไว้แล้วออกไปเสีย” พู่กันถูกวางลงก่อนร่างบางจะหันกลับมา เพียงแค่ได้สบตาหัวใจของฉันก็ราวกับหยุดนิ่ง

                    มีบางอย่างพุ่งตรงจากดวงตาสีแดงเรืองคู่นั้นมายังร่างกายของฉัน ฉับพลันร่างกายก็เกิดอาการแปลกประหลาดจนต้องรีบวางถาดอาหารไว้บนโต๊ะและก้าวถอยมา

                    อันตราย!

                    สัญชาตญาณร้องบอกแบบนั้น

                    “ออกไปเสีย” นางออกปากไล่อีกครั้งจนฉันเตรียมหมุนตัวกลับ ทว่าคำพูดประโยคถัดมาทำให้สองเท้าต้องหยุดชะงัก “หมายถึงพวกเจ้า...ออกไปก่อน”

                    “เจ้าค่ะ” คาเรนและสาวใช้รีบวางถาดอาหารและเดินดุ่มๆ จากไปอย่างรวดเร็ว ฉันที่เห็นเช่นนั้นจึงเตรียมออกไปด้วย หากไม่ติดว่าเสียงหวานกังวานนั้นเอ่ยรั้งไว้

                    “เจ้าอยู่ก่อน”

                    “อ-เอ่อ...” ฉันอ้ำอึ้งและพยายามหดตัวให้ลีบเล็ก

                    หญิงสาวหยัดกายลุกจากเก้าอี้ นางเบนสายตามองถาดอาหารเพียงครู่เดียวก่อนหันมาจ้องฉันเขม็ง “คามิลสั่งให้เจ้าทำอะไร”

                    นางไม่รีรอให้ฉันตั้งตัว กลีบปากอวบอิ่มเอ่ยถามออกมาอย่างเถรตรง

                    “เขา...เขา...”

                    “เจ้าไม่รู้หรอกรึว่าสิ่งที่น้องชายข้าต้องการหมายถึงสิ่งใด”

                    หืม? อะไรอีกล่ะเนี่ย

                    “คืออะไรงั้นหรือ” ฉันเอียงคอและถามกลับไปด้วยความสงสัย

                    “หึ! โง่เง่าไม่ต่างกัน” นางสบถถ้อยคำหยาบคายก่อนหยุดนิ่งเว้นระยะห่างไว้ประมาณหนึ่งช่วงตัว ดวงตาสีแดงที่เปล่งประกายในที่มืดยิ่งเสริมให้นางดูเหมือนปีศาจเข้าไปอีกหลายขุม

                    เฮ...นี่ฉันคงไม่ได้หลงเข้ามาในแดนปีศาจหรอกนะ

                    “เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีกี่คนที่ชอบปิดซ่อนความรู้สึกที่แท้จริง” รอยยิ้มเยือกเย็นเผยออกอย่างน่าสะพรึง ไม่ใช่ว่ามันน่าเกลียดแต่ตรงกันข้ามที่มันดูงดงามจนเหมือนไม่ใช่รอยยิ้มของคน

                    ผู้หญิงคนนี้มีเสน่ห์ที่เกินต้านทาน แม้แต่ฉันที่เป็นผู้หญิงยังเผลอสั่นไหว

                    “คุณหมายถึงสิ่งใด”

                    “เจ้าสงสัยสิ่งใด” นางไม่ตอบและเบี่ยงเบนไปเรื่องอื่น

                    “คุณ...อย่าเข้ามานะ” สองเท้าที่สาวเข้ามาอย่างเชื่องช้าทำให้ระยะห่างหดสั้นลงโดยที่ฉันแทบไม่รู้ตัว ขณะจะยกมือห้ามปราม ฉันก็พลันรู้ได้ในตอนนั้นเองว่าร่างกายไม่ยินยอมทำตามคำสั่ง ร่างกายของฉันแข็งทื่อราวก้อนหิน มีเพียงดวงตาและริมฝีปากเท่านั้นที่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามใจนึก

                    “เจ้ากลัวข้ารึ?”

                    “อย่าเข้ามา” เป็นครั้งแรกที่รู้สึกหวาดกลัวจนร่างกายสั่นสะท้าน ความกลัวที่ซุกซ่อนอยู่ภายในล้นทะลักออกมาจนห้ามอารมณ์ไว้ไม่อยู่

                    “เจ้าควรหวาดกลัวข้า” นางก้าวเข้ามาประชิดและหยุดลงจนได้กลิ่นกายหอมกรุ่น ฉันรู้สึกหูอื้อตาลายเหมือนจะเป็นลมได้ทุกเมื่อ “ควรอยู่ห่างจากข้าตราบเท่าที่เจ้าจะทำได้...”

                    “...”

                    “หากไม่เช่นนั้นแล้ว...” ปลายนิ้วเรียวยกขึ้นเพื่อจับช่อผมที่หล่นปรกใบหน้าไปทัดใบหูให้ นางก้มหน้าลงมาจนเราประสานสายตากันในระยะประชิด “แม้แต่ชีวิตก็จะไม่ได้เป็นของเจ้า”

                    วูบ! สิ้นประโยคนั้นสติของฉันก็ดับวูบลงทันที

                    ...

                    “ท่านกลั่นแกล้งนาง” เสียงทุ้มต่ำของคนเป็นน้องเอ่ยตำหนิพี่สาวเบาๆ

                    “เจ้าต่างหากที่ทำให้นางเดือดร้อน” หญิงสาวเอนกายพิงโซฟานุ่มด้วยท่าทีผ่อนคลาย มือบางสองข้างประคองถ้วยชาหอมกรุ่นไว้โดยไม่ได้ลิ้มรส นัยน์ตาเรียบเฉยหลุบมองถ้วยชาอย่างเงียบงัน ระลอกคลื่นที่เกิดจากการสั่นข้อมือทำให้ความนึกคิดสั่นไหวตาม ผ่านมาเนิ่นนานแล้วที่นางไม่ได้ใช้ ‘มนต์มายาสีเลือด’ หากแต่วันนี้มีเหตุจูงใจบางอย่างจึงลองนำมันออกมาใช้

                    แต่ก็ไม่คิดว่ามนุษย์คนนั้นจะอ่อนแอถึงเพียงนี้

                    “แต่นางเป็นเพียงมนุษย์ ท่านทำเช่นนั้นนางอาจถึงตายได้” เสียงทุ้มเจือแววไม่พอใจของคามิลทำให้นางละความสนใจจากถ้วยชาในมือ

                    “เจ้าห่วงนางรึ” ดวงตาสีทับทิมตวัดมองน้องชายอย่างครุ่นคิด ยามกลีบปากอวบอิ่มขยับพูด ถ้อยคำนั้นช่างเย็นชาไร้ความรู้สึกสมกับเป็นนาง “หากพึงใจแล้วเหตุใดจึงดื้อรั้นส่งนางมาให้ข้า”

                    “นั่นไม่ใช่เพราะข้าห่วงท่านหรอกรึ” คามิลตอบกลับอย่างรวดเร็ว ทว่าคำพูดของเขาถูกรอยยิ้มหวานแต่แฝงไว้ด้วยความดุดันทำลายเสียหมดสิ้น แม้แต่กับเขาผู้เป็นน้องชายคลานตามกันมา นางก็ไม่ละเว้นความเยือกเย็นให้เลยแม้แต่ส่วนเดียว “ข้าเพียงอยากให้ท่านลืมเรื่องราวเหล่านั้นแล้วกลับมาใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะเป็น”

                    “ข้าบอกเจ้าหลายครั้งแล้ว” รอยยิ้มเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว มือบางบรรจงวางถ้วยชาลงบนโต๊ะเบื้องหน้า สีหน้าของนางเรียบตึงจนไม่อาจแตะต้องความเยือกเย็นนั้นได้ “อย่ายุ่งเรื่องนี้”

                    “ท่านปิดกั้นตนเองเกินไป” ใบหน้าคมที่มีความอ่อนหวานคล้ายคลึงสตรีเบื้องหน้าฉายแววเคร่งเครียดและจริงจัง “เช่นนั้นแล้วเผ่าพันธุ์ของเราจะดำรงได้อย่างไรหากท่านยังจมปลักอยู่เช่นนี้”

                    “สิ่งเดียวที่ขับเคลื่อนให้ข้าหายใจ มีเพียงความแค้นต่อพวกโง่เขลาเหล่านั้น หาใช่เรื่องไร้สาระที่เจ้านึกกังวล”

                    “ท่านพี่!”

                    “พอแล้ว” มือบางยกขึ้นก่อนหยัดกายลุกขึ้น “เจ้าพานางไปส่งยังโลกของนางเสียตั้งแต่บัดนี้ ไม่เช่นนั้นข้าจะปลิดชีพนางเหมือนเช่นคนอื่นๆ”

                    “ท่านจะสังหารนางเหมือนที่ทำกับคนอื่นๆ ไม่ได้”

                    “ข้าทำแน่...” รอยยิ้มแสยะเผยออกกว้าง “คราวนี้ข้าจะฉีกกระชากและกัดกินนางให้หนำใจ”

                    คำพูดและการกระทำอันร้ายกาจทำให้ชายหนุ่มรับไม่ได้

                    “ท่านเสียสติไปแล้ว” คามิลตวาดลั่นและหุนหันเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว เขาหงุดหงิดกับความไม่สนใจสิ่งใดของพี่สาว แต่ก็ไม่อาจละเลยนางได้ เพราะทั้งชีวิตนี้เขามีเพียงนาง นางเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาใช้ในการยึดเหนี่ยวจิตใจ คามิลกัดริมฝีปากแน่น ยามนี้เขาคิดสิ่งใดไม่ออก บางทีเรื่องนี้เขาอาจต้องขอความช่วยเหลือจากใครสักคน

                    แอ๊ด!

                ประตูห้องนอนถูกเปิดออกด้วยฝีมือของน้องชายเจ้าของปราสาท สองเท้าก้าวเดินด้วยจังหวะมั่นคงตรงไปยังเตียงกว้าง ดวงตาสีฟ้าเปล่งประกายมองฝ่าความมืดมิดไปยังเรือนร่างบางบนเตียงนอน หญิงสาวนอนหลับตาพริ้มพร้อมลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ ใบหน้าไร้เดียงสานั่นไม่ว่าจะมองยังไงก็ดูน่ากลั่นแกล้งรังแก 

                    “ท่านพี่ข้าอาจถูกใจเจ้า ไม่เช่นนั้นคงไม่กลั่นแกล้งรุนแรงเพียงนี้” ชายหนุ่มพึมพำราวกับหญิงสาวตื่นมารับฟัง มือหนาปัดผ่านใบหน้านวลเนียนแผ่วเบา ดวงตาสีฟ้าประกายทอดแววอ่อนโยนและนึกเอ็นดูอยู่ในที “ข้าจะเป็นพลังคอยสนับสนุนเจ้าเอง”

                    คามิลมือชักกลับก่อนจะเผลอทำตัวรุ่มร่ามกับนางมากเกินไป ร่างสูงใหญ่หยัดกายยืนขึ้นพร้อมมองออกไปยังบานหน้าต่าง ท้องฟ้าข้างนอกมืดครึ้มเฉกเช่นทุกวัน ผลของสภาพอากาศนี้มีสาเหตุมาจากพี่สาวของเขาเพียงคนเดียว

                    “ท่านร่ำไห้ถึงเพียงนี้ ไยถึงยังปฏิเสธความหวังดีของข้า”

                    ขณะเดียวกัน ณ ห้องดนตรีอันมืดมิด

                    เรือนร่างของสตรีสูงศักดิ์ย่ำเดินเชื่องช้าไปยังเปียโนหลังโปรด มือเรียวยาวลากผ่านคีย์บอร์ดทีละตัวจนเกิดเสียงอันไพเราะเสนาะหู หญิงสาวทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้บุนวมและกวาดสายตาไล่ตามคีย์บอร์ดแต่ละตัว ก่อนบทเพลงอันคุ้นเคยจะค่อยๆ บรรเลงขึ้น เพียงแต่บทเพลงที่ว่าไม่เคยถูกเล่นไปจนถึงท่อนสุดท้ายของบทเพลงเลยสักครั้งในทุกค่ำคืนที่มันถูกบรรเลงขึ้น คีย์โน้ตมักจะหยุดลงก่อนถึงท่อนฮุคเสียด้วยซ้ำ

     

    +++++++++++++++++++

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×