คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : RED MAGIC part 1
เมื่อกินข้าวเสร็จเรียบร้อย แม่บ้านก็เดินนำฉันขึ้นไปยังชั้นสองของปราสาท พวกเขามอบห้องให้ฉันหนึ่งห้อง แม้จะรู้สึกแปลกใจแต่เพราะสิ่งที่เขามอบให้มีประโยชน์มากกว่าโทษฉันจึงไม่ได้เอ่ยปากแย้งออกไป
“นายท่านสั่งข้าให้ดูแลท่าน หากมีสิ่งใดขาดเหลือโปรดแจ้งให้ข้ารับทราบ” แม่บ้านวัยกลางคนค้อมกายจนฉันพลอยรู้สึกกระดากอาย
“ขอบคุณมากค่ะ ตอนนี้ฉันยังไม่ต้องการอะไร”
“เช่นนั้นเชิญท่านเข้าไปข้างใน หากไม่มีธุระสำคัญอย่าได้ออกจากห้อง” มือเรียวผายเข้าไปในห้องด้วยท่าทางเคร่งครัดจนฉันไม่กล้าโต้เถียง สองเท้าก้าวเดินเข้ามาและได้ยินเสียงประตูปิดลง
ฉันถอนหายใจเมื่อไร้สายตาจ้องจับผิด สองเท้าก้าวเดินอย่างรวดเร็วไปยังเตียงนอนขนาดคิงไซซ์ที่ปูด้วยผ้าไหมชั้นดี ความฟุ่มเฟือยของคนที่นี่มีมากเพียงใด ฉันไม่อาจหยั่งถึงได้
เมื่อสำรวจรอบห้องจนครบทุกซอกทุกมุมแล้ว ฉันจึงเดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงกว้าง ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่มีความรู้สึกหนึ่งคอยรบกวนจิตใจอยู่ตลอดเวลา ฉันไม่อาจวางใจพวกเขาได้ ถึงแม้มิสเตอร์เฮลก้าจะมีท่าทางน่าเชื่ออยู่บ้างแต่หลายครั้งที่ได้สบตา ความลึกลับบางอย่างก็ฉุดรั้งความคิดเอาไว้เสมอ
“หากพวกเขาไม่ใช่มนุษย์แล้วแท้จริงพวกเขาคือสิ่งมีชีวิตประเภทใด” คำถามที่เปล่งออกไปไร้คำตอบอย่างแน่นอน
ฉันเอนกายนอนหงายและมองเพดานนิ่ง สมองครุ่นคิดและทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันนี้จนผล็อยหลับไป
ตื่นเถิดนลิน...ตื่นเดี๋ยวนี้
เสียงเรียกของปู่ทวดทำให้ฉันผวาตื่นทันที ใบหน้าเปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อและอาการหอบหายใจทำให้ตระหนักได้ว่าตนขวัญเสียเพียงใด เนิ่นนานมากแล้วที่ฉันไม่เคยฝันถึงปู่ทวด ไฉนวันนี้จึงฝันถึงได้เล่า?
ก๊อกๆ
เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูห้องถูกเคาะ ฉันกวาดสายตาฝ่าความมืดมิดตรงไปยังทิศทางของต้นเสียงพร้อมทั้งลอบถอนหายใจ
ฉันเผลอหลับไปนานเท่าไรแล้วเนี่ย
“มาแล้วค่ะ” ฉันขานรับคนที่อยู่อีกฟากของประตูก่อนค่อยๆ แง้มเปิด แม่บ้านคนเดิมยืนกุมมือด้วยท่าทางสำรวมอยู่ตรงหน้าประตู
“ถึงเวลารับมื้อเย็นแล้วเจ้าค่ะ”
“ยามนี้เวลาไหนแล้ว” เพราะเพิ่งตื่น ฉันจึงไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว
“จวนจะหนึ่งทุ่มแล้วเจ้าค่ะ” ฉันพยักหน้าและขอตัวกลับไปจัดการตัวเองก่อนเดินลงไปชั้นล่างพร้อมกับแม่บ้านคนนี้ นางแทบไม่ปล่อยให้ฉันเดินไปไหนตามลำพัง ส่วนหนึ่งอาจเพราะเป็นห่วงกลัวว่าฉันหลงทาง หรือบางทีนางอาจกลัวฉันจะออกไปเดินเพ่นพ่านจนล่วงล้ำพื้นที่ที่ไม่ควรเข้า
“ปราสาทหลังนี้มีคนอยู่กี่คนเหรอ- หมายถึง นอกจากมิสเตอร์เฮลก้าและพี่สาว ยังมีคนอื่นอยู่อีกหรือเปล่า”
“ท่านประมุขและนายท่านอาศัยอยู่ที่นี่พร้อมข้ารับใช้อีกจำนวนยี่สิบคน”
“แล้วมิสเตอร์เจเรดล่ะ ฉันเห็นว่าเขาอยู่กับมิสเตอร์เฮลก้าตลอด”
“ท่านเจเรดมีบ้านพักอยู่ห่างจากนี้ประมาณสองไมล์ บางครั้งจะพักค้างแรมที่ปราสาทหลังนี้”
“งั้นแสดงว่าที่นี่ก็มีเพียงมิสเตอร์เฮลก้าและ- เมื่อกี้คุณเรียกพี่สาวของมิสเตอร์เฮลก้าว่าอะไรนะ” ฉันทวนถามเสียงสูงเพราะไม่แน่ใจว่าตนเข้าใจผิดไปหรือเปล่า
“ท่านประมุข”
“อ้อ ท่านประมุข” ฉันกล่าวตามและพยายามมองสังเกตสีหน้าของนาง “ที่นี่มีแค่มิสเตอร์เฮลก้ากับท่านประมุขสินะ”
“ค่ะ” นางขานรับและผายมือให้ฉันเดินเข้าไปนั่งยังเก้าอี้ตัวเดิม แต่น่าแปลกที่เย็นนี้มีเพียงฉันนั่งรับประทานอาหารเพียงคนเดียว
“ไม่มีคนอื่นเหรอ” ฉันหันไปถามพร้อมขยับตัวอย่างเก้กัง
“นายท่านออกไปเยี่ยมท่านเจเรด ส่วนท่านประมุขรับอาหารที่ห้องพักส่วนตัวเจ้าค่ะ”
ฉันพยักหน้ารับรู้และลงมือทานอาหารที่รสชาติจืดชืดเช่นเดิม โชคดีหน่อยที่แม่บ้านคนนี้สังเกตสีหน้าได้และยื่นผลึกเกลือส่งให้ ฉันเอ่ยขอบคุณเบาๆ และก้มหน้ากินข้าวโดยไม่คิดสานต่อบทสนทนาใดอีก
...
ชีวิตน่าเบื่อหน่ายยังคงดำเนินต่อ ฉันได้พบมิสเตอร์เฮลก้าและมิสเตอร์ เจเรดทุกเช้าแต่หลังจากนั้นต้องทนนั่งขลุกอยู่คนเดียวในห้องพักจนกระทั่งเช้าวันใหม่มาเยือน มันเป็นเช่นนี้มาเกือบห้าวันและช่างน่าแปลกที่นอกจากสหายทั้งสองคนนั้นกับแม่บ้านที่คอยดูแล ฉันก็ไม่พบใครอีกเลย
...ผู้หญิงคนนั้นก็เช่นกัน นางไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็น ทั้งที่เราอยู่ในปราสาทหลังเดียวกันมาตลอดห้าวันก็ตาม
“เดี๋ยวก่อนสิมิสเตอร์เฮลก้า” และในเช้าวันนี้ฉันก็อดรนทนความน่าเบื่อไม่ไหวจึงเอ่ยรั้งชายหนุ่มไว้ก่อนที่เขาจะวิ่งพรวดออกจากห้องอาหารไป
“มีอะไรงั้นรึ” คิ้วเรียวเลิกขึ้นพร้อมดวงตาสีฟ้าหรี่ลง
“คุณไม่คิดจะอธิบายอะไรให้ฉันเข้าใจบ้างเหรอ”
“เรื่องอะไร” เขายืนขึ้นและขยับคอเสื้อของตัวเองอย่างไว้ท่าที
“คุณให้ฉันพักอยู่ที่นี่เพื่อทำการบางอย่างแต่นี่มันก็ผ่านมาห้าวันแล้ว- ไม่สิ วันนี้คือวันที่หก” ฉันเอียงคอคล้ายไม่พอใจ “ฉันไม่ได้ทำอะไรนอกจากกินและนอน”
“งั้นเหรอ” เขาพึมพำก่อนหันไปทางแม่บ้านที่ดูแลฉัน “คาเรน ท่านพี่ไม่เรียกหานางเลยอย่างนั้นหรือ”
“ไม่เจ้าค่ะ ท่านประมุขเพียงพักอยู่ในห้องเท่านั้น”
“ดื้อด้านจริงๆ” เสียงทุ้มบ่นพึมพำก่อนนัยน์ตาขุ่นมัวจะพราวระยิบอย่างเจ้าเล่ห์ “วันนี้มีคนยกสำรับไปให้นางหรือยัง”
“ยังเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าจะสั่งให้คนยกไป”
“ไม่ต้องหรอก” มิสเตอร์เฮลก้าเผยยิ้มและเบนสายตามายังฉัน ชั่ววินาทีนั้นขนอ่อนทั่วร่างพลันลุกซู่
ไม่เอาน่า...คงไม่ได้จะให้ฉันเป็นคนยกไปหรอกใช่ไหม
“รบกวนเจ้าแล้ว” กล่าวจบก็หันไปส่งสายตาให้แม่บ้านที่ฉันเพิ่งรู้ว่านางชื่อ‘คาเรน’ หนึ่งครั้ง “ฝากให้นางจัดการ”
“เจ้าค่ะ” สั่งการเรียบร้อยก็วิ่งพรวดจากไปเหมือนเช่นทุกวัน แม้ฉันอยากรั้งเอาไว้เพียงใดก็ไม่ทันเสียแล้ว
ฉันไม่น่าหาเรื่องเลย
…..
ความคิดเห็น