ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yuri] Dark Daisy แรกรักเพียงนิรันดร์

    ลำดับตอนที่ #5 : RED MAGIC part 1

    • อัปเดตล่าสุด 3 พ.ย. 66


     

     

     

                    เมื่อกินข้าวเสร็จเรียบร้อย แม่บ้านก็เดินนำฉันขึ้นไปยังชั้นสองของปราสาท พวกเขามอบห้องให้ฉันหนึ่งห้อง แม้จะรู้สึกแปลกใจแต่เพราะสิ่งที่เขามอบให้มีประโยชน์มากกว่าโทษฉันจึงไม่ได้เอ่ยปากแย้งออกไป

                    “นายท่านสั่งข้าให้ดูแลท่าน หากมีสิ่งใดขาดเหลือโปรดแจ้งให้ข้ารับทราบ” แม่บ้านวัยกลางคนค้อมกายจนฉันพลอยรู้สึกกระดากอาย

                    “ขอบคุณมากค่ะ ตอนนี้ฉันยังไม่ต้องการอะไร”

                    “เช่นนั้นเชิญท่านเข้าไปข้างใน หากไม่มีธุระสำคัญอย่าได้ออกจากห้อง” มือเรียวผายเข้าไปในห้องด้วยท่าทางเคร่งครัดจนฉันไม่กล้าโต้เถียง สองเท้าก้าวเดินเข้ามาและได้ยินเสียงประตูปิดลง

                    ฉันถอนหายใจเมื่อไร้สายตาจ้องจับผิด สองเท้าก้าวเดินอย่างรวดเร็วไปยังเตียงนอนขนาดคิงไซซ์ที่ปูด้วยผ้าไหมชั้นดี ความฟุ่มเฟือยของคนที่นี่มีมากเพียงใด ฉันไม่อาจหยั่งถึงได้

                    เมื่อสำรวจรอบห้องจนครบทุกซอกทุกมุมแล้ว ฉันจึงเดินกลับมาทิ้งตัวลงนั่งบนเตียงกว้าง ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่มีความรู้สึกหนึ่งคอยรบกวนจิตใจอยู่ตลอดเวลา ฉันไม่อาจวางใจพวกเขาได้ ถึงแม้มิสเตอร์เฮลก้าจะมีท่าทางน่าเชื่ออยู่บ้างแต่หลายครั้งที่ได้สบตา ความลึกลับบางอย่างก็ฉุดรั้งความคิดเอาไว้เสมอ

                    “หากพวกเขาไม่ใช่มนุษย์แล้วแท้จริงพวกเขาคือสิ่งมีชีวิตประเภทใด” คำถามที่เปล่งออกไปไร้คำตอบอย่างแน่นอน

                    ฉันเอนกายนอนหงายและมองเพดานนิ่ง สมองครุ่นคิดและทบทวนเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงสองสามวันนี้จนผล็อยหลับไป

                    ตื่นเถิดนลิน...ตื่นเดี๋ยวนี้

                เสียงเรียกของปู่ทวดทำให้ฉันผวาตื่นทันที ใบหน้าเปียกชุ่มไปด้วยหยาดเหงื่อและอาการหอบหายใจทำให้ตระหนักได้ว่าตนขวัญเสียเพียงใด เนิ่นนานมากแล้วที่ฉันไม่เคยฝันถึงปู่ทวด ไฉนวันนี้จึงฝันถึงได้เล่า?

                    ก๊อกๆ

                    เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูห้องถูกเคาะ ฉันกวาดสายตาฝ่าความมืดมิดตรงไปยังทิศทางของต้นเสียงพร้อมทั้งลอบถอนหายใจ

                    ฉันเผลอหลับไปนานเท่าไรแล้วเนี่ย

                    “มาแล้วค่ะ” ฉันขานรับคนที่อยู่อีกฟากของประตูก่อนค่อยๆ แง้มเปิด แม่บ้านคนเดิมยืนกุมมือด้วยท่าทางสำรวมอยู่ตรงหน้าประตู

                    “ถึงเวลารับมื้อเย็นแล้วเจ้าค่ะ”

                    “ยามนี้เวลาไหนแล้ว” เพราะเพิ่งตื่น ฉันจึงไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว

                    “จวนจะหนึ่งทุ่มแล้วเจ้าค่ะ” ฉันพยักหน้าและขอตัวกลับไปจัดการตัวเองก่อนเดินลงไปชั้นล่างพร้อมกับแม่บ้านคนนี้ นางแทบไม่ปล่อยให้ฉันเดินไปไหนตามลำพัง ส่วนหนึ่งอาจเพราะเป็นห่วงกลัวว่าฉันหลงทาง หรือบางทีนางอาจกลัวฉันจะออกไปเดินเพ่นพ่านจนล่วงล้ำพื้นที่ที่ไม่ควรเข้า

                    “ปราสาทหลังนี้มีคนอยู่กี่คนเหรอ- หมายถึง นอกจากมิสเตอร์เฮลก้าและพี่สาว ยังมีคนอื่นอยู่อีกหรือเปล่า”

                    “ท่านประมุขและนายท่านอาศัยอยู่ที่นี่พร้อมข้ารับใช้อีกจำนวนยี่สิบคน”

                    “แล้วมิสเตอร์เจเรดล่ะ ฉันเห็นว่าเขาอยู่กับมิสเตอร์เฮลก้าตลอด”

                    “ท่านเจเรดมีบ้านพักอยู่ห่างจากนี้ประมาณสองไมล์ บางครั้งจะพักค้างแรมที่ปราสาทหลังนี้”

                    “งั้นแสดงว่าที่นี่ก็มีเพียงมิสเตอร์เฮลก้าและ- เมื่อกี้คุณเรียกพี่สาวของมิสเตอร์เฮลก้าว่าอะไรนะ” ฉันทวนถามเสียงสูงเพราะไม่แน่ใจว่าตนเข้าใจผิดไปหรือเปล่า

                    “ท่านประมุข”

                    “อ้อ ท่านประมุข” ฉันกล่าวตามและพยายามมองสังเกตสีหน้าของนาง “ที่นี่มีแค่มิสเตอร์เฮลก้ากับท่านประมุขสินะ”

                    “ค่ะ” นางขานรับและผายมือให้ฉันเดินเข้าไปนั่งยังเก้าอี้ตัวเดิม แต่น่าแปลกที่เย็นนี้มีเพียงฉันนั่งรับประทานอาหารเพียงคนเดียว

                    “ไม่มีคนอื่นเหรอ” ฉันหันไปถามพร้อมขยับตัวอย่างเก้กัง

                    “นายท่านออกไปเยี่ยมท่านเจเรด ส่วนท่านประมุขรับอาหารที่ห้องพักส่วนตัวเจ้าค่ะ”

                    ฉันพยักหน้ารับรู้และลงมือทานอาหารที่รสชาติจืดชืดเช่นเดิม โชคดีหน่อยที่แม่บ้านคนนี้สังเกตสีหน้าได้และยื่นผลึกเกลือส่งให้ ฉันเอ่ยขอบคุณเบาๆ และก้มหน้ากินข้าวโดยไม่คิดสานต่อบทสนทนาใดอีก

                    ...

                    ชีวิตน่าเบื่อหน่ายยังคงดำเนินต่อ ฉันได้พบมิสเตอร์เฮลก้าและมิสเตอร์    เจเรดทุกเช้าแต่หลังจากนั้นต้องทนนั่งขลุกอยู่คนเดียวในห้องพักจนกระทั่งเช้าวันใหม่มาเยือน มันเป็นเช่นนี้มาเกือบห้าวันและช่างน่าแปลกที่นอกจากสหายทั้งสองคนนั้นกับแม่บ้านที่คอยดูแล ฉันก็ไม่พบใครอีกเลย

                    ...ผู้หญิงคนนั้นก็เช่นกัน นางไม่เคยโผล่หน้ามาให้เห็น ทั้งที่เราอยู่ในปราสาทหลังเดียวกันมาตลอดห้าวันก็ตาม

                    “เดี๋ยวก่อนสิมิสเตอร์เฮลก้า” และในเช้าวันนี้ฉันก็อดรนทนความน่าเบื่อไม่ไหวจึงเอ่ยรั้งชายหนุ่มไว้ก่อนที่เขาจะวิ่งพรวดออกจากห้องอาหารไป

                    “มีอะไรงั้นรึ” คิ้วเรียวเลิกขึ้นพร้อมดวงตาสีฟ้าหรี่ลง

                    “คุณไม่คิดจะอธิบายอะไรให้ฉันเข้าใจบ้างเหรอ”

                    “เรื่องอะไร” เขายืนขึ้นและขยับคอเสื้อของตัวเองอย่างไว้ท่าที

                    “คุณให้ฉันพักอยู่ที่นี่เพื่อทำการบางอย่างแต่นี่มันก็ผ่านมาห้าวันแล้ว- ไม่สิ วันนี้คือวันที่หก” ฉันเอียงคอคล้ายไม่พอใจ “ฉันไม่ได้ทำอะไรนอกจากกินและนอน”

                    “งั้นเหรอ” เขาพึมพำก่อนหันไปทางแม่บ้านที่ดูแลฉัน “คาเรน ท่านพี่ไม่เรียกหานางเลยอย่างนั้นหรือ”

                    “ไม่เจ้าค่ะ ท่านประมุขเพียงพักอยู่ในห้องเท่านั้น”

                    “ดื้อด้านจริงๆ” เสียงทุ้มบ่นพึมพำก่อนนัยน์ตาขุ่นมัวจะพราวระยิบอย่างเจ้าเล่ห์ “วันนี้มีคนยกสำรับไปให้นางหรือยัง”

                    “ยังเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวข้าจะสั่งให้คนยกไป”

                    “ไม่ต้องหรอก” มิสเตอร์เฮลก้าเผยยิ้มและเบนสายตามายังฉัน ชั่ววินาทีนั้นขนอ่อนทั่วร่างพลันลุกซู่ 

                    ไม่เอาน่า...คงไม่ได้จะให้ฉันเป็นคนยกไปหรอกใช่ไหม      

                    “รบกวนเจ้าแล้ว” กล่าวจบก็หันไปส่งสายตาให้แม่บ้านที่ฉันเพิ่งรู้ว่านางชื่อ‘คาเรน’ หนึ่งครั้ง “ฝากให้นางจัดการ”

                    “เจ้าค่ะ” สั่งการเรียบร้อยก็วิ่งพรวดจากไปเหมือนเช่นทุกวัน แม้ฉันอยากรั้งเอาไว้เพียงใดก็ไม่ทันเสียแล้ว

                    ฉันไม่น่าหาเรื่องเลย

     

     

     

    …..

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×