คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : KAMIL HELGA part 2
“เรื่องของเจ้า” นัยน์ตาสีแดงเคลื่อนมองสบน้องชายตน “แต่หากเมื่อใดนางสร้างความเดือดร้อน ข้าจะสั่งลงโทษเจ้า”
ตึง!
กล่าวจบก็ปิดหน้าต่างบานนั้นและเดินหายไปในความมืดมิด ทิ้งให้พวกเราสามคนยืนอึ้งค้างอยู่แบบนั้น
“อย่างไรท่านประมุขก็ไม่สนใจ” เจเรดกล่าว “เจ้าควรหยุดหาเรื่องให้ตัวเองเสียที”
“เจ้าน่ะหยุดพูดไปเลย” ชายหนุ่มหันไปตวาดลั่น “แล้วก็ฝากดูแลนางด้วย ข้าจะไปเอาสัมภาระมาให้นาง”
“เฮ้เดี๋ยวสิ!” พอตั้งสติได้ ฉันก็รีบเอ่ยรั้งชายหนุ่มผู้เลือดร้อนทันที “ฉันไม่ได้ตกลงว่าจะอยู่ที่นี่นะ”
“หากข้าไม่อนุญาต เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์ไปไหนทั้งนั้น”
อะไรนะ!
...
ฉันถูกพาตัวมายังห้องห้องหนึ่งโดยไม่ได้รับแม้แต่คำอธิบายใดๆ ทั้งสิ้น
“เดี๋ยวก่อนค่ะมิสเตอร์เจเรด” ร่างสูงชะงักหยุดตามเสียงเรียก เขาหันกลับมาพร้อมทั้งเลิกคิ้วใส่ “ฉันคิดว่าเพื่อนคุณอาจเข้าใจผิด ความจริงฉันต้องการกลับบ้าน”
“ข้ารู้” เสียงทุ้มตอบ “แต่เจ้าไม่อาจต่อต้านคนดื้อรั้นเช่นเขาได้”
“คุณช่วยพูดกับเขาหน่อยสิ ฉันจำเป็นต้องกลับบ้าน” ฉันอ้อนวอนขอเพราะคิดว่ามิสเตอร์เจเรดน่าจะพูดคุยได้ง่ายกว่าเพื่อนของเขา “มีคนทางนั้นรอฉันอยู่”
“แม่นาง...ข้าไม่อาจช่วยเหลือเจ้าได้”
“ทำไมล่ะ” ฉันจ้องสบตาอย่างเฝ้ารอคำตอบ ทว่านัยน์ตาสีเขียวมรกตจ้องได้เพียงครู่เดียวก็ต้องหลุบสายตาหนี
“ข-ข้า...ข้าไม่อาจตัดสินใจตามลำพังได้” เขาเอนกายถอยหลัง ดวงตาหม่นประกายแสงลงด้วยความตื่นตระหนก มิสเตอร์เจเรดเดินหายออกไปนอกห้องอย่างรวดเร็วทิ้งให้ฉันนั่งงุนงงอยู่เพียงลำพัง
...
เวลาแต่ละนาทีเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้า ฉันยังคงนั่งจมปุกอยู่ภายในห้องจนกระทั่งได้ยินเสียงฝีเท้าคู่หนึ่งเดินเข้ามา ฉันผุดลุกขึ้นยืนก่อนเบนสายตามองอย่างเฝ้ารอ
“โอ้ นี่ข้าปล่อยให้เจ้าเฝ้ารอกระนั้นหรือ” มิสเตอร์เฮลก้าเอ่ยพร้อมกับวางกระเป๋าสัมภาระของฉันไว้ตรงหน้า “ข้าเพิ่งนึกได้ว่าเจ้ายังไม่ได้กินอะไร มาสิ ข้าจัดเตรียมอาหารไว้ให้แล้ว”
“ฉันอยากกลับบ้าน คุณช-ช่วย...” ถ้อยคำถูกกลืนลงคอ ชายคนนี้หมุนตัวแล้วเร่งรัดให้ฉันรีบเดินตามไป
“รีบตามมาสิ”
“เฮ้ คุณช่วยฟังฉันหน่อย”
“ข้าไม่ฟัง” มิสเตอร์เฮลก้าตอบเสียงเรียบ “แล้วก็ไม่ต้องใช้เซโคควบคุมข้าด้วย”
เซโค? เซโคมันคืออะไรกัน
“ฉันไม่เข้าใจ” คำพูดของฉันทำให้อีกฝ่ายพ่นลมหายใจออกมายาวพรืด มิสเตอร์เฮลก้าหยุดเดินก่อนหมุนตัวกลับมาประจันหน้าทันทีจนฉันที่เดินตามไปไม่ทันระวัง ใบหน้าจึงกระแทกเข้ากับแผงอกแกร่งอย่างจัง
“โอ๊ย!” แรงกระแทกเกือบทำให้เสียหลัก โชคดีที่ได้วงแขนแกร่งช่วยรั้งเอวเอาไว้
“ระวังหน่อยสิ!” อีกฝ่ายดุเสียงเข้ม ยามนั้นเองที่ฉันเพิ่งตระหนักรู้ว่าดวงตาของเขาช่างน่ากลัว
“คุณไม่ใช่มนุษย์!” ฉันอุทานและผละตัวออกอย่างรวดเร็ว
“เช่นนั้นแล้วอย่างไร เจ้ากลัวข้างั้นหรือ” เขายักไหล่และไม่ได้พยายามเข้ามาใกล้อีก
“...”
“เจ้าไม่ได้กลัวข้า” เขากล่าวแทรกความเงียบขึ้นมา “แต่เพราะเจ้าไม่รู้จักพวกเรา เจ้าจึงหวาดระแวง”
“คุณเป็นตัวอะไรกันแน่”
“หากข้าบอก สัญญาได้หรือไม่ว่าจะยอมร่วมมือกับข้า”
“สัญญาอะไร แล้วทำไมฉันต้องทำตามด้วย”
“เพราะไม่ว่ายังไง เจ้าก็ขัดคำสั่งข้าไม่ได้” เขากอดอกเชิดหน้าอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า
“ฉันอยากกลับบ้าน”
“ข้าจะส่งเจ้ากลับไปแน่ แต่เจ้าต้องช่วยรักษาอาการป่วยของพี่สาวข้าก่อน” ใบหน้าหล่อฉายแววตึงเครียดยามเอ่ยถึงพี่สาวของตนเอง
“เธอเป็นอะไร”
“นางเป็นโรคประหลาด ข้าพยายามรักษานางแล้วแต่ไม่เคยสำเร็จ” แล้วนิยามของคำว่า ‘โรคประหลาด’ คืออะไร?
“ฉันไม่เข้าใจ”
“เจ้าอยู่ๆ ไปเดี๋ยวก็เข้าใจเอง”
“แล้วฉันจะเชื่อใจได้อย่างไรว่าคุณจะรักษาสัญญา”
“ตระกูลข้าถือคำสัตย์ยิ่งกว่าตระกูลใด ทุกคำพูดที่เปล่งออกไปล้วนเชื่อถือได้ เจ้าอย่าได้กังวล”
เพราะเขาไม่ให้หลักประกันอะไรเลยต่างหาก ฉันจะเชื่อใจได้อย่างไร
“อย่ากังวลไปเลยน่า รับรองว่าเจ้าจะไม่เป็นอันตรายอย่างแน่นอน”
เขาตัดบทและเร่งเดินออกไปก่อนจนฉันต้องรีบก้าวตาม ระหว่างเดินทางไปยังที่ใดสักที่ เขาก็หันกลับมาแล้วเอ่ยถามอีกครั้ง
“เจ้ามีชื่อว่าอะไร”
“ฉันชื่อนลิน คาไรน์”
“คาไรน์?” คิ้วเข้มขมวดยุ่งและชะงักเดินจนฉันต้องรีบเบรกเท้าตัวเอง “เจ้าเป็นคนของตระกูลคาไรน์งั้นรึ”
“ใช่”
“ข้าไม่แปลกใจแล้วว่าทำไมเจ้าใช้เซโคได้” กลีบปากหยักบ่นพึมพำในลำคอ “ที่แท้...”
ทว่าท้ายประโยคกลับแผ่วเบาและรัวเร็วจนฉันจับใจความไม่ได้
“คุณพูดว่าอะไรนะ”
“เปล่าหรอก มาเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปยังห้องทานอาหาร”
ฉันเก็บงำความสงสัยเอาไว้และก้าวเดินไปจนถึงห้องทานข้าว ทุกอย่างภายในปราสาทหลังนี้ดูหรูหราและแพงเอาเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นแชนเดอร์เรียหรู ลามไปจนถึงแจกันประดับ เพียงแค่มองประเมินจากสายตาก็ตกไปหลายหมื่นดอลล่าร์แล้ว
“พวกคุณเป็นใครกันแน่”
“ตกปากรับคำก่อนสิ ข้าจึงจะบอก” ฉันกลอกตามองเพดานด้วยความเบื่อหน่าย ชายคนนี้ร้ายกาจเอาเรื่อง
“แค่หนึ่งสัปดาห์เท่านั้น”
“เวลาแค่นั้นเจ้าไม่อาจทำอะไรได้หรอก อย่างน้อยต้องสองเดือน”
“นั่นมันบ้ามาก” ฉันพ่นลมหายใจเพราะหมดคำพูด “ฉันอยู่นานกว่านี้ไม่ได้ ไม่งั้นครอบครัวของฉันจะต้องเป็นห่วงแน่”
“เจ้าไม่ต้องห่วง เรื่องนี้ข้าจะจัดการเอง”
“ยังไง” เขาไม่ตอบแต่กลับยกมือสั่งแม่บ้านยกถาดอาหารมาวางตรงหน้า นัยน์ตาสีฟ้าเปล่งประกายสั่งมาทางสายตาว่าให้ฉันรีบจัดการอาหารตรงหน้าซะ
ฉันกล้ำกลืนคำพูดไว้อีกครั้งแล้วตัดสเต๊กเนื้อกิน รสชาติมันไม่ได้แย่ แต่จากสัมผัสแรกที่เข้าปากก็ทำให้รู้ได้ในทันทีว่าแม่ครัวคงเพิ่งเคยทำเมนูนี้เป็นครั้งแรก
“คุณมีเกลือหรือเปล่า”
“เจ้าจะเอาไปทำไม”
“สเต๊กจานนี้มันอร่อยดีนะ แต่ฉันกินรสจัดนิดหน่อยเพราะงั้นจึงอยากขอเกลือเพิ่ม” ฉันพยายามพูดแบบถนอมน้ำใจคนทำ
“ข้าว่ารสชาติมันก็อร่อยดี เนื้อหวานจะตาย” เขาจิ้มสเต๊กในจานตัวเองที่ยังเห็นเลือดสีแดงสดไหลเยิ้มออกมา
โอ้...เขากินแบบแรร์ได้ยังไง
“รบกวนด้วยนะคะ” ฉันหันไปพูดกับแม่บ้าน นางหลุบสายตามองฉันพักหนึ่งก่อนหันไปหามิสเตอร์เฮลก้า
“ไปหยิบมาให้นาง” แม่บ้านรับคำสั่งแล้วจึงเดินไปหยิบก้อนเกลือมายื่นให้ คราแรกฉันตกใจจนตาแทบถลน
“พวกคุณไม่ค่อยใช้เกลือเหรอ” ฉันถามพร้อมทั้งพยายามทุบก้อนเกลือให้มันเป็นชิ้นเล็กๆ โรยใส่สเต๊ก
“เดือนละสองครั้ง”
“หืม?”
“พวกข้ากินแบบนี้ ไม่ปรุงแต่ง”
“อ้อ” ฉันส่งเสียงรับรู้ในลำคอ
คิดเอาว่าพวกเขาอาจจะเป็นเวจ...ไม่สิ พวกเขาทานเนื้อ เพียงแค่ไม่ปรุงแต่งเท่านั้น
“น่าสนใจดีนะคะ” ฉันฝืนยิ้มและก้มหน้าก้มตาจัดการอาหารตรงหน้าตัวเองจนหมดเกลี้ยง
++++++++++++++++++
ความคิดเห็น