ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Yuri] Dark Daisy แรกรักเพียงนิรันดร์

    ลำดับตอนที่ #3 : KAMIL HELGA part 1

    • อัปเดตล่าสุด 3 พ.ย. 66


     

     

     

     

     

                    ฉันกะพริบตาปริบเพื่อปรับสายตาให้คุ้นชินกับแสงสว่างเพียงน้อยนิดภายในห้องโล่งห้องนี้ มือของฉันปัดป่ายไปมาจนสัมผัสได้ถึงผ้าฝ้ายดิบหยาบกระด้างสำหรับปูรองนอน อากาศเย็นพัดเข้ามาเป็นระลอกจนต้องห่อตัวไว้ สายตาที่เริ่มปรับเข้าหาความมืดมิดได้กวาดมองสำรวจรอบกายอย่างระมัดระวัง

                    ที่นี่คือที่ไหนกัน...

                    คำถามนั้นผุดเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว

                    ตึก...ตึก

                    ฉับพลันนั้นหูทั้งสองข้างก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักก้าวย่ำเข้ามาใกล้ ฉันรีบขดตัวซุกใต้ผ้าฝ้ายผืนนี้และเพ่งสายตามองฝ่าความมืดมิดไปยังต้นเสียง

                    “ฟื้นแล้วงั้นรึ” แว่วเสียงคุ้นเคยดังมาจากเบื้องหน้า ทันทีที่คบเพลิงถูกจุดขึ้น ฉันก็ได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจน

                    หล่อ! นั่นคือคำนิยามแรกที่ผุดเข้ามาในหัว

                    “โอ้ เจ้าฟื้นแล้วจริงๆ” เขาแสร้งยกมือทาบอกแสดงอาการตกใจเพียงแต่นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นกลับพราวระยับด้วยความเจ้าเล่ห์ “เห็นไหมล่ะเจเรด ข้าบอกเจ้าแล้ว”

                    เขาหันไปคุยกับใครสักคนทางด้านหลัง

                    “ค-คุณ -คุณเป็นใครคะ” ฉันเอ่ยถามเสียงกระท่อนกระแท่นเพราะลำคอแหบแห้งจากการขาดน้ำมานาน ชายผู้เป็นเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าจ้องตาฉันเขม็งจนสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล

                    มีบางอย่างในตัวชายคนนี้ส่งสัญญาณเตือนว่าเขาอันตราย

                    “นางพูดว่าอะไรนะ”

                    “นางถามว่าพวกเราเป็นใคร” อีกคนขยับเข้ามาใกล้จนสามารถมองเห็นนัยน์ตาสีเขียวมรกตอันเปล่งประกายชัดเจน ดวงตาของพวกเขาส่งประกายวิบวับราวดวงตาของสัตว์ป่าในยามค่ำคืน ยิ่งเมื่อเพ่งมองเนิ่นนานเข้าก็รู้สึกสะท้านหนาวไปทั้งตัว

                    “ข้าน่ะรึ- ข้ามีนามว่าคามิล เฮลก้า เป็นรองผู้นำตระกูลเฮลก้า” ชายหนุ่มยืดอกกล่าวแนะนำตัว “ส่วนคนผู้นี้คือสหายสนิทนามว่าเจเรด”

                    “พวกคุณ- ช่วยฉันไว้อย่างนั้นหรือ”

                    “ช่วย?” คิ้วเข้มขมวดครุ่นคิด พักหนึ่งจึงคลายออกแล้วพยักหน้ารับ “ข้านี่แหละช่วยเหลือเจ้า”

                    “ขอบคุณมากมิสเตอร์เฮลก้า” ฉันกล่าวขอบคุณและค่อยๆ ก้าวลงจากเตียง ทันทีที่เท้าเปลือยแตะกับพื้นหินแกรนิตใต้ฝ่าเท้า ขนอ่อนทั่วร่างกายก็พลันลุกชูชันทันที “ฉันคงอยู่รบกวนพวกคุณเท่านี้”

                    “...” ฉันมองหากระเป๋าสัมภาระของตัวเองแต่กลับไม่พบเจอสิ่งใด

                    “คุณพอจะทราบหรือเปล่าว่ากระเป๋าสัมภาระของฉันอยู่ที่ไหน”

                    “กระเป๋า? อ้อ ข้าไม่ได้นำมันกลับมาด้วย” มิสเตอร์เฮลก้าตอบ

                    “เช่นนั้นมันอยู่ที่ไหน- หมายถึงคุณพอจะนำทางฉันไปได้หรือเปล่า” ฉันโคลงศีรษะเล็กน้อยเมื่อครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าตนเองจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่ายอย่างเลี่ยงไม่ได้

                    “เจ้าอยากได้กระเป๋าคืนงั้นหรือ”

                    “ใช่” ฉันขานรับและก้าวเข้าไปประจันหน้ากับอีกฝ่าย “แต่ถ้าคุณจะกรุณา ช่วยติดต่อหน่วยกู้ภัยให้ฉันด้วยนะคะ”

                    “อะไรคือหน่วยกู้ภัยเจเรด” ชายหนุ่มหันไปถามเพื่อนสนิทอีกครั้ง

                    “บางทีอาจเป็นกำลังเสริม” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลประกายทองเจ้าของนาม ‘เจเรด’ กล่าวด้วยเสียงไม่ค่อยมั่นใจ เขาเงยหน้าสบตากับฉันก่อนเอ่ยถามเพื่อความถูกต้อง “ข้าตอบถูกหรือไม่”

                    “ก็นะ-... พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่คอยช่วยเหลือคนประสบภัยน่ะ”

                    “ถ้าหมายถึงพวกมะ- อุ๊บ!” คำพูดของมิสเตอร์เฮลก้าถูกยุติลงด้วยอุ้งมือหนาของเพื่อนสนิท ชายหนุ่มทั้งสองจ้องสบตาและสื่อสารบางอย่าง...บางอย่างที่ไม่ต้องการให้ฉันรับรู้

                    “ถ้าหากพวกคุณไม่สะดวก ขอเพียงบอกเส้นทางกลับไปยังจุดวางกระเป๋าของฉันก็ได้”

                    “ไม่หรอกน่า ข้าจะพาเจ้าไป” มิสเตอร์เฮลก้าสะบัดมือเพื่อนออกแล้วจัดการเปิดเส้นทางให้ฉันเดินออกไป “ออกมาสิ”

                    ฉันยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่งเพราะความรู้สึกบางอย่างกำลังร้องเตือนไม่ให้ก้าวเดินตามชายคนนี้ไป

                    วูบ!

                    สายลมสายหนึ่งพัดผ่านมาจากช่องลมด้านบนและพัดจากจุดที่ฉันยืนอยู่ไปยังชายหนุ่มทั้งสอง ลมที่ผ่านหน้าไปทำให้พวกเขาชะงักหยุดและเกร็งร่างกายอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาของทั้งคู่ตวัดมองกลับมาด้วยแววตาเปล่งประกาย

                    “กลิ่นของเจ้าหาได้ยากนัก” มิสเตอร์เฮลก้าหลับตาราวข่มกลั้นบางอย่างไว้ ไม่เว้นแม้กระทั่งเจเรดที่ดูนิ่งขรึมคนนั้นด้วย ท่าทางของพวกเขาดูเจ็บปวดและทรมานกับอะไรบางอย่าง “แม้ข้าจะนึกถูกใจแต่เพราะมอบเจ้าให้ท่านพี่ข้าแล้ว ข้าย่อมไม่อาจแตะต้อง”

                    “ท่านพี่?” อะไรของคนพวกนี้

                    ภาษาโบราณคร่ำครึ มาขงมาข้าอะไรสมัยนี้

                    “ใช่ ตอนนี้เจ้าเป็นของนาง พวกข้าไม่อาจแตะต้อง” คิ้วเรียวขมวดยุ่งด้วยความสงสัยในคำพูดของอีกฝ่าย

                    ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาในสถานที่แห่งนี้ ฉันก็เหมือนกับหลุดเข้ามายังโลกอีกใบ แม้เบื้องหน้าจะมีมนุษย์ตั้งสองคนยืนอยู่แต่ด้วยสัญชาตญาณอันแม่นยำที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิดกลับกำลังร้องเตือนว่าไม่ควรไว้ใจคนเหล่านี้

                    พวกเขาอันตราย

                    ฉันเก็บงำความสงสัยเอาไว้ก่อนเดินตามชายหนุ่มทั้งสองออกมาจนพบว่าสถานที่ที่ตัวเองนอนเมื่อครู่เป็นหอคอยสูงที่อยู่เยื้องกับปราสาทหลังนั้นที่เห็นจากที่ไกลๆ

                    “พวกคุณอาศัยอยู่ที่นี่กันเหรอ” ระหว่างเดินออกมาฉันจึงถือโอกาสถามให้คลายความสงสัย

                    “ใช่ ที่นี่คือบ้านของข้าและตระกูลเฮลก้าทุกคน”

                    “พวกคุณคงเป็นตระกูลผู้ดีเก่า” ฉันเอ่ยและกวาดสายตามองสำรวจรอบกายอีกครั้ง

                    สถานที่แห่งนี้ได้รับการดูแลอย่างดี สวนดอกไม้ถูกตัดแต่งอย่างสวยงาม บริเวณโดยรอบสะอาดสะอ้านเพราะได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอ

                    “ว่าแต่พวกคุณติดต่อกับโลกภายนอกบ้างหรือเปล่า หมายถึงเคยออกไปเที่ยวเล่นในตัวเมืองบ้างไหม”

                    “นางกล่าวถึงสิ่งใด” มิสเตอร์เฮลก้าหันไปถามเจเรดอีกครั้ง คราวนี้อีกฝ่ายส่ายหน้าด้วยเพราะไม่เข้าใจคำถามเช่นกัน

                    “พวกคุณไม่เคยออกจากปราสาทหลังนี้เลยเหรอ”

                    “พวกข้าออกไปวิ่งเล่นทุกวัน” มิสเตอร์เฮลก้าตอบ

                    “เคยเข้าไปในเมืองหรือเปล่า”

                    “หากเจ้าหมายถึงเมืองมนุษย์-...”

                    “คาม!” เสียงตวาดลั่นทำให้ชายหนุ่มชะงักกึก เขาส่งยิ้มเห่ยให้สหายก่อนนัยน์ตาสีฟ้าจะค่อยๆ เบนขึ้นไปยังชั้นสองของปราสาท ตรงห้องสุดท้ายทางขวามือของชั้นสอง มีสตรีคนหนึ่งยืนกอดอกจ้องมองลงมา

                    “เคารพท่านประมุข” เจเรดยกมือขึ้นทาบอกและทิ้งเข่าลงบนพื้น เขาก้มศีรษะเพื่อทำความเคารพต่อสตรีนางนั้น

                    “ท่านพี่!” มิสเตอร์เฮลก้าตะโกนเรียกก่อนแสดงท่าทีเหมือนลูกสุนัขตัวน้อยยามเห็นเจ้าของของมัน

                    กระจกบานนั้นถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าอันงดงามของเจ้าตัว

                    งดงามมาก! หญิงสาวคนนั้นสง่างามราวเทพธิดา เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนประกายทองแดงถูกม้วนเป็นเกลียวอย่างพิถีพิถันรับกับใบหน้ารูปไข่นวลเนียนไร้รอยตำหนิแต่ถึงแม้จะมีใบหน้างดงามแต่ดวงตาของนางนั้นกลับมีสีที่แปลกประหลาด สีดวงตาที่ออกไปค่อนข้างแดงทำให้ดูดุดันและอันตรายราวกับปีศาจ

                    “คาม ข้าสั่งให้เจ้าพานางกลับไปมิใช่รึ” เสียงหวานก้องกังวานเอ่ยถาม ทว่าไอเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านรอบกายกลับทำให้ฉันหวาดกลัวจนตัวสั่น

                    หากกล่าวว่าชายหนุ่มทั้งสองอันตรายแล้ว สตรีเบื้องหน้าในตอนนี้กลับดูอันตรายกว่าหลายเท่าตัว

                    “โธ่ท่านพี่! ข้ายกนางให้ท่านแล้วนะ”

                    “...” ขวับ! ฉันหันมองด้วยความตกใจ

                    ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของมิสเตอร์เฮลก้าเท่าไหร่นัก แต่สังหรณ์ใจว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องน่ายินดีสำหรับฉันแน่

                    “พานางกลับไป!”

                    “ข้าเตือนเจ้าแล้ว” แว่วเสียงกระซิบกระซาบดังมาจากชายหนุ่มอีกคนจนถูกมองค้อนใส่ 

                    “หุบปากเจ้าเสีย” มิสเตอร์เฮลก้าขู่คำรามก่อนหันไปประจันหน้ากับสตรีคนนั้น “ท่านไม่ตอบรับความหวังดีของข้า”

                    “งี่เง่า”

                    “ข้าเป็นห่วงท่านต่างหากเล่า!” เขาตอบโต้และหันกลับมากระชากแขนฉันเข้าไปใกล้ อุ้งมือหนาที่ร้อนผ่าวฝืนบังคับให้ฉันหันไปมองสตรีคนนั้นด้วย “ท่านเห็นหรือไม่! นางสวยงามและเปราะบางยิ่งนัก ท่านไม่ชอบรึ”

                    “ปล่อยนะ!” ด้วยเพราะไม่ชอบการแตะเนื้อต้องตัวกับคนแปลกหน้า ฉันจึงดีดดิ้นและขัดขืน

                    “อยู่นิ่งๆ สิ!” มิสเตอร์เฮลก้าดุเสียงเข้ม

                    “คาม!” เสียงของเจเรดเรียกเตือนอีกครั้ง “เจ้ากำลังทำให้นางบาดเจ็บ”

                    “ท่านพี่! ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่ส่งนางกลับไป” มิสเตอร์เฮลก้ายืนยัน ถ้อยคำประกาศกร้าวทำให้ฉันเผลอเบือนสายตามองยังอีกคน นัยน์ตาสีแดงนั้นเรียบเฉยไร้ความตื่นตระหนก

                    ทว่า! ทันทีที่เราประสานสายตากัน ความรู้สึกบางอย่างก็พุ่งชนร่างอย่างจัง ฉันหยุดดิ้นขัดขืนและเบิกตากว้างมองสตรีคนนั้นอีกครั้ง

                    ตึกตักๆ...

                    นางจ้องตอบกลับมาแบบไม่หวั่นเกรง ทว่าสีหน้ายังคงราบเรียบและไร้ความรู้สึกเช่นเดิม

                    ...ร่างกายฉันเป็นอะไรก็ไม่รู้

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×