คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : KAMIL HELGA part 1
ฉันกะพริบตาปริบเพื่อปรับสายตาให้คุ้นชินกับแสงสว่างเพียงน้อยนิดภายในห้องโล่งห้องนี้ มือของฉันปัดป่ายไปมาจนสัมผัสได้ถึงผ้าฝ้ายดิบหยาบกระด้างสำหรับปูรองนอน อากาศเย็นพัดเข้ามาเป็นระลอกจนต้องห่อตัวไว้ สายตาที่เริ่มปรับเข้าหาความมืดมิดได้กวาดมองสำรวจรอบกายอย่างระมัดระวัง
ที่นี่คือที่ไหนกัน...
คำถามนั้นผุดเข้ามาในหัวอย่างรวดเร็ว
ตึก...ตึก
ฉับพลันนั้นหูทั้งสองข้างก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักก้าวย่ำเข้ามาใกล้ ฉันรีบขดตัวซุกใต้ผ้าฝ้ายผืนนี้และเพ่งสายตามองฝ่าความมืดมิดไปยังต้นเสียง
“ฟื้นแล้วงั้นรึ” แว่วเสียงคุ้นเคยดังมาจากเบื้องหน้า ทันทีที่คบเพลิงถูกจุดขึ้น ฉันก็ได้เห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจน
หล่อ! นั่นคือคำนิยามแรกที่ผุดเข้ามาในหัว
“โอ้ เจ้าฟื้นแล้วจริงๆ” เขาแสร้งยกมือทาบอกแสดงอาการตกใจเพียงแต่นัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นกลับพราวระยับด้วยความเจ้าเล่ห์ “เห็นไหมล่ะเจเรด ข้าบอกเจ้าแล้ว”
เขาหันไปคุยกับใครสักคนทางด้านหลัง
“ค-คุณ -คุณเป็นใครคะ” ฉันเอ่ยถามเสียงกระท่อนกระแท่นเพราะลำคอแหบแห้งจากการขาดน้ำมานาน ชายผู้เป็นเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าจ้องตาฉันเขม็งจนสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล
มีบางอย่างในตัวชายคนนี้ส่งสัญญาณเตือนว่าเขาอันตราย
“นางพูดว่าอะไรนะ”
“นางถามว่าพวกเราเป็นใคร” อีกคนขยับเข้ามาใกล้จนสามารถมองเห็นนัยน์ตาสีเขียวมรกตอันเปล่งประกายชัดเจน ดวงตาของพวกเขาส่งประกายวิบวับราวดวงตาของสัตว์ป่าในยามค่ำคืน ยิ่งเมื่อเพ่งมองเนิ่นนานเข้าก็รู้สึกสะท้านหนาวไปทั้งตัว
“ข้าน่ะรึ- ข้ามีนามว่าคามิล เฮลก้า เป็นรองผู้นำตระกูลเฮลก้า” ชายหนุ่มยืดอกกล่าวแนะนำตัว “ส่วนคนผู้นี้คือสหายสนิทนามว่าเจเรด”
“พวกคุณ- ช่วยฉันไว้อย่างนั้นหรือ”
“ช่วย?” คิ้วเข้มขมวดครุ่นคิด พักหนึ่งจึงคลายออกแล้วพยักหน้ารับ “ข้านี่แหละช่วยเหลือเจ้า”
“ขอบคุณมากมิสเตอร์เฮลก้า” ฉันกล่าวขอบคุณและค่อยๆ ก้าวลงจากเตียง ทันทีที่เท้าเปลือยแตะกับพื้นหินแกรนิตใต้ฝ่าเท้า ขนอ่อนทั่วร่างกายก็พลันลุกชูชันทันที “ฉันคงอยู่รบกวนพวกคุณเท่านี้”
“...” ฉันมองหากระเป๋าสัมภาระของตัวเองแต่กลับไม่พบเจอสิ่งใด
“คุณพอจะทราบหรือเปล่าว่ากระเป๋าสัมภาระของฉันอยู่ที่ไหน”
“กระเป๋า? อ้อ ข้าไม่ได้นำมันกลับมาด้วย” มิสเตอร์เฮลก้าตอบ
“เช่นนั้นมันอยู่ที่ไหน- หมายถึงคุณพอจะนำทางฉันไปได้หรือเปล่า” ฉันโคลงศีรษะเล็กน้อยเมื่อครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วนแล้วว่าตนเองจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากอีกฝ่ายอย่างเลี่ยงไม่ได้
“เจ้าอยากได้กระเป๋าคืนงั้นหรือ”
“ใช่” ฉันขานรับและก้าวเข้าไปประจันหน้ากับอีกฝ่าย “แต่ถ้าคุณจะกรุณา ช่วยติดต่อหน่วยกู้ภัยให้ฉันด้วยนะคะ”
“อะไรคือหน่วยกู้ภัยเจเรด” ชายหนุ่มหันไปถามเพื่อนสนิทอีกครั้ง
“บางทีอาจเป็นกำลังเสริม” ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลประกายทองเจ้าของนาม ‘เจเรด’ กล่าวด้วยเสียงไม่ค่อยมั่นใจ เขาเงยหน้าสบตากับฉันก่อนเอ่ยถามเพื่อความถูกต้อง “ข้าตอบถูกหรือไม่”
“ก็นะ-... พวกเขาเป็นกลุ่มคนที่คอยช่วยเหลือคนประสบภัยน่ะ”
“ถ้าหมายถึงพวกมะ- อุ๊บ!” คำพูดของมิสเตอร์เฮลก้าถูกยุติลงด้วยอุ้งมือหนาของเพื่อนสนิท ชายหนุ่มทั้งสองจ้องสบตาและสื่อสารบางอย่าง...บางอย่างที่ไม่ต้องการให้ฉันรับรู้
“ถ้าหากพวกคุณไม่สะดวก ขอเพียงบอกเส้นทางกลับไปยังจุดวางกระเป๋าของฉันก็ได้”
“ไม่หรอกน่า ข้าจะพาเจ้าไป” มิสเตอร์เฮลก้าสะบัดมือเพื่อนออกแล้วจัดการเปิดเส้นทางให้ฉันเดินออกไป “ออกมาสิ”
ฉันยืนลังเลอยู่ครู่หนึ่งเพราะความรู้สึกบางอย่างกำลังร้องเตือนไม่ให้ก้าวเดินตามชายคนนี้ไป
วูบ!
สายลมสายหนึ่งพัดผ่านมาจากช่องลมด้านบนและพัดจากจุดที่ฉันยืนอยู่ไปยังชายหนุ่มทั้งสอง ลมที่ผ่านหน้าไปทำให้พวกเขาชะงักหยุดและเกร็งร่างกายอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาของทั้งคู่ตวัดมองกลับมาด้วยแววตาเปล่งประกาย
“กลิ่นของเจ้าหาได้ยากนัก” มิสเตอร์เฮลก้าหลับตาราวข่มกลั้นบางอย่างไว้ ไม่เว้นแม้กระทั่งเจเรดที่ดูนิ่งขรึมคนนั้นด้วย ท่าทางของพวกเขาดูเจ็บปวดและทรมานกับอะไรบางอย่าง “แม้ข้าจะนึกถูกใจแต่เพราะมอบเจ้าให้ท่านพี่ข้าแล้ว ข้าย่อมไม่อาจแตะต้อง”
“ท่านพี่?” อะไรของคนพวกนี้
ภาษาโบราณคร่ำครึ มาขงมาข้าอะไรสมัยนี้
“ใช่ ตอนนี้เจ้าเป็นของนาง พวกข้าไม่อาจแตะต้อง” คิ้วเรียวขมวดยุ่งด้วยความสงสัยในคำพูดของอีกฝ่าย
ตั้งแต่ลืมตาตื่นขึ้นมาในสถานที่แห่งนี้ ฉันก็เหมือนกับหลุดเข้ามายังโลกอีกใบ แม้เบื้องหน้าจะมีมนุษย์ตั้งสองคนยืนอยู่แต่ด้วยสัญชาตญาณอันแม่นยำที่มีติดตัวมาตั้งแต่เกิดกลับกำลังร้องเตือนว่าไม่ควรไว้ใจคนเหล่านี้
พวกเขาอันตราย
ฉันเก็บงำความสงสัยเอาไว้ก่อนเดินตามชายหนุ่มทั้งสองออกมาจนพบว่าสถานที่ที่ตัวเองนอนเมื่อครู่เป็นหอคอยสูงที่อยู่เยื้องกับปราสาทหลังนั้นที่เห็นจากที่ไกลๆ
“พวกคุณอาศัยอยู่ที่นี่กันเหรอ” ระหว่างเดินออกมาฉันจึงถือโอกาสถามให้คลายความสงสัย
“ใช่ ที่นี่คือบ้านของข้าและตระกูลเฮลก้าทุกคน”
“พวกคุณคงเป็นตระกูลผู้ดีเก่า” ฉันเอ่ยและกวาดสายตามองสำรวจรอบกายอีกครั้ง
สถานที่แห่งนี้ได้รับการดูแลอย่างดี สวนดอกไม้ถูกตัดแต่งอย่างสวยงาม บริเวณโดยรอบสะอาดสะอ้านเพราะได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอ
“ว่าแต่พวกคุณติดต่อกับโลกภายนอกบ้างหรือเปล่า หมายถึงเคยออกไปเที่ยวเล่นในตัวเมืองบ้างไหม”
“นางกล่าวถึงสิ่งใด” มิสเตอร์เฮลก้าหันไปถามเจเรดอีกครั้ง คราวนี้อีกฝ่ายส่ายหน้าด้วยเพราะไม่เข้าใจคำถามเช่นกัน
“พวกคุณไม่เคยออกจากปราสาทหลังนี้เลยเหรอ”
“พวกข้าออกไปวิ่งเล่นทุกวัน” มิสเตอร์เฮลก้าตอบ
“เคยเข้าไปในเมืองหรือเปล่า”
“หากเจ้าหมายถึงเมืองมนุษย์-...”
“คาม!” เสียงตวาดลั่นทำให้ชายหนุ่มชะงักกึก เขาส่งยิ้มเห่ยให้สหายก่อนนัยน์ตาสีฟ้าจะค่อยๆ เบนขึ้นไปยังชั้นสองของปราสาท ตรงห้องสุดท้ายทางขวามือของชั้นสอง มีสตรีคนหนึ่งยืนกอดอกจ้องมองลงมา
“เคารพท่านประมุข” เจเรดยกมือขึ้นทาบอกและทิ้งเข่าลงบนพื้น เขาก้มศีรษะเพื่อทำความเคารพต่อสตรีนางนั้น
“ท่านพี่!” มิสเตอร์เฮลก้าตะโกนเรียกก่อนแสดงท่าทีเหมือนลูกสุนัขตัวน้อยยามเห็นเจ้าของของมัน
กระจกบานนั้นถูกเปิดออก เผยให้เห็นใบหน้าอันงดงามของเจ้าตัว
งดงามมาก! หญิงสาวคนนั้นสง่างามราวเทพธิดา เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนประกายทองแดงถูกม้วนเป็นเกลียวอย่างพิถีพิถันรับกับใบหน้ารูปไข่นวลเนียนไร้รอยตำหนิแต่ถึงแม้จะมีใบหน้างดงามแต่ดวงตาของนางนั้นกลับมีสีที่แปลกประหลาด สีดวงตาที่ออกไปค่อนข้างแดงทำให้ดูดุดันและอันตรายราวกับปีศาจ
“คาม ข้าสั่งให้เจ้าพานางกลับไปมิใช่รึ” เสียงหวานก้องกังวานเอ่ยถาม ทว่าไอเย็นยะเยือกที่แผ่ซ่านรอบกายกลับทำให้ฉันหวาดกลัวจนตัวสั่น
หากกล่าวว่าชายหนุ่มทั้งสองอันตรายแล้ว สตรีเบื้องหน้าในตอนนี้กลับดูอันตรายกว่าหลายเท่าตัว
“โธ่ท่านพี่! ข้ายกนางให้ท่านแล้วนะ”
“...” ขวับ! ฉันหันมองด้วยความตกใจ
ไม่ค่อยเข้าใจความหมายของมิสเตอร์เฮลก้าเท่าไหร่นัก แต่สังหรณ์ใจว่ามันต้องไม่ใช่เรื่องน่ายินดีสำหรับฉันแน่
“พานางกลับไป!”
“ข้าเตือนเจ้าแล้ว” แว่วเสียงกระซิบกระซาบดังมาจากชายหนุ่มอีกคนจนถูกมองค้อนใส่
“หุบปากเจ้าเสีย” มิสเตอร์เฮลก้าขู่คำรามก่อนหันไปประจันหน้ากับสตรีคนนั้น “ท่านไม่ตอบรับความหวังดีของข้า”
“งี่เง่า”
“ข้าเป็นห่วงท่านต่างหากเล่า!” เขาตอบโต้และหันกลับมากระชากแขนฉันเข้าไปใกล้ อุ้งมือหนาที่ร้อนผ่าวฝืนบังคับให้ฉันหันไปมองสตรีคนนั้นด้วย “ท่านเห็นหรือไม่! นางสวยงามและเปราะบางยิ่งนัก ท่านไม่ชอบรึ”
“ปล่อยนะ!” ด้วยเพราะไม่ชอบการแตะเนื้อต้องตัวกับคนแปลกหน้า ฉันจึงดีดดิ้นและขัดขืน
“อยู่นิ่งๆ สิ!” มิสเตอร์เฮลก้าดุเสียงเข้ม
“คาม!” เสียงของเจเรดเรียกเตือนอีกครั้ง “เจ้ากำลังทำให้นางบาดเจ็บ”
“ท่านพี่! ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่ส่งนางกลับไป” มิสเตอร์เฮลก้ายืนยัน ถ้อยคำประกาศกร้าวทำให้ฉันเผลอเบือนสายตามองยังอีกคน นัยน์ตาสีแดงนั้นเรียบเฉยไร้ความตื่นตระหนก
ทว่า! ทันทีที่เราประสานสายตากัน ความรู้สึกบางอย่างก็พุ่งชนร่างอย่างจัง ฉันหยุดดิ้นขัดขืนและเบิกตากว้างมองสตรีคนนั้นอีกครั้ง
ตึกตักๆ...
นางจ้องตอบกลับมาแบบไม่หวั่นเกรง ทว่าสีหน้ายังคงราบเรียบและไร้ความรู้สึกเช่นเดิม
...ร่างกายฉันเป็นอะไรก็ไม่รู้
…
ความคิดเห็น